รู้สึกตัว ผ่อนคลาย เฉย ๆ สบาย ๆ **กรุณา .อย่า.ได้บริจาคเงินให้ blog ผม ทาง e-wallet ครับ** **ผมขอสงวนสิทธิการเป็นเจ้าบ้านของ blog ลบข้อเขียนใดๆ ก็ได้ใน blog นี้ตามที่ผมเห็นสมควร**
Group Blog
 
<<
สิงหาคม 2553
1234567
891011121314
15161718192021
22232425262728
293031 
 
5 สิงหาคม 2553
 
All Blogs
 
จิตเพียงเห็น นั่นแหละ คือ จิตพิจารณาแล้ว

ในการปฏิบัติธรรมเพื่อการพ้นทุกข์นั้น นักภาวนาเพียงหมั่นเจริญสัมมาสติจนจิตเกิดความตั้งมั่น
เป็นสัมมาสมาธิเท่านั้น นี่คือกิจของนักภาวนาที่ต้องทำ มีอยู่เพียงเท่านี้เท่านั้น

เมื่อจิตตั้งมั่นเป็นสัมมาสมาธิแล้ว จิตจะรู้เห็นสภาวะธรรมตามความเป็นจริงของเขาเอง
ดังตัวอย่างเช่น

1.เมื่อตาเห็น หูได้ยิน จมูกได้กลิ่น ลิ้นได้รส กายรู้สัมผัส จิตก็รับรู้สภาวะธรรมในที่ตั้งของจิต
จิตไม่วิ่งไปทางตา ไม่วิ่งไปทางหู ไม่วิ่งไปทางจมูก ไม่วิ่งไปทางลิ้น ไม่วิ่งไปทางกาย

2.เมื่อเกิดอารมณ์ปรุงแต่งต่าง ๆ เช่นอาการพอใจ ไม่พอใจ จิตก็จะเห็นอารมณ์ปรุงแต่ง
นั้นได้ และไม่วิ่งเข้าไปผสมโรงกับอารมณ์ปรุงแต่งนั้น

3.เมื่อเกิดเวทนาทางกายขึ้น จิตก็เห็นเวทนาทางกายนั้นและไม่เข้าไปผสมรวมกับเวทนาทางกาย
นั้น

การที่จิตเห็นสภาวะธรรมตามความเป็นจริงดังที่เขียนข้างต้น เมื่อจิตไม่วิ่งตาม
ไม่เข้าผสม เพราะจิตมีความตั้งมั่นอยู่ จิตจะเห็นได้เองว่า สภาวะธรรมต่าง ๆ ล้วนไม่ใช่ตัวเรา
ไม่ใช่ของเรา มันเกิดเพราะมีเหตุ มันดับเพราะเหตุจบลง นี่คือผลแห่งภาวนามยปัญญา
ที่เกิดขึ้นในตัวของนักภาวนาเอง ทุกอย่างเกิดอย่างอัตโนมัติ
นักภาวนาไม่ต้องมีการกระทำใด ๆ เพิ่มเติมไปจากนี้

ถ้าว่ากันในคำสอนในตำรา นี่คือสภาวะแห่งการพิจารณาธรรม

แต่ถ้านักภาวนาไม่เข้าใจ ก็จะเข้าใจผิดไปด้วยความคุ้นชินทางภาษาทางโลกว่า
การพิจารณา คือ การหยิบเอาอะไรมาสักอย่างหนึ่ง มานั่งดู นั่งคิดในแง่มุมต่างๆ ในสิ่งนั้น
นี่เป็นขบวนการทางโลก ที่ต้องใช้ความคิดมากระทำ

แต่ในทางธรรม ไม่มีความจำเป็นต้องกระทำอย่างนั้นเลย ถึงแม้ว่านักภาวนาจะกระทำด้วยความคิด
พิจารณาแบบใช้เทคนิคทางโลก ก็ไม่ผิด แต่ไม่จำเป็น

ในยามเช้า เมื่อดวงอาทิตย์โผล่ขึ้นมาให้ท่านเห็น ท่านไม่ต้องไปคิดเลยว่า นี่ไง ดวงอาทิตย์
มันโผล่แล้ว มันเช้าแล้ว ท่านคิดก็ไม่ผิดอะไร แต่ไม่จำเป็นต้องไปคิด เพราะถ้าท่านไม่
คิดอะไร ดวงอาทิตย์มันก็โผล่ของมันเองขึ้นมาอยู่แล้ว ท่านคิดหรือไม่คิด มันก็ต้องโผล่

ในสภาวะธรรมก็เช่นกัน ท่านคิดหรือไม่คิด มันก็เป็นอย่างนั้นอยู่แล้ว เพียงแต่ว่า ถ้าท่านไม่เห็น
มัน ท่านก็ไม่เกิดปัญญา ถ้าท่านเห็นได้ มันก็คือปัญญาของจิต

ในสภาวะธรรมที่เกิดนั้น ถ้าจิตท่านตั้งมั่นอย่างสุด ๆ สภาวะธรรมเหล่านี้ จะเกิดอย่างสายฟ้าแล็บ
ท่านยังไม่ทันตั้งตัวเลย มันเกิดและหยุดไปเรียบร้อยแล้ว ท่านไม่มีเวลาคิดอะไรด้วยซ้ำไป
ถ้าท่านไปคิด สภาวะธรรมก็จบลงไปแล้ว เมื่อสภาวะธรรมจบลงไปแล้ว เมื่อท่านไปคิด มันก็ไม่ใช่
สภาวะธรรมในปัจจุบัน มันเป็นอดีตไปแล้ว ในตำราก็สอนกันอยู่ว่า การปฏิบัติให้อยู่กับปัจจุบัน
นี่ืคือ คำอธิบายที่ใช้แนวตำราให้ท่านเห็นภาพของคำว่าพิจารณาธรรม

สภาพของจิตมันช่างซื่อตรงอย่างเด็กแบเบาะ จิตเห็นก็เหมือนเด็กเห็น คือ เห็นจริงแต่ไม่รู้เรื่อง
ว่านี่คืออะไร นี่คือจิตเห็นแต่สภาวะธรรมที่เป็นปรมัตถ์ล้วน ๆ ถ้าการเห็นแล้วรู้ว่านี่คืออะไร นี่จะเลยไปสู่สมมุติแล้ว อันเป็นการทำงานของสัญญาขันธ์
นี่เป็นคำอธิบายได้เป็นอย่างดีว่า ทำไมผู้รู้ธรรมจากตำราคำสอนจนแตกฉาน ดังเช่น พระโปฐิละ หรือในพระไตรปิฏกเรียกว่า พระใบลานเปล่า จิตถึงยังไม่อาจตัดกิเลส ตัดอาสวะออกไปได้
จนถึงกับต้องไปให้สามเณรสอนการปฏิบัติให้จนสำเร็จเป็นพระอรหันต์ในเวลาต่อมา

นี่เป็นข้อคิดที่น่าสนใจกับคำว่า ปัญญาวิมุตติ ว่าผู้ที่ไม่ได้เจริญสติปัฏฐานจะเกิดปัญญาวิมุตติได้อย่างไร ผมเดาเอาว่า ถ้าเกิดได้ ก็อาจได้แต่แว๊บ ๆ ชั่วประเดี๋ยวประด๋าว แล้วก็จบลง คล้าย ๆ ก้บอาการที่คนกลุ้มใจหนักแล้วได้คิดขึ้นมา ก็หายกลุ้มใจไปชั่วคราว แต่แล้วก็จะกลุ้มใจอีกในภายหน้าได้

ในพระไตรปิฏกได้กล่าวไว้ว่า สติปัฏฐาน 4 คือ เอกายมรรค คือ ทางสายเดียวแห่งการหลุดพ้น
ถ้าปัญญาวิมุตติเกิดได้เพราะไม่ได้เจริญสติปัฏฐาน เพียงแต่นั่งอ่านนั่งฟังตำราคำสอน นี่ก็เท่ากับพระไตรปิฏกกล่าวขัดการเองอย่างนั้นหรือ ซึ่งผมเชื่อว่า เป็นไปไม่ได้ครับ

ที่ผมเข้าใจนั้น เมื่อได้เจริญสติปัฏฐาน จนเกิดสัมมาสมาธิ เกิดปัญญาญาณ เกิดการตัดกิเลส
ตัดอาสวะ อวิชชา นี่คือ เจโตวิมุตติ (การสำเร็จธรรมด้วยสมาธิ) และในเจโตวิมุตตินั้น
ก็จะมีปัญญาวิมุิตติอยู่พร้อมด้วยเสมอ เหมือนกับ 2 in 1 นั้นเอง

ในส่วนตัว ผมไม่เชื่อในคำสอนที่ว่า การคิดพิจารณาธรรมด้วยสมอง จะทำให้เกิดการตัดกิเลส
อาสวะ อวิชชา จนสำเร็จเป็นพระอรหันต์ได้ เหตุผลต่าง ๆ ได้อธิบายไว้ข้างต้นแล้ว

แต่ผมเชื่ออย่างหนึ่้งว่า ผู้แตกฉานในตำรา สามารถนำความรู้จากตำรามาแย้งมายันนักภาวนา
ผู้ไม่แตกฉานในตำราให้หงายเก๋งได้อย่างสบาย ๆ จนทำให้ผู้ดูที่อยู่วงนอกอาจเข้าใจผิดไปได้ว่า
ท่านผู้ที่แตกฉานในตำรานี่มีปัญญามากกว่านักภาวนาจริงๆ
เหมือนกับผู้เชี่ยวชาญด้านเกษตรในมหาวิทยาลัยจะรู้มาก แต่ในการปลูกข้าว
ทำสวน ชาวนา ชาวสวน ทำได้ดีกว่า แต่พูดไม่เก่งเท่าผู้เชี่ยวชาญเท่านั้นเอง

****
แก้ใขคำพิมพ์ผิด 27 พฤศจิกายน 2555





Create Date : 05 สิงหาคม 2553
Last Update : 27 พฤศจิกายน 2555 18:24:21 น. 21 comments
Counter : 1268 Pageviews.

 

คุณนมสิการ วันนี้มีเรื่องขอคำแนะนำอีกแล้ว

เจอคนที่คิดว่าบุญสูงสุดคือทำทานกะวัดเค้าวัดเดียวดีมาก ดีที่สุด แล้วเค้าก็พยายามให้เราทำ เราทำเต็มที่ 20 บาท เค้าว่าทำแค่นี้เหรอ เราก็บอกว่า เราซื้อซีดี 350 ค่าสังฆทานเวียน 50 แล้ว เมื่อวานก็ไปทำบุญซื้อหนังสือธรรมะมา 500 เราชอบให้หนังสือซีดี ถวายพระ ไม่ถวายปัจจัยเท่าไหร่...คนนี้เค้าบอกเราทำถูก แต่เราจะได้ปัญญาแต่ เคยได้ยินไหม ความรู้ท่วมหัวเอาตัวไม่รอด เพราะไม่มีเงิน ต้องทำบุญด้วยเงิน เงินจะได้มีกลับ ยิ่งทำเยอะก็ได้เยอะ....จะรบกวนถามว่า คนพวกนี้ ถ้าเราจึงให้เขาเข้าใจการทำบุญที่ถูกต้องจะพอไหวไหม...หรือจะบอกอย่างไรดี รบกวนแนะนำด้วย...ขอบพระคุณมา ณ ที่นี้

...ขอให้มีความสุข สดใส..หัวใจเบิกบาน..

..HappY BrightDaY To You..


โดย: *~ต้นกล้า...ของหัวใจ~* วันที่: 5 สิงหาคม 2553 เวลา:13:40:03 น.  

 
ลูกโป่ง 1 ส่วนเริ่มต้น ถูกมัดแบ่งออกเป็น 4 ส่วน
จะเท่ากับหัวใจ 4 ห้องและเท่ากับ อริยบุคคล 4 ขั้น
เสนอให้นำไปพิจารณา(ความคิดส่วนตัว)


โดย: ตามพันธสัญญา IP: 119.46.43.78 วันที่: 5 สิงหาคม 2553 เวลา:14:03:10 น.  

 
ตอบคุณ ต้นกล้าของหัวใจ

การที่จะบอกใครนี่เป็นเรื่องที่ละเอียดอ่อนมาก เพราะต้องดูก่อนว่า
เขารับฟังเราหรือไม่ ถ้าเขาไม่รับฟัง พูดไปก็ไร้ประโยชน์ครับ

ถ้าเขารับฟังเรา เพราะมีเหตุอะไรอยู่ใหัรับฟัง เราพูดอย่างไร เขาก็จะฟังเสมอ

ในเรื่องบุญ ในพระพุทธศาสนาจะมี 3 ระดับ คือ
บุญจากการทำทาน บุญจากการรักษาศีล บุญจากการภาวนา
ซึ่งขึ้นอยู่กับว่า ใครมีความสามารถแค่ไหนก็ทำไปอย่างนั้น

เป็นความจริงที่ บุญจากการทำทาน ต้องมีปัจจัยเสริมคือเงิน และทรัพย์สิน เราศรัทธาแค่ไหน มีความสามารถแค่ไหน ก็ทำไปตามความสามารถ ถ้าทำเกินความสามารถ ก็จะเกิดทุกข์ตามมามากกว่าการสุขใจ


โดย: นมสิการ วันที่: 5 สิงหาคม 2553 เวลา:16:01:48 น.  

 
ขอบคุณครับ คุณพันธสัญญา


โดย: นมสิการ วันที่: 5 สิงหาคม 2553 เวลา:16:02:15 น.  

 
เมื่อรู้ทันแล้ว ต้องสลายตัวรู้ เพราะว่ามัน ก็อยู่ในกฏไตรลักษณ์ ด้วย คือ มันจะไม่สามารถคงเป็นผู้รู้ได้ตลอดเหมือนกันใช่หรือไม่ครับ แล้วมาคงไว้ที่ ที่ไม่มีผู้รู้หรืออะไรเกาะเกี่ยวเลย


โดย: being IP: 210.246.192.39 วันที่: 5 สิงหาคม 2553 เวลา:16:13:31 น.  

 
สรุปแล้ว การเวียนว่ายตายเกิด คือวงจรอธิบายกลไกของความคิดของจิตเท่านั้นหรือไม่ครับ ไม่ได้เกี่ยวกับชีวิตเลย
ขอความเห็นหน่อยครับ แต่ที่ให้มันดูมีปาฏิหาร์เพื่อให้คนศรัทธารึปล่าว


โดย: being IP: 210.246.192.53 วันที่: 5 สิงหาคม 2553 เวลา:16:18:20 น.  

 
แวะเข้ามาอ่านค่ะ
ขอแอดไว้เข้ามาอ่านบ่อยๆ นะคะ
^^


โดย: ResidentBeauty วันที่: 5 สิงหาคม 2553 เวลา:16:28:37 น.  

 
ขอบคุณ คุณนมสิการ คุณตามพันธสัญญา

ก็เข้าใจคำตอบ...
แต่..คนที่หลงให้บ้าบุญแลกสวรรค์แล้ว มันกู่ไม่กลับนี่ มันน่ากัวจริง ๆ เห็นแล้วก็น่าสงสาร...ว่ามันอะไรจะขนาดนี้

ไม่มีก็ทำ ทำจนไม่มีเห็นให้พ่อแม่ แต่มีเงินทำบุญทีเป็นพันเป็นแสน ถอดสร้อย ถอดแหวน แล้วบอกนี่แหละบุญอันสูงสุด.....

เราคงได้แต่...วางเขาไว้ ในฐานที่เข้าใจ

ใจจริง ไม่อยากให้ใครไปหลงบุญแบบนี้อีก....ทำใจๆๆๆ


โดย: *~ต้นกล้า...ของหัวใจ~* วันที่: 5 สิงหาคม 2553 เวลา:17:05:00 น.  

 
ตอบคุณ being

Blog นี้มีจุดประสงค์เพื่อแบ่งปันประสบการณ์การปฏิบัติธรรม

1.เมื่อรู้ทันแล้ว ต้องสลายตัวรู้ เพราะว่ามัน ก็อยู่ในกฏไตรลักษณ์ ด้วย คือ มันจะไม่สามารถคงเป็นผู้รู้ได้ตลอดเหมือนกันใช่หรือไม่ครับ แล้วมาคงไว้ที่ ที่ไม่มีผู้รู้หรืออะไรเกาะเกี่ยวเลย

>> ก่อนอื่น ผมจะอธิบายเพิ่มเติมดังนี้
สภาวะผู้รู้ คือ สภาวะแห่งจิตที่ตั้งมั่นเป็นสัมมาสมาธิ ถ้าจิตยังไม่ตั้งมั่น
ไม่มีสภาวะของผู้รู้ เพราะสภาวะผู้รู้จะต้องเห็นสภาวะธรรมด้วย ถ้าคนที่ปฏิบัติยังไม่เห็นสภาวะธรรม นั้นเป็นเพียงรู้ แต่จิตไม่ตั้งมั่น จึงไม่เรียกว่าผู้
รู้ ดังนั้นจะว่า สภาวะแห่งผู้รู้ว่าอยู่ในกฏของไตรลักษณ์หรือไม่
เรื่องนี้ไม่สามารถฟันธงได้เด็ดขาดว่าอยู่หรือไม่อยูึ่ แต่ขอให้พิจารณาจาก
ว่า จิตตั้งมัี่่นหรือไม่จะดีกว่า ถ้่าจิตไม่ตั้งมั่น ผู้รู้ไม่ปรากฏ ถ้าจิตตั้งมั่น ผุ้ีรู้จะปรากฏ

ธรรมชาติแท้ที่เรียกว่าจิตเดิมแท้จะไม่มีวันถูกทำลาย มีเพียงแต่อวิชชาที่ถูกทำลาย เมื่ออวิชชาถูกทำลาย จิตเดิมแท้ที่บริสุทธิ์จะปรากฏให้นักภาวนาได้สัมผัสได้เอง

2. เื่รื่องเวียนว่านตายเกิด
คนคนตา่ยแล้วมาเกิดใหม่ หรือไม่ ผมไม่ทราบ เพราะผมไม่เคยเห็นสภาวะคนตายมาเกิดใหม่ว่าเป็นอย่างนั้นหรือไม่
แต่ในตำรามีกล่าวว่า พระพุทธองค์สอนว่า มาจากเหตุและปัจจัย
ถ้ายังมีเหตุ ก็ต้องเกิด ถ้าหมดเหตุ ก็ไม่เกิด


โดย: นมสิการ วันที่: 5 สิงหาคม 2553 เวลา:18:35:03 น.  

 
ผมพยายามเฝ้าดูความคิดตัวเองอยู่เนืองๆ และกลับมาอยู่ที่ กาย ตลอดเวลาจนรู้ซึ้งถึงการเกิดดับ และความบังคับไม่ได้ของความคิดของตัวเอง แต่วันหนึ่งอ่าน ไปเจอว่า ให้เข้าไปทำลายที่ตัวผู้รู้ ก็ไม่รู้ว่าทำลายอย่างไร เหมือนกัน จนมาย้อนได้ว่า เอ แม้แต่ สติที่กลับมาที่กาย ก็ยังไม่สามารถควบคุมได้ตลอดเวลา เผลอเป็นหลุดไม่มีสติ ก็เลยคิดว่า เออแหะตัวผู้ดูนี้ มันก็คุมไม่ได้อีกนั่นแหละ ตอนนั้นวูบเลย รู้สึกสลดสังเวชมากว่า ตัวเองนั้นมันคืออะไรกันแน่ มันไม่มีความหมายใดๆเลยในโลกนี้หรือนี่ ตัวจิตมันก็ยังไม่แน่นอนอีก


โดย: being IP: 210.246.192.52 วันที่: 5 สิงหาคม 2553 เวลา:19:43:32 น.  

 
ในตำรามีกล่าวว่า พระพุทธองค์สอนว่า มาจากเหตุและปัจจัย
ถ้ายังมีเหตุ ก็ต้องเกิด ถ้าหมดเหตุ ก็ไม่เกิด

ปล. สรุปแล้ว ประโยคนี้ พูดถึง ความคิด ที่เกิดดับ
หรือ ชีวิตที่ เกิดดับครับ

แต่ ผมว่า เป็น ความคิดที่ เกิดและดับ ครับ


โดย: being IP: 210.246.192.32 วันที่: 5 สิงหาคม 2553 เวลา:19:47:30 น.  

 
ขออนุญาตแสดงความเห็น...

ขณะที่รู้กาย ..
ขณะที่รู้ความคิด..

คือ สภาวะธรรมชนิดหนึ่ง
แต่ด้วยความไม่รู้ในสภาพธรรมนั้น จึงหลงเข้าไปยึดว่า ..
สภาวะรู้นั้น เ็ป็นเรารู้ หรือเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า จิตผู้รู้

การทำลายจิตผู้รู้นั้น คือการที่เห็นว่า จิตผู้รู้นั้นก็เป็นสภาวะธรรมชนิดหนึ่ง ไม่ใช่เรา เกิดดับตามเหตุปัจจัย มีสภาวะเหมือนกับสิ่งที่ถูกรู้ (กาย ใจ)

เมื่อรู้ชัดเช่นนี้ จิตก็จะไม่ยึดมั่นถือมั่นในสภาวะรู้นั้น ว่าเ็็ป็นตัวตน ..

ผู้รู้ และสิ่งที่ถูกรู้ ก็จะไม่มี

จะมีก็เพียง...รู้




โดย: palmgang IP: 119.42.73.48 วันที่: 5 สิงหาคม 2553 เวลา:20:10:23 น.  

 
ขออนุโมทนาครับ
ขออนุญาติเรียก "ท่านอาจารย์"
ได้เริ่มอ่านบล๊อกมา 2 วัน ได้ความรู้นำไปปฏิบัติ ขอบคุณครับ


โดย: Littleyogi IP: 112.142.105.146 วันที่: 5 สิงหาคม 2553 เวลา:22:30:36 น.  

 
อนุโมทนา คุณ palmgang ครับ


โดย: นมสิการ วันที่: 6 สิงหาคม 2553 เวลา:8:04:31 น.  

 
ตอบคุณ being

ผมพยายามเฝ้าดูความคิดตัวเองอยู่เนืองๆ และกลับมาอยู่ที่ กาย ตลอดเวลาจนรู้ซึ้งถึงการเกิดดับ และความบังคับไม่ได้ของความคิดของตัวเอง แต่วันหนึ่งอ่าน ไปเจอว่า ให้เข้าไปทำลายที่ตัวผู้รู้ ก็ไม่รู้ว่าทำลายอย่างไร เหมือนกัน จนมาย้อนได้ว่า เอ แม้แต่ สติที่กลับมาที่กาย ก็ยังไม่สามารถควบคุมได้ตลอดเวลา เผลอเป็นหลุดไม่มีสติ ก็เลยคิดว่า เออแหะตัวผู้ดูนี้ มันก็คุมไม่ได้อีกนั่นแหละ ตอนนั้นวูบเลย รู้สึกสลดสังเวชมากว่า ตัวเองนั้นมันคืออะไรกันแน่ มันไม่มีความหมายใดๆเลยในโลกนี้หรือนี่ ตัวจิตมันก็ยังไม่แน่นอนอีก

***
เป็นความเห็นส่วนตัวนะครับ
1. คำที่ว่า เฝ้าดูความคิด แล้วย้อนกลับมาอยู่ที่กายตลอดเวลานั้น
ในแง่การปฏิบัติจริง ทำอย่างนั้นไม่ได้หรอกครับ
แต่ถ้าเป็นการฝึกจิตให้ตั้งมั่น จิตตั้งมั่นอยู่ที่ฐานของจิต ซึ่งจะอยู่ที่ไหนก็แล้วแต่ซึ่งเป็นไปเอง จิตจะเห็นสภาวะธรรมตามความเป็นจริงเสมอ
ถ้าความคิดเกิด ก็จะเห็นความคิด แล้วความคิดก็ดับลงไปเอง อันเป็นธรรมชาติของความคิดทีมันจะเป็นอย่างนั้นเสมอ

2.ถ้าสติตั้งมั่นสุด ๆ ถึงแม้จะมีหลุด ก็หลุดแบบฟ้าแลบคือเพียงเสี้ยววินาที แล้วก็จะกลับมามีสติตั้งมั่นใหม่อีก ซึ่งต้องอาศัยการฝึกฝนที่ถูกวิธี
และมีความเพียรอย่างต่อเนื่อง จึงจะได้สติตั้งมั่นแบบนี้ได้

3.คำว่าทำลายตัวผู้รุ้ คือ การทำลายเปลือกอวิชชา ครับ ถ้าทำลายเปลือกอวิชชาได้ ความรู้สึกความเป็นตัวตนจะจบลงทันที
และที่เปลืออวิชชาถูกทำลาย ก็เพราะ จิตทีตั้งมั่นอยู่ที่ฐานเห็นจุดที่ความคิดมันหลุดออกมา พอเห็นจุดนั้นได้ เปลือกอวิชชาก็แตกทันที


โดย: นมสิการ วันที่: 6 สิงหาคม 2553 เวลา:8:13:04 น.  

 
ตอบคุณ being
ในตำรามีกล่าวว่า พระพุทธองค์สอนว่า มาจากเหตุและปัจจัย
ถ้ายังมีเหตุ ก็ต้องเกิด ถ้าหมดเหตุ ก็ไม่เกิด

ปล. สรุปแล้ว ประโยคนี้ พูดถึง ความคิด ที่เกิดดับ
หรือ ชีวิตที่ เกิดดับครับ

แต่ ผมว่า เป็น ความคิดที่ เกิดและดับ ครับ

*****
ในความเห็นของผม

ความคิดที่แปรเปลี่ยน เกิดขึ้นและหยุดลง ไม่ใช่เป็นตัวการให้คนมีการตายแล้วไปเกิดใหม่หรือไม่

แต่เพราะเปลือกอวิชชาที่หุ้มห่อธรรมชาติที่บริสุทธินี้แหละ ที่เป็นตัวการ
ให้คนมีการตายแล้วไปเิกิดใหม่

ในคนที่ปฏิบัตจนจิตตั้งมั่นอย่างสุด ๆ เขาจะเห็นความคิดทีมันเกิดและหยุด อยู่เสมอ เขาจะเห็นได้และรู้ว่า อันว่าความคิดนี่ไม่ใช่เขา ไม่ใช่ตัวเขา แต่เป็นธรรมชาติอย่างหนึ่งทีมันแปรเปลียนได้

แต่ในพระอรหันต์ ก็ยังมีความคิดอยู่เสมอ แต่ความคิดนี้ไม่มีการปรุงแต่งต่อไปที่ให้เกิดอาการพอใจ หรือ ไม่พอใจ ที่ไม่เกิดอาการพอใจ หรือ ไม่พอใจ เพราะความรู้สึกความเป็นตัวตนได้ถูกทำลายลงพร้อมกับเปลือกอวิชชานั้นเอง


โดย: นมสิการ วันที่: 6 สิงหาคม 2553 เวลา:8:19:07 น.  

 
ขอบคุณครับ คุณ palmgang

ขอวิเคราะห์ปัญหาของการปฏิบัติของคนส่วนใหญ่ครับ ประโยคคุณ palmgang ที่ว่า

การทำลายจิตผู้รู้นั้น คือการที่เห็นว่า จิตผู้รู้นั้นก็เป็นสภาวะธรรมชนิดหนึ่ง ไม่ใช่เรา

เกิดดับตามเหตุปัจจัย มีสภาวะเหมือนกับสิ่งที่ถูกรู้ (กาย ใจ)

สิ่งที่ยากที่สุดของการปฏิบัติของคนส่วนใหญ่คือ เมื่อมีผู้บอกแล้ว จะเชื่อตามและ

ทำให้เป็นไปตามนั้น แต่ ทำด้วยความคิด จินตนาการ เช่น

ท่องไว้ ไม่ใช่เรา เกิดดับตามปัจจัย

ท่องไว้ ไม่ใช่เรา

ท่องไว้ ไม่ใช่เรา เกิดดับตามปัจจัย

จึงไม่ใช่ จากปัญญาที่ เห็นได้เอง พิสูจน์เอง จึงทำให้มีการแทรกแซงจากความคิด

ถ้าผมไม่ได้เกิดเหตุการมาก่อนหน้า ก็จะปฏิบัติแล้วพยายาม ใช้ความคิดเพื่อสร้าง เหตุการณ์

ที่ถูกบอกมา มันก็จะไม่ เกิดเหตุการณ์ ดังกล่าว ดังนั้นแนวที่ควรทำคือ

ไม่เชื่อแต่ต้องพิสูจน์ด้วยตัวเอง ดั่ง กาลามสูตร จริงๆครับ


โดย: being IP: 125.25.247.6 วันที่: 6 สิงหาคม 2553 เวลา:8:29:32 น.  

 
การเฝ้าดูความคิด แล้วย้อนกลับมาอยู่ที่กายตลอดเวลานั้น

มันคือกลับมาอยู่กับปัจจุบันครับ
มันเป็นของจริงแท้แน่นอน รู้สึกได้
ขยับได้แน่นอนพิสูจน์ได้แน่นอนครับ

แล้วเมื่อใดที่ สติปลุกกลับมาอยู่กับปัจจุบัน
เราจะเห็นความคิดที่ได้คิดมาแล้ว แวบนึง

เป็นความคิดที่อยู่ระหว่าง อยู่กับปัจจุบันครั้งหลังสุด
กับ การอยู่กับปัจจุบันครั้งปัจจุบัน

และผมมีความเห็นว่า ยิ่งฝึกไป

อยู่กับปัจจุบันครั้งหลังสุด
กับ การอยู่กับปัจจุบันครั้งปัจจุบัน
จะใกล้เข้ามาทันกัน เรื่อยๆ

ในระหว่างนี้ เราจะเห็นไอ้ความคิดระหว่าง สองปัจจุบัน
สามารถจำแนกได้ เพียบ ตามขันธ์ 5 ครับ


โดย: being IP: 125.25.247.6 วันที่: 6 สิงหาคม 2553 เวลา:8:43:08 น.  

 
ขออนุโมทนาสาธุด้วยค่ะ เข้าใจบ้างไม่เข้าใจบ้าง แต่จะพยายามให้ดีที่สุด


โดย: pinky (amar-pinky ) วันที่: 7 สิงหาคม 2553 เวลา:8:29:11 น.  

 
เรื่องนี้อ่านหลายรอบแล้ว..แต่ก็ยังเวียนมาอ่านอีก

โมทนาสาธุค่า


โดย: ธัมทีโป IP: 118.174.59.27 วันที่: 27 สิงหาคม 2553 เวลา:12:22:49 น.  

 
ผมจำเป็นต้องปิดการเขียนของท่านผู้อ่าน เนื่องจากกฏหมายอินเตอร์เนท
ที่อาจมีสิ่งผิดกฏหมายใส่เข้ามาใน blog

ท่านที่จะสนทนา หรือ ถามคำถาม ขอให้ส่ง email ถึงผมได้ที่
asknamasikarn@gmail.com

หรือสำหรับสมาชิก pantip จะส่งมาทางหลังไมค์ก็ได้เช่นกัน


โดย: นมสิการ วันที่: 29 มกราคม 2555 เวลา:16:31:43 น.  

ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะ VIP Friend
Comment :
  *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 

นมสิการ
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 142 คน [?]




หลักปฏิบัติ ...รู้สึกตัว ผ่อนคลาย เฉย ๆ สบาย ๆ

มากกว่า 20 ปีที่ไปหลงทำสมถภาวนาแบบสมาธิแบบฤาษีโดยที่ไม่รู้จักกับคำว่า อะไรคือสัมมาสติ สัมมาสมาธิ ผลที่ได้คือความสงบขณะกำลังนั่งสมาธิจนตัวนิ่งแข็งเป็นก้อนหิน แต่ผลข้างเคียงตามมาก็คือการเป็นคนเจ้าโทสะอย่างรุนแรงขณะเวลาไม่ได้นั่งสมาธิ และ ที่อยู่ในชีวิตประจำวัน....

จนได้พบกัลยณมิตรแดนไกล ที่ได้ชักนำให้มารู้จักวิธีปฏิบัติแบบหลวงพ่อเทียน จนได้พบกับพระอาจารย์ในสายหลวงพ่อเทียน ที่ผมได้เรียนการปฏิบัติจากท่าน จนเข้าใจว่า สัมมาสติ สัมมาสมาธิ คืออะไร แล้วลงมือฝึกฝน การปฏิบัติก็รุดหน้าและได้ลิ้มรสสิ่งบริสุทธิในจิตใจอันเป็นผลจากการปฏิบัติด้วยเวลาเพียง 5 ปี

ธรรมปฏิบัติจากฆราวาสเขียนเป็นสิ่งที่ยอมรับได้ยากในสังคมไทย ผมรู้ได้จากที่เขียนใน blog ผมได้พบกับการก่อกวนใน blog การเขียนเหน็บแนม กระแหนะกระแหน ตำหนิการการปฏิบัติที่ผมเขียนใน blog ว่าผิดทาง เขียนแบบคาดเดาเอา ไม่รู้จริง ให้ผมหยุดเขียนแนวนี้ได้แล้ว และไปโมทนาสาธุแนะนำการปฏิบัติสมาธิแบบฤาษีให้กับผมอีกว่านี่คือทางที่ถูกต้อง ...

บทความใน blog จึงเกิดขึ้นมา เพื่อแบ่งปันประสบการณ์ในการภาวนา
แก่ผู้อื่นที่กำลังเดินทางในสายแห่งอริยมรรคนี้

เมื่อท่านได้เข้ามาอ่านข้อเขียนใน blog กรุณาอย่าได้เชื่อผมจนกว่า ท่านได้ทดลองปฏิบัติแล้วและพิสูจน์ด้วยตัวท่านเอง

**กรุณา .อย่า.ได้บริจาคเงินให้ blog ผมทาง e-wallet ครับ **

******
บทความต่าง ๆ ใน blog นี้
ขอสงวนสิทธิ์ตามพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2537
ห้ามนำไปดัดแปลง ลอกเลียน หรือนำส่วนหนึ่งส่วนใดไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต

****
New Comments
Friends' blogs
[Add นมสิการ's blog to your web]
Links
 
MY VIP Friend


 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.