ทุกข์ที่หยาบ ทุกข์ที่ละเอียด
ในอริยสัจจ์ข้อที่ 1 พระพุทธองค์ทรงสอนว่า ทุกข์ให้รู้ แล้วพระองค์ก็ทรงสรุปเป็นคำสอนง่าย ๆ ออกมาว่า การยึดมั่นถือมั่นในขันธ์ 5 ว่าเป็นตัวเรา เป็นของเรา นั่นแหละคือทุกข์
นี่คือ ทฤษฏี ในอริยสัุจจ์
แต่ผมจะเีขียนในเรื่องการปฏิบัติเพื่อท่านมองตัวทฤษฏีที่พระพุทธองค์ทรงสอน
ในการปฏิบัติเพื่อให้เห็นทุกข์ได้นั้น นัำกปฏิบัติต้องเจริญสัมมาสติจนมีความตั้งมั่น เป็นสัมมาสมาธิ นี่คือวิธีปฏิบัติ
ในระหว่างทีนักปฏิบัติฝึกฝน เริ่มจากการเป็นมือใหม่จนชำนาญ นักปฏิบัติจะพบกับสภาวะแห่งทุกข์ที่เริ่มจากหยาบ ๆ ก่อน เช่น อาการเ็็จ็บปวด เมื่อย ไม่สบายของร่างกาย ซึ่งเป็นอาการทุกข์ที่หยาบที่สุด แล้ว นักภาวนาก็จะเห็นอาการจิตปรุงแต่งเช่นความโกรธ เห็นความคิดที่หยาบ ๆ ได้ นี่คือ อาการทุกข์ที่ละเอียดขึ้นแต่ก็ยังหยาบอยู่ แล้วต่อมา นักภาวนาก็จะเริ่มเห็นจิต เห็นอาการของจิตทีละเอียดมากขึ้นไปอีก เห็นอาการที่จิตที่เป็นทุกข์ และ จิตที่ไม่ทุกข์
ในความละเอียดแห่งทุกข์ที่นักปฏิบัติจะพบได้และละเอียดมาก ๆ ก็คือ การที่จิตนั้นเปลี่ยนไปเปลี่ยนมาเพื่อทำงานตามหน้าที่ ระหว่าง
ตัวจิต + ความอยาก + ความคิด
นักภาวนาที่เดินทางมาถึงจุดนี้ จะพบอาการหนึ่งก็คือ อาการที่รู้แต่ไม่รู้อะไร เืนื่องจากจิตตั้งมั่นนิ่งอยู่ที่ฐาน แต่จิตไม่แปรเปลี่ยนไปเป็นความคิด ความอยาก นักภาวนาจะพบกับอาการที่แปลกประหลาด ที่เขายังรับรู้ได้ทุกสิ่งผ่านทางระบบ ประสาทของร่างกาย แต่ไม่มีการแปลภาษาในสิ่งที่รู้ออกมา นักภาวนาเองจะพบว่า ทุกครั้งที่มีการแปลภาษาในสิ่งทีรับรู้เข้ามา จะเกิด.ทุกข์.ขี้นมาทันที ซึ่งถ้าในคนทั่ว ๆ ไปจะไม่สามารถรับรู้ได้เลยว่า นี่คือทุกข์
พระพุทธองค์ทรงบอกว่า อันว่า ตัณหาและทิฐิ คือ ตัวต้นเหตุแห่งทุกข์
เมื่อนักภาวนารู้ว่า นี่คือทุกข์ ก็จะทำการละทุกข์นั้นเสีย จิตที่มีสติมั่นคงก็ย้อนกลับไป ตั้งมั่นอยู่ที่ฐานอีก ตัณหาและทิฐิ ก็จบการทำงานลง แล้วทุกข์ก็ดับลงไปทันที
การปฏิบัติในสติปัฏฐาน 4 ก็เพื่อให้นักภาวนาได้เห็นทุกข์ ที่เป็นตัณหาและทิฐิ เมื่อเห็นแล้ว ก็ดับทุกข์นั่้นเสีย กลายเป็นสภาวะแห่งการไร้ตัณหาและทิฐิต่อไป นี่คือมรรคในการปฏิบัติครับ
อนึ่งในสภาวะแห่งการไร้ตัณหาและทิฐิ นักภาวนาจะรู้สึกได้ถึงการไร้ตัวไร้ตนอีกด้วย
มีผู้กล่าวกับผมว่า ถ้าเพียงมีความรู้สึกตัวเ่่ท่านั้น ความไร้ตัวตนก็จะปรากฏขึ้น ซึ่งเรื่องนี้ ถ้าจะมองให้ลึกลงไป การมีความรู้สึกตัวอยู่ก็จริง แต่ถ้านักภาวนาไม่ละเอียดพอ เขาจะไม่เห็นตัณหาและทิฐิที่ยังทำงานอยู่ ซึ่งถ้ายังทำงานอยู่ สภาวะแห่งการไร้ตัวตนก็ยังมีอยู่ แต่ถ้าการทำงานของตัณหาและทิฐิดับลงไปเมื่อไร นั่นแหละ สภาวะแห่งการไร้ตัวตนก็จะปรากฏออกมาเมื่อนั่นทันที
เรื่องอย่้างนี้ ได้เพียงชี้ให้เห็น แต่ถ้าละเอียดพอ ก็จะเห็นได้เองจากการภาวนา แต่อย่าอยากเห็นครับ เพราะความอยากเป็นตัณหา ถ้าเกิดอยาก ก็จะไม่เห็น แต่ถ้าภาวนาถึง ไม่ต้องอยาก ก็เห็นได้เอง
************* เรื่องท้ายบท
1..ถ้าท่านเห็น ตัณหาและทิฐิ ได้ ท่านจะเข้าใจต่อไปได้อีกว่า สัญญาขันธ์ สังขารขันธ์ วิญญาณขันธ์ ล้วนเป็นสิ่งที่ออกมาจากตัวจิตทั้งสิ้น เหมือนกับว่า จิตเป็นตัวสร้างขึ้นมา แต่ถ้าจิตตั้งมั่นอยู่ในฐาน จิตจะไม่สร้าง สิ่งเหล่านี้ขึ้นมา ทำให้เกิดอาการรู้แต่ไม่รู้อะไร
2.สิ่งหนึ่งที่หลวงพ่อเทียน ท่านสอนลูกศิษย์ก็คือ ไม่ให้ใช้คำบริกรรม เมื่อใช้คำบริกรรม ก็จะเกิดสัญญาขันธ์และสังขารขันธ์ขึ้นมา ตัวจิตก็จะเกิดการทำงานขึ้นมา ถ้าท่านเห็นสภาวะแห่งการเห็นการเคลื่อน ตัวของจิตได้ ท่านจะเห็นอาการนี้ได้เองครับ และท่านจะเข้าใจว่า ทำไมหลวงพ่อเทียนจึงไม่ให้ลูกศิษย์บริกรรม
Create Date : 17 สิงหาคม 2553 |
|
6 comments |
Last Update : 29 มกราคม 2555 16:03:08 น. |
Counter : 1220 Pageviews. |
|
|
|
ผมเป็นแค่อ่าน ยังไม่ได้เป็นนักภาวนาครับ
ชอบอ่านบทความธรรมะของทุกๆท่าน
ตั้งใจไว้ อนาคตนักภาวนา
ตอนนี้ผมอยู่แค่เสี้ยวของเศษผิวเปลือกธรรมะ
ขออนุญาตแอดเป็นเพื่อนด้วยครับ