รู้สึกตัว ผ่อนคลาย เฉย ๆ สบาย ๆ **กรุณา .อย่า.ได้บริจาคเงินให้ blog ผม ทาง e-wallet ครับ** **ผมขอสงวนสิทธิการเป็นเจ้าบ้านของ blog ลบข้อเขียนใดๆ ก็ได้ใน blog นี้ตามที่ผมเห็นสมควร**
Group Blog
 
<<
สิงหาคม 2553
1234567
891011121314
15161718192021
22232425262728
293031 
 
8 สิงหาคม 2553
 
All Blogs
 
ความรู้สึกตัว คือ ปัญญา

ลองดูความจริงที่ท่านจะพบเห็นได้เอง เมื่อท่านรู้สึกตัว
อยู่

..เมื่อท่านหิว ท่านก็รู้สึกได้ เมื่อท่านไม่หิว ท่านก็รู้สึกได้
..เมื่อยุงกัด ท่านก็รู้สึกได้ เมื่อไม่มียุงกัด ท่านก็รู้สึกได้
..เมื่อท่านปวดหัว ท่านก็รู้สึกได้ เมื่อท่่านไม่ปวดหัว ท่านก็รู้สึกได้
..เมื่อท่านโกรธ ท่านก็รู้สึกได้ เมื่อท่านเฉย ๆ ท่านก็รู้สึกได้
และอื่น ๆ อีกมาก

ท่านจะเห็นว่า สิ่งเหล่านี้คือธรรมชาติที่เกิดขึ้นที่ตัวของท่านทุก ๆ วัน
เป็นประจำเสมอ เพียงท่านรู้สึกตัว ท่านก็สัมผัสสิ่งเหล่านี้ได้เอง
การสัมผัสสิ่งเหล่านี้ คือ ปัญญาในทางพุทธศาสนาครับ

ท่านอาจร้องออกมา มันง่ายอย่างนี้เชียวหรือ
ใช่ครับ... มันง่าย ๆ ตรง ๆ อย่างนี้แหละครับ ไม่มีอะไรในกอไผ่ทีซ้อนเอาไว้

แต่ปัญหาอยู่ที่ คนทั่ว ๆ มัก.ไม่รู้สึกตัว.ได้เสมอ ๆ นี่เอง ทำให้คนมองไม่เห็นธรรมครับ
เลยมองว่า ธรรมเป็นของยาก ไม่เข้าใจในธรรม

ในความเป็นจริง ธรรมมีหลายระดับ ง่าย ๆ ก็มีดังตัวอย่างข้างต้น ยาก ๆ ก็มีเช่นโลกุตระธรรม
แต่ถ้าท่านเข้าใจธรรมในระดับง่าย ๆ ได้ก่อน จะเป็นหนทางที่จะเข้าใจธรรมในระดับที่ยาก
ขึ้นไปได้ครับ

ผมชี้ให้ท่านเห็นแล้วว่า ปัญหาการเข้าถึงธรรม คือ คนมักไม่รู้สึกตัว
ดังนั้น พระพุทธองค์ทรงสอนให้ชาวพุทธฝึกสมาธิ แล้วพระองค์ก็สอนอีกว่า
เมื่อสมาธิตั้งมั่น ก็จะเห็นธรรมตามความเป็นจริง

แต่คนทั่ว ๆ มักตีความคำสอนของพระองค์ผิดไป โดยตีความว่า
การทำสมาธิ คือ การทำจิตให้นิ่ง ๆ เลยไปฝึกสมาธิจิตนิ่งกันไปหมด
ก็เลยไม่เห็นธรรม ดังที่พระพุทธองค์ท่านสอนไว้

คำว่า ฝึกสมาธิ ของพระพุทธองค์ คือ การฝึกให้จิตตั้งมั่น ไม่ใช่ให้จิตนิ่งครับ
เพราะการมีความรุ้สึกตัวที่ต่อเืืนื่องที่ไม่เป๋ไปเป๋มาด้วยแรงกระทบสัมผัสนี่เอง
คือ อาการที่จิตตั้งมั่น

จิตยิ่งตั้งมั่นมากเท่าใด ยิ่งเห็นธรรมได้ลึกเท่านั้น
ถ้าจิตตั้งมั่นถึงที่สุด ก็เห็นธรรมถึงที่สุดเช่นกัน
นี่คือคำสอนที่ตรงไปตรงมาให้ชาวพุทธรู้วิธีการเข้าถึงธรรมด้วยตนเอง

พระอริยบุคคลทั้ง 4 ระดับ ตั้งแต่ พระโสดาบัน พระสกิทาคามี พระอนาคามี พระอรหันต์
ล้วนมาจากความตั้งมั่นแห่งจิตที่ต่างกันออกไป โดยระดับ พระอรหันต์จะตั้งมั่นถึงทีสุด
และก็ตั้งมั่นรอง ๆ ลงมาเรื่อย ๆ จนถึงระดับพระโสดาบัน

ท่านที่ต้องการเข้าสู่โสดาบันภูมิ ท่านเห็นทางแล้วใช่ใหมครับว่า ท่านต้องฝึกสมาธิ
ให้ตั้งมั่นถึงระดับหนึีง ท่านจึงจะเห็นธรรมในระดับโสดาบันได้
ไม่ใช่ท่านไปนั่งนับว่า วันนี้ผิดศีล5 หรือไม่ผิดศีล5 กี่ข้อแล้ว
พอคำไม่ผิดศีล ก็ใจพองโต พอผิดศีล ก็มานั่งเศร้าใจ

สิ่งที่ควบคู่กับความรู้สึกตัวที่จะทำให้ต่อเนื่อง ก็คือสัมมาสติ
สัมมาสติ จะเปรียบได้เหมือนการ Refresh Random Access Memory (RAM) ในเครื่องคอมพิวเตอร์ เมื่อสัมมาสติไปรู้การสัมผัสใน กาย เวทนา จิต ได้บ่อย ๆ ก็คือ การ Refresh
ความรู้สึกตัวให้ต่อเนื่องนั่นเอง นี่คือสิ่งที่สนับสนุนซึ่งกันและกัน ระหว่าง สัมมาสติและความรู้สึกตัว
ที่ผมยกมาให้ท่านเห็นภาพ ท่านเห็นแ้ล้วใช่ใหมครับ การทำจิตนิ่ง ๆ ไม่ใช่ทาง
อย่างแน่นอน เพราะไม่มีการ Refresh ความรู่้สึกตัวด้วยสัมมาสติอยู่ตลอดเวลานั่่นเอง

ท่านอาจจะถามต่อว่า รู้อย่างที่ผมเขียนไว้ด้วยความรู้สึกตัวที่ต่อเนื่องแล้วได้อะไรละ
ผมจะบอกท่านว่า
สิ่งที่ได้จะมี 3 ระดับ คือ

ระดับที่ 1...
เมื่อท่านรู้อย่างที่ผมเขียนข้างต้น ถ้ามันทุกข์ ท่านก็แก้ทุกข์ได้ทัีนที ถ้าไม่รู้ว่าเป็นทุกข์
ท่านก็คงไม่ได้ทำอะไร คงปล่อยทุกข์ไว้อย่างนั้น เช่น ท่านถูกยุงกัด ท่านรู้แล้ว ท่านก็สมควรแก้ใขเสีย ไม่ใช่ไม่รู้สึกตัว ปล่อยให้ยุงกัดไปตลอดเวลา อย่างนี้ท่านก็ยิ่งทุกข์หนักอาจป่วยไข้ได้ เป็นต้น
นี่คือการได้จากการที่ท่านมีความรู้สึกตัวอย่างพื้น ๆ ทีสุดที่เกิดตลอดเวลาในชีิวิตประจำวันของท่านเอง

ระดับที่ 2...
การรับรู้ด้วยความรู้่สึกตัวจะทำให้จิตเห็นความเป็นไตรลักษณ์ของสิ่งที่ถูกรับรู้มา
ทำให้เกิดปัญญาของจิต จิตเมื่อเกิดปัญญาจะมีความสามารถในการตัดอาการทุกข์ในจิตใจได้
ยิ่่งปัญญายิ่งมาก การตัดทุกข์ในใจยิ่งมีประสิทธิภาพมากขึ้น
ท่านลองพิจารณาดูซิครับ ถ้าใจท่านไม่ทุกข์ซะอย่าง มีค่ายิ่งกว่าเงินทองขนาดไหน

ระดับที่ 3...
เมื่อท่านรู้สึกตัวถึงที่สุดในระดับพระอรหันต์ ท่านจะทำลายกลไกการเวียนว่ายตายเกิด
ได้อย่างสิ้นเชิง การเกิดอีกของท่านไม่มีอีกแล้ว ท่านย่อมเข้าใจได้เองว่า
การเกิดมาแต่ละครั้งชีิวิตมันทุกข์ขนาดไหน ถ้าไม่เกิดอีก ก็ไม่มีทุกข์อีกเลย

สิ่งที่ผมเขียนมา ท่านมองออกใช่ใหมครับว่า
ในพุทธศาสนานั้น ความรู้สึกตัวคือปัญญา

*************
Free TextEditor



Create Date : 08 สิงหาคม 2553
Last Update : 29 มกราคม 2555 16:04:02 น. 6 comments
Counter : 1982 Pageviews.

 
ผมพยายามจะชี้ให้ท่านเห็นทางของอริยมรรค จึงพยายามเขียน
ไว้หลาย ๆ แนวทางในเรื่องหนึ่ง ๆ
ท่านที่อานเรื่องอื่นมาแล้วไม่เข้าใจ พอมาอ่านเรื่องในแนวนี้
อาจเกิดปิ๊งเข้าใจขึ้นมาได้

การปฏิบัติในแนวพุทธนั้น ท่านสมควรเข้าใจก่อน จึงจะปฏิบัติได้ตรงทางไม่เสียเวลาโดยไม่จำเป็น


โดย: นมสิการ วันที่: 8 สิงหาคม 2553 เวลา:20:34:18 น.  

 
สาธุค่ะ
ปัญญาก็คือการเห็นโลกตามความเป็นจริงใช่ไหมคะ
เมื่อเรามองโลกตามความเป็นจริง โลกก็จะเผยความจริงแก่เรา


โดย: Mat IP: 58.97.35.132 วันที่: 9 สิงหาคม 2553 เวลา:11:10:25 น.  

 
ใช่ครับ ปัญญาที่เห็นโลกตามความเป็นจริง


โดย: นมสิการ วันที่: 9 สิงหาคม 2553 เวลา:12:11:38 น.  

 
ที่ท่านเขียน ว่า ความรู้สึกตัว คือ ปัญญา มันทำให้เราเข้าใจง่ายขึ้นมากเลย เพราะเมือ่ก่อนเรา ก็ฝึกสมาธิ เพื่อให้เกิดปัญญา แต่เรายึ่งฝึกยิ่งยึด ยิ่งหลงเข้าไปในความคิด
โดยคิดว่า ความคิด วิเคราะห์ในธรรม คือ ปัญญา มันทำให้เราฟุ้งมากเลย

แต่ตอนหลังเรามา เจอ การฝึก ความรู้สึกตัว วิธีของหลวงพ่อเทียน ซึ่งเป็นทางลัดตรงเข้า สู่ สติ และปัญญา
เพียงแค่เรา รู้สึกเฉยๆ กับ อารมณ์ หรือ อาการตอนนั้น
มันก็เป็น ปัญญา เบ็ดเสร็จอยู่ในตัวโดยไม่ต้องไปวิเคราะห์ ใดใด

มันทำให้เรารู้สึกว่า ธรรมะ เป็นของง่ายๆ เป็นของใกล้ตัว หรือ ภายในตัวเรานี่เอง ไม่ต้องไปค้นหาที่อื่น เพียงแต่มาทำความรู้สึก กับสิ่งที่เกิดกับเราตอนนี้ ดูความรู้สึก ที่เป็นตอนนี้ โดยไม่พูดออกมาเป็นคำพูด ดังเช่น ที่ท่านเขียนด้านบน

เมื่อเราทำความรู้สึก กับ อาการต่างๆ หรือ อารมณ์ต่างๆ เราจะเห็นเลยว่า ความหิว ความโกรธ ความกลัว ความเจ็บปวด ต่างๆ ทุกอย่าง ล้วนเกิดขึ้นมา แล้ว
ดับไป คงทนอยู่ไม่ได้ แปรเปลี่ยนไปเป็นอาการอย่างอื่นอีก ไม่จีรังยั่งยืน ยึดถือไม่ได้ เชื่อถือไม่ได้

มันทำให้เราเห็นชัดๆ ว่า อาการ หรือ อารมณ์เหล่านี้ ไม่ใช่ตัวเรา เพราะถ้าเป็นตัวเรา มันต้องเหมือนเดิม เกิดแล้ว ต้องควบคุมได้ มันต้องไม่เปลี่ยนแปลงไป
ต้องไม่ดับไป

เมื่อเป็นเช่นนี้ เมื่อเรา ทำความรู้สึกตัว กับความรู้สึกที่เกิดอยู่เมื่อใด มันจึง เป็นทั้ง การฝึก สติ สมาธิ และ ปัญญา ไปพร้อมๆ กัน

ไม่รู้ที่ฉันเขียนไปเป็นความเข้าใจถูกต้องหรือไม่
ขอให้ คุณ มนัสการ ช่วยชี้แนะด้วย

ขอบคุณค่ะ




โดย: ธรรมชาติ IP: 111.84.203.164 วันที่: 20 สิงหาคม 2553 เวลา:22:50:39 น.  

 
ตอบคุณธรรมชาติ
การเกิดปัญญาั้ที่มาจากการปฏิบัติภาวนานั้น ที่สำคัญ คือ ต้องมากจาก
3 อย่างคือ

1.การที่เห็นด้วยตนเอง
2.การทีรู้ด้วยตนเอง
3.การที่เข้าใจด้วยตนเอง

ส่วนจะออกมาเป็นคำพูดแบบใดอย่างไรก็แล้วแต่ ถือว่าใช้ได้ทั้งสิ้่น

แต่ถ้าข้อ 1 2 3 ไม่เกิดขึ้น
เพียงแต่อ่านหนังสือมา หรือ จำคนอื่นพูดมา
ก็เป็นปัญญาเหมือนกัน แต่เป็นเพียงปัญญาที่มาจากการฟัง
การอ่าน แต่ไม่ใช่มาจากการภาวนาครับ


โดย: นมสิการ วันที่: 21 สิงหาคม 2553 เวลา:0:00:47 น.  

 
ผมจำเป็นต้องปิดการเขียนของท่านผู้อ่าน เนื่องจากกฏหมายอินเตอร์เนท
ที่อาจมีสิ่งผิดกฏหมายใส่เข้ามาใน blog

ท่านที่จะสนทนา หรือ ถามคำถาม ขอให้ส่ง email ถึงผมได้ที่
asknamasikarn@gmail.com

หรือสำหรับสมาชิก pantip จะส่งมาทางหลังไมค์ก็ได้เช่นกัน


โดย: นมสิการ วันที่: 29 มกราคม 2555 เวลา:16:31:11 น.  

ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะ VIP Friend
Comment :
  *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 

นมสิการ
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 142 คน [?]




หลักปฏิบัติ ...รู้สึกตัว ผ่อนคลาย เฉย ๆ สบาย ๆ

มากกว่า 20 ปีที่ไปหลงทำสมถภาวนาแบบสมาธิแบบฤาษีโดยที่ไม่รู้จักกับคำว่า อะไรคือสัมมาสติ สัมมาสมาธิ ผลที่ได้คือความสงบขณะกำลังนั่งสมาธิจนตัวนิ่งแข็งเป็นก้อนหิน แต่ผลข้างเคียงตามมาก็คือการเป็นคนเจ้าโทสะอย่างรุนแรงขณะเวลาไม่ได้นั่งสมาธิ และ ที่อยู่ในชีวิตประจำวัน....

จนได้พบกัลยณมิตรแดนไกล ที่ได้ชักนำให้มารู้จักวิธีปฏิบัติแบบหลวงพ่อเทียน จนได้พบกับพระอาจารย์ในสายหลวงพ่อเทียน ที่ผมได้เรียนการปฏิบัติจากท่าน จนเข้าใจว่า สัมมาสติ สัมมาสมาธิ คืออะไร แล้วลงมือฝึกฝน การปฏิบัติก็รุดหน้าและได้ลิ้มรสสิ่งบริสุทธิในจิตใจอันเป็นผลจากการปฏิบัติด้วยเวลาเพียง 5 ปี

ธรรมปฏิบัติจากฆราวาสเขียนเป็นสิ่งที่ยอมรับได้ยากในสังคมไทย ผมรู้ได้จากที่เขียนใน blog ผมได้พบกับการก่อกวนใน blog การเขียนเหน็บแนม กระแหนะกระแหน ตำหนิการการปฏิบัติที่ผมเขียนใน blog ว่าผิดทาง เขียนแบบคาดเดาเอา ไม่รู้จริง ให้ผมหยุดเขียนแนวนี้ได้แล้ว และไปโมทนาสาธุแนะนำการปฏิบัติสมาธิแบบฤาษีให้กับผมอีกว่านี่คือทางที่ถูกต้อง ...

บทความใน blog จึงเกิดขึ้นมา เพื่อแบ่งปันประสบการณ์ในการภาวนา
แก่ผู้อื่นที่กำลังเดินทางในสายแห่งอริยมรรคนี้

เมื่อท่านได้เข้ามาอ่านข้อเขียนใน blog กรุณาอย่าได้เชื่อผมจนกว่า ท่านได้ทดลองปฏิบัติแล้วและพิสูจน์ด้วยตัวท่านเอง

**กรุณา .อย่า.ได้บริจาคเงินให้ blog ผมทาง e-wallet ครับ **

******
บทความต่าง ๆ ใน blog นี้
ขอสงวนสิทธิ์ตามพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2537
ห้ามนำไปดัดแปลง ลอกเลียน หรือนำส่วนหนึ่งส่วนใดไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต

****
New Comments
Friends' blogs
[Add นมสิการ's blog to your web]
Links
 
MY VIP Friend


 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.