จิตตก ช่วงเวลาที่ยากลำบากที่สุดในการปฏิบัิติธรรม
ในเส้นทางของอริยมรรค จะมีช่วงที่นักภาวนาจะต้องพบและยากลำบากอยู่ สิ่งนั้นก็คือ อาการจิตตก การเกิดจิตตก จะมากครั้งน้อยครั้ง ก็ขึ้นกับแต่ละบุคคล ว่ามีอะไรเข้ากระทบมากน้อยเพียงใด
เมื่อจิตตก สภาพจิตก็ไม่เหมือนเดิม ดูจะร้อนระอุภายในจิตใจ ทำอย่างไรก็ไม่หาย นักภาวนาจะมีแต่ความแปลกใจ ว่า ทำไม ทำไม และ ทำไม ถึงจิตตกได้ ในเมื่อก็ภาวนามาแล้ว จิตมีกำลังแล้ว ได้ผลในการภาวนาบ้างแล้ว
นี่คือคำถามทีมักค้างคาอยู่ในจิตใจของนัำกภาวนา
ความที่ยังติดอยู่กับโลกของนัำกภาวนา เมื่อไปพบสิ่งใดที่ไม่พึงปรารถนา เช่นจิตตก ก็จะเกิดความรังเกียจ ต้องการหนีไปให้พ้นโดยเร็ว แต่หนีอย่างไรก็ไม่พ้นได้ เพราะจิตตกนี้ มันจะยังติดอยู่เสมอ
นักภาวนามักจะลืมไปว่า สรรพสิ่งเป็นไตรลักษณ์ เมื่อเจอทุกข์ก็เลยดิ้นหนี ยิ่งดิ้นหนี ก็ยิ่งทุกข์ เพราะเป็นความอยากที่ไปสร้างซ้อนขึ้นในจิตใจของนักภาวนา นี่เอง
แนวทางที่จัดการเกี่ยวกับจิตตก มี 2 วิธี แล้วแต่ใครจะเลือก
วิธีที่ 1 คือ วิธีใจดีสู้เสือ วิธีนี้ นัำกภาวนาต้องทำใจตัวเองอย่างมาก เมื่อจิตตก ก็ไม่ต้องทำอะไร เพียงเฝ้าสังเกตอาการของจิตตกนี้ไป ความเป็นไตรลักษณ์จะแสดงให้นักภาวนาเห็นเองได้ ในที่สุด จิตตกนี่จะหายไปเอง จะว่าซาดิส ก็น่าจะได้ คล้่าย ๆ กับว่า ใช้มือของเรา ไปกำถ่านติดไฟที่ยังแดง ๆ อยู่ กำอย่างนั้น ไม่ยอมปล่อย กำไปจนถ่านนั้นดับลงและเย็นไปเอง ทั้ง ๆ ที่ถ่านยังอยู่ในมือเรา
วิธีนี้มีข้อเสีย ถ้าใจไม่แกร่งพอ อาจเป็นบ้าไปเสียก่อนเพราะทุกข์นั้นจะบ้าระ่ำห่ำก่อนที่จะหยุดเสมอ แต่ข้อดีก็มี คือ การเห็นธรรมที่รวดเร็ว
วิธีที่ 2 คือ วิธีัเปลี่ยนอารมณ์ จิตตก คือ อาการของจิตที่ปรุงแ้ล้วทุกข์ ก็เปลี่ยนอารมณ์เสีย ให้จิตไปปรุงอย่างอื่นแทน เช่น การไปดูกาย การใช้คำบริกรรม วิธีเหล่านี้ก็ใช้ได้ดีเช่นกัน และไม่ซาดิส เหมือนวิธีที่ 1 แต่ไม่เห็นธรรมแบบวิธีที่ 1
ในชีิวิตภาวนาของผู้เีขียน เกิดจิตตกหลายครั้ง ผู้เขียนใช้วิธีที่ 2 เสมอ เพราะวิธีที 1 ใจของผู้เขียนไม่แกร่งพอ เวลาในการใช้ ก็แล้วแต่สภาพเหตุการณ์ เรื่องราว บางเรื่อง 3 วันบ้าง 5 วันบ้าง ที่นานสุด เห็นจะเป็น 2 อาทิตย์
แต่เป็นที่น่าสังเกตว่า ทุกครั้งที่ผ่านเรื่องจิตตกไปแล้ว กำลังสัมมาสติก็แกร่งเพิ่มขึ้นเสมอ
นำมาเล่าสู่กันฟังครับ เพราะเชื่อว่า นักภาวนาทุกคนต้องผ่านด่านเหล่านี้ทุกคน
**************** เรื่องท้ายบท
ในสมัยที่ญี่ปุ่นแพ้สงครามโลกครั้งที่2 ญี่ปุ่นต้องเสียเงินค่าปฏิกรรมสงครามให้แก่ต่างชาติ เป็นจำนวนมาก แต่เมื่อแพ้สงคราม การจะมีเงินมาเสียย่อมเป็นไปไม่ได้
ชาติที่เป็นเจ้าหนี้ ซึ่งเป็นชาติตะวันตก ก็มักจ้างให้ญี่ปุ่นทำสินค้าของตนออกมาขายสู่ท้องตลาด ใหม่ ๆ สินค้าญี่ปุ่นที่เข้ามาขายในไทย คนไทยก็ร้องยี้ เพราะคุณภาพไม่อาจเทียบได้กับ ของชาติตะวันตก
เมื่อเวลาผ่านไป ญี่ปุ่นได้พัฒนาตนเอง จนการเป็นประเทศทีก้าวล้ำด้านเทคโนโลยี่การผลิต ไป ล้ำหน้ากว่าชาติดังๆ ของตะวันตกเสียอีก จนเป็นที่ยอมรับกันจนถึงทุกวันนี้
ผมคิดว่า การที่ญี่ปุ่นเขาพัฒนาตัวเองได้เร็ว เพราะการที่เขาได้รับพื้นฐานของชาติอื่นเป็นต้นทุน เขาไม่ได้เริ่มจากศูนย์ นี่คือการไปได้เร็ว
ลองคิดดูครับ ถ้าท่านไม่รู้จักวิธีถลุงเหล็กจากแร่เหล็ก ท่านจะใช้เวลากี่ปี จึงจะสามารถถลุงเหล็ก ออกมาขายได้ แต่ถ้าท่านซื้อเทคโนโลยี่ของชาติตะวันตกเข้ามา ท่านอาจใช้เวลาเพียง 2 ปีก็ถลุงเหล็กออกมาขายได้แล้ว
การลอกเลียนแบบในชั้นต้น เพื่อหาประสบการณ์ให้กับตนก่อน แล้วจากประสบการณ์ที่ลอกแบบมานั้น ก็นำมาพัฒนาของตนเองขึ้น ย่อมเป็นหนทางที่ไปได้เร็วกว่า การคิดค้นด้วยตนเองทั้งดุ้น
ฺBlog ของผมนี้ ก็เกิดด้วยเหตุนี้ ทุกข์ในสังสารวัฏเป็นสิ่งทีผมประจักษ์แล้วว่า ต้องหนีให้พ้นให้ได้ ผมจึงแบ่งปันประสบการณ์เพื่อให้แก่เพื่อนผู้ร่วมโลก เพื่อให้ท่านได้เรียนรู้จากผม อันเป็นต้นทุนก่อน เมื่อท่านได้ลองแล้วท่านค่อยพัฒนาตัวเองต่อไป ท่านจะไปได้เร็วกว่า ที่ท่านเริ่มจากศูนย์เลย
การถ่ายทอดความรู้ที่ผมทำออกมาเป็นตัวหนังสือ ทุกครั้งที่มีการถ่ายทอด ผมนั่งคิดพิจารณาอยู่ก่อนว่าจะเขียนอย่างไร จึงจะให้ผู้อ่านเข้าใจ อ่านได้ง่าย
การได้คิดพิจารณาอย่างนี้ ส่วนหนึ่งเป็นการเสียเวลามาก แต่อีกส่วนหนึ่ง ผมได้ทบทวนสิ่งที่ผ่านไปแล้วของผมว่าเรือ่งราวเป็นอย่างไร
เมื่อผมกลั่นตัวหนังสือออกมา ผมก็ได้ประโยชน์ ท่านเข้ามาอ่านหนังสือของผม ท่านก็ได้ประโยชน์ นี่คือ win-win situation ที่น่ายินดีัทั้งสองฝ่าย
สักวันหนึ่ง เมื่อท่านรู้ เห็น เข้าใจในธรรมแล้ว ขอให้ท่านกระจายความรู้ของท่านออกสู่โลกกว้่าง เพื่อคนทั้งหลาย ที่ต้องการหนีกหนีจากทุกข์ของโลก ให้รู้ทางด้วยเถิด
มาช่วย ๆ กันหลาย ๆ ท่านนะครับ
Create Date : 01 สิงหาคม 2553 |
|
11 comments |
Last Update : 29 มกราคม 2555 16:05:03 น. |
Counter : 2580 Pageviews. |
|
|
|