ดูเงาของจิตภาค 2
มีผู้ร้องขอให้ผมเขียนเรื่องการดูเงาของจิตอีกเพื่อความกระจ่าง ผมได้เคยเขียนเรื่อง ..การดูเงาของจิตแล้วถึงมรรคผลจริงหรือเปล่า.. ไว้แล้วใน blog นี ที่//www.bloggang.com/viewdiary.php?id=namasikarn&month=05-2010&date=06&group=8&gblog=10 ในบทนี้ ผมจะเขียนในลักษณะถามตอบ อาจทำให้เข้าใจอะไรได้ดีขึ้นกว่าเดิม แต่ถ้าท่านมีำคำถามเพิ่ม ขอให้ถามได้ที่ใต้บทความนี้ 1..เงาของจิตคืออะไร >> เนื่องจากคำ ๆ นี้ไม่มีการบัญญัติไว้เป็นคำมาตรฐานของศาสนาพุทธ ผมจึงขออธิบายตามที่ผมเข้าใจดังนี้ เงาของจิต ก็คือ อาการจิตปรุงแต่ง ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในจิตใจของเรานี่เอง ยกตัวอย่างได้แก่ อาการดีใจ เสียใจ โกรธ รัก อิจฉา พยาบาท และอื่นๆ อีกสารพัด ในอาการของจิตใจ ที่ว่าเป็นเงาของจิต เพราะว่า จิตเดิมนั้นประภัสสร มันปรกติใสอยู่อย่างนั้น ถ้าจะเปรียบทางโลก จิตเดิมที่ประภัสสร จะคล้ายกับท้องฟ้าที่สดใส ไร้เมฆ ไร้ดวงดาว แต่เงาของจิต จะคล้ายกับก้อนเมฆ หรือ ดาวตก ที่ปรากฏอยู่บนท้องฟ้า ที่เป็นปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นเป็นคราว ๆ ไป ไม่แน่นอน ถ้าจะเทียบอีกอย่างเพื่อให้เข้าใจมากขึ้น จิตเดิมที่ประภัสสร สดใสนั้น สามารถเทียบได้กับ น้ำที่บริสุทธิไร้สิ่งแปลกปลอมในน้ำ แต่สิ่งแปลกปลอมในน้ำ เช่น โคลน ขยะ จะเปรียบได้กับเงาของจิต ที่ทำให้น้ำ ที่บริสุทธินั้นดูแล้วสกปรก จากตัวอย่าง จะเห็นว่า ธรรมชาติของจิต หรือ ธรรมชาติของน้ำ หรือ ธรรมชาติของท้องฟ้า ไม่เคยสกปรก มันจะสดใสบริสุทธิอย่างนั้นเสมอ แต่สิ่งที่ทำให้จิตไม่สดใส ก็คือเงาของจิต หรือ ขยะ โคลนตมในน้ำ หรือ ก้อนเมฆบนท้องฟ้า 2..การดูเงาของจิตคืออย่างไร >> ในคนทั่ว ๆ ไปที่เขาไม่ได้ฝึกฝนการเจริญสัมมาสติ จนมีสติที่ตั้งมั่น การที่เขารู้ัตัวเองว่า เขาโกรธอยู่นะ นั่นยังไม่ใช่ <การดูเงาของจิต> อย่างแท้จริง เพราะการเห็นเงาของจิตได้นั้น ผู้ปฏิบัติต้องมีกำลังแห่งสัมมาสติตั้งมั่นในระดับหนึ่ง ที่มากกว่าคนทั่ว ๆ ไปที่ไม่ได้ฝึกฝนการเจริญสัมมาสติ เพราะการเห็นเงาของจิตได้นั้น ผู้ปฏิบัีติจะ <เห็น> ได้จริง ๆ ดังตาเห็นภาพที่ปรากฏ เมื่อเราลืมตาขึ้น อย่างไรอย่างนั้นเลย ถ้าผมจะยกตัวอย่างให้ท่านเห็น อาการเห็นเงาของจิตนั้น มันจะคล้ายๆ กับท่านเห็นดาวตกในตอนกลางคืน ที่มันพุ่งว๊าบเดียวกลางท้องฟ้าทีมืดมิด การเห็น มันจะเห็นอย่างนั้นจริง ๆ คือ เห็นจริง ๆ ไม่ใช่ไม่เห็น ผลแห่งการเห็นเงาของจิตได้นั้น จะทำให้ผู้ปฏิบัติเข้าใจได้เลยว่า เงาของจิต มันเป็นไตรลักษณ์ มันไม่ใช่เรา มันไม่ใช่ของเรา เมื่อเห็นมาก ๆ เห็นบ่อย ๆ ก็จะเกิดการปล่อยวางเงาของจิตขึ้นมา ทำให้ทุกข์ใจลดลงไปได้ แต่ถ้าไม่เห็นเงาของจิต คน ๆ นั้นจะเข้าใจไปว่า เงาของเจิตนั้นเป็นของเขา เงาของจิตนั้นเป็นตัวเขา และทุกข์ใจจะไม่ลดลงได้เลย นี่คือผลแห่งความแตกต่างระหว่างการเห็น และการไม่เห็น อย่างแท้จริง การเห็น จะทำให้เกิดการปล่อยวางเงาของจิตต่อไป แต่การไม่เห็น จะไม่ทำให้เกิดการปล่อยวางเงาของจิตได้เลย 3.. มีบางอาจารย์กล่าวว่า การดูเงาของจิตไม่ทำให้ละกิเลสได้จริง ดังนั้นเรา ไม่ต้องดูเงาของจิต ได้ไหม >> เรื่องนี้จะตอบแบบฟันธงว่า ไม่ต้องดู หรือ ต้องดู ไม่ได้ครับ เพราะว่า เมื่อเราฝึกการเจริญสัมมาสติ จนมีความตั้งมั่นแห่งสัมมาสมาธิขึ้นมาเมื่อไร ตอนนี้ ถ้าจะเปรียบก็เหมือนกับว่า เราได้ตื่นขึ้นและลืมตาอยู่ เมื่อเราลืมตาอยู่ สิ่งใดเกิดขึ้นข้างหน้าเรา เราก็ย่อมมองเห็นได้เอง โดยไม่ต้องไปจงใจที่จะเห็น การเห็นเงาของจิตก็เช่นกัน เราไม่ได้จงใจว่าจะเห็น หรือไม่ต้องการเห็น แต่ถ้ามันเกิดเมื่อไร คนที่มีกำลังสัมมาสติที่ตั้งมั่น จะต้องเห็นกันทุกคนได้เอง เหมือนคนทีลืมตาแล้วเห็นสิ่งที่อยู่ข้างหน้า อย่างไรอย่างนั้นเลย อนึ่ง เงาของจิตเป็นสภาวะีที่หยาบ เมื่อนักปฏิบัติที่ผ่านการฝึกฝนการเจริญสัมมาสติ มา เขาจะต้องผ่านการเห็น เงาของจิตก่อนเสมอ อันเป็นทางผ่าน ก่อนที่เขาจะไปเห็นตัวจิตที่แท้จริงได้ต่อไปเมื่อกำลังสัมมาสติตั้งมั้่นจนเกิดญาณปัญญาขึ้นมาแล้ว 4..เงาของจิต คือ กิเลส ใช่หรือไม่ >> ถ้าว่ากันตามตำรา จะว่าใช่ก็ได้ครับ แต่ทว่า... อันคนปรกติธรรมดาที่ไม่ได้ฝึกฝน เมื่อเกิดอาการจิตปรุงแีต่ง หรือเงาของจิต หรือ กิเลส เขาจะไม่เห็นมันเลย ตัวเขาเองก็จะหลงกินจิตปรุงแต่งหรือกิเลสเข้าไป ทำให้เขาเกิดอาการมัวเมาคลุ้มคลั่งในกิเลสนั้น ทำอะไรตามใจกิเลสที่เขาหลงกินเข้าไป นี่คือกิเลสได้สิงสู่จิตใจเขาแล้ว แต่ในผู้ปฏิบัติที่ชำนาญ เมื่อเกิดเงาของจิตขึ้น เขาจะเห็นมัน และ เงาของจิตก็สลายไปเองโดยอัตโนมัติ เงาของจิตทำอะไรเขาไม่ได้เลย เขายังคงมีัสติสัมปชัญญะดีอยู่ จิตใจปรกติ ผ่องใส อย่างนี้ เงาของจิต ไม่เรียกว่าเป็นกิเลส แต่เป็นธรรมชาติอย่างหนึ่งของจิตใจครับ 5..ทำอย่างไร เพื่อไม่ให้เงาของจิตเกิดได้อีก >> คำถามนี้ ผมคงตอบยากครับ เพราะผมเองยังไม่สิ้นสุดแห่งทุกข์ ถึงแม้ว่า ผมจะเห็นเงาของจิตเป็นธรรมชาติแล้ว ผมยังมีอาการจิตมัวลงไป จากจิตปรกติที่มันผ่องใสอยู่ ถึงแม้ไม่บ่อย แต่ก็ยังมีอยู่ ( อ่านเรื่อง //www.bloggang.com/viewdiary.php?id=namasikarn&month=05-2010&date=22&group=8&gblog=16 ) นี่ก็เป็นเงาของจิตเช่นกันครับ ถึงมันจะไม่แสดงพิษสงอะไรออกมา แต่มันก็ทำให้จิตหมองลงไปได้ ที่เป็นอย่างนี้ได้ เป็นเพราะการหมั่นฝึกฝนการเจริญสัมมาสติ จนมีความตั้งมั่นมาก ๆ ธาตุรู้เกิดการตื่นตัวขึ้นมา จึงเป็นผลอย่างนี้ครับ 6..ทำไมในเวปบอร์ดธรรม จึงมักมีการทะเลาะกันเรื่องการดูเงาของจิต >> การที่คนเขาทะเลาะกัน เพราะเขาไม่เคยเห็นของจริงครับ เขาไม่เคยเห็นอาการเงาของจิต เขาไม่เคยเห็นจิต เขาจึงไม่รู้ว่าอะไรเป็นอะไร เมื่อเขาไม่รู้ เขาก็จะเอาความคิดของเขา เอาการตีความจากตำราบ้าง จากครูบาอาจารย์บ้าง โดยตีความตามทิฐิของเขามาแสดงความคิดความเห็นในเวปบอร์ด เมื่อเกิดทิฐิทีต่างกัน ก็เลยเกิดการทะเลาะกัน แต่ถ้าคนที่เขาเห็นจริงได้แล้ว เขาจะไม่มาทะเลาะกันเด็ดขาด เพราะสิ่งที่เขาเห็นจะเหมือนกันทุกประการครับ
Create Date : 06 มิถุนายน 2553
18 comments
Last Update : 29 มกราคม 2555 16:11:15 น.
Counter : 1478 Pageviews.
โดย: palmgang IP: 119.42.103.223 6 มิถุนายน 2553 9:52:08 น.
โดย: ตั้งไข่ IP: 112.142.95.177 6 มิถุนายน 2553 10:14:50 น.
โดย: นมสิการ 6 มิถุนายน 2553 12:40:14 น.
โดย: แมท (MAT9 ) 6 มิถุนายน 2553 13:45:31 น.
โดย: แมท (MAT9 ) 6 มิถุนายน 2553 13:56:44 น.
โดย: แมท (MAT9 ) 6 มิถุนายน 2553 14:10:45 น.
โดย: mcayenne94 IP: 111.84.187.173 6 มิถุนายน 2553 14:59:30 น.
โดย: นมสิการ 6 มิถุนายน 2553 16:21:07 น.
โดย: kaoim 6 มิถุนายน 2553 17:20:09 น.
โดย: แมท IP: 61.90.5.174 6 มิถุนายน 2553 17:37:07 น.
โดย: ไพรสณฑ์ (ไพรสณฑ์ ) 7 มิถุนายน 2553 7:21:15 น.
โดย: ไปไม่ถึงไหน IP: 117.47.150.104 7 มิถุนายน 2553 14:00:35 น.
โดย: นมสิการ 7 มิถุนายน 2553 14:20:05 น.
โดย: ไปไม่ถึงไหน IP: 117.47.150.104 7 มิถุนายน 2553 15:16:06 น.
โดย: น.ส.ธรรมดา IP: 118.172.54.217 7 มิถุนายน 2553 17:15:12 น.
โดย: kaoim IP: 183.89.103.107 8 มิถุนายน 2553 13:20:21 น.
โดย: ยิ่งเอก IP: 113.53.183.200 24 มิถุนายน 2553 10:54:44 น.
โดย: นมสิการ 29 มกราคม 2555 16:44:45 น.
Location :
[ดู Profile ทั้งหมด]
ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember ผู้ติดตามบล็อก : 142 คน [? ]
หลักปฏิบัติ ...รู้สึกตัว ผ่อนคลาย เฉย ๆ สบาย ๆ มากกว่า 20 ปีที่ไปหลงทำสมถภาวนาแบบสมาธิแบบฤาษีโดยที่ไม่รู้จักกับคำว่า อะไรคือสัมมาสติ สัมมาสมาธิ ผลที่ได้คือความสงบขณะกำลังนั่งสมาธิจนตัวนิ่งแข็งเป็นก้อนหิน แต่ผลข้างเคียงตามมาก็คือการเป็นคนเจ้าโทสะอย่างรุนแรงขณะเวลาไม่ได้นั่งสมาธิ และ ที่อยู่ในชีวิตประจำวัน.... จนได้พบกัลยณมิตรแดนไกล ที่ได้ชักนำให้มารู้จักวิธีปฏิบัติแบบหลวงพ่อเทียน จนได้พบกับพระอาจารย์ในสายหลวงพ่อเทียน ที่ผมได้เรียนการปฏิบัติจากท่าน จนเข้าใจว่า สัมมาสติ สัมมาสมาธิ คืออะไร แล้วลงมือฝึกฝน การปฏิบัติก็รุดหน้าและได้ลิ้มรสสิ่งบริสุทธิในจิตใจอันเป็นผลจากการปฏิบัติด้วยเวลาเพียง 5 ปี ธรรมปฏิบัติจากฆราวาสเขียนเป็นสิ่งที่ยอมรับได้ยากในสังคมไทย ผมรู้ได้จากที่เขียนใน blog ผมได้พบกับการก่อกวนใน blog การเขียนเหน็บแนม กระแหนะกระแหน ตำหนิการการปฏิบัติที่ผมเขียนใน blog ว่าผิดทาง เขียนแบบคาดเดาเอา ไม่รู้จริง ให้ผมหยุดเขียนแนวนี้ได้แล้ว และไปโมทนาสาธุแนะนำการปฏิบัติสมาธิแบบฤาษีให้กับผมอีกว่านี่คือทางที่ถูกต้อง ... บทความใน blog จึงเกิดขึ้นมา เพื่อแบ่งปันประสบการณ์ในการภาวนา แก่ผู้อื่นที่กำลังเดินทางในสายแห่งอริยมรรคนี้ เมื่อท่านได้เข้ามาอ่านข้อเขียนใน blog กรุณาอย่าได้เชื่อผมจนกว่า ท่านได้ทดลองปฏิบัติแล้วและพิสูจน์ด้วยตัวท่านเอง **กรุณา .อย่า.ได้บริจาคเงินให้ blog ผมทาง e-wallet ครับ ** ****** บทความต่าง ๆ ใน blog นี้ ขอสงวนสิทธิ์ตามพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2537 ห้ามนำไปดัดแปลง ลอกเลียน หรือนำส่วนหนึ่งส่วนใดไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต ****
กิเลส ไม่มี อะไรก็ไม่มี มีแต่ธรรมชาติี่ที่เกิดขึ้น ตั้งอยู่ แล้วก็ดับไป