สภาวะปรมัตถ์ ซ่อนอยู่ใน สภาวะสมมุติ
ผมจะเขียนเรื่องพื้น ๆ ที่นักปฏิบัติธรรมอาจมองข้ามไป
เมื่อเรากำลังอยู่ในสภาวะแห่งความรู้สึกตัวอยู่ จะเห็นว่า ในสภาวะเช่นนี้
ตา ก็จะมองเห็น ภาพ ได้อยู่ หู ก็จะได้ยิน เสียง ได้อยู่ จมูก ก็จะได้ กลิ่น ได้อยู่ ลิ้น ก็จะได้ รส ได้อยู่ กาย ก็จะรู้ อาการทางกาย ได้อยู่ ใจ ก็จะรู้ อาการทางใจ ได้อยู่
ถ้าผมเขียนแค่นี้ ท่านที่เข้ามาอ่าน ก็จะเข้าใจได้อยู่ แต่ผมกำลังจะชี้ลงไปอีกนิดว่า สิ่งที่ท่านเข้าใจนั้น อาจเข้าใจได้เพียงครึ่งเดียว เพราะ สภาวะจริงที่เกิดนั้น มันเกิดซ้อน กันอยู่อย่างแนบเนียน จนมองไม่ออก
ผมขอยกตัวอย่างให้ท่านดู เพื่อการเข้าใจ เมื่อท่านเห็น .นกพิราบ. 1...สภาวะแรกที่เกิดขึ้น คือ การรับรู้ที่ผ่านทางประสาทตา (ภาษาพระเรียกว่า เกิดผัสสะทางตาขึ้นแล้ว ) **คนส่วนมากจะมองการรับรู้ผัสสะแบบนี้ไม่ออก**
2...เมื่อเกิดการรับรู้ที่ผ่านทางประสาทตาแล้ว จะมีการแปลภาษาการรับรู้ต่อไปอีก ว่า สิ่งที่เห็นคือ นกพิราบ **คนส่วนมากจะรับรู้ในขั้นแปลภาษานี้ได้ดี ***
นี่คือความต่างของคนที่ปฏิบัติธรรมและไม่ได้ปฏิบัติธรรมครับ คือ คนทั่้ว ๆ ไปจะรับรู้แต่ข้อ 2 แต่เขาไม่รู้ในข้อ 1 แต่นักปฏิบัติ เขาจะรับรู้ทั้งข้อ 1 และ ข้อ 2
ขอให้ท่านใจเย็น ๆ ผมกำลังจะชี้อะไรให้ท่านดูครับ ขอให้ท่านอ่านต่อไปนี้สักหลาย ๆ เที่ยวถ้าไม่เข้าใจ
การรับรู้ในข้อ 1 นั้นเป็นการรับรู้ในสภาวะที่เกิดจริงหรือภาษาพระเรียกกันว่า รู้่ปรมัตถ์ อันนี้ เกิดจริง ๆ ทีมันมีอยู่ตลอดเวลา แต่คนไม่สังเกตกันเอง
การรับรู้ในข้อ 2 นั้นเ็ป็นการรับรู้ในสภาวะที่เป็นการแปลการรับรู้จากข้อ 1 ซึ่งภาษาพระเรียกกัน ว่า รู้สมมุติ ซึ่งมันเกิดขึ้นเพราะมีการสั่งสอน อบรมกันมาว่า สิ่งที่เห็น เขาเรียกกันว่า นกพิราบ อันนี้จะเข้าใจยากสักหน่อยสำหรับบางท่าน ขอให้พิจารณากันดี ๆ
สมมุิติว่า ท่านอุ้มลูกไปด้วยอายุ 1 เดือน ท่านชี้ให้ลูกดู แล้วบอกลูกว่า นี่ไง นกพิราบ ลูกท่านก็เห็นภาพได้ แต่ลูกท่านจะไม่รู้จักว่านี่คือ นกพิราบ ทั้งนี้เป็นเพราะลูกท่านยังเด็กเกินว่า การทำงานของสัญญาขันธ์จะทำงานในการจำ ว่านี่คือคนเขาเรียกกันว่านกพิราบได้
แล้วไง... ท่านอาจถามต่อไปอีกในใจ นี่ครับ ขบวนการของอวิชชา มันเกิดตรงนี้ครับ คนส่วนใหญ่ที่รู้จักสภาวะในข้อ 2 จะเชื่ออย่างสนิทใจว่า สิ่งที่เขาเห็นนั้นมันของจริง มันเป็นอย่างนั้นจริง ๆ เพราะเขาเห็นอย่างนั้นจริง ๆ แต่ความเป็นจริงนั้น สิ่งที่เขาเชื่อว่าจริง เป็นเพราะการทำงานของสัญญาขันธ์ต่างหาก ถ้าสัญญาขันธ์ไม่ทำงานแล้ว เขาจะไม่รู้จักนกพิราบเลย อย่างกรณีของลูกของคุณที่ยังเล็กนั่้นเอง
พอคนเชื่อว่าเห็นนกพิราบจริงอย่างตัวอย่างที่ผมยกมา ในทำนองเดียวกัน สิ่งที่เขาได้ยิน สิ่งที่เขาได้กลิ่น และอื่นๆ อีกมาก เขาก็จะเชื่ออย่างสนิทใจว่า นี่ของจริงแท้แน่นอน
แต่สำหรับนักปฏิบัติ เขาเห็นสภาวะทั้งข้อ 1 และข้อ 2 เมื่อผมเห็น ทำให้ผมเข้าใจในเรื่องสมมุติ ปรมัตถ์ ขึ้นมาทันที (อันนี้ ต้องใจเย็น ๆ นะครับ ท่านผู้อ่าน มันไม่เกิด ก็ฝึกการเจริญสัมมาสติต่อไปเรื่อย ๆ ก่อน สักวัีนมันจะเกิดเอง ตอนที่ผมเกิด ผมเกิดขนลุกซู่ตั้งเกือบ 10 นาที ทำให้ผมเข้าใจ เรื่องอวิชชาก็มาจากเรื่องนี้ ) พอผมเข้าใจเรื่อง อวิชชา ผมก็ร้องอ๋อ พระพุทธเจ้าเห็นอย่างนี้นี่เอง
ถ้าเราเข้าใจสภาวะแห่งปรมัตถ์ แห่งสมมุติ เมื่อไร มันจะเกิดโลกซ้อนกัน 2 ใบ โลกใบหนึ่งคือโลกแห่งปรมัตถ์ที่เกิดสภาวะตลอดเวลา เกิดรู้ตลอดเวลาที่ไม่มีการขาดการรู้เลย และอีกโลกคือโลกแห่งสมมุติ ที่คนทั่ว ๆ ไปรู้จักกันนี่เอง
ในโลกแห่งปรมัตถ์ มันไม่มีอะไรเลย นอกจากการรู้สภาวะสัมผัสจากการทำงานของระบบประสาท ที่มัีนเกิดอย่างถี่ยิบตลอดเวลา ในโลกแห่งสมมุิติ เมื่อมีการแปลการรับรู้สัมผัสออกมา มันก็จะมีคน สัตว์ สิ่งของต่าง ๆสารพัด สารเพ แล้่วการปรุงแต่งต่าง ๆ ก็จะเกิดตามมาอีกมากมาย เพราะมีคน มีสัตว์ มีสิ่งของต่างๆ นั้่นเอง
เมื่อเข้าใจโลกใบที่ 1 ปรมัตถ์ ทำให้นักปฏิบัติเกิดการปล่อยวางในโลกใบที่ 2 ที่เป็นโลกแห่งสมมุติได้เอง เพราะนักปฏิบัิติรู้อย่างชัดแจ้งแล้วว่า โลกใบที่ 2 นั้นมันไม่ใช่ของจริง มันเป็นมายาที่เกิดจากขันธ์ 5 ไปแปลภาษาปรมัตถ์เข้าต่างหาก
จะเห็นว่า การปล่อยวาง ที่เกิดขึ้น ไม่ใด้มาจากการคิดเลยว่า สิ่งนี่้ไม่ดี มันเลว อย่าไปทำ อย่าไปยึด ถ้าไปเชื่ออย่างทีเขาว่ากันในตำรา เพราะนี่้คือการแปลภาษาของขันธ์ 5 เช่นเดียวกัน ผมก็ฉีกตำราส่วนนี้ทิ้งอีกเช่นกันครับ
ผมกำลังจะชี้ให้ท่านเห็นว่า การเข้าใจธรรมนั้น มีลักษณะอย่างไร การปล่อยวางเกิดขึ้นได้อย่างไร และที่เกิดขึ้นได้จะต้องมาจากการเห็นสภาวะในข้อ 1 และ 2 ที่มันซ้อนกันอยู่ จนเกิดการเข้าใจได้อย่างจริง ๆ
นี่คือผลแห่ง สติปัฏฐาน 4 ที่ถูกต้องนำทางนักปฏิบัติสู่การพ้นทุกข์ได้จริง จะว่าง่าย มันก็ง่าย มันจะยาก มันก็ยาก
ตำราเมื่ออ่าน คนมักจะตีึความเอง ว่าธรรมต้องเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ แต่ของจริง จะไม่เหมือนตำราอย่างแน่นอนครับ การปฏิบัติให้เพียงรู้หลักการ แล้วฝึกฝนให้ชำนาญ แล้วจะเข้าใจได้เองด้วยปัญญา การไปติดตำรา ตีึความในตำรา มันไม่มีทางตรงได้เลย เพราะของจริงและตำรา ไม่ตรงกันนั้นเอง
Create Date : 11 มิถุนายน 2553 |
|
13 comments |
Last Update : 29 มกราคม 2555 16:10:50 น. |
Counter : 2331 Pageviews. |
|
|
|