รู้สึกตัว ผ่อนคลาย เฉย ๆ สบาย ๆ **กรุณา .อย่า.ได้บริจาคเงินให้ blog ผม ทาง e-wallet ครับ** **ผมขอสงวนสิทธิการเป็นเจ้าบ้านของ blog ลบข้อเขียนใดๆ ก็ได้ใน blog นี้ตามที่ผมเห็นสมควร**
Group Blog
 
<<
มิถุนายน 2553
 12345
6789101112
13141516171819
20212223242526
27282930 
 
6 มิถุนายน 2553
 
All Blogs
 

ดูเงาของจิตภาค 2

มีผู้ร้องขอให้ผมเขียนเรื่องการดูเงาของจิตอีกเพื่อความกระจ่าง
ผมได้เคยเขียนเรื่อง ..การดูเงาของจิตแล้วถึงมรรคผลจริงหรือเปล่า.. ไว้แล้วใน blog นี ที่
//www.bloggang.com/viewdiary.php?id=namasikarn&month=05-2010&date=06&group=8&gblog=10


ในบทนี้ ผมจะเขียนในลักษณะถามตอบ อาจทำให้เข้าใจอะไรได้ดีขึ้นกว่าเดิม
แต่ถ้าท่านมีำคำถามเพิ่ม ขอให้ถามได้ที่ใต้บทความนี้

1..เงาของจิตคืออะไร

>> เนื่องจากคำ ๆ นี้ไม่มีการบัญญัติไว้เป็นคำมาตรฐานของศาสนาพุทธ
ผมจึงขออธิบายตามที่ผมเข้าใจดังนี้

เงาของจิต ก็คือ อาการจิตปรุงแต่ง ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในจิตใจของเรานี่เอง
ยกตัวอย่างได้แก่ อาการดีใจ เสียใจ โกรธ รัก อิจฉา พยาบาท และอื่นๆ อีกสารพัด
ในอาการของจิตใจ
ที่ว่าเป็นเงาของจิต เพราะว่า จิตเดิมนั้นประภัสสร มันปรกติใสอยู่อย่างนั้น

ถ้าจะเปรียบทางโลก จิตเดิมที่ประภัสสร จะคล้ายกับท้องฟ้าที่สดใส ไร้เมฆ ไร้ดวงดาว
แต่เงาของจิต จะคล้ายกับก้อนเมฆ หรือ ดาวตก ที่ปรากฏอยู่บนท้องฟ้า ที่เป็นปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นเป็นคราว ๆ ไป ไม่แน่นอน

ถ้าจะเทียบอีกอย่างเพื่อให้เข้าใจมากขึ้น
จิตเดิมที่ประภัสสร สดใสนั้น สามารถเทียบได้กับ น้ำที่บริสุทธิไร้สิ่งแปลกปลอมในน้ำ
แต่สิ่งแปลกปลอมในน้ำ เช่น โคลน ขยะ จะเปรียบได้กับเงาของจิต ที่ทำให้น้ำ
ที่บริสุทธินั้นดูแล้วสกปรก

จากตัวอย่าง จะเห็นว่า ธรรมชาติของจิต หรือ ธรรมชาติของน้ำ หรือ ธรรมชาติของท้องฟ้า
ไม่เคยสกปรก มันจะสดใสบริสุทธิอย่างนั้นเสมอ
แต่สิ่งที่ทำให้จิตไม่สดใส ก็คือเงาของจิต หรือ ขยะ โคลนตมในน้ำ หรือ ก้อนเมฆบนท้องฟ้า

2..การดูเงาของจิตคืออย่างไร

>> ในคนทั่ว ๆ ไปที่เขาไม่ได้ฝึกฝนการเจริญสัมมาสติ จนมีสติที่ตั้งมั่น
การที่เขารู้ัตัวเองว่า เขาโกรธอยู่นะ นั่นยังไม่ใช่ <การดูเงาของจิต> อย่างแท้จริง
เพราะการเห็นเงาของจิตได้นั้น ผู้ปฏิบัติต้องมีกำลังแห่งสัมมาสติตั้งมั่นในระดับหนึ่ง
ที่มากกว่าคนทั่ว ๆ ไปที่ไม่ได้ฝึกฝนการเจริญสัมมาสติ
เพราะการเห็นเงาของจิตได้นั้น ผู้ปฏิบัีติจะ <เห็น> ได้จริง ๆ ดังตาเห็นภาพที่ปรากฏ
เมื่อเราลืมตาขึ้น อย่างไรอย่างนั้นเลย

ถ้าผมจะยกตัวอย่างให้ท่านเห็น อาการเห็นเงาของจิตนั้น
มันจะคล้ายๆ กับท่านเห็นดาวตกในตอนกลางคืน
ที่มันพุ่งว๊าบเดียวกลางท้องฟ้าทีมืดมิด
การเห็น มันจะเห็นอย่างนั้นจริง ๆ คือ เห็นจริง ๆ ไม่ใช่ไม่เห็น

ผลแห่งการเห็นเงาของจิตได้นั้น จะทำให้ผู้ปฏิบัติเข้าใจได้เลยว่า
เงาของจิต มันเป็นไตรลักษณ์ มันไม่ใช่เรา มันไม่ใช่ของเรา เมื่อเห็นมาก ๆ
เห็นบ่อย ๆ ก็จะเกิดการปล่อยวางเงาของจิตขึ้นมา ทำให้ทุกข์ใจลดลงไปได้

แต่ถ้าไม่เห็นเงาของจิต คน ๆ นั้นจะเข้าใจไปว่า เงาของเจิตนั้นเป็นของเขา
เงาของจิตนั้นเป็นตัวเขา และทุกข์ใจจะไม่ลดลงได้เลย

นี่คือผลแห่งความแตกต่างระหว่างการเห็น และการไม่เห็น อย่างแท้จริง
การเห็น จะทำให้เกิดการปล่อยวางเงาของจิตต่อไป
แต่การไม่เห็น จะไม่ทำให้เกิดการปล่อยวางเงาของจิตได้เลย

3.. มีบางอาจารย์กล่าวว่า การดูเงาของจิตไม่ทำให้ละกิเลสได้จริง
ดังนั้นเรา ไม่ต้องดูเงาของจิต ได้ไหม

>> เรื่องนี้จะตอบแบบฟันธงว่า ไม่ต้องดู หรือ ต้องดู ไม่ได้ครับ
เพราะว่า เมื่อเราฝึกการเจริญสัมมาสติ จนมีความตั้งมั่นแห่งสัมมาสมาธิขึ้นมาเมื่อไร
ตอนนี้ ถ้าจะเปรียบก็เหมือนกับว่า เราได้ตื่นขึ้นและลืมตาอยู่
เมื่อเราลืมตาอยู่ สิ่งใดเกิดขึ้นข้างหน้าเรา
เราก็ย่อมมองเห็นได้เอง โดยไม่ต้องไปจงใจที่จะเห็น
การเห็นเงาของจิตก็เช่นกัน เราไม่ได้จงใจว่าจะเห็น หรือไม่ต้องการเห็น
แต่ถ้ามันเกิดเมื่อไร คนที่มีกำลังสัมมาสติที่ตั้งมั่น จะต้องเห็นกันทุกคนได้เอง
เหมือนคนทีลืมตาแล้วเห็นสิ่งที่อยู่ข้างหน้า อย่างไรอย่างนั้นเลย

อนึ่ง เงาของจิตเป็นสภาวะีที่หยาบ เมื่อนักปฏิบัติที่ผ่านการฝึกฝนการเจริญสัมมาสติ
มา เขาจะต้องผ่านการเห็น เงาของจิตก่อนเสมอ อันเป็นทางผ่าน
ก่อนที่เขาจะไปเห็นตัวจิตที่แท้จริงได้ต่อไปเมื่อกำลังสัมมาสติตั้งมั้่นจนเกิดญาณปัญญาขึ้นมาแล้ว

4..เงาของจิต คือ กิเลส ใช่หรือไม่

>> ถ้าว่ากันตามตำรา จะว่าใช่ก็ได้ครับ แต่ทว่า...

อันคนปรกติธรรมดาที่ไม่ได้ฝึกฝน เมื่อเกิดอาการจิตปรุงแีต่ง หรือเงาของจิต หรือ กิเลส
เขาจะไม่เห็นมันเลย ตัวเขาเองก็จะหลงกินจิตปรุงแต่งหรือกิเลสเข้าไป ทำให้เขาเกิดอาการมัวเมาคลุ้มคลั่งในกิเลสนั้น ทำอะไรตามใจกิเลสที่เขาหลงกินเข้าไป นี่คือกิเลสได้สิงสู่จิตใจเขาแล้ว

แต่ในผู้ปฏิบัติที่ชำนาญ เมื่อเกิดเงาของจิตขึ้น เขาจะเห็นมัน
และ เงาของจิตก็สลายไปเองโดยอัตโนมัติ เงาของจิตทำอะไรเขาไม่ได้เลย
เขายังคงมีัสติสัมปชัญญะดีอยู่
จิตใจปรกติ ผ่องใส อย่างนี้ เงาของจิต ไม่เรียกว่าเป็นกิเลส
แต่เป็นธรรมชาติอย่างหนึ่งของจิตใจครับ

5..ทำอย่างไร เพื่อไม่ให้เงาของจิตเกิดได้อีก

>> คำถามนี้ ผมคงตอบยากครับ เพราะผมเองยังไม่สิ้นสุดแห่งทุกข์
ถึงแม้ว่า ผมจะเห็นเงาของจิตเป็นธรรมชาติแล้ว ผมยังมีอาการจิตมัวลงไป
จากจิตปรกติที่มันผ่องใสอยู่ ถึงแม้ไม่บ่อย แต่ก็ยังมีอยู่
( อ่านเรื่อง
//www.bloggang.com/viewdiary.php?id=namasikarn&month=05-2010&date=22&group=8&gblog=16 )
นี่ก็เป็นเงาของจิตเช่นกันครับ ถึงมันจะไม่แสดงพิษสงอะไรออกมา แต่มันก็ทำให้จิตหมองลงไปได้
ที่เป็นอย่างนี้ได้ เป็นเพราะการหมั่นฝึกฝนการเจริญสัมมาสติ จนมีความตั้งมั่นมาก ๆ
ธาตุรู้เกิดการตื่นตัวขึ้นมา จึงเป็นผลอย่างนี้ครับ

6..ทำไมในเวปบอร์ดธรรม จึงมักมีการทะเลาะกันเรื่องการดูเงาของจิต

>> การที่คนเขาทะเลาะกัน เพราะเขาไม่เคยเห็นของจริงครับ เขาไม่เคยเห็นอาการเงาของจิต
เขาไม่เคยเห็นจิต เขาจึงไม่รู้ว่าอะไรเป็นอะไร เมื่อเขาไม่รู้ เขาก็จะเอาความคิดของเขา เอาการตีความจากตำราบ้าง จากครูบาอาจารย์บ้าง โดยตีความตามทิฐิของเขามาแสดงความคิดความเห็นในเวปบอร์ด เมื่อเกิดทิฐิทีต่างกัน ก็เลยเกิดการทะเลาะกัน แต่ถ้าคนที่เขาเห็นจริงได้แล้ว เขาจะไม่มาทะเลาะกันเด็ดขาด เพราะสิ่งที่เขาเห็นจะเหมือนกันทุกประการครับ




 

Create Date : 06 มิถุนายน 2553
18 comments
Last Update : 29 มกราคม 2555 16:11:15 น.
Counter : 1478 Pageviews.

 

มาร่วมอนุโมทนาครับ..

กิเลส ไม่มี อะไรก็ไม่มี มีแต่ธรรมชาติี่ที่เกิดขึ้น ตั้งอยู่ แล้วก็ดับไป

 

โดย: palmgang IP: 119.42.103.223 6 มิถุนายน 2553 9:52:08 น.  

 

สาธุค่ะ..

 

โดย: ตั้งไข่ IP: 112.142.95.177 6 มิถุนายน 2553 10:14:50 น.  

 

ผู้ไม่ประสงค์จะเปิดเผยตัว เขียนมาถามหลังไมค์ดังนี้
อ่านแล้วก็พอเข้าใจว่าคุณไม่ได้ขัดแย้งกับคำสอนที่ให้ดูเงาของจิตไปก่อน

แต่หนูสงสัยอะค่ะว่าแล้วทำไมครูบาอาจารย์ในสายวัดป่า ท่านถึงเตือนมาละคะ คือหนูไม่ได้หาเรือ่งหรืออะไรนะคะ คืองงนะค่ะว่าถ้ามันถูกต้องจริงๆแล้ว ทำไมถึงมีอย่างหลวงพ่อมนตรี ป่าละอู หลวงพ่อสงบ ออกมาท้วงติง

หรือว่ามันก็ถูก แต่ในความถูกนั้นก็มีจุดอ่อนที่จะพลาดได้

คือท่านท้วงติงในจุดที่ว่า พอดูเงาแล้ว ก็ตามเงาไปเรื่อยๆ แทนที่จะกลับมารู้สึกตัว แล้วพอตามไปเรือ่ยๆก็จะเกิดความปรุงแต่งไปได้อีกมากมาย

เดี๋ยวยังไงหนูจะลองหาข้อความที่หลวงพ่อมนตรีกล่าวไว้มาให้อ่านนะคะ

******
เรื่องนี้ผมมีความเ็ห็นดังนี้ครับ
เรื่องครูบาอาจารย์สายวัดป่่า ท่านเมตตาท้วงติง ไม่ใช่การดูเงาของจิตครับ
แต่ท่านเมตตาท้วงติง ที่ดูเงาของจิตด้วยจิตที่ไม่มีกำลังตั้งมั่่นต่างหาก
เพราะเมื่อกำลังของจิตยังไม่มี ไม่ตั้งมั่น นักปฏิบัติจะไม่เห็นเงาของจิตได้เลยครับ และการที่นักปฏิบัติทีีไม่มีกำลังจิตกำลัง ...คิดไปเอง...ว่า เขาได้ดูเงาของจิตแล้ว เห็นเงาของจิตแล้ว แต่ความจริง เขายังไม่ได้เห็นเงาของจิตเลยแม้แต่นิดเดียวต่างหาก

การที่นักปฏิบัติที่มีกำลังจิตที่ตั้งมั่น มีพลังแข็งแกร่ง เมื่อจิตเกิดการปรุงแต่งขึ้นมา หรือ ที่เรียกกันว่า เงาของจิตเกิดขึ้นแล้ว เขาจะเห็นมันเพียงแว๊บเดียวเท่านั้น เหมือนเห็นไฟแฟล็ชกล้องถ่ายรูป แล้วเงาของจิตก็จะสลายไปทันที นี่คือปัญญาในพุทธศานาที่ว่า ขันธ์ 5 ไม่ใช่เรา ไม่ใช่ตัวตนของเรา
ในพระไตรปิฏก ก็มีการเขียนถึง ในหมวดของสติปัฏฐาน 4 เรืองจิตตนุปัสสนาสติปัฏฐาน หรือ ตอนที่พระพุทธองค์ทรงโปรดปัจจัคคีย์ แล้วท่านโกณทัญญะได้ดวงตาเห็นธรรม ก็เพราะท่านเห็นได้จริง ๆ แล้วจึงเข้าใจได้จริง ไม่ใช่คิดเอาเอง

แต่นักปฏิบัติที่ไม่มีกำลังจิตตั้งมั่น นอกจากเขาจะไม่ได้เห็นของจริงแล้ว
อาการจิตปรุงแต่งก็จะไม่หายไปทันทีทันใดด้วย แต่จะเกิดค้างอยู่แล้วเขาก็จะกินอาการที่เกิดจิตปรุงแต่งนั้นเข้าไป กลายเป็นกิเลสครอบงำจิตไปเสียแล้ว
แล้วเขาจะเกิดอาการที่คิดไปเอง หลงไปเองว่า ขันธ์ 5 ไม่ใช่เขา ไม่ใช่ตัวตนของเขา (อาการคิดไปเองนี้ มีหลายท่านล้อว่า เป็นวิปัสสนึก ไม่ใช่วิปัสสนา )

การเห็นอาการเงาของจิตได้บ่อย ๆ เสมอ ๆ จะเป็นเครื่องช่วยให้เห็นตัวจิตได้ต่อไป เพราะนักปฏิบัติจะมีการเปรียบเทียบเอง เมื่อเขาเห็นเงาของจิตเกิดสลายไปตามไตรลักษณ์บ่อย เขาจะจำได้ พอวันหนึ่งที่สภาพจิตเขาดีมาก ๆ พอเงาของจิตสลายไป เขาจะสังเกตเห็นได้ว่า พอเงาสลายไป จะมีสิ่งหนึ่งที่่ปรากฏอยู่แทนที่ขึ้นมาจากการสลายของเงานั้น
เปรียบเหมือนว่า ที่บ้าน มีโทรทัศน์วางอยู่บนโต๊ะ วันหนึ่ง โทรทัศน์เสีย
พ่อเอาไปซ่อม แต่เราไม่ทราบ พอเรากลับมาบ้าน เราจะเห็นว่า โต๊ะมันว่าง ๆ ไป เนื่องจากโทรทัศน์ได้หายไปจากที่ตั้งนั่นเอง

 

โดย: นมสิการ 6 มิถุนายน 2553 12:40:14 น.  

 

เรียนคุณนมสิการ หมายความ

...(ข้อความ)...
แต่นักปฏิบัติที่ไม่มีกำลังจิตตั้งมั่น นอกจากเขาจะไม่ได้เห็นของจริงแล้ว
อาการจิตปรุงแต่งก็จะไม่หายไปทันทีทันใดด้วย แต่จะเกิดค้างอยู่แล้วเขาก็จะกินอาการที่เกิดจิตปรุงแต่งนั้นเข้าไป กลายเป็นกิเลสครอบงำจิตไปเสียแล้ว
แล้วเขาจะเกิดอาการที่คิดไปเอง หลงไปเองว่า ขันธ์ 5 ไม่ใช่เขา ไม่ใช่ตัวตนของเขา (อาการคิดไปเองนี้ มีหลายท่านล้อว่า เป็นวิปัสสนึก ไม่ใช่วิปัสสนา )
...(ข้อความ)...

แล้วสิ่งที่นักปฏิบัติรู้สึกถึงความรู้สึกโกรธ ฯลฯ ที่เกิดขึ้น ความรู้สึกนี้ไม่ใช่เงาของจิตใช่มั้ยคะ เงาของจิตที่ว่าเป็นเหมือนแฟลชนั้นผ่านไปนานแล้วใช่มั้ยคะ เรียกว่ากิเลสเกิดขึ้นแล้วใช่มั้ยคะ ต่างจากการที่สามารถเห็นเงาของจิต เงาของจิตจะไม่สามารถคงอยู่ จะสลายไปเอง คือกิเลสยังไม่ทันเกิด แบบนี้เข้าใจถูกหรือเปล่าคะ

 

โดย: แมท (MAT9 ) 6 มิถุนายน 2553 13:45:31 น.  

 

แล้วการที่เรารู้สึกถึงความโกรธที่ค่อยๆ ก่อตัวขึ้นมา จากนั้นความโกรธค่อยๆ ลดลงจนสู่ระดับปกติ แต่ความรู้สึกค่อยๆ ลด ไม่ใช่เป็นอย่างแฟลชแว๊บเดียว อย่างนี้เป็นการเห็นเงาของจิตตัวจริงหรือเปล่าคะ ถ้าไม่ใช่มันคืออะไรคะ ทำไมมันมีการจางคลายเมื่อเราเข้าไปรู้

หากสิ่งที่คุณนมสิการเขียนถูกต้อง (ไม่ได้ว่าไม่จริงนะคะ) ก็แสดงว่าในบอร์ดธรรมนั้น หลงทางไปใหญ่แล้ว เพราะเขาเข้าใจว่าสิ่งที่ตามดูตามรู้อยู่ (หลายคนไม่ได้ฝึกสมถะเลยหรือฝึกเพียงเล็กน้อย) เป็นการดูเงาของจิต คือตอนนี้คิดว่าส่วนใหญ่ในบอร์ดนั้นเข้าใจแล้ว ว่า การดูจิตนั้นอันที่จริงคือการดูเงาของจิตหรืออาการของจิต แต่เข้าใจว่าตัวเองดูเงาของจิตตัวจริงอยู่ค่ะ

ขอบคุณมากค่ะ

 

โดย: แมท (MAT9 ) 6 มิถุนายน 2553 13:56:44 น.  

 

ดิฉันรู้สึกว่าเป็นปัญหามาก เพราะอันที่จริง มีคำสอนของครูอาจารย์หลายท่านที่ลงรอยกันได้กับหลวงพ่อที่ชลบุรีนะคะ คือไม่ได้เน้นการฝึกตามรูปแบบ แต่บางท่านอาจจะเน้นดูกาย (ดูอิริยาบถต่างๆ)และดูใจไปด้วยในชีวิตประจำวัน แล้วอย่างนี้นักปฏิบัติจะทำอย่างไรดี

 

โดย: แมท (MAT9 ) 6 มิถุนายน 2553 14:10:45 น.  

 

มาอนุโมทนาด้วยคน
อธิบาย งายๆ ชัดเจนดีค่ะ

 

โดย: mcayenne94 IP: 111.84.187.173 6 มิถุนายน 2553 14:59:30 น.  

 

ตอบคุณ แมท ที่ถามว่า
แล้วสิ่งที่นักปฏิบัติรู้สึกถึงความรู้สึกโกรธ ฯลฯ ที่เกิดขึ้น ความรู้สึกนี้ไม่ใช่เงาของจิตใช่มั้ยคะ เงาของจิตที่ว่าเป็นเหมือนแฟลชนั้นผ่านไปนานแล้วใช่มั้ยคะ เรียกว่ากิเลสเกิดขึ้นแล้วใช่มั้ยคะ ต่างจากการที่สามารถเห็นเงาของจิต เงาของจิตจะไม่สามารถคงอยู่ จะสลายไปเอง คือกิเลสยังไม่ทันเกิด แบบนี้เข้าใจถูกหรือเปล่าคะ

1.. สิ่งทีเ่กิดนั้นคือเงาของจิตครับ แต่ว่า .... คุณยังไม่เห็นเท่านั้นเอง
ที่เป็นอย่างนี้ แสดงว่า กำลังของสัมมาสติยังไม่พอครับ คุณต้องฝึกสัมมาสติ
ให้มากกว่านี้ ถ้าเห็น ต้องเห็นจริง ๆ เห็นได้เหมือนตาเห็นภาพอย่างไรอย่างนั้นเลย พอเห็นแล้วมันจะสลายไปทันที ทันใด มันแชเชือน นี่คือสำหรับผู้มีกำลังสัมมาสติตั้งมั่นมาก

แต่ถ้าผู้มีกำลังสติตั้งมั่นแต่ไม่มาก เขาก็เห็นได้เหมือนกัน แต่ในบางครั้ง
เมื่อเห็นแล้ว อาการเงาของจิตในบางอาการ มันจะสลายไปตัวช้าสักหน่อย
อย่างนี้ ฝึกต่อไป ก็จะเพิ่มกำลังสัมมาสติขึ้นมาได้เรื่อย ๆ

แต่ถ้าผู้มีกำลังสติไม่พอ หรือ ไม่มีเลย ก็จะไม่เห็นครับ เพียงแค่่รู้สึก


ได้ว่า มีแล้วนะ แต่ไม่เห็น อย่างนี้ยังต้องฝึกอีกมากเลยครับ

******
เขียนมาว่า...
..แล้วการที่เรารู้สึกถึงความโกรธที่ค่อยๆ ก่อตัวขึ้นมา จากนั้นความโกรธค่อยๆ ลดลงจนสู่ระดับปกติ แต่ความรู้สึกค่อยๆ ลด ไม่ใช่เป็นอย่างแฟลชแว๊บเดียว อย่างนี้เป็นการเห็นเงาของจิตตัวจริงหรือเปล่าคะ ถ้าไม่ใช่มันคืออะไรคะ ทำไมมันมีการจางคลายเมื่อเราเข้าไปรู้

2..อาการนี้แสดงว่า ยังไม่ถึงขั้นเห็นครับ เพียงแค่รู้สึกถึงได้
เมื่อรู้สึกถึงได้ นี่ก็แสดงว่า มันเกิดอาการแล้ว แต่ที่มันค่อยๆ ลดลง
อาจเป็นเพราะว่า รู้สึกถึงได้หรือไปกดมันไว้โดยพยายามห้ามใจก็เป็นได้
ขอให้ฝึกฝนการเจริญสัมมาสติต่อไปอีกครับ

แต่ถ้าเป็นการเห็น พอเกิดปุ๊บ ต้องเห็นปั๊บ ทันทีแทบว่าเป็นวินาทีเดียวกัน
ไม่ห้างกันเลย และต้องเห็นด้วยครับ ส่วนว่าเมื่อเห็นแล้วอาการจะหายทันทีหรือหายช้า อยู่ที่กำลังของสัมมาสติ ซึ่งผมได้เขียนไว้แล้วในข้อ 1

*******
หากสิ่งที่คุณนมสิการเขียนถูกต้อง (ไม่ได้ว่าไม่จริงนะคะ) ก็แสดงว่าในบอร์ดธรรมนั้น หลงทางไปใหญ่แล้ว เพราะเขาเข้าใจว่าสิ่งที่ตามดูตามรู้อยู่ (หลายคนไม่ได้ฝึกสมถะเลยหรือฝึกเพียงเล็กน้อย) เป็นการดูเงาของจิต คือตอนนี้คิดว่าส่วนใหญ่ในบอร์ดนั้นเข้าใจแล้ว ว่า การดูจิตนั้นอันที่จริงคือการดูเงาของจิตหรืออาการของจิต แต่เข้าใจว่าตัวเองดูเงาของจิตตัวจริงอยู่ค่ะ

3...เรื่องอย่างนี้ โมเมหลอกลวงกันไม่ได้ครับ นักปฏิบัติในไทยที่เขาถึง
มีมากครับ เพียงแต่ว่าเขาไม่พูดออกมาเท่านั้นเอง เพราะเปลืองตัวเขาเปล่า ๆ สักวัน เมื่อคุณได้เห็นของจริง คุณจะร้อง อ๋อ... เป็นอย่างนี้เอง
ว่ากันไปแ้้ล้ว ถ้าการปฏิบัติให้เพียงตามรู้ตามดู นี่ไม่ได้ครับ
เพราะมันเป็น passive การปฏิบัติต้อง pro-active ครับ
คือต้องหมั่นฝึกฝนกำลังสัมมาสติอยู่เสมอ ๆ เมืี่อเกิดอาการของเงาของจิต
ขึ้นจะได้ไม่เสียท่ามันเข้า เปรียบเหมือนนักมวยต้องหมั่นซ้อมครับ พอขึ้นชก
จริงจะไม่เพลี่ยงพล้ำคู่้ต่อสูุ้
คุณจะเห็นว่า ทำไมพระที่ว่่า ถึงธรรมแล้ว ยังเดินจงกรม นั่งสมาธิกันอยู่
ไม่เคยขาดเลย

*********
ดิฉันรู้สึกว่าเป็นปัญหามาก เพราะอันที่จริง มีคำสอนของครูอาจารย์หลายท่านที่ลงรอยกันได้กับหลวงพ่อที่ชลบุรีนะคะ คือไม่ได้เน้นการฝึกตามรูปแบบ แต่บางท่านอาจจะเน้นดูกาย (ดูอิริยาบถต่างๆ)และดูใจไปด้วยในชีวิตประจำวัน แล้วอย่างนี้นักปฏิบัติจะทำอย่างไรดี

4...การฝึกนั้น ถ้าจะไม่ฝึกตามรูปแบบก็ได้เหมือนกัน ถ้าคุณเข้าใจว่า การฝึกฝนคืออย่างไร ผมเคยแนะำนำคนทำงานที่ไม่มีเวลาฝึกตามรูปแบบอย่างจริงจังว่า ให้หาเวลาว่างที่หาได้ เช่นระหว่างนั่งรถเมล์ไปทำงาน ระหว่างเดินไปทำงาน เดินไปห้องน้ำ เวลารับประทานอาหาร เวลาอาบน้ำ แปรงพัน ล้างหน้า ซักผ้า กวาดบ้าน ล้างรถ รดน้ำต้นไม้ ตอนไปออกกำลังกาย เช่นลดน้ำหนัก เต้นแอร์โรบิค ให้ใช้เวลาเหล่านี้ฝึกพร้อมกันไป การฝึกแบบนี้ ก็คือ ให้ทำงานในชีิวิตประจำวันพร้อมด้วยความรู้สึกตัวเสมอ ๆ
พยายามหาเวลาสั้น ๆ แต่ถี่ ๆ ก็ได้ เช่นมีเวลา 5 นาทีก็ฝึกไป 5 นาที
เพราะคนทำงานจะไม่มีเวลามาก เวลาฝึก ก็เพียงรู้สึกตัวที่เป็นธรรมชาติ อยบ่าไปคิดเรื่องงาน หรือ เรืองอะไร เมื่อมีอะไรกระทบกาย ก็รู้สึกถึงได้
มีคนเขาฝึกแบบที่ผมแนะนี้ เขามาบอกผมว่า เขาเห็นอาการของจิตปรุงแต่งได้แล้ว ซึ่งผมก็ยินดีกับเขา
ถ้าใครก็ตาม ทีฝึกฝน พอเขาเริ่มจะเห็นอาการของจิตปรุงแต่งหรือเงาของจิตได้แล้ว นี่แสดงว่า ด่านแรกของการฝึกฝน เริ่มส่งผลให้แล้ว และจะทำให้เขามีกำลังใจมากขึ้นในการฝึกต่อไปเรื่อย ๆ

ผมยอมรับครับ ด่านแรก นี่ยากชะมัด ที่ว่ายากเพราะส่วนมากฝึกผิดครับ
หรือ ไม่ยอมฝึกเลย ก็เลยยากครับ

การฝึกนั้น อย่าไปกำหนดว่า นี่ดูกายนะ นี่ดูจิตนะ นี่ดูเวทนานะ
มันไม่ใช่อย่างนั้นหรอกครับ เพราะเวลาเราฝึกให้มีความรู้สึกตัวอันเป็นสัมมาสติ มันจะเห็นหมดทุกอาการเลยครับ เห็นทั้งกาย เห็นทั้งจิต เห็นทั้งเวทนา
และมันจะไม่แยกแยะด้วยว่า นี่คือกาย นี่คือจิต มันเป็นแต่รู้สึกถึงได้
อันเป็นการทำงานของระบบประสาทในร่างกายครับ
และการฝึกนั้น ก็ไม่ใช่การจงใจไปดูุด้วยครับ ผมยกตัวอย่างให้เห็นเป็นรูปธรรม ที่ผมยกบ่อย ๆให้คนอื่น ก็คือการอาบน้ำครับ
ขอให้อาบน้ำไปอย่างเป็นธรรมชาติของคุณ อย่าคิดอะไร อย่าต้องการรู้อะไร
เวลาอาบน้ำ
ขอให้สังเกตดูุครับ
หูได้ยินเสียงน้ำไหลใช่ใหม
ตายังมองเห็นอะไรในห้องน้ำได้ใช่ใหม
จมูกได้กลิ่นสบู่ไหม
ร่างกายรู้สึกได้ใหม เวลาขัดตัว
จิตใจสบาย ๆ ใหม
อย่างนี้แหละครับ รู้สึกได้เองทั้งนั้น ขอให้ประยุกต็แบบนี้เข้ากับ
การฝึกอย่างอื่นด้วย เช่นการแปรงฟัน การซักผ้า การเก็บที่นอน การใส่เสื้อผ้า และอื่น ๆ สารพัดในชีิวิตที่เราต้องทำ อย่างนี้ก็คือฝึกแล้วครับ

การอยู่เฉยๆ โดยไม่สร้างเหตุที่ตรงแล้ว ผลย่อมไม่เกิดขึ้นครับ


 

โดย: นมสิการ 6 มิถุนายน 2553 16:21:07 น.  

 

ร่วมอนุโมทนาเช่นกันค่ะ อาจารย์ได้กล่าวชอบแล้ว

 

โดย: kaoim 6 มิถุนายน 2553 17:20:09 น.  

 

ขอบพระคุณมากค่ะ _/|\\_

 

โดย: แมท IP: 61.90.5.174 6 มิถุนายน 2553 17:37:07 น.  

 



ในอภิธรรมเรียกว่า "ภาพสะท้อน" คือภาพหลอกเหมือนพยับแดด ซึ่งไม่อาจจะแตะต้องได้จริง

 

โดย: ไพรสณฑ์ (ไพรสณฑ์ ) 7 มิถุนายน 2553 7:21:15 น.  

 

ขออนุญาติคุณ นมสิการเอาไปโพสน์ในเวปลานธรรม ไม่ทราบจะอนุญาติหรือเปล่าค่ะ แต่คุณนมสิการกล่าวไว้ชอบแล้วค่ะ

 

โดย: ไปไม่ถึงไหน IP: 117.47.150.104 7 มิถุนายน 2553 14:00:35 น.  

 

กรุณาอย่าไปใส่ในเวปอื่นเลยครับ ยิ่ง .ลานธรรม.ด้วยแล้ว
เป็นสิ่งที่จะก่อให้เกิดปัญหาตามมาเป็นแน่แท้
ถ้าคุณเป็นชาวลานธรรมมานาน คุณคงพบเห็นอะไรมากมาย
ในนั้นและคงเข้าใจได้ดีนะครับในสิ่งที่ผมเขียนนี้

ผมได้ตั้งอธิษฐานจิตไว้แล้วว่า blog ของผมนี้
ขอให้ผู้ที่จะมีวาสนาต่อกันในการเจริญในธรรมได้มาพบ
และมาอ่าน และขอให้เกิดความเข้าใจในทิศทางแห่งการเดินของอริยมรรค จนได้พบเห็นธรรมในชา่ตินี้

สำหรับชาวลานธรรมท่านอื่น ถ้ามีวาสนาต่อกัน เขาก็คงมาพบเองครับ

 

โดย: นมสิการ 7 มิถุนายน 2553 14:20:05 น.  

 

รับทราบค่ะ แล้วแต่วาสนาของเค้าก็แล้วกันค่ะ สำหรับตัวเองก็ถือว่ามีวาสนาที่ได้มาอ่านของอาจารย์ นมสิการ (ขออนุญาตเรียกอาจารย์ก็แล้วกันค่ะ เป็นความรู้สึกส่วนตัวที่อยากเรียกค่ะ) อยุ่ลานธรรมมานาน ก็พอรู้วัฒนธรรมของเค้าค่ะ ขอบคุณอาจารย์มากนะคะ ที่เขียนบล๊อกนี้ขึ้นมา กระจ่างแจ้งมากค่ะ แล้วเข้าใจครุบาจารย์ของตัวเองที่ผ่านมาๆ ว่าทำไมถึงเคี่ยวเข็ญเราเหลือเกิน ในการทำตามรูปแบบ แต่เรามันปัญญาน้อยเอง รักสบายเลยกลายเป็นเครื่องมือของกิเลสไปเลย ขอบคุณมากค่ะ

 

โดย: ไปไม่ถึงไหน IP: 117.47.150.104 7 มิถุนายน 2553 15:16:06 น.  

 

สาธุ..ค่ะ เป็นบุญที่ได้เข้ามาอ่านบล็อกของอาจารย์

 

โดย: น.ส.ธรรมดา IP: 118.172.54.217 7 มิถุนายน 2553 17:15:12 น.  

 

บทความของอาจารย์ทำให้นึกถึงที่คุณต้นแมกโนเลียเขียนในกระทู้ เหตุผลของคนปฏิเสธการดูจิต ค่ะ เธอก็อธิบายได้ชัดเจนเหมือนอาจารย์ค่ะ

//topicstock.pantip.com/religious/topicstock/2009/06/Y7976186/Y7976186.html

 

โดย: kaoim IP: 183.89.103.107 8 มิถุนายน 2553 13:20:21 น.  

 

อ่านแล้วเข้าใจมากขึ้นครับ

 

โดย: ยิ่งเอก IP: 113.53.183.200 24 มิถุนายน 2553 10:54:44 น.  

 

ผมจำเป็นต้องปิดการเขียนของท่านผู้อ่าน เนื่องจากกฏหมายอินเตอร์เนท
ที่อาจมีสิ่งผิดกฏหมายใส่เข้ามาใน blog

ท่านที่จะสนทนา หรือ ถามคำถาม ขอให้ส่ง email ถึงผมได้ที่
asknamasikarn@gmail.com

หรือสำหรับสมาชิก pantip จะส่งมาทางหลังไมค์ก็ได้เช่นกัน

 

โดย: นมสิการ 29 มกราคม 2555 16:44:45 น.  

ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะ VIP Friend
Comment :
  *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 


นมสิการ
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 142 คน [?]




หลักปฏิบัติ ...รู้สึกตัว ผ่อนคลาย เฉย ๆ สบาย ๆ

มากกว่า 20 ปีที่ไปหลงทำสมถภาวนาแบบสมาธิแบบฤาษีโดยที่ไม่รู้จักกับคำว่า อะไรคือสัมมาสติ สัมมาสมาธิ ผลที่ได้คือความสงบขณะกำลังนั่งสมาธิจนตัวนิ่งแข็งเป็นก้อนหิน แต่ผลข้างเคียงตามมาก็คือการเป็นคนเจ้าโทสะอย่างรุนแรงขณะเวลาไม่ได้นั่งสมาธิ และ ที่อยู่ในชีวิตประจำวัน....

จนได้พบกัลยณมิตรแดนไกล ที่ได้ชักนำให้มารู้จักวิธีปฏิบัติแบบหลวงพ่อเทียน จนได้พบกับพระอาจารย์ในสายหลวงพ่อเทียน ที่ผมได้เรียนการปฏิบัติจากท่าน จนเข้าใจว่า สัมมาสติ สัมมาสมาธิ คืออะไร แล้วลงมือฝึกฝน การปฏิบัติก็รุดหน้าและได้ลิ้มรสสิ่งบริสุทธิในจิตใจอันเป็นผลจากการปฏิบัติด้วยเวลาเพียง 5 ปี

ธรรมปฏิบัติจากฆราวาสเขียนเป็นสิ่งที่ยอมรับได้ยากในสังคมไทย ผมรู้ได้จากที่เขียนใน blog ผมได้พบกับการก่อกวนใน blog การเขียนเหน็บแนม กระแหนะกระแหน ตำหนิการการปฏิบัติที่ผมเขียนใน blog ว่าผิดทาง เขียนแบบคาดเดาเอา ไม่รู้จริง ให้ผมหยุดเขียนแนวนี้ได้แล้ว และไปโมทนาสาธุแนะนำการปฏิบัติสมาธิแบบฤาษีให้กับผมอีกว่านี่คือทางที่ถูกต้อง ...

บทความใน blog จึงเกิดขึ้นมา เพื่อแบ่งปันประสบการณ์ในการภาวนา
แก่ผู้อื่นที่กำลังเดินทางในสายแห่งอริยมรรคนี้

เมื่อท่านได้เข้ามาอ่านข้อเขียนใน blog กรุณาอย่าได้เชื่อผมจนกว่า ท่านได้ทดลองปฏิบัติแล้วและพิสูจน์ด้วยตัวท่านเอง

**กรุณา .อย่า.ได้บริจาคเงินให้ blog ผมทาง e-wallet ครับ **

******
บทความต่าง ๆ ใน blog นี้
ขอสงวนสิทธิ์ตามพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2537
ห้ามนำไปดัดแปลง ลอกเลียน หรือนำส่วนหนึ่งส่วนใดไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต

****
New Comments
Friends' blogs
[Add นมสิการ's blog to your web]
Links
 
MY VIP Friend


 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.