ดูจิต ภาค 1
บทความเรื่องดูจิตนี้ ผมเขียนขึ้นจากสิ่งที่ผมพบเห็นเองจากการปฏิบัติ ผมคิดว่า น่าจะเป็นประโยชน์ต่อท่านที่เข้ามาอ่านบ้าง ผมไม่รับประกันว่า สิ่งที่ผมเีขียนนี้ จะถูกต้องทั้งหมด ขอให้ท่านอ่านเองด้วยปัญญา และเก็บเกี่ยวเอาสิ่งที่เป็นประโยชน์ไปใช้ สิ่งที่ไม่เป็นประโยชน์ก็ขอให้ทิ้งไว้ใน blog นี้ก็แล้วกันครับ เพื่อการปฏิบัติเพื่อการพ้นทุกข์ของท่านเอง *************************** ผมได้เขียนเรื่อง การดูเงาของจิตไว้หลายตอนแล้ว ซึ่ง การดูเงาของจิต มันจะเป็นภาคแรกของการดูจิต ท่านเคยซื้อสิ่งของมาใช้ แล้วเห็นอาการที่ผิดปรกติขึ้นในของที่ท่านซื้อมาไหมครับ ยกตัวอย่างเช่น ท่านซื้อรถมาคันหนึ่งป้ายแดง ใหม่เอี่ยม ท่านใช้ ๆ ไป มันก็ดีนะ ไม่มีปัญหาอะไรเลย แต่ต่อมา ท่านไปขับรถเพื่อนที่เป็นรุ่นเดียวกัน แต่ว่า ทำไมมันไม่เหมือนรถของท่านละ เช่น ทำไมเวลารถออกตัว รถของเพื่อน จะไม่สั่น แต่รถของท่านจะสั่นนิดหนึ่งก่อน การเห็นการแตกต่างนี้ คือ การเปรียบเทียบ ถ้าไม่มีการเปรียบเทียบ ท่านจะไม่เห็นความแตกต่าง ในการปฏิบัติธรรมก็เช่นกัน ถ้าท่านเป็นปุถุชนผู้ไม่เคยฝึกฝนทางจิตมาก่อน ท่านจะไม่มีวันเห็นจิตได้เลย ทำไมเป็นอย่างนั้น มาอ่านกันต่อไป เมื่อท่านได้ฝึกฝนการเจริญสัมมาสติ สัมมาสมาธิ ในขณะที่ท่านฝึกฝนอยู่ จิตใจของท่านมักจะเฉย ๆ ไม่มีอะไร แต่เมื่อท่านอยู่ในชีิวิตประจำวัน ท่านจะพบกับอาการที่ไม่น่าพอใจต่าง ๆ เืมื่อท่านฝึกฝนการเจริญสัมมาสติได้ดีพอสมควรแล้ว เมื่อท่านเกิดอาการ ไม่พอใจต่าง ๆ ขึ้น จะมีการแยกตัวออกมาของ .จิตรู้.และสิ่งที่ถูกรู้ขึ้น คืออาการของจิตที่ไม่พอใจนั้น เมื่อท่านเพิ่งฝึกฝนที่มีสัมมาสติเพิ่งจะตั้งมั่นไม่นานนัก ท่านจะเห็นได้ว่า .จิตรู้. นี้จะเป็นดวง นี่คือสิ่งที่ท่านเห็นได้ครับว่า อ้อ จิตมันเป็นอย่างนี้เอง ยิ่งถ้า สิ่งที่ถูกรู้ มีการปรากฏตัวที่ยาวนาน จิตรู้ ยิ่งปรากฏตัวได้ยาวนานเช่นกัน มีัอยู่วันหนึ่ง ผมปวดท้องมาก เจ้า .จิตรู้ .มันปรากฏตัวเด่นชัด มันเฝ้ามองอาการ ที่ปวดท้องนั้นอยู่นาน แต่แปลกมาก เมื่อ .จิตรู้.ปรากฏตัวเฝ้ามองอาการปวดท้องนั้น ผมไม่รู้สึกทรมานอย่างไรเลยจากการปวดท้อง .จิตรู้. มันเฝ้ามองไป .ความปวด.ก็ปรากฏให้.จิตรู้.เห็นไป ต่างคนต่างทำหน้าที่ของมัน จากอาการที่ .จิตรู้.เฝ้ามอง.ความปวด.นี้ ทำให้ผมเข้าใจไปเองว่า.. ในสำนักปฏิบัติธรรมที่เขาให้ลูกศิษย์ดูเวทนา เช่นการให้นั่งสมาธิให้นาน ให้เจ็บปวด ก็เพื่อให้ .จิตรู้.นั้นมันแยกตัวออกมาดู .เวทนา.ใด้นั่นเอง (เรื่องนี้เป็นความเห็นส่วนตัว อาจไม่ใช่แบบนั้นก็ได้ครับ ) เมื่อลูกศิษย์เห็น จิตรู้ แยกตัวออกมาได้ เขาก็จะเห็นสภาวะธรรม เข้าใจในสภาวะธรรมได้ นี่คือปรากฏการณ์แรกที่ผมเห็น .จิตรู้. ก็มาจากตอนต้นๆ แห่งการฝึกฝนสัมมาสติ ที่ได้ผลพอสมควรแล้วนั่นเอง เมื่อผมรู้แล้วว่า .จิต.มีสภาพแห่งการ .รู้. มันเป็นอย่างนี้ พอผมฝึกสัมมาสติต่อไปเรือย ๆ อีก ผมจำไม่ได้ว่า เกิดอะไรขึ้น เพราะวันเวลามันผ่านไปนานมากแล้ว พลัน จิตรู้ ที่เคยเป็นดวง ให้เห็น มันได้สลายสภาพการเป็นดวงไปเสียแล้ว .กลายเป็นความว่างเปล่า. แทน ซึ่งถ้า จิตรู้ ไม่ปรากฏเป็นดวงให้ผมเห็นได้ก่อน ผมจะไม่มีวันเห็นความว่างเปล่าของจิตได้เลย เพราะมันมีการเปรียบเทียบกันในสภาพก่อนหน้าและสภาพหลังจากนั้นนั้นเอง ซึ่งมันคล้ายกับเรื่องรถที่ผมยกตัวอย่างข้างต้น ถ้าไม่เปรียบเทียบ ท่านจะสังเกตข้อแตกต่างไม่ออกเลย เมื่อ .จิต.ไม่เป็นดวง มันเป็นความว่างเปล่า ท่านเห็นความว่างเปล่าที่ไม่มีอะไรนั้นได้ก็จริง แต่สิ่งหนึ่ง ที่ตัวจิตยังทำหน้าที่อยู่ ก็คือ .การทำหน้าที่รู้. อยู่ครับ ไม่ว่า จิตจะเป็นดวง หรือ เป็นความว่างเปล่า แต่สิ่งที่เหมือนกัน ก็คือ มันยังทำหน้าที่ .รู้. อยู่นั้นเอง ผมเขียนบ่อย ๆ ว่า ในการฝึกฝนสัมมาสตินั้น ท่านสมควรจะ... 1...ตาก็มองเห็น 2...หูก็ได้ยิน 3...จมูกก็ได้กลิ่น 4...ลิ้นก็ได้รู้รส 5...กายก็รู้สัมผัสทางกาย 6...จิตใจก็รู้สัมผัสทางจิตใจ เมื่อท่านรู้อย่างที่ผมเขียนไว้ทั้ง 6 ข้อข้างบนนั่นแหละครับ นั้นคือ จิต เขาทำงานผ่านทางอายตนะแล้ว เมื่อท่านรู้ว่ามีอะไรใน 6 ข้อข้างต้น อยู่ นั้นแหละครับ ท่านกำลังดูิจิตอยู่แล้ว แต่ท่านไม่รู้เองว่า ท่านกำลังดูจิตอยู่ การดูจิต ก็คือ เพียงรู้ ว่ามีการรู้ เกิดขึ้น ก็เท่านั้นเองครับ ***** ไม่ต้องไปหาอะไรอีก ไม่ต้องดูด้วยซ้ำ เพียงรู้อยู่ ก็พอแล้ว ท่านจะเห็นว่า การดูเงาของจิต ก็จะเป็นเพียงหนึ่งอย่างของการดูจิต ซึ่งเป็นข้อ 6 นั่นเอง **** ทีนี้แล้วท่านอาจสงสัยต่อไปว่า ดูมันก็ง่าย ๆ นะ แล้วมันจะพ้นทุกข์ได้อย่างไร เมื่อรู้อย่างนี้ ขอให้ท่านสังเกตดูตอนนี้เลยก็ได้ครับ เมื่อท่านเพียงรู้สึกตัวอยู่ สบาย ๆ ไม่มีความอยากอะไรเลย การรู้ทางอายตนะทั้ง 6 เกิดขึ้นอยู่ใช่ใหมครับ และการรู้จะเป็นอิสระ ไม่มีการยึดติดใด ๆ เลย ท่านสังเกตใหมครับว่า ท่านจะไม่ทุกข์ใจอะไรเลย นี่คือธรรมชาติของจิตครับ ที่มันเป็นอิสระ ไม่มีการยึดติดใด ๆ ประภัสสร ผ่องใส แต่ที่ท่านเป็นทุกข์ นั่นเพราะว่า ความอยากอันเป็นตัณหาของท่านได้่เกิดขึ้น ในจิตใจอันเป็นข้อ 6 แล้ว แต่เมื่อความอยากมันเกิดขึ้น ท่านไม่รู้ครับว่า มันได้เกิดแล้ว ความอยากนี้แหละครับ ที่ทำให้ท่านการเกิดยึดติด เพื่อให้ท่านสมหวังในสิ่งทีท่านต้องการนั่นเอง เมื่อมีการยึดติดเพราะความต้องการ จิตที่ผ่องใส ก็จะมัวหมองไปทันที แล้วท่านก็จะเป็นทุกข์เพราะความมัวหมองที่เกิดขึ้นมานั้น ในตำราถึงกล่าวไว้ว่า อริยสัจจ์ข้อที่ 2 สมุทัียคือตัณหา อันทำให้เกิดทุกข์ ถ้าไม่มีัตัณหา จิตก็เป็นอิสระของมันเอง ผ่องใส ของมันเอง อันเป็นธรรมชาติ ที่ไม่ต้องทำอะไรเลย แต่ที่ต้องฝึกฝนอย่างหนัก ก็เพื่อให้เกิด สติ เพื่อการควบคุมตัณหา นั้่นเองครับ เมื่อมีสติที่ต่อเนื่องที่สมบูรณ์ ก็คือ สมาธิสมบูรณ์ ตัณหาจะเกิดไม่ได้ เมื่อตัณหาเกิดไม่ได้แล้ว จิตก็เป็นอิสระของมันเองตามธรรมชาติ แล้วทุกข์จะเกิดได้อย่างไร ดูจิต แต่ไม่ต้องดูอะไร เพียงฝึกสติ ใ้ห้ควบคุมตัณหา ทุกข์ ก็จบสิ้นครับ **** เรื่องท้ายบท แนะนำอ่าน การมีสติ คือ การควบคุมกาย ใจ ได้ //www.bloggang.com/viewdiary.php?id=namasikarn&month=06-2010&date=16&group=8&gblog=33 อาการของสัมมาสติ สัมมาสมาธิ ฉบับประสบการณ์ส่วนตัว //www.bloggang.com/viewdiary.php?id=namasikarn&month=06-2010&date=07&group=8&gblog=26 จิตรู้ 2 แบบ //www.bloggang.com/viewdiary.php?id=namasikarn&month=06-2009&date=05&group=1&gblog=26 ***** การควบคุมตัณหานั้น ท่านต้องผ่านการฝึกฝนสัมมาสติ จนมีความตั้งมั่นอย่างมาก อาจจะบอกว่า มากที่สุดก็ว่า เมื่อท่านมีสัมมาสติ สัมมาสมาธิที่ตั้งมั่นที่สุด ท่านจะพบเห็นความว่างเปล่าที่ไม่มีอะไรได้ เมื่อท่านเห็นความว่างเปล่าได้แล้ว เวลาที่เกิดความอยากขึ้นใจจิตใจ อันเป็นตัณหา ท่านจึงจะเห็นมันได้ ถ้าสัมมาสติของท่านยังไม่ตั้งมั่นมากพอ ท่านยังไม่เห็นความว่างเปล่าของจิตใจ จิตท่านจะไม่มีความสามารถพอที่จะเห็น ตัณหา อันเป็นกิเลสที่ก่อตัวขึ้นได้เลย เมื่อท่านเห็น ตัณหา ได้ ตัณหาก็จะถูกสลายไปได้ด้วยกำลังแห่งสัมมาสมาธิที่ตั้งมั่นที่มาก ๆ เพียงมีปัญญา ยังไม่สิ้นทุกข์ ต้องมีทั้งสมาธิ และปัญญา ถึงจะสิ่นทุกข์ได้อย่างสมบูรณ์
Create Date : 24 มิถุนายน 2553
8 comments
Last Update : 29 มกราคม 2555 16:09:20 น.
Counter : 1727 Pageviews.
โดย: ยิ่งเอก IP: 113.53.183.200 24 มิถุนายน 2553 9:39:21 น.
โดย: ตั้งไข่ IP: 180.183.24.166 24 มิถุนายน 2553 10:24:37 น.
โดย: นมสิการ 24 มิถุนายน 2553 10:44:28 น.
โดย: เด็กฝึกหัด IP: 75.80.79.36 24 มิถุนายน 2553 10:48:45 น.
โดย: นมสิการ 24 มิถุนายน 2553 11:14:57 น.
โดย: นมสิการ 24 มิถุนายน 2553 13:40:43 น.
โดย: นมสิการ 29 มกราคม 2555 16:40:03 น.
Location :
[ดู Profile ทั้งหมด]
ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember ผู้ติดตามบล็อก : 142 คน [? ]
หลักปฏิบัติ ...รู้สึกตัว ผ่อนคลาย เฉย ๆ สบาย ๆ มากกว่า 20 ปีที่ไปหลงทำสมถภาวนาแบบสมาธิแบบฤาษีโดยที่ไม่รู้จักกับคำว่า อะไรคือสัมมาสติ สัมมาสมาธิ ผลที่ได้คือความสงบขณะกำลังนั่งสมาธิจนตัวนิ่งแข็งเป็นก้อนหิน แต่ผลข้างเคียงตามมาก็คือการเป็นคนเจ้าโทสะอย่างรุนแรงขณะเวลาไม่ได้นั่งสมาธิ และ ที่อยู่ในชีวิตประจำวัน.... จนได้พบกัลยณมิตรแดนไกล ที่ได้ชักนำให้มารู้จักวิธีปฏิบัติแบบหลวงพ่อเทียน จนได้พบกับพระอาจารย์ในสายหลวงพ่อเทียน ที่ผมได้เรียนการปฏิบัติจากท่าน จนเข้าใจว่า สัมมาสติ สัมมาสมาธิ คืออะไร แล้วลงมือฝึกฝน การปฏิบัติก็รุดหน้าและได้ลิ้มรสสิ่งบริสุทธิในจิตใจอันเป็นผลจากการปฏิบัติด้วยเวลาเพียง 5 ปี ธรรมปฏิบัติจากฆราวาสเขียนเป็นสิ่งที่ยอมรับได้ยากในสังคมไทย ผมรู้ได้จากที่เขียนใน blog ผมได้พบกับการก่อกวนใน blog การเขียนเหน็บแนม กระแหนะกระแหน ตำหนิการการปฏิบัติที่ผมเขียนใน blog ว่าผิดทาง เขียนแบบคาดเดาเอา ไม่รู้จริง ให้ผมหยุดเขียนแนวนี้ได้แล้ว และไปโมทนาสาธุแนะนำการปฏิบัติสมาธิแบบฤาษีให้กับผมอีกว่านี่คือทางที่ถูกต้อง ... บทความใน blog จึงเกิดขึ้นมา เพื่อแบ่งปันประสบการณ์ในการภาวนา แก่ผู้อื่นที่กำลังเดินทางในสายแห่งอริยมรรคนี้ เมื่อท่านได้เข้ามาอ่านข้อเขียนใน blog กรุณาอย่าได้เชื่อผมจนกว่า ท่านได้ทดลองปฏิบัติแล้วและพิสูจน์ด้วยตัวท่านเอง **กรุณา .อย่า.ได้บริจาคเงินให้ blog ผมทาง e-wallet ครับ ** ****** บทความต่าง ๆ ใน blog นี้ ขอสงวนสิทธิ์ตามพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2537 ห้ามนำไปดัดแปลง ลอกเลียน หรือนำส่วนหนึ่งส่วนใดไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต ****