รู้สึกตัว ผ่อนคลาย เฉย ๆ สบาย ๆ **กรุณา .อย่า.ได้บริจาคเงินให้ blog ผม ทาง e-wallet ครับ** **ผมขอสงวนสิทธิการเป็นเจ้าบ้านของ blog ลบข้อเขียนใดๆ ก็ได้ใน blog นี้ตามที่ผมเห็นสมควร**
Group Blog
 
<<
กรกฏาคม 2553
 123
45678910
11121314151617
18192021222324
25262728293031
 
18 กรกฏาคม 2553
 
All Blogs
 
ดูจิตด้วยใจเป็นกลาง คืออย่างไร

มีคำถามที่น่าสนใจว่า ดูจิตด้วยใจเป็นกลาง คืออย่างไร

ถามอย่างนี้ คนที่ฟัง CD บ่อย ๆ ก็รู้ว่า เป็นคำสอนของสำนักไหน
ถ้าจะให้ตรงเลย น่าจะไปถามกับพระอาจารย์ที่ท่านสอน
แต่ท่่านผู้ถามคงไม่สามารถไปส่งการบ้านโดยตรงได้
ก็เลยตรงมาที่ผม

เนื่องจากผมไม่ได้กล่าวคำนี้โดยตรง ถ้าผมจะตอบ
ผมขอตอบตามความเห็นของผมก็แล้วกัน
ผิดถูกตรงไม่ตรง กับพระอาจารย์ผู้สอนอย่างไร ผมก็ขอฝากไว้พิจารณาของตัวท่านเอง

********
มาอ่านความเห็นของผมกันครับ

ตามปรกติของผู้ยังมีกิเลส เื่มื่อพบเห็นสิ่งใด มักจะมี.ความลำเอียง.ในจิตใจขึ้นเสมอ
เช่น เห็นเด็กหน้าตาดี ก็ชอบใจ เห็นเด็กตัวมอมแมมมานั่งกับคนขอทานก็เกิดความไม่พอใจ
กับคนที่พาเด็กมาทำแบบนี้ เพราะรู้อยู่แก่ใจว่า เด็กนี้ถูกเช่ามาใช้เป็นเครื่องมือหากินของคน

ในการปฏิบัติธรรมก็เช่นกัน เมื่อพบกับสภาวะธรรมของจิตใจที่มีการปรุงแต่ง ก็มักจะ
เกิดอาการพอใจ ไม่พอใจ ตามมาเสมอ เช่นคนส่วนมาก พอนั่งสมาธิ วันไหน
นั่งได้จิตไม่ว๊อกแว๊ก ก็พอใจว่า วันนี้นั่งดีจริง อยากนั่งได้อย่างนี้อีก
พอวันหน้ามานั่งอีก จิตฟุ่งซ่าน เกิดไม่พอใจขึ้นมาว่า นั่งไม่ได้ดี จิตฟุ่งซ่านจัง

ถ้ามองให้ลึกลงไป ท่านจะเห็นว่า ความไม่เป็นกลาง นี้จะมีการเกิดซ้อนลงไปอีกขั้นหนึ่ง
เมื่อพบเห็นสภาวะธรรม เช่น นั่งสมาธิได้ดี ก็พอใจ แล้วก็อยากได้แบบนี้อีก
อาการ พอใจ อยากได้แบบนี้อีก คือ ความไม่เป็นกลาง ถ้าเป็นกลางแล้ว นั่งแล้วไม่ฟุงซ่าน
ก็ควรจะรับรู้แล้วเฉยๆ เข้าไว้

ตัวอย่างข้างต้นอาจไม่ชัด
ถ้าจะให้เห็นชัด ผมจะยกตัวอย่างเรื่องการเมืองขึ้นมา ถ้าท่านเป็นฝ่ายรัฐบาล
พอเห็นฝ่ายค้านออกมาจะอ้าปากพูดเท่านั้น ใจก็จะมีความลำเอียงทันที
คิดทันทีเลยว่า จะมาโจมตีรัฐบาลอีกแล้ว
โดยที่ฝ่ายค้านยังไม่ได้พูดอะไรออกมาเลย

ถ้าท่านเป็นฝ่ายค้าน พอเห็นฝ่ายรัฐบาลจะอ้าปากพูด ก็เช่นกัน
ใจก็จะลำเอียงทันที

การไม่ลำเอียง ท่านสมควรจะเฉยๆ รับฟังสิ่งที่เขาพูดก่อน แล้วพิจารณาเหตุผลที่เขาพูด

สรุป ก็คือ ดูจิตด้วยใจที่เป็นกลาง ก็คือ การรับรู้สภาวะธรรม เมื่อรับรู้แล้วให้เฉย ๆ เสีย
ไม่ต้องชอบ หรือ ไม่ชอบใจใด ๆ ในสิ่งทีรับรู้เข้ามา

อ่านดูเหมือนมันง่าย แต่สำหรับผู้ไม่สิ้นกิเลสนี่ ยากสุด ๆ ครับ

มันจะลำเอียงเสมอ

******
เรื่องท้ายบท

ในพระอภิธรรม ปริเฉทที่ 2 มีกล่าวถึงเรื่อง เจตสิก หรือ การปรุงแต่งของจิต
มีเจตสิกฝ่ายกิเลสอยู่ตัวหนึ่ง ชื่อว่า .มานะ.

ในภาษาไทย ถ้าบอกว่าใครมี.มานะ. ก็คือ คนมีความพยายามในการงาน
มักใช้กับคำว่า .มีมานะพากเพียร.

แต่ในทางภาษาพระ .มานะ. คือ อาการลำพองใจว่า ฉันนี่แน่กว่าแก
หรือฉันนี่แย่กว่าแก คือมีการเปรียบเทียบ เราเขาว่าใครดีกว่า แย่กว่า

อาการ.มีมานะ.นี้จะเป็นกันมากในหมู่นักปฏิบัติธรรม เมื่อปฏิบัติไปได้สักระยะหนึ่ง
มีความรู้และได้เ็ห็นสภาวะธรรมขึ้นมา ก็เกิดใจพองโต เห็นคนอื่นไม่อยู่ในสายตา
ว่าไม่เก่งเหมือนฉัน
พอเวลาไปพูดคุยกับใคร ก็มักยกตัวข่มคนอื่น บางครั้ง รู้ทั้งที่รู้ ก็แกล้งถามธรรมเพื่อลองภูมิ
ของคู่สนทนาไปเสีย

ถ้าจะว่าให้ละเอียด ถ้าท่านเห็นคนเดินลื่นหกล้ม แล้วท่านหัวเราะชอบใจขึ้นมาในความ
เซ่อซ่าของเขา นี่ก็คือการมี.มานะ.เช่นกัน

มานะ เป็นกิเลส ฝ่ายละเอียด เห็นได้ยากตัวหนึ่ง ในตำราว่า มานะ จะละได้ในขั้น
อนาคามีบุคคลขึ้นไป แต่นักปฏิบัติธรรมที่ปฏิบัติได้ผลมาบ้างพอสมควรแล้ว
แต่มอง ตัวมานะ ไม่ออก นี่ก็ยังไม่ใช่อนาคามีบุคคลแต่อย่างใด
เขาอาจได้โสดา สกิทาคามี
เท่านั้น แต่คิดไปเองว่า ฉั้นได้อนาคามีแล้วก็มี

สมัยที่ผมเรียนพระอภิธรรม คุณครูที่ท่านมาสอน(เป็นฆราวาสหญิง) ท่านเน้นตัวนี้มาก
พูดแล้วพูดอีก เดือนนี้พูด เดือนหน้าต่อไปก็พูดซ้ำอีกแล้ว พูดหลายรอบมาก จนผมจำได้ดี
ในเรื่อง มานะ นี้ว่า คืออะไร คุณครูไม่ได้บอกเหตุผลว่า ทำไมพูดย้ำจังเลย
แต่ผมเดาว่า ท่านสอนคนมามาก เห็นมามากในหมู่นักเรียน นักปฏิบัติธรรม
พอมีความรู้เข้าหน่อย ก็ติด มานะ หลงตัวเอง

ถ้าท่านนักปฏิบัติ ลองทำใจให้เป็นกลาง แล้วพิจารณาในจิตของท่านเอง
ว่าท่านมี มานะ หรือไม่ ถ้าท่านรู้ัตัวเองได้
ความก้าวหน้าในทางธรรมก็จะไม่สะดุดอยู่เพียงแค่นั้น

ถ้ามีคนที่ท่านรู้จัก เดินเข้ามาหาท่านวันนี้ แล้วพูดกับท่านว่า ท่านมีมานะไหม
ท่านผู้อ่านที่อ่าน blog เรื่องนี้ที่เข้าใจความหมายของ มานะ แล้ว
อาจจะงง ในคำถาม
ท่านอาจกลายเป็นคนไทยที่งงกับใจภาษาไทยไปก็ได้นะครับ

เป็นไปได้หรือนี่ คนไทยงงกับภาษาไทยเอง



Create Date : 18 กรกฎาคม 2553
Last Update : 29 มกราคม 2555 16:06:36 น. 4 comments
Counter : 1475 Pageviews.

 
จะขอถามเรื่องการถือศีล 5 ค่ะ หากว่าเราตั้งจิตตั้งใจถือศีล โดยไม่ได้อาราธนาศีลแก่พระ ในทุกๆวันที่เราถือปฏิบัติด้วยการมีสติเตือนตนอย่างเคร่งครัด เมื่อใดที่เผลอทำศีลขาด เช่น ศีลข้อ 1 ตบยุงโดยความเผลอ เมือเป็นไปแล้ว แต่เรารู้และตั้งใจไม่ให้เผลออีก โดยตรวจสอบตนเองอยู่เรื่อยๆ การถือศีลนั้นในทุกๆวันที่กระทำอยู่เป็นการถือโดยถูกต้องไหม เพราะเคยได้ยินจากคนอื่นว่าต้องอาราธนาทุกวัน เพราะถ้าทำศีลขาด ก็ต้องอาราธนาใหม่


โดย: cakecode วันที่: 19 กรกฎาคม 2553 เวลา:7:14:52 น.  

 
ศีล 5 ศีล 8 เป็นศีลที่คนบัญญัติขึ้นมาครับ
และถูกฝังหัวในคนไทยเข้าไปแล้วว่า ต้องอย่างนั้น ต้องอย่างนี้ซิ
ถึงจะถูก ถึงจะได้บุญ

ผมขอแสดงความเห็นส่วนตัวดังนี้
คนที่เป็นฆราวาส ก็มีหน้าที่การงานหาเลี้ยงชีพต้องกระทำ
เราไม่ได้เป็นพระภิกษุ ที่มีกฏระเบียบว่าผิดศีลของพระ ต้องปลงอาบัติ
กับพระด้วยกัน

เมื่อเรารักษาศีล 5 นี่คือความต้องการที่จะไม่เบียดเบียนผู้อื่น
ถ้าเกิดผิดพลาดไปแล้วเกิดไปเบียดเบียนผู้อื่นเข้า
เนื่องด้วยสติสัมปัญญะคุมไม่อยู่ ทำให้ทำอะไรผิดไป
เมื่อผิดพลาดไปแล้ว คงแก้อะไรไม่ได้ ก็ขอให้ผ่านไป
อย่าไปคิดถึงมันอีก พระพุทธองค์ก็ทรงสอนให้อยู่กับปัจจุบัน
ไม่นึกถึงอดีตที่ผ่านมาแล้ว
ถึงแม้ว่า เราจะไม่นึกถึงอดีต แต่ขอให้รู้ว่าที่ผิดพลาดไปนั้น เพราะเราเจริญสัมมาสติัสัมมาสมาธิยังไม่ดีพอ เราสมควรปรับปรุงตัวเองให้ดีขึ้น
โดยการหมั่นเจริญสติสัมปชัญญะให้มากขึ้น

การเจริญสติสัมปชัญญะ คือ corrective action ในวัีนนี้ เพื่อการ
preventive action ในอนาคตที่จะไม่ผิดพลาดอย่างเดิมอีก
ส่วนการอาธนาใหม่ ไม่ใช่จุดสำคัญทีต้องคำนึงถึงเลย จะทำก็ได้
ไม่ทำก็ได้

เป็นความเห็นส่วนตัวนะครับ

แนะนำอ่านเพิ่มเติม
https://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=namasikarn&month=05-2010&date=02&group=8&gblog=8



โดย: นมสิการ วันที่: 19 กรกฎาคม 2553 เวลา:9:46:23 น.  

 
ขออนุโมทนาสาธุครับ


โดย: ชาดีครับ (shadee829 ) วันที่: 19 กรกฎาคม 2553 เวลา:10:26:31 น.  

 
ผมจำเป็นต้องปิดการเขียนของท่านผู้อ่าน เนื่องจากกฏหมายอินเตอร์เนท
ที่อาจมีสิ่งผิดกฏหมายใส่เข้ามาใน blog

ท่านที่จะสนทนา หรือ ถามคำถาม ขอให้ส่ง email ถึงผมได้ที่
asknamasikarn@gmail.com

หรือสำหรับสมาชิก pantip จะส่งมาทางหลังไมค์ก็ได้เช่นกัน


โดย: นมสิการ วันที่: 29 มกราคม 2555 เวลา:16:35:13 น.  

ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะ VIP Friend
Comment :
  *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 

นมสิการ
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 142 คน [?]




หลักปฏิบัติ ...รู้สึกตัว ผ่อนคลาย เฉย ๆ สบาย ๆ

มากกว่า 20 ปีที่ไปหลงทำสมถภาวนาแบบสมาธิแบบฤาษีโดยที่ไม่รู้จักกับคำว่า อะไรคือสัมมาสติ สัมมาสมาธิ ผลที่ได้คือความสงบขณะกำลังนั่งสมาธิจนตัวนิ่งแข็งเป็นก้อนหิน แต่ผลข้างเคียงตามมาก็คือการเป็นคนเจ้าโทสะอย่างรุนแรงขณะเวลาไม่ได้นั่งสมาธิ และ ที่อยู่ในชีวิตประจำวัน....

จนได้พบกัลยณมิตรแดนไกล ที่ได้ชักนำให้มารู้จักวิธีปฏิบัติแบบหลวงพ่อเทียน จนได้พบกับพระอาจารย์ในสายหลวงพ่อเทียน ที่ผมได้เรียนการปฏิบัติจากท่าน จนเข้าใจว่า สัมมาสติ สัมมาสมาธิ คืออะไร แล้วลงมือฝึกฝน การปฏิบัติก็รุดหน้าและได้ลิ้มรสสิ่งบริสุทธิในจิตใจอันเป็นผลจากการปฏิบัติด้วยเวลาเพียง 5 ปี

ธรรมปฏิบัติจากฆราวาสเขียนเป็นสิ่งที่ยอมรับได้ยากในสังคมไทย ผมรู้ได้จากที่เขียนใน blog ผมได้พบกับการก่อกวนใน blog การเขียนเหน็บแนม กระแหนะกระแหน ตำหนิการการปฏิบัติที่ผมเขียนใน blog ว่าผิดทาง เขียนแบบคาดเดาเอา ไม่รู้จริง ให้ผมหยุดเขียนแนวนี้ได้แล้ว และไปโมทนาสาธุแนะนำการปฏิบัติสมาธิแบบฤาษีให้กับผมอีกว่านี่คือทางที่ถูกต้อง ...

บทความใน blog จึงเกิดขึ้นมา เพื่อแบ่งปันประสบการณ์ในการภาวนา
แก่ผู้อื่นที่กำลังเดินทางในสายแห่งอริยมรรคนี้

เมื่อท่านได้เข้ามาอ่านข้อเขียนใน blog กรุณาอย่าได้เชื่อผมจนกว่า ท่านได้ทดลองปฏิบัติแล้วและพิสูจน์ด้วยตัวท่านเอง

**กรุณา .อย่า.ได้บริจาคเงินให้ blog ผมทาง e-wallet ครับ **

******
บทความต่าง ๆ ใน blog นี้
ขอสงวนสิทธิ์ตามพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2537
ห้ามนำไปดัดแปลง ลอกเลียน หรือนำส่วนหนึ่งส่วนใดไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต

****
New Comments
Friends' blogs
[Add นมสิการ's blog to your web]
Links
 
MY VIP Friend


 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.