1 2 3
4 5 6 7 8 9 10
11 12 13 14 15 16 17
18 19 20 21 22 23 24
25 26 27 28 29 30
สิ่งมีชีวิตจะมีความรู้สึก
การมีชีวิตจะมีความรู้สึกเป็นคุณสมบัติทีสำคัญ เมื่อเรารู้สึกได้ถึงสิ่งใด เราจะเรียกสิ่งนั้นว่า ทุกข์ เป็นความมหัศจรรย์อย่างยิ่งของธรรมชาติ เพียงเรารู้ว่าเรารู้สึก หรือ รู้ว่า ทุกข์ได้เกิดแล้ว ถ้าเหตุแห่งทุกข์ได้หยุดลงเมื่อใด ทุกข์ก็จะหยุดลงไปด้วยเสมอ แต่ถ้าเมื่อใด ที่ทุกข์เกิด แล้ว เราไม่รู้ว่าทุกข์เกิด นี่ซิ ทุกข์นั้นจะคงตัวปรากฏอยู่อย่างยาวนาน นี่คือ สิ่งที่พระพุทธองค์ได้ค้นพบธรรมชาติของสิ่งมีชีวิตนี้ แล้วพระองค์ก็ได้ทรงบอกพุทธบริษัทในสิ่งที่พระองค์ทรงค้นพบ โดยเรียกสิ่งที่พระองค์ทรงค้นพบว่า อริบสัจจ์ 4 ข้อที่ 1 ว่า ทุกข์ให้รู้ กล่าวให้แง่การปฏิบัติธรรม สิ่งต่าง ๆ ที่เราพากเพียรฝึกฝน ก็เพื่อให้รู้จักว่าทุกข์ว่ามันเกิดขึ้นหรือยัง ทุกข์ที่เกิดนั้น จะเกิดขึ้นโดยผ่านทางระบบประสาท หรือ ที่เรียกกันในภาษาพระว่า อายตนะ 6 อันมี ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ดังนั้น การฝึกฝนในทางธรรมปฏิบัติ เพื่อให้รู้จักทุกข์ที่เกิดในอายตนะเหล่านี้นั้นเอง จะเห็นว่า ธรรมปฏิบัติที่เป็นรากฐานการพ้นทุกข์นั้นมันเป็นธรรมชาติและไม่ซับซ้อนอะไรเลย เพียงเราเข้าใจหลักการที่จะเข้าถึงการรู้ทุกข์ นี่คือการเข้าถึงการรู้ธรรมชาติแล้ว การรู้ทุกข์อันเป็นธรรมชาติ ก็ต้องอาศัยธรรมชาติ คือ การเข้ารู้ความรู้สึกแบบที่เป็นธรรมชาติ ไร้การเสริมแต่งใด ๆ ในการรู้ทุกข์นั้น ความยากมันอยู่ตรงนี้เอง คือ การเข้ารู้ความรู้สึกที่เป็นธรรมชาติไร้การเสริมแต่งใด ๆ ในการรับรู้ เพราะคนเราจะคุ้นเคยกับการเสริมแต่งจนชาชินแล้ว เมื่อจะไม่ให้เสริมแต่งจะไม่สามารถเกิดขึ้นได้ เมื่อรู้ทุกข์แบบเสริมแต่ง ก็ไม่ใช่การรู้ทุกข์ที่แท้จริง เมื่อรู้ไม่แท้จริง ก็ไม่ใช่รู้ธรรมชาติที่ถูกต้อง คำบัญญัติต่าง ๆ ที่เสริมเข้ามาเพื่อจะอธิบายปรากฏการณ์ของการพ้นทุกข์ในทุกวันนี้ ไม่ว่า จะเป็น นรก สวรรค์ ศีล สมาธิ ปัญญา ญาณ ญาณ หรือ อะไรก็แล้วแต่ ล้วนแต่เป็นการเสริมแต่งที่เข้ามาในสมองทั้งหมด เขี่ยพวกเสริมแต่งเหล่านี้ออกจากสมองซะ ให้เพียงรู้ทุกข์แบบเป็นธรรมชาติ ก็จะเข้าถึงหลักธรรมแห่งธรรมชาติได้ ถ้าบทความนี้ ลงท้ายว่าเขียนโดยพระชื่อดัง หรือ นักเขียนชื่อดัง ก็จะมีคำอนุโมทนาสาธุ แต่ถ้าเป็นฆราวาส หรือ นักเขียน no name ก็อาจจะได้รับการต่อต้านว่า พวกทำลายศาสนา ทั้ง ๆ ที่เขียนเหมือนกันทุกอย่างแต่สิ่งที่ได้รับไม่เหมือนกัน นี่คือการเสริมแต่งเข้าไปสู่จิตใจท่านผู้อ่านโดยที่ท่านไม่รู้จักว่ามันคือทุกข์ นั้นเอง ถ้าท่านผู้อ่านผู้ใดมองออก นั้นแหละ ท่านรู้จักทุกข์แล้ว ผมขออนุโมทนา ปัญญาในทางพุทธศาสนามันยากยิ่งก็ตรงการเสริมแต่งที่ถูกยัดเยียดเข้าไปจนล้นสมองของชาวพุทธทุกวันนี้นี่เองครับ ****
Create Date : 21 เมษายน 2553
Last Update : 29 มกราคม 2555 16:13:55 น.
1 comments
Counter : 1136 Pageviews.
โดย: นมสิการ วันที่: 29 มกราคม 2555 เวลา:16:50:40 น.
Location :
[ดู Profile ทั้งหมด]
ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember ผู้ติดตามบล็อก : 142 คน [? ]
หลักปฏิบัติ ...รู้สึกตัว ผ่อนคลาย เฉย ๆ สบาย ๆ มากกว่า 20 ปีที่ไปหลงทำสมถภาวนาแบบสมาธิแบบฤาษีโดยที่ไม่รู้จักกับคำว่า อะไรคือสัมมาสติ สัมมาสมาธิ ผลที่ได้คือความสงบขณะกำลังนั่งสมาธิจนตัวนิ่งแข็งเป็นก้อนหิน แต่ผลข้างเคียงตามมาก็คือการเป็นคนเจ้าโทสะอย่างรุนแรงขณะเวลาไม่ได้นั่งสมาธิ และ ที่อยู่ในชีวิตประจำวัน.... จนได้พบกัลยณมิตรแดนไกล ที่ได้ชักนำให้มารู้จักวิธีปฏิบัติแบบหลวงพ่อเทียน จนได้พบกับพระอาจารย์ในสายหลวงพ่อเทียน ที่ผมได้เรียนการปฏิบัติจากท่าน จนเข้าใจว่า สัมมาสติ สัมมาสมาธิ คืออะไร แล้วลงมือฝึกฝน การปฏิบัติก็รุดหน้าและได้ลิ้มรสสิ่งบริสุทธิในจิตใจอันเป็นผลจากการปฏิบัติด้วยเวลาเพียง 5 ปี ธรรมปฏิบัติจากฆราวาสเขียนเป็นสิ่งที่ยอมรับได้ยากในสังคมไทย ผมรู้ได้จากที่เขียนใน blog ผมได้พบกับการก่อกวนใน blog การเขียนเหน็บแนม กระแหนะกระแหน ตำหนิการการปฏิบัติที่ผมเขียนใน blog ว่าผิดทาง เขียนแบบคาดเดาเอา ไม่รู้จริง ให้ผมหยุดเขียนแนวนี้ได้แล้ว และไปโมทนาสาธุแนะนำการปฏิบัติสมาธิแบบฤาษีให้กับผมอีกว่านี่คือทางที่ถูกต้อง ... บทความใน blog จึงเกิดขึ้นมา เพื่อแบ่งปันประสบการณ์ในการภาวนา แก่ผู้อื่นที่กำลังเดินทางในสายแห่งอริยมรรคนี้ เมื่อท่านได้เข้ามาอ่านข้อเขียนใน blog กรุณาอย่าได้เชื่อผมจนกว่า ท่านได้ทดลองปฏิบัติแล้วและพิสูจน์ด้วยตัวท่านเอง **กรุณา .อย่า.ได้บริจาคเงินให้ blog ผมทาง e-wallet ครับ ** ****** บทความต่าง ๆ ใน blog นี้ ขอสงวนสิทธิ์ตามพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2537 ห้ามนำไปดัดแปลง ลอกเลียน หรือนำส่วนหนึ่งส่วนใดไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต ****
ที่อาจมีสิ่งผิดกฏหมายใส่เข้ามาใน blog
ท่านที่จะสนทนา หรือ ถามคำถาม ขอให้ส่ง email ถึงผมได้ที่
asknamasikarn@gmail.com
หรือสำหรับสมาชิก pantip จะส่งมาทางหลังไมค์ก็ได้เช่นกัน