รู้สึกตัว ผ่อนคลาย เฉย ๆ สบาย ๆ **กรุณา .อย่า.ได้บริจาคเงินให้ blog ผม ทาง e-wallet ครับ** **ผมขอสงวนสิทธิการเป็นเจ้าบ้านของ blog ลบข้อเขียนใดๆ ก็ได้ใน blog นี้ตามที่ผมเห็นสมควร**
Group Blog
 
<<
มิถุนายน 2553
 12345
6789101112
13141516171819
20212223242526
27282930 
 
25 มิถุนายน 2553
 
All Blogs
 

ดูจิต ภาค 3

บทความนี้ ต่อเนื่องจากบทความที่แล้ว เรื่องดูจิตภาค 2
//www.bloggang.com/viewdiary.php?id=namasikarn&month=06-2010&date=25&group=8&gblog=47

บทความเรื่องดูจิตนี้ ผมเขียนขึ้นจากสิ่งที่ผมพบเห็นเองจากการปฏิบัติ
ผมคิดว่า น่าจะเป็นประโยชน์ต่อท่านที่เข้ามาอ่านบ้าง
ผมไม่รับประกันว่า สิ่งที่ผมเีขียนนี้ จะถูกต้องทั้งหมด
ขอให้ท่านอ่านเองด้วยปัญญา และเก็บเกี่ยวเอาสิ่งที่เป็นประโยชน์ไปใช้
สิ่งที่ไม่เป็นประโยชน์ก็ขอให้ทิ้งไว้ใน blog นี้ก็แล้วกันครับ
เพื่อการปฏิบัติเพื่อการพ้นทุกข์ของท่านเอง

***************************
ผมได้เคยเขียนเรื่อง จิตรู้ มาแล้วใน blog ของผม ซึ่งคำว่า จิตรู้ ที่ผมใช้ ก็คือ จิตผู้รู้ ที่สายวัดป่าใช้
ขอให้อ่านเรื่อง จิตรู้ 2 แบบ ที่
//www.bloggang.com/viewdiary.php?id=namasikarn&month=06-2009&date=05&group=1&gblog=26

กล่าวโดยสรุป ก็คือ เมื่อนักปฏิบัติเพิ่งฝึกฝนสัมมาสติจนเกิดความตั้งมั่นได้ใหม่ ๆ
ในระยะแรกนี้ จิตรู้ ที่แยกตัวออกมาดูขันธ์ 5 ได้นั้น เขาจะเป็นดวงให้เห็นได้ แต่เมื่อได้ฝึกฝนสัมมาสติต่อไปอีก จิตรู้
ที่เป็นดวงนี้จะสลายไปไม่เป็นดวงอีก มีแต่สภาพความว่างเปล่ามาแทนที่
ที่ผมรู้ว่า มันสลายเพราะการรู้ยังมีอยู่ แต่สิ่งที่ผมเคยเห็นที่มันเป็นดวง มันได้หายไปแล้ว

สำหรับ ตัวจิต เองนั้น ผมได้เขียนไว้ก่อนหน้านี้ว่า จะมีลักษณะของการนิ่งสงบและตอนเห็นได้ใหม่ ๆ ยังเป็นดวง
แต่เมื่อเวลาผ่านไป พร้อมกับการฝึกฝนสัมมาสติต่อไปอีก
จิตที่นิ่งสงบนี้ จะแปรเปลี่ยนไปอีก มันจะไม่เป็นดวงอีกต่อไป แต่มันจะเปลี่ยนสภาพ
เป็นกลุ่มพลังงานที่ปกคลุมร่างกายทั้งร่าง กลุ่มพลังงานนี้จะรู้สึกได้เช่นกัน
แต่เมื่อเวลาผ่านไปอีก กลุ่มพลัีงงานที่ปกคลุมร่างกายนี้ก็จะแปรเปลี่ยนไปอีก
มันได้สลายตัวไป กลายเป็นความว่างเปล่า (ขอให้นึกถึง รถเมล์ที่ปล่อยควันดำออกมา
พอเวลาผ่านไป ควันดำนั้นได้สลายตัวไปทั้งหมด จนไม่เห็นควันอีกเลย จะคล้าย ๆ แบบนั้น)

ผมสังเกตเห็นว่า การที่ตัวจิตที่แรกเริ่มเป็นดวงสงบนิ่งให้เห็นได้นั้น
จุดนี้เป็นจุดสำคัญมากสำหรับนักปฏิบัติ เพราะเมื่อนักปฏิบัติเห็นจิตที่สงบนิ่ง
ทีเ่ป็นดวงนี้ มันจะเป็นตัวช่วยให้นักปฏิบัติมีการรู้ที่ต่อเนื่อง คือ สติไม่ขาดตอนและเป็นสมาธิ
อยู่ตลอดเวลา และการเห็นดวงจิตนี้ ที่ไม่ขาดตอน มันจะเหมือนการได้ฌาน เพราะเห็นได้ตลอดไม่ขาดสาย การที่เป็นอย่างนี้ จะช่วยทำให้สัมมาสมาธิยิ่งตั้งมั่นมากขึ้น

เมื่อ ทั้ง จิตรู้ และ ตัวจิต เองได้สลายเป็นความว่างไปหมดสิ้น สิ่งที่เหลืออยู่
ก็คือ การทำงานของอายตนะและความรู้สึกต่าง ๆ ที่ยังสัมผัสได้เช่นคนปรกติทั่ว ๆ ไป

ผมเข้าใจว่า (อาจผิดได้ครับ) การสลายตัวของทั้ง จิตรู้ และ ตัวจิตเอง ที่เป็นดวง
จนกลายเป็นความว่าง ก็จะมาจากที่กำลังสัมมาสติได้เพิ่มขึ้น
จากการได้ฌานที่เห็นดวงจิต/ดวงผู้รู้ อยู่ตลอดเวลาไม่ขาดสายนั่้นเอง
ในระยะเวลาแห่งการได้ฌานนี้ กิเลส ไม่สามารถเข้าสู่จิตใจได้เลย

เป็นที่น่าสังเกตว่า สภาวะเมื่อทั้งจิตรู้ และ ตัวจิตเอง ได้สลาย
เป็นความว่าง มันจะเหมือนคนทั่ว ๆ ไปธรรมดานี่เอง แต่ต่างจากคนทั่ว ๆ ที่ว่า ผมจะเห็นความว่างเปล่าที่เคยมีอยู่ของจิตรู้ และ ดวงจิตนี้อยู่ตลอดเวลา แต่คนธรรมดาทั่ว ๆ ไป เขาไม่เห็นความว่างเปล่าตรงนี้

***หมายเหตุ ความว่างเปล่าของจิต นี้ ถ้าจะว่าไปจริง ๆ เป็นสิ่งที่เขียนลำบากมาก
ดูคล้าย ๆ มันว่างเปล่าที่ไม่มีอะไร ถ้่าแต่ดูดี ๆ ให้ชัด มันก็เหมือนมีอะไรอยู่จาง ๆ บาง ๆ อยู่
นี่คงเ็ป็นสิ่งที่น่าจะเรียกว่า สุญญตา


****
เรื่องท้ายบท

จากที่ผมปฏิบัติมา ผมพบอาการความว่างมาก่อนที่จะพบจิตทีสงบนิ่งแล้วจิตกลายเป็นความว่าง
ผมคาดว่า (อาจผิดได้) ความว่างที่ผมพบมาก่อนหน้านี้คือ อรูปฌาน อันมีความว่างเป็นอารมณ์ของจิต
ผมจะบอกให้ท่านทราบถึงความแตกต่างระหว่างความว่างแบบ อรูปฌาน และความว่างที่จิตได้สลายไป

ความว่างที่เป็นอรูปฌาน จะมีลักษณะของความว่างเปล่า แต่ว่า มันมีขนาดที่กว่างใหญ่
ไร้ขอบเขต ที่เห็นได้อยู่ข้างหน้าเรานี่เอง เริ่มจากตัวเราและแผ่กว้างไกลตัวเราออกไปอีก

แค่ึความว่างที่มาจากจิตว่างนั้น ท่านต้องดูสภาพก่อนที่จะเป็นความว่าง
มันจะเป็นพลัีงงานที่คลุมร่างกายอยู่เท่านั้น ขนาดของมันบอกไม่ได้ว่าแค่ไหน
แต่มันไม่กว้างใหญ่ดังอรูปฌาน คือ มันแต่อยู่รอบ ๆ ตัวเรานี่เอง
พอพลังงานที่ปกคลุมร่างกายนี้หายไป มันก็คือไม่มีอะไรแล้ว มันจึงเป็นความว่าง
ซึ่งอาการนี้ ที่เรารู้ได้ เพราะเมื่อก่อนมันเคยมี แล้วมันหายไป เราเลยรู้ว่า มันว่าง
ยกตัวอย่างเช่น สมมุติว่า หน้าบ้านท่านมีต้นไม้อยู่ต้นหนึ่ง แต่ท่านไม่อยู่บ้าน
คุณพ่อที่บ้านได้ให้คนมาตัดต้นไม้นี้ทิ้งไปตอนท่านไม่อยู่ พอท่านกลับมาบ้าน
ท่านจะเห็นความว่างทีมันแทนที่ต้นไม้ที่มันเคยมีอยู่ แต่ตอนนี้ได้หายไปแล้วนั้นเอง การรู้ว่างของจิต มันจะคล้าย ๆ แบบนี้

****
อีกเรื่องหนึ่ง ที่ผมขอเขียนถึง ที่มันเกี่ยวเนื่องกับดูจิตเห็นจิต ก็คือ
สภาวะแห่งจักระบนร่างกาย
ผมพบว่า เมื่อได้ฝึกฝนสัมมาสติ ไปเรื่อย ๆ จะพบสภาวะแห่งจักระ
ได้เกิดขึ้น เช่น พลังานที่เกิดที่ฝ่ามือทั้ง 2 ข้าง ที่ฝ่าเท้าทั้ง 2 ข้าง
ที่กลางกระโหลกศรีษะ และการเจ็บที่ปลายนิ้วมือ นิ้วเท้า ที่เจ็บแล้วหายไปเอง
หายแล้วก็เจ็บอีก เดียวเจ็บนิ้วโน้น พอนาน กลับมาเจ็บนิ้วอื่นอีก วนเวียนไปเรื่อย ๆ
ซึ่งผมไม่ทราบความสัมพันธ์เรื่องจักระและความก้าวหน้า
แห่งการปฏิบัติธรรมว่ามันเกี่ยวเนื่องกันอย่างไร แต่คงมีผลถึงกันได้
ถึงได้เกิดสภาวะแห่งจักระเหล่านี้ขึ้น




 

Create Date : 25 มิถุนายน 2553
1 comments
Last Update : 29 มกราคม 2555 16:09:00 น.
Counter : 986 Pageviews.

 

ผมจำเป็นต้องปิดการเขียนของท่านผู้อ่าน เนื่องจากกฏหมายอินเตอร์เนท
ที่อาจมีสิ่งผิดกฏหมายใส่เข้ามาใน blog

ท่านที่จะสนทนา หรือ ถามคำถาม ขอให้ส่ง email ถึงผมได้ที่
asknamasikarn@gmail.com

หรือสำหรับสมาชิก pantip จะส่งมาทางหลังไมค์ก็ได้เช่นกัน

 

โดย: นมสิการ 29 มกราคม 2555 16:39:07 น.  

ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะ VIP Friend
Comment :
  *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 


นมสิการ
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 142 คน [?]




หลักปฏิบัติ ...รู้สึกตัว ผ่อนคลาย เฉย ๆ สบาย ๆ

มากกว่า 20 ปีที่ไปหลงทำสมถภาวนาแบบสมาธิแบบฤาษีโดยที่ไม่รู้จักกับคำว่า อะไรคือสัมมาสติ สัมมาสมาธิ ผลที่ได้คือความสงบขณะกำลังนั่งสมาธิจนตัวนิ่งแข็งเป็นก้อนหิน แต่ผลข้างเคียงตามมาก็คือการเป็นคนเจ้าโทสะอย่างรุนแรงขณะเวลาไม่ได้นั่งสมาธิ และ ที่อยู่ในชีวิตประจำวัน....

จนได้พบกัลยณมิตรแดนไกล ที่ได้ชักนำให้มารู้จักวิธีปฏิบัติแบบหลวงพ่อเทียน จนได้พบกับพระอาจารย์ในสายหลวงพ่อเทียน ที่ผมได้เรียนการปฏิบัติจากท่าน จนเข้าใจว่า สัมมาสติ สัมมาสมาธิ คืออะไร แล้วลงมือฝึกฝน การปฏิบัติก็รุดหน้าและได้ลิ้มรสสิ่งบริสุทธิในจิตใจอันเป็นผลจากการปฏิบัติด้วยเวลาเพียง 5 ปี

ธรรมปฏิบัติจากฆราวาสเขียนเป็นสิ่งที่ยอมรับได้ยากในสังคมไทย ผมรู้ได้จากที่เขียนใน blog ผมได้พบกับการก่อกวนใน blog การเขียนเหน็บแนม กระแหนะกระแหน ตำหนิการการปฏิบัติที่ผมเขียนใน blog ว่าผิดทาง เขียนแบบคาดเดาเอา ไม่รู้จริง ให้ผมหยุดเขียนแนวนี้ได้แล้ว และไปโมทนาสาธุแนะนำการปฏิบัติสมาธิแบบฤาษีให้กับผมอีกว่านี่คือทางที่ถูกต้อง ...

บทความใน blog จึงเกิดขึ้นมา เพื่อแบ่งปันประสบการณ์ในการภาวนา
แก่ผู้อื่นที่กำลังเดินทางในสายแห่งอริยมรรคนี้

เมื่อท่านได้เข้ามาอ่านข้อเขียนใน blog กรุณาอย่าได้เชื่อผมจนกว่า ท่านได้ทดลองปฏิบัติแล้วและพิสูจน์ด้วยตัวท่านเอง

**กรุณา .อย่า.ได้บริจาคเงินให้ blog ผมทาง e-wallet ครับ **

******
บทความต่าง ๆ ใน blog นี้
ขอสงวนสิทธิ์ตามพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2537
ห้ามนำไปดัดแปลง ลอกเลียน หรือนำส่วนหนึ่งส่วนใดไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต

****
New Comments
Friends' blogs
[Add นมสิการ's blog to your web]
Links
 
MY VIP Friend


 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.