รู้สึกตัว ผ่อนคลาย เฉย ๆ สบาย ๆ **กรุณา .อย่า.ได้บริจาคเงินให้ blog ผม ทาง e-wallet ครับ** **ผมขอสงวนสิทธิการเป็นเจ้าบ้านของ blog ลบข้อเขียนใดๆ ก็ได้ใน blog นี้ตามที่ผมเห็นสมควร**
Group Blog
 
<<
สิงหาคม 2553
1234567
891011121314
15161718192021
22232425262728
293031 
 
1 สิงหาคม 2553
 
All Blogs
 

จิตตก ช่วงเวลาที่ยากลำบากที่สุดในการปฏิบัิติธรรม

ในเส้นทางของอริยมรรค จะมีช่วงที่นักภาวนาจะต้องพบและยากลำบากอยู่
สิ่งนั้นก็คือ อาการจิตตก การเกิดจิตตก จะมากครั้งน้อยครั้ง ก็ขึ้นกับแต่ละบุคคล
ว่ามีอะไรเข้ากระทบมากน้อยเพียงใด

เมื่อจิตตก สภาพจิตก็ไม่เหมือนเดิม ดูจะร้อนระอุภายในจิตใจ
ทำอย่างไรก็ไม่หาย นักภาวนาจะมีแต่ความแปลกใจ ว่า ทำไม ทำไม และ ทำไม
ถึงจิตตกได้ ในเมื่อก็ภาวนามาแล้ว จิตมีกำลังแล้ว ได้ผลในการภาวนาบ้างแล้ว

นี่คือคำถามทีมักค้างคาอยู่ในจิตใจของนัำกภาวนา

ความที่ยังติดอยู่กับโลกของนัำกภาวนา เมื่อไปพบสิ่งใดที่ไม่พึงปรารถนา เช่นจิตตก
ก็จะเกิดความรังเกียจ ต้องการหนีไปให้พ้นโดยเร็ว แต่หนีอย่างไรก็ไม่พ้นได้
เพราะจิตตกนี้ มันจะยังติดอยู่เสมอ

นักภาวนามักจะลืมไปว่า สรรพสิ่งเป็นไตรลักษณ์ เมื่อเจอทุกข์ก็เลยดิ้นหนี
ยิ่งดิ้นหนี ก็ยิ่งทุกข์ เพราะเป็นความอยากที่ไปสร้างซ้อนขึ้นในจิตใจของนักภาวนา
นี่เอง

แนวทางที่จัดการเกี่ยวกับจิตตก มี 2 วิธี แล้วแต่ใครจะเลือก

วิธีที่ 1 คือ วิธีใจดีสู้เสือ
วิธีนี้ นัำกภาวนาต้องทำใจตัวเองอย่างมาก เมื่อจิตตก ก็ไม่ต้องทำอะไร
เพียงเฝ้าสังเกตอาการของจิตตกนี้ไป ความเป็นไตรลักษณ์จะแสดงให้นักภาวนาเห็นเองได้
ในที่สุด จิตตกนี่จะหายไปเอง จะว่าซาดิส ก็น่าจะได้ คล้่าย ๆ กับว่า ใช้มือของเรา
ไปกำถ่านติดไฟที่ยังแดง ๆ อยู่ กำอย่างนั้น ไม่ยอมปล่อย กำไปจนถ่านนั้นดับลงและเย็นไปเอง
ทั้ง ๆ ที่ถ่านยังอยู่ในมือเรา

วิธีนี้มีข้อเสีย ถ้าใจไม่แกร่งพอ อาจเป็นบ้าไปเสียก่อนเพราะทุกข์นั้นจะบ้าระ่ำห่ำก่อนที่จะหยุดเสมอ
แต่ข้อดีก็มี คือ การเห็นธรรมที่รวดเร็ว

วิธีที่ 2 คือ วิธีัเปลี่ยนอารมณ์
จิตตก คือ อาการของจิตที่ปรุงแ้ล้วทุกข์ ก็เปลี่ยนอารมณ์เสีย ให้จิตไปปรุงอย่างอื่นแทน
เช่น การไปดูกาย การใช้คำบริกรรม วิธีเหล่านี้ก็ใช้ได้ดีเช่นกัน และไม่ซาดิส เหมือนวิธีที่ 1
แต่ไม่เห็นธรรมแบบวิธีที่ 1

ในชีิวิตภาวนาของผู้เีขียน เกิดจิตตกหลายครั้ง ผู้เขียนใช้วิธีที่ 2 เสมอ
เพราะวิธีที 1 ใจของผู้เขียนไม่แกร่งพอ เวลาในการใช้ ก็แล้วแต่สภาพเหตุการณ์
เรื่องราว บางเรื่อง 3 วันบ้าง 5 วันบ้าง ที่นานสุด เห็นจะเป็น 2 อาทิตย์

แต่เป็นที่น่าสังเกตว่า ทุกครั้งที่ผ่านเรื่องจิตตกไปแล้ว กำลังสัมมาสติก็แกร่งเพิ่มขึ้นเสมอ

นำมาเล่าสู่กันฟังครับ เพราะเชื่อว่า นักภาวนาทุกคนต้องผ่านด่านเหล่านี้ทุกคน

****************
เรื่องท้ายบท

ในสมัยที่ญี่ปุ่นแพ้สงครามโลกครั้งที่2 ญี่ปุ่นต้องเสียเงินค่าปฏิกรรมสงครามให้แก่ต่างชาติ
เป็นจำนวนมาก แต่เมื่อแพ้สงคราม การจะมีเงินมาเสียย่อมเป็นไปไม่ได้

ชาติที่เป็นเจ้าหนี้ ซึ่งเป็นชาติตะวันตก ก็มักจ้างให้ญี่ปุ่นทำสินค้าของตนออกมาขายสู่ท้องตลาด
ใหม่ ๆ สินค้าญี่ปุ่นที่เข้ามาขายในไทย คนไทยก็ร้องยี้ เพราะคุณภาพไม่อาจเทียบได้กับ
ของชาติตะวันตก

เมื่อเวลาผ่านไป ญี่ปุ่นได้พัฒนาตนเอง จนการเป็นประเทศทีก้าวล้ำด้านเทคโนโลยี่การผลิต
ไป ล้ำหน้ากว่าชาติดังๆ ของตะวันตกเสียอีก จนเป็นที่ยอมรับกันจนถึงทุกวันนี้

ผมคิดว่า การที่ญี่ปุ่นเขาพัฒนาตัวเองได้เร็ว เพราะการที่เขาได้รับพื้นฐานของชาติอื่นเป็นต้นทุน
เขาไม่ได้เริ่มจากศูนย์ นี่คือการไปได้เร็ว

ลองคิดดูครับ ถ้าท่านไม่รู้จักวิธีถลุงเหล็กจากแร่เหล็ก ท่านจะใช้เวลากี่ปี จึงจะสามารถถลุงเหล็ก
ออกมาขายได้ แต่ถ้าท่านซื้อเทคโนโลยี่ของชาติตะวันตกเข้ามา ท่านอาจใช้เวลาเพียง 2 ปีก็ถลุงเหล็กออกมาขายได้แล้ว

การลอกเลียนแบบในชั้นต้น เพื่อหาประสบการณ์ให้กับตนก่อน
แล้วจากประสบการณ์ที่ลอกแบบมานั้น ก็นำมาพัฒนาของตนเองขึ้น
ย่อมเป็นหนทางที่ไปได้เร็วกว่า การคิดค้นด้วยตนเองทั้งดุ้น

ฺBlog ของผมนี้ ก็เกิดด้วยเหตุนี้ ทุกข์ในสังสารวัฏเป็นสิ่งทีผมประจักษ์แล้วว่า
ต้องหนีให้พ้นให้ได้ ผมจึงแบ่งปันประสบการณ์เพื่อให้แก่เพื่อนผู้ร่วมโลก
เพื่อให้ท่านได้เรียนรู้จากผม อันเป็นต้นทุนก่อน เมื่อท่านได้ลองแล้วท่านค่อยพัฒนาตัวเองต่อไป ท่านจะไปได้เร็วกว่า ที่ท่านเริ่มจากศูนย์เลย

การถ่ายทอดความรู้ที่ผมทำออกมาเป็นตัวหนังสือ
ทุกครั้งที่มีการถ่ายทอด ผมนั่งคิดพิจารณาอยู่ก่อนว่าจะเขียนอย่างไร
จึงจะให้ผู้อ่านเข้าใจ อ่านได้ง่าย

การได้คิดพิจารณาอย่างนี้ ส่วนหนึ่งเป็นการเสียเวลามาก
แต่อีกส่วนหนึ่ง ผมได้ทบทวนสิ่งที่ผ่านไปแล้วของผมว่าเรือ่งราวเป็นอย่างไร

เมื่อผมกลั่นตัวหนังสือออกมา ผมก็ได้ประโยชน์
ท่านเข้ามาอ่านหนังสือของผม ท่านก็ได้ประโยชน์
นี่คือ win-win situation ที่น่ายินดีัทั้งสองฝ่าย


สักวันหนึ่ง เมื่อท่านรู้ เห็น เข้าใจในธรรมแล้ว
ขอให้ท่านกระจายความรู้ของท่านออกสู่โลกกว้่าง เพื่อคนทั้งหลาย
ที่ต้องการหนีกหนีจากทุกข์ของโลก ให้รู้ทางด้วยเถิด

มาช่วย ๆ กันหลาย ๆ ท่านนะครับ















 

Create Date : 01 สิงหาคม 2553
11 comments
Last Update : 29 มกราคม 2555 16:05:03 น.
Counter : 2580 Pageviews.

 

ขออนุโมทนาในการปฏิบัติของคุณด้วยครับ ผมขออนุญาตนำบทความของคุณมาเย็บเป็นเล่มเพื่อเสริมการปฏิบัติของตัวเองครับ

 

โดย: dorn IP: 112.142.55.29 1 สิงหาคม 2553 9:48:48 น.  

 

จิตตก ..จิตไม่ตก
จิตเจริญ..จิตเสื่อม

ทุกอย่างเสมอกัน .. แปรปรวนไปตามเหตุจัย

ไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา ..

ด้วยอวิชชา จึงเกิดเข้าไปยึดว่า ...นี่จิตของเรา

นี้เป็นจิตเจริญ...นี้เป็นจิตเสื่อม

เกิดความพอใจ..ใน..จิตที่เจริญ
เกิดความไม่พอใจ..ใน..จิตที่ไม่เจริญ

หลงยึดถือว่า...

เหตุใดหนอ จิตเราจึงไม่เป็นดั่งในอดีต (จิตเจริญ)
ทำอย่างไรหนอ จิตเราจึงจะเป็นดั่งในอดีต (จิตเจริญ)

หากมีสติตั้งมั่นกับปัจจุบันธรรม...

จิตตก ..จิตไม่ตก
จิตเจริญ..จิตเสื่อม

ก็หามีไม่...มีแต่เพียงสภาวะธรรมที่ เกิดขึ้น.. ตั้งอยู่..ดับไป

เท่านั้น...............









 

โดย: palmgang IP: 119.42.72.151 1 สิงหาคม 2553 10:37:27 น.  

 

ขอบคุณสำหรับสิ่งดีๆที่เขียนค่ะ

เป็นช่วงที่จิตตกตกอย่างแรง
ไม่ค่อยรู้สึกว่าเป็นทุกข์เหมือนช่วงแรกๆ
แต่อยากจะหาทางแก้ปัญหาให้คนอื่น
การแก้ทุกข์ให้คนอื่นยากกว่าการแก้ทุกข์ให้ตัวเองหลายเท่า
ไม่รู้ทำไมช่วงนี้คนรอบข้างถึงมีแต่ปัญหา
วันก่อนมีคนโทรมาบอกจะฆ่าตัวตาย
อึ้งเลย ไม่ทราบจะปลอบอย่างไรดี
ไม่ใช่นักแก้ปัญหา
พูดอะไรไป เขาก็บอกว่า ปัญหาเขาไม่มีทางแก้
แถมยังบอกให้ช่วยเขียนจดหมายลาตายด้วย

 

โดย: pintip IP: 110.49.193.49 1 สิงหาคม 2553 11:55:46 น.  

 

เป็นเหมือนกันครับ
ขึ้นๆตกๆมาเป็นเดือนสองเดือนแล้ว
เวลาตกมันจะดำดิ่งสู่ก้นทะเลใจ
หน้าตางี้ดูไม่ได้ ตาโหล ปากบูด
แต่ไม่ได้เกิดจากการปฏิบัติธรรมหรอกครับ
เกิดจากตกงานและไม่ค่อยได้เจอใคร
แต่เคยศึกษาเรื่องธรรมะตามเว็บ
เลยพยายามดึงตัวเองเอาไว้
กลายเป็นบทเรียนอย่างแรงมาให้เจออย่างไม่ตั้งใจ

 

โดย: lord IP: 124.121.227.251 1 สิงหาคม 2553 19:45:42 น.  

 

สาธุค่ะ

 

โดย: Mat IP: 58.8.153.120 5 สิงหาคม 2553 22:39:34 น.  

 

พึ่งผ่านมาได้เองครับ

ตอนแรกๆก็ใช้วิธีแรกครับ ตามไปตามมา กลับเป็นใจเราถูกมันครอบงำเสียนี่ คิดอะไรก็คิดว่าเป็นความคิดเรา ก็เลยทำและพูดตามความคิดนั้น กลายเป็น เสียหนักเลย พอทำตามแล้ว จากเดิมดีๆอยู่กลายเป็นแย่กว่าเดิม แย่ลงไปอีก ก็เลยเริ่มรู้ตัวครับ ว่าใจเราที่คิดว่าเฝ้ามองนั้นโดนกิเลสครอบงำเสียแล้ว หลังๆก็เลยใช้วิธีที่ 2 แทน คือมันจะร้อนรนยังไง เรียกร้องยังไงก็ไม่สนมันแล้ว ทำอย่างอื่นแทน ทำแล้วยังคิดอีก ก็นอนมันซะเลย สวดมนต์ แผ่เมตราให้เจ้ากรรมนายเวร กิเลสต่างๆที่รุมเร่าอยู่ พอเช้ามาก็ บรรเทา คิดว่าถ้าทำถามความคิดเหล่านั้น อะไรๆที่ทำดีมา คงเสียหมดแน่ๆ คือรู้ครับว่าไม่ดี คิดไม่ดี แต่ยิ่งกด ยิ่งแรง แล้วตัวความคิดไม่ดีเหล่านี้ ก็ชังหาเหตุผลมายั่วยุ เราได้มากมายจริงๆ แต่พอเผลอคิดตามทำตามเมื่อไร ล่ะ เป็นเรื่องทุกที

อนุโมทนา สาธุ กับบทความดีๆของท่านด้วย ขอบคุณครับ

 

โดย: fatnomore IP: 202.137.151.2 9 สิงหาคม 2553 10:22:37 น.  

 

ตอบคุณ fatnomore

แต่ละคนจะมีสภาพไม่เหมือนกัน ถ้าคุณหาวิธีการแก้ใขเฉพาะของคุณได้
คุณก็จะหลุดจากมันได้เร็วขึ้น

แต่ถ้าได้ฝึกฝนการเจริญสัมมาสติจนตั้งมั่น มันจะหลุดของมันได้เองอย่างรวดเร็วครับ ดังนั้น ถ้าจิตใจยังสบายดี ขอให้หมั่นฝึกฝน เหมือนเตรียมความพร้อมสำหรับอนาคต

 

โดย: นมสิการ 9 สิงหาคม 2553 10:52:17 น.  

 

สาธุ...

สำหรับตัวเองคงใช้วิธีที่สองค่ะ..

ทุกอย่างคือ อนัตตา...


 

โดย: ใช้ชีวิตอย่างพอเพียง IP: 118.172.99.94 9 ตุลาคม 2553 15:35:49 น.  

 

หลังเจริญสติมาได้ระดับหนึ่ง..จิตตก..ซึมเซา..หดหู่..หงุดหงิด..เบื่อ..เซ็ง..หนักเข้า ๆ เจอทุกข์..สติแตก..กลับมาดูทุกข์..พิจารณาทุกข์..หาเหตุหาผล..จนกระอัก..สุดท้ายปลงอนิจจัง..คิดซะเดี๋ยวมันก็ผ่านไป..เห็นตัวตน..ทิฐิมานะ..สุดท้ายจริงๆ..ปล่อยวาง..จึงคลายลง..

 

โดย: คนเดินทาง IP: 49.49.55.182 4 กันยายน 2554 20:22:04 น.  

 

เพิ่งผ่านมาและมันก็ผ่านไป ยากเย็นจริงหนอ จนเกือบฆ่าตัวตาย ด้วยเห็นชีวิตไม่เป็นสุข อาวอนในอารมรณ์เหลือคณา ... เมื่อมองแล้วจะเกิด และเมื่อพิจารณาแล้วก็ดับด้วยอย่างนั้น ไปดีเถิดหนอเจ้าตกจิตลงไปสู่ที่ๆเจ้ามาและไหล ไหลไปกับสิ่งที่เจ้าดับ จงดับไปตลอดกาล เฉกเช่นเดียว ที่เกิดและดับเถิด ... จากนี้จงตั้งมั่นในสมาธิให้มั่นและคงอยู่ เพียงแค่ในวันหนึ่ง สิบนาที ห้านาที และนับเป็นชั่วโมงแล้วแต่สะดวกเถิด ... แล้วจักพบกับแสงแห่งจิตที่ผ่องใสยิ่งกว่ารุ่งอรุรในยามใด ... ขอให้ทุกท่านโชคดี ... ขอเป็นกำลังใจอีกหนึ่งดวงด้วยธรรมทั้งปวง..สาธุ

 

โดย: จากคนยาก IP: 115.31.137.10 18 พฤศจิกายน 2554 8:42:10 น.  

 

ผมจำเป็นต้องปิดการเขียนของท่านผู้อ่าน เนื่องจากกฏหมายอินเตอร์เนท
ที่อาจมีสิ่งผิดกฏหมายใส่เข้ามาใน blog

ท่านที่จะสนทนา หรือ ถามคำถาม ขอให้ส่ง email ถึงผมได้ที่
asknamasikarn@gmail.com

หรือสำหรับสมาชิก pantip จะส่งมาทางหลังไมค์ก็ได้เช่นกัน

 

โดย: นมสิการ 29 มกราคม 2555 16:33:23 น.  

ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะ VIP Friend
Comment :
  *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 


นมสิการ
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 142 คน [?]




หลักปฏิบัติ ...รู้สึกตัว ผ่อนคลาย เฉย ๆ สบาย ๆ

มากกว่า 20 ปีที่ไปหลงทำสมถภาวนาแบบสมาธิแบบฤาษีโดยที่ไม่รู้จักกับคำว่า อะไรคือสัมมาสติ สัมมาสมาธิ ผลที่ได้คือความสงบขณะกำลังนั่งสมาธิจนตัวนิ่งแข็งเป็นก้อนหิน แต่ผลข้างเคียงตามมาก็คือการเป็นคนเจ้าโทสะอย่างรุนแรงขณะเวลาไม่ได้นั่งสมาธิ และ ที่อยู่ในชีวิตประจำวัน....

จนได้พบกัลยณมิตรแดนไกล ที่ได้ชักนำให้มารู้จักวิธีปฏิบัติแบบหลวงพ่อเทียน จนได้พบกับพระอาจารย์ในสายหลวงพ่อเทียน ที่ผมได้เรียนการปฏิบัติจากท่าน จนเข้าใจว่า สัมมาสติ สัมมาสมาธิ คืออะไร แล้วลงมือฝึกฝน การปฏิบัติก็รุดหน้าและได้ลิ้มรสสิ่งบริสุทธิในจิตใจอันเป็นผลจากการปฏิบัติด้วยเวลาเพียง 5 ปี

ธรรมปฏิบัติจากฆราวาสเขียนเป็นสิ่งที่ยอมรับได้ยากในสังคมไทย ผมรู้ได้จากที่เขียนใน blog ผมได้พบกับการก่อกวนใน blog การเขียนเหน็บแนม กระแหนะกระแหน ตำหนิการการปฏิบัติที่ผมเขียนใน blog ว่าผิดทาง เขียนแบบคาดเดาเอา ไม่รู้จริง ให้ผมหยุดเขียนแนวนี้ได้แล้ว และไปโมทนาสาธุแนะนำการปฏิบัติสมาธิแบบฤาษีให้กับผมอีกว่านี่คือทางที่ถูกต้อง ...

บทความใน blog จึงเกิดขึ้นมา เพื่อแบ่งปันประสบการณ์ในการภาวนา
แก่ผู้อื่นที่กำลังเดินทางในสายแห่งอริยมรรคนี้

เมื่อท่านได้เข้ามาอ่านข้อเขียนใน blog กรุณาอย่าได้เชื่อผมจนกว่า ท่านได้ทดลองปฏิบัติแล้วและพิสูจน์ด้วยตัวท่านเอง

**กรุณา .อย่า.ได้บริจาคเงินให้ blog ผมทาง e-wallet ครับ **

******
บทความต่าง ๆ ใน blog นี้
ขอสงวนสิทธิ์ตามพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2537
ห้ามนำไปดัดแปลง ลอกเลียน หรือนำส่วนหนึ่งส่วนใดไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต

****
New Comments
Friends' blogs
[Add นมสิการ's blog to your web]
Links
 
MY VIP Friend


 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.