รู้สึกตัว ผ่อนคลาย เฉย ๆ สบาย ๆ **กรุณา .อย่า.ได้บริจาคเงินให้ blog ผม ทาง e-wallet ครับ** **ผมขอสงวนสิทธิการเป็นเจ้าบ้านของ blog ลบข้อเขียนใดๆ ก็ได้ใน blog นี้ตามที่ผมเห็นสมควร**
Group Blog
 
<<
สิงหาคม 2553
1234567
891011121314
15161718192021
22232425262728
293031 
 
23 สิงหาคม 2553
 
All Blogs
 

ถ้าไม่หมั่นฝึกฝน จะไม่เกิดความไวในการรับรู้

.

ภาพข้างบนคือภาพ Grey Scale ที่แสดงระดับความเข้มของสีขาวดำ
ท่านจะเห็นได้ชัดว่า ด้านซ้ายมือ จะเป็นแถบดำ ที่เห็นสีดำได้ชัด เห็นได้ง่าย
ส่วนทางด้านขวามือ จะเป็นสีออกขาว จะเห็นได้ไม่ชัดเท่าด้านซ้าย และ ส่วนท้าย ๆ ก็จะกลมกลืนไปกับสีขาว จนเห็นเป็นสีขาวไป

ในการปฏิบัติธรรมนั้น การเห็นสภาวะธรรมจะคล้าย ๆ กับการเห็นภาพที่แสดงไว้ข้างบน จะมีส่วนที่เห็นได้ชัด เห็นได้ง่าย และ เห็นได้ไม่ชัด เห็นได้ยาก

ที่ผมว่าเห็นได้ชัด เห็นได้ง่าย นี่ไม่ใด้หมายความว่า ท่านเห็นได้เลยนะครับ
ไม่ใช่อย่างนั้น

คนที่ไม่เคยฝึกฝน หรือ ฝึกฝนผิดทาง จะไม่เห็นสภาวะเหล่านี้ได้เลย
ต่อเมื่อได้ลงมือฝึกฝนอย่างถูกทางและมีความขยันหมั่นเพียรอย่างพอเพียง
เมื่อถึงจุดหนึ่ง จึงจะเห็นสภาวะที่หยาบ ๆ เห็นได้ง่าย คล้าย ๆ ด้านซ้ายของตัวภาพได้ก่อน เมื่อเห็นได้แล้ว ถ้ายังขยันฝึกต่อ ก็จะเห็นได้ละเอียดขึ้นทีละหน่อย คล้าย ๆ กับการเห็นส่วนที่อยู่กลาง ๆ ของภาพ และ ยิ่งฝึกไป ก็ยิ่งเห็นได้มาก เห็นได้ละเอียดมากขึ้นไปอีก คล้าย ๆ กับการเห็นส่วนด้านขวาของภาพ

โดยส่วนตัวแล้ว ผมไม่เชื่อว่า การไม่ฝึกฝนจะสามารถเข้าถึงธรรมแท้จริงได้

มีคำกล่าวกันว่า การปฏิบัติธรรมแบบวิปัสสนายิก ไม่ต้องฝึกฝนเลย แต่ให้รู้สภาวะลงไปเลยนั้น โดยส่วนตัวผมแล้ว ผมเห็นว่า การกล่าวเช่นนี้ ไม่สามารถเกิดขึ้นได้ เพราะการรู้สภาวะธรรมแบบนี้ จะเป็นการรู้ที่เป็นการใช้ความจำความคิด รู้ในสิ่งที่ผ่านมาแล้ว ไม่ใช่รู้แบบสด ๆ ที่เป็นปัจจุบันขณะ

การปฏิบัติธรรมแบบวิปัสสนายานิกนั้น หมายความว่า ไม่ต้องทำสมาธิถึงขั้นฌานจิตก่อนต่างหาก แต่ก็ยังคงต้องฝึกฝนอยู่เพื่อให้เกิดสัมมาสติขึ้นมาก่อน ถึงแม้ว่าจะเป็นเพียงขณิกสมาธิก็พอที่จะเห็นสภาวะธรรมที่หยาบได้แล้ว (ดังเช่นเห็นภาพข้างบนในส่วนด้านซ้ายมือ) แต่จากการฝึกฝนสัมมาสติ อาศัยขณิกสมาธินี้แหละ ในบางจังหวะ
จิตจะเกิดความตั้งมั่นแต่ไม่นานนักที่เป็นถึงระดับฌานจิตได้ แล้วไปเห็นสภาวะธรรมที่ละเอียด ๆ ได้เพียงแป๊บเดียว ซึ่งการเห็นเพียงแป็บเดียวนี้ ก็เพียงพอที่จะทำให้จิตเกิดปัญญารู้แจ้งเห็นจริงตามสภาวะธรรมได้แล้ว

การเห็นสภาวะธรรมตามความเป็นจริงนั้น ท่านอย่าไปคิดว่า มันจะเป็นแบบหนังโฆษณาทาง TV ที่เขาฉาย 30 วินาที ที่ต้องดูจากเริ่มต้นโฆษณาจนจบจึงจะรู้เรื่อง ในสิ่งที่เกิดขึ้นจริงนั้น สภาวะธรรมที่เกิดนั้น
จะเกิดเพียงแว๊บเดียว รวดเร็วปานสายฟ้าแลบ
แล้วก็จากไปอย่างไม่ทิ้งร่องลอยอะไรไว้เลย

ผมเชื่อว่า การไม่ฝึกฝนสัมมาสติเลย จึงไม่ใช่วิถีทางแห่งการเข้าถึงอริยมรรค การเข้าใจว่า การไม่ต้องฝึกฝนสัมมาสติเป็นการปฏิบัติแบบวิปัสสนายานิก ผมจึงว่าคลาดเคลื่อนครับ

แต่เมื่อฝึกฝนในแบบวิปัสสนายานิก ที่เริ่มต้นจากการที่ได้ถึงระดับขณิกสมาธิที่เห็นสภาวะธรรมที่หยาบ ๆ ได้แล้ว จากที่หมั่นฝึกฝน ต่อไปนักภาวนาก็จะมีการพัฒนาการทางจิตขึ้นมาได้เอง จากที่เป็นขณิกสมาธิจนเข้าสู่สัมมาสมาธิที่เป็นความตั้งมั่นระดับฌาน ยิ่งเข้าถึงสภาวะธรรมที่ยิ่งละเอียดมากเท่าใด ความตั้งมั่นในระดับฌานยิ่งเป็นสิ่งจำเป็นยิ่ง

การไม่หมั่นฝึกฝนสัมมาสติ ไม่มีทางเข้าถึงอริยมรรคได้เลย


****
เรื่องท้ายบท

สภาวะธรรมนั้น เป็นสิ่งที่คาดการณ์ได้ยากยิ่ง ถึงแม้ฟังมาจากท่านผู้รู้
อ่านจากพระไตรปิฏก ท่านอาจคาดได้ว่า น่าจะเป็นอย่างนั้น อย่างนี้
แต่พอท่านปฏิบัติถึง ท่านจะแปลกใจมากว่า ส่วนมากที่ท่านคาดการณ์มาก่อนหน้านี้ ผิดเสียเป็นส่วนใหญ่




 

Create Date : 23 สิงหาคม 2553
8 comments
Last Update : 29 มกราคม 2555 16:02:43 น.
Counter : 1289 Pageviews.

 

เมื่อปฏิบัติถึงแล้วแม้เพียงชั่วขณะ ก็ทำให้หายสงสัยในการปฏิบัติได้ บทความคุณนมสิการเป็นสิ่งยืนยันว่าผู้ปฏิบัติถึงแล้วย่อมลงรอยอันเดียวกัน

 

โดย: ชู IP: 202.28.124.38 23 สิงหาคม 2553 12:14:49 น.  

 

ขออนุญาตออกความเห็นค่ะ การปฎิบัติไม่มีเวลาเป็นเครื่องกำหนด เราต้องปฎิบัติตลอดเวลา จนเป็นเรื่องปรกติในชีวิตประจำวัน ส่วนการทำสมถะ การเดินจงกรม นั่งสมาธิ สวดมนต์ ควรทำทุกวัน ในเวลาที่เราสะดวก เพื่อให้จิตตั้งมั่น

 

โดย: เพื่อนธรรม IP: 118.173.78.218 23 สิงหาคม 2553 14:58:16 น.  

 

ตอบคุณต้นกล้า

ไม่จำเป็นครับ ที่ต้องกำหนดเวลาแน่นอน มีเวลาเมื่อไร สะดวกเมื่อใด ให้ปฏิบัติในรูปแบบได้ทันที

ถ้าไม่มีเวลาที่จะปฏิบัติในรูปแบบ ก็ให้พยายามมีความรู้สึกตัว
ในขณะที่อยู่ในชีวิตประำจำวัน เช่น ขณะอาบน้ำ แปรงฟัน ใส่เสื้อผ้า
ซักผ้า ถูบ้าน เดินไปทำงาน รับประทานอาหาร ถึุงแม้ว่า จะลืมบ้าง
รู้สึกตัวบ้าง ก็ยังดีกว่าไม่ปฏิบัติแบบนี้ แต่ถ้าปฏิบัติไปเรื่อย ๆ จะมีความคุ้นเคย แล้วก็จะมีความรู้สึกตัวที่ยาวนานเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ

ขออนุโมทนาในคำตอบของคุณ เพื่อนธรรม ครับ

 

โดย: นมสิการ 23 สิงหาคม 2553 16:27:18 น.  

 

อ่านแล้วรู้สึกเข้าใจชัดเจนในเรื่องการดูจิต ขอบคุณมากค่ะ

 

โดย: Mat IP: 58.97.35.132 23 สิงหาคม 2553 17:11:24 น.  

 

ขอบพระคุณ คุณนมสิการ คุณเพื่อนธรรม เป็นอย่างมาก

เนื่องจากปัญหาเหล่านี้...มีคนชอบสอบถามอย่างมาก

บางคนก็บอกว่า...ต้องทำเป็นทางการอย่างเดียวเท่านั้น

เขาไม่เข้าใจว่า ความรู้สึกตัวนั้น ทำได้ตลอด...ทำบ่อย ๆ

ค่อย ๆ พยายามฝึกไว้....ในขณะการดำรงชีวิตประจำวันด้วย

จึงเป็นข้อถกเถียงกัน...อย่างเหน็ดเหนื่อย...เนื่องจาก

วัยวุฒิของเรายังไม่เหมาะสม....จึงขอคำชี้แนะ มา ณ ที่นี้

เพื่อความกระจ่าง ของผู้มาอ่านทีหลัง....

ขอความเจริญในธรรมของพระศาสดา...จงมีแด่ทุกท่านที่ปฏิบัติธรรม

ขอขอบคุณในความเป็นกัลยาณมิตร...ที่มีให้ตลอด ของคุณนมสิการ และทุกท่าน ด้วย อนุโมทนาสาธุ๊....

 

โดย: *~ต้นกล้า...ของหัวใจ~* 23 สิงหาคม 2553 19:12:21 น.  

 

เท่าที่ผมพบเห็นว่า นักปฏิบัตินี่จะเป็นกันมากก็คือ มานะ ทิฐิ แรงจัดกันทั้งนั้น ถ้าไ่ม่ศรัทธาใคร เขาจะไม่ฟังหรอกครับ
อย่าไปถกเถียงกับใครเลย เหนื่อยเปล่า ๆ แล้วจะกลายเป็นศัตรูกันขึ้นมามากกว่าความเป็นมิตร

เขาพูดมา เราควรรับฟังและใช้ปัญญาพิจารณาในสิ่ง
ที่เขาบอก เขาพูด ไม่ต้องไปขัดแย้งเขา
ถ้าปัญญาของเราไม่พอ ก็สอบถามจากแหล่งอื่น ๆ
เอามาใช้เปรียบเทียบได้ครับ

การพูดคุยกันอย่างกัลยาณมิตร คือ การพูดคุยเพื่อใ้ห้มีปัญญา รู้จัก
ธรรม รู้จักวิธีภาวนาอย่างถูกทาง ไม่ใช่พูดเพื่อเป็นการเอาชนะกัน
พูดคุยอย่างนี้ จึงจะเป็นประโยชน์

 

โดย: นมสิการ 24 สิงหาคม 2553 8:08:00 น.  

 

สาธุครับ

 

โดย: fatnomore IP: 202.137.151.2 25 สิงหาคม 2553 13:00:14 น.  

 

ผมจำเป็นต้องปิดการเขียนของท่านผู้อ่าน เนื่องจากกฏหมายอินเตอร์เนท
ที่อาจมีสิ่งผิดกฏหมายใส่เข้ามาใน blog

ท่านที่จะสนทนา หรือ ถามคำถาม ขอให้ส่ง email ถึงผมได้ที่
asknamasikarn@gmail.com

หรือสำหรับสมาชิก pantip จะส่งมาทางหลังไมค์ก็ได้เช่นกัน

 

โดย: นมสิการ 29 มกราคม 2555 16:27:44 น.  

ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะ VIP Friend
Comment :
  *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 


นมสิการ
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 142 คน [?]




หลักปฏิบัติ ...รู้สึกตัว ผ่อนคลาย เฉย ๆ สบาย ๆ

มากกว่า 20 ปีที่ไปหลงทำสมถภาวนาแบบสมาธิแบบฤาษีโดยที่ไม่รู้จักกับคำว่า อะไรคือสัมมาสติ สัมมาสมาธิ ผลที่ได้คือความสงบขณะกำลังนั่งสมาธิจนตัวนิ่งแข็งเป็นก้อนหิน แต่ผลข้างเคียงตามมาก็คือการเป็นคนเจ้าโทสะอย่างรุนแรงขณะเวลาไม่ได้นั่งสมาธิ และ ที่อยู่ในชีวิตประจำวัน....

จนได้พบกัลยณมิตรแดนไกล ที่ได้ชักนำให้มารู้จักวิธีปฏิบัติแบบหลวงพ่อเทียน จนได้พบกับพระอาจารย์ในสายหลวงพ่อเทียน ที่ผมได้เรียนการปฏิบัติจากท่าน จนเข้าใจว่า สัมมาสติ สัมมาสมาธิ คืออะไร แล้วลงมือฝึกฝน การปฏิบัติก็รุดหน้าและได้ลิ้มรสสิ่งบริสุทธิในจิตใจอันเป็นผลจากการปฏิบัติด้วยเวลาเพียง 5 ปี

ธรรมปฏิบัติจากฆราวาสเขียนเป็นสิ่งที่ยอมรับได้ยากในสังคมไทย ผมรู้ได้จากที่เขียนใน blog ผมได้พบกับการก่อกวนใน blog การเขียนเหน็บแนม กระแหนะกระแหน ตำหนิการการปฏิบัติที่ผมเขียนใน blog ว่าผิดทาง เขียนแบบคาดเดาเอา ไม่รู้จริง ให้ผมหยุดเขียนแนวนี้ได้แล้ว และไปโมทนาสาธุแนะนำการปฏิบัติสมาธิแบบฤาษีให้กับผมอีกว่านี่คือทางที่ถูกต้อง ...

บทความใน blog จึงเกิดขึ้นมา เพื่อแบ่งปันประสบการณ์ในการภาวนา
แก่ผู้อื่นที่กำลังเดินทางในสายแห่งอริยมรรคนี้

เมื่อท่านได้เข้ามาอ่านข้อเขียนใน blog กรุณาอย่าได้เชื่อผมจนกว่า ท่านได้ทดลองปฏิบัติแล้วและพิสูจน์ด้วยตัวท่านเอง

**กรุณา .อย่า.ได้บริจาคเงินให้ blog ผมทาง e-wallet ครับ **

******
บทความต่าง ๆ ใน blog นี้
ขอสงวนสิทธิ์ตามพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2537
ห้ามนำไปดัดแปลง ลอกเลียน หรือนำส่วนหนึ่งส่วนใดไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต

****
New Comments
Friends' blogs
[Add นมสิการ's blog to your web]
Links
 
MY VIP Friend


 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.