รู้หยาบพาให้รู้สึกตัวได้ดี
การฝึกฝนเพื่อการพ้นทุกข์นั้น จากประสบการณ์ส่วนตัวที่ผ่านมา ความรู้สึกตัว และ ความไวในการรับรู้ความรู้สึก นั้น คือ กุญแจหลัก ที่จะไขไปสู่จุดหมายปลายทางได้
ความรู้สึกตัว คือ กุญแจดอกแรกที่ต้องมีก่อน ถ้าไม่มีความรู้สึกตัว การเห็นความรู้สึกที่ละเีอียดของสภาวะธรรมจะมีไม่ได้เลย
ความรู้สึกตัวของคนทั่ว ๆ ไป มักจะเป็นแบบไม่ต่อเนื่อง คือ มีความรู้สึกตัว แล้วก็ขาดลงไปนาน ๆ แล้วก็กลับมีอีก เป็นอย่างนี้สลับไปเรื่อย ๆ ส่วนสาเหตุก็จะมาจาก จิตไหลออก ไปตามอำนาจของตัณหา ที่พาจิตหลงไปกับวิญญาณ6
จากประสบการณ์ การฝึกฝนเพื่อให้คงความรู้สึกตัวที่ต่อเนื่อง จะได้ผลดีโดยการรับรู้การสัมผัส ที่หยาบ ๆ ในการรับรู้จากระบบประสาทของคนเรา ที่หยาบที่สุดก็คือ การรับรู้การสัมผัสทางกาย ตัวอย่างเช่น การกระโดดโลดเต้นขณะออกกำลังกาย การเดิน การขัดถูผิวหนัง การจับ สิ่งของที่หยาบ ๆ เช่นก้อนหินทีไม่เรียบ การใส่รองเ้ท้าแบบมีปุ่มนวดแล้วเดิน เป็นต้น เมื่อมีการสัมผัสที่หยาบ ๆ แบบนี้ ก็จะเป็นการกระตุ้นให้เกิดความรู้สึกตัวตามมา
เมื่อฝึกรับรู้ความรู้สึกที่หยาบ ๆ บ่อย ๆ ความรู้สึกตัวก็จะเกิดได้บ่อยจนเป็นความเคยชิน ที่จะรู้สึกตัวอยู่บ่อย ๆ
ด้วยเหตุผลนี้ ใน blog ของผมนี้ จึงสนับสนุนท่านให้ฝึกกายานุปัสสนาอยู่เสมอ โดยเฉพาะท่านมือใหม่ทั้งหลาย ท่านจะเริ่มต้นได้ดีทีมีฐานที่มั่นคง ไม่ง่อนแง่น
เมื่อความรู้สึกตัวได้เกิดขึ้น การรับรู้การสัมผัสก็จะมีการพัฒนาขึ้นเองทีละนิด นักภาวนา จะค่อยๆ มีความสามารถที่จะรับรู้สภาวะธรรมที่ค่อย ๆ ละเอียดขึ้นได้เอง ซึ่งสภาวะธรรมที่ละเอียดมาก ๆ ก็จะเป็นสภาวะธรรมที่เกิดขึ้นในจิตใจ
ถ้าความรู้สึกตัวไม่แน่นพอ เมื่อเกิดสภาวะธรรมในจิตใจ การปรุงแต่งที่เกิดขึ้นในจิตใจ มันจะเร็วมาก และอวิชชาที่คลุมจิตจะปล่อยโมหะออกมา ทำให้จิตที่รู้สึกตัวเกิดการเผลอขึ้นมา ทันที ทำให้คนใหม่ ๆ ไม่อาจเห็นสภาวะธรรมทางจิตใจได้ เพราะโมหะเข้าครอบงำไปแล้ว
คำกล่าวของครูบาอาจารย์ที่ว่า การดูจิตเป็นหนทางทีั่ลัดสั้น ผมก็เห็นด้วย แต่ครูบาอาจารย์ท่านกล่าวไว้แบบละไว้ในฐานที่เข้าใจว่า ต้องมีรากฐานของความรู้สึกตัว ที่แน่นอยู่แล้ว ถ้าใครไม่เข้าใจในสิ่งที่ละไว้ ก็อาจเข้าใจผิด ไปดูจิตดูใจโดยที่ไม่มีฐาน ของความรู้สึกตัวอยู่ ซึ่งเป็นการปฏิบัติที่ลัดขั้นตอนแล้วท่านจะไม่ได้ผลแห่งการปฏิับัติ
ในชีวิตจริงของคน จะมีการสัมผัสทางกายมากมายตั้งแต่ตื่นนอน การอาบน้ำ แปรงฟัน ใส่เสื้อผ้า รับประทานอาหาร ขึ้นรถเมล์ ขับรถ เดินไปทำงาน พิมพ์คอมพิวเตอร์ ใช้โทรศัพย์ ซักผ้า ถูบ้าน ทำอาหาร ทำความสะอาดบ้าน และอื่น ๆอีกสารพัด นี่คือบทเรียนการสัมผัสที่เกิดขึ้นให้ท่านได้ฝึกฝนทั้งนั้น เพียงเริ่มขึ้นให้มีเชื้อแห่งความรู้สึกตัวได้บ้าง แล้วก็อาศัยสื่อเหล่านี้ในชีิวิตประจำวัน ฝึกฝนไปด้วย ก็จะเป็นการฝึกนอกรูปแบบที่ดีเ่ช่นกัน
***** เรื่องท้ายบท
1. สำหรับคนสูงวัย คนเป็นอัมพฤต อัมพาต การนวดตนเองโดยใช้มือ นวดไปที่ร่างกาย เช่นแขนขา ฝ่ามือ ฝ่าเท้า นิ้วมือ นิ้วเท้า ในขณะที่นวดจะรู้สึกถึงการนวดนี้ได้ นอกจากได้ประโยชน์ต่อร่างกาย แล้วโดยเฉพาะผู้สูงวัย คนเป็นอัมพฤต อัมพาตบางส่วน ยังเป็นการฝึก กายานุปัสสนาสติปัฏฐานไปด้วยในขณะเดียวกัน
วิธีการก็เป็นธรรมชาติ ใจไม่ต้องคิดอะไร ไม่ต้องวิตกกังวลอะไร ใช้มือบีบนวดไปอย่างสบาย ๆ เท่านั้น ก็เป็นการฝึกฝนแล้ว ขณะดูโทรทัศน์ก็นวดได้ นอนเล่นอยู่ก็นวดได้
นวดบ่อย ๆ ได้ทั้งกายได้ทั้งจิตใจ
********************
2. ท่านที่อ่านเรื่อง ความรู้สึกตัว คือ ปัญญา แล้วยังมองภาพไม่ออกในการปฏิบัติ ผมจะเขียนเรื่องนี้เป็นการอุปมาให้ท่่านเห็นภาพให้ชัดขึ้นเกี่ยวกับการปฏิบัติ
ท่่านเคยไปเที่ยงต่างถิ่นหรือต่างประเทศโดยรถทัวร์ไหมครับ อาจไปเองหรือไปกับบริษัททัวร์ก็ได้
คนที่ขึ้นรถทัวร์แล้ว ในระหว่างที่รถวิ่งไปยังไม่ถึงจุดหมายที่จะจอดรถ คนในรถจะมีพฤติกรรมอยู่ 3 อย่างด้วยกัน คือ A..หลับ B..คุย C..นั่งเงียบ ๆ ดูวิวข้างทางไปเรื่อย ๆ
พฤติกรรมทั้ง 3 อย่างก็เหมือนกับการปฏิบัติธรรม
A..หลับ ถ้าท่านนั่งหลับ ท่านจะไม่ได้ยินอะไรเลย ไม่เห็นอะไรเลย รถไปถึงไหนแล้วก็ไม่รู้ ข้างทางเป็นอย่างไรก็ไม่รู้ ซึ่งจะเหมือนกับคนที่ขาดความรู้สึกตัว จิตถูกโมหะครอบงำ ที่ไม่รู้สภาวะธรรมที่เิกิดขึ้นรอบ ๆ ตัว
ถ้าสมมุิติว่า ในรถคันนั้น มีคนบ้ากำลังเอามีดไล่แทงผู้โดยสารในรถอยู่ คนที่นั่งหลับ ก็ไม่อาจจะป้องกันตัวเองได้ เพราะไม่รู้เหตุการณ์นั้นเอง
B..คุย การคุยยังดีกว่าการหลับ เพราะยังมีความรู้สึกตัวอยู่บ้าง ยังรู้อะไรอยู่บ้าง แต่ก็สนใจแต่การคุย ทำ้ให้ประัสิทธิการรับรู้เรื่องรอบ ๆ ตัวลดน้อยลงไป การคุย นี้เปรียบได้กับคนที่มีนิวรณ์ครอบงำอยู่ จิตถึงติดอยู่กับนิวรณ์
C..นั่งเงียบ ๆ ดูวิวข้่างทางไปเรื่อย ๆ การดูวิวข้างทางไปเรื่อย ๆ นี้จะเหมือนกับวิปัสสนา ที่ผู้ปฏิบัตินั่งดูสภาวะธรรมไปเรื่อยๆ ไม่ต้องทำอะไร เพียงดูอย่างเดียว เพราะในขณะที่รถวิ่งไป การดู ก็จะเห็นคน สัตว์ ชีวิตชาวบ้าน กิจกรรมต่าง ๆ ของชาวบ้าน อาจเห็นตนต่อยกัน อาจเห็นตำรวจวิ่งไล่จับคนร้าย และอื่น ๆ แต่เนื่องจากตัวท่านอยู่ในรถ จึังทำอะไรไม่ได้ เพียงแต่เห็น และการเห็นนี้ ก็เร็วมาก เพราะรถวิ่งไปเรือย ๆ ไม่หยุดนั้นเอง
การเห็นสภาวะธรรมของวิปัสสนา จะเหมือนอย่างนี้มาก ตาเห็น หูได้ยิน จมูกได้กลิ่น ลิ้นได้รส กายได้สัมผัส ใจรู้นึกคิด ถ้าไม่มีการยึดติดกับสิ่้งใด สิ่งนั้นพอผ่านเข้ามาก็จะจบทันทีเช่นกัน เหมือนท่านเห็นภาพชาวนาที่กำลังไถนา พอรถผ่านไป ภาพอื่นก็จะเข้ามา แทนที่ภาพชาวนานั้นทันที
ท่่านจะเห็นว่า ขบวนการปฏิบัติธรรมนั้นไม่ยุ่งยาก เพียงท่านหมั่นรู้สึกตัวอยู่เป็นนิจเท่านั้น ไม่ต้องไปทำอะไร ไม่ต้องไปยุ่งกับสิ่งใด ไม่ต้องไปคิดอะไรเลย เพียงรับรู้ แล้วปล่อยสิ่งทีรับรู้นั้นผ่านไป ก็เท่านั้นเอง
แต่ที่เป็นปัญหาของนัำกภาวนา ก็คือ การยึดติด(ตัณหา) พอท่านเห็นอะไร ได้ยินอะไร ก็อดไม่ได้ ต้องนำสิ่งที่เห็น สิ่งที่ได้ยิน มาครุ่นคิดคำนึงถึงอยู่ นี่คืออาการพอใจ ไม่พอใจ แห่งจิตใจนั้นเอง ซึ่งนักภาวนาที่เข้าใจ ก็ให้ละการกระทำ เหล่านี้เสีย แล้วขบวนการแห่งวิปัสสนาก็จะเดินของมันไปเอง
***************
3.ทุกข์ของนัำกภาวนาคือความอยากที่ต้องการรู้ธรรมยิ่ง ๆ ขึ้นไป ก่อนคนที่จะมาภาวนา ทุกข์อย่างนี้ไม่เคยเกิดเลย พอมาภาวนาเท่านั้น ก็เกิดขึ้น
ความแตกต่างของนักภาวนาที่รู้ธรรมอันยิ่ง กับนักภาวนาที่เพิ่งเริ่มต้นก็คือ นักภาวนาทีรู้ธรรมอันยิ่ง จะไม่เข้าไปในความคิดที่เกิดขึ้น ทำให้นักภาวนาที่รู้ธรรมอันยิ่ง คงความรู้สึกตัวที่ต่อเนื่อง ไม่เกิดความหลง
แต่นัำกภาวนาที่เพิ่งเริ่มต้น มักเข้าไปในความคิด แล้วก็เกิดเผลอสติขึ้นมา
เพียงท่านรู้สึกตัวอย่างต่อเนื่อง ไม่ต้องไปสนใจเลยว่า จะรู้ธรรมมากขึ้นหรือไม่ ท่านก็ไม่ทุกข์แล้ว แล้วความไม่ทุกข์ที่ประกอบด้วยความรู้สึกตัวนี่แหละ จะทำให้ท่านเห็นธรรมอันยิ่งขึ้นไปเรื่อย ๆ
Free TextEditor
Create Date : 11 สิงหาคม 2553 |
|
10 comments |
Last Update : 29 มกราคม 2555 16:03:56 น. |
Counter : 1162 Pageviews. |
|
|
|
"อบอุ่นรัก ใดเล่า เท่าอกแม่
รักแน่แท้ แม่ให้ ด้วยใจมั่น
ใครรักเรา เท่าไร ไม่มีวัน
จะเทียบทัน รักแท้ แม่ให้เรา"