สิ่งที่ซ่อนในการเคลื่อนมือแบบหลวงพ่อเทียน
บทความนี้เป็นความเห็นส่วนตัวของผม หลังจากทีได้ฝึกการเคลื่อนมือแบบหลวงพ่อเทียน มาระยะหนึ่งแล้ว ผมไม่เคยพบหลวงพ่อเทียน จึงไม่ทราบว่าการที่ท่านสอนเคลื่อนมือ แบบทำเป็นจังหวะ เคลื่อน-หยุด เคลื่อน-หยุด เพราะอะไร
ผมเคยถามพระสายวัดหลวงพ่อเทียน ไม่มีใครให้คำตอบที่เป็นประโยชน์ มีแต่ตอบว่า .ถ้าไม่ เคลื่อน-หยุด ก็ไม่ใช่เป็นจังหวะนะซิ โยม. นอกจากนี้ พระบางรูป ยังตอบว่า ให้เคลื่อนไปเรื่อย ๆ ก็ได้ แต่ขอให้เป็นธรรมชาติของโยมเอง
แต่สิ่งที่ผมต้องการทราบคือว่า ทำไมต้อง เคลื่อน-หยุด ต่างหาก แล้วการทำเป็นจังหวะ เพื่ออะไรกัน
ตอนที่ผมเห็น .จิต.เป็นดวงครั้งแรก ผมเห็นมันอยู่ภายในร่างกาย ซึ่งแต่ก่อนไม่เคยเห็นมาก่อนเลย แต่จิตที่เป็นดวงที่ผมเห็นนั้น ก็ไม่ใช่ว่า จะเห็นกันง่าย ๆ เลยแบบเห็นหน้าจอคอมพิวเตอร์ เพราะมันเป็นจุดเล็ก ๆ ที่ไม่สว่างเสียด้วย ต้องใช้ความสังเกต จึงจะเห็นได้ในครั้งแรก แต่เมื่อเห็นได้ในครั้งแรกแล้ว ต่อไป การเห็นก็สบาย เห็นง่าย เปรียบเหมือนกับว่า ท่านซื้อเสื้อใหม่มา มองไม่เห็นจุดตำหนิเล็ก ๆ บนผ้า พอมีเพื่อนมาทักว่า เสื้อมีตำหนิเท่านั้น ท่านจะเห็นได้ ทีนี้มาเรื่องทีเดียว เพราะทุกครั้งทีท่านหยิบเสื้อตัวนี้มาใส่ ท่านจะเห็นจุดติำหนินี้ก่อนทันที ทั้ง ๆ ที่เสื้อทั้งตัวไม่มีตำหนิ ท่านไม่เห็น แต่ดันมาเห็นจุดเล็ก ๆ นี้
การเคลื่อนมือแบบ เคลื่อน-หยุด นี่ถ้าท่านเคลื่อน-หยุด ไปเรื่อยๆ แต่ไม่เคยสังเกตเห็นความแตกต่างในความรู้สึกที่เกิดขึ้น ในขณะที่เคลื่อน ในขณะที่หยุด ท่านจะไม่มีการพัฒนาการของการเป็นคนช่างสังเกตความแตกต่างในเรื่องต่างๆ แต่ถ้าท่านฝึกแล้ว เคลื่อน-หยุด แล้วสังเกตไป ท่านจะพบกับสิ่งธรรมดาที่ท่านเคยมองข้ามไป
ไอแซค นิวตัน เห็นแอ๊บเปิลหล่นลงมา จึงทำให้เกิดวิชาแรงโน้มถ่วงของโลก ทั้งๆ ที่คนบนโลกทุกคนเป็นล้าน ๆ คน ก็เข้าใจว่า สิ่งของถ้าปล่้อยในที่สูง ย่อมตกลงสู่พื้นเสมอ กลายเป็นเรื่องธรรมดา แต่ไม่มีใครสังเกต สงสัยว่า ทำไมมันถึงตกลงมาละ จึงไม่เห็นความจริงเรื่องแรงโน้มถ่วงนี้
ในสภาวะธรรมก็เช่นกัน ถ้าท่านไม่เป็นคนช่างสังเกต ท่านจะไม่เห็นสภาวะธรรม ทั้ง ๆ สภาวะธรรมก็ปรากฏอยู่ตลอดเวลาต่อหน้าท่านแล้ว แต่ท่านไม่สังเกตเห็นเอง เช่นเดียวกับเรื่องแรงโน้มถ่วงที่ .ไอแซค นิวตัน.สังเกตเห็น
ผมเลยเข้าใจว่า การฝึก เคลื่อน-หยุด นี่ก็คือฝึกให้เป็นคนช่างสังเกต แต่ถ้าท่านไม่เข้าใจ ก็จะฝึกแบบผ่าน ๆ ไป ไม่ได้มีการพัฒนาอะไร เพราะครูบาอารย์ ท่านไม่ได้พูดไว้ พูดง่าย ว่า ให้รู้สึกตัวบ้าง ให้มีสติบ้าง ซ้ำร้ายไปกว่านั้น การฝึกฝนที่บอกว่า เคลื่อนมือแบบหลวงพ่อเทียน บางที่ ยังไม่มีการเน้นย้ำเรื่องการ เคลื่อน-หยุด อีกในยุคปัจจุบัน ปล่อยให้ผู้ฝึกขยับมือไปแบบไม่รู้เรื่องอะไร แถมขยับแบบรวดเร็วราวเครื่องยนต์รถยนต์ Twin cam 16 valve
ถ้าท่านสังเกตดู ในการฝึกฝนอย่างอื่น เช่น เดินจงกรม หลายสำนักก็สอน ให้มีการหยุด เมือ่ถึงปลายทาง พอหมุนตัวกลับ ก็ให้หยุดอีก ก่อนการเดินต่อ
การหายใจ ก็เช่นกัน พอลมเข้าสุด จะมีจังหวะหยุดนิดหนึ่งอันเป็นธรรมชาติของการหายใจ แล้ว ก็หายใจออกอีก พอสุดการออก ก่อนเข้าอีก ก็จะหยุดอีกเช่นกัน ท่านต้องสังเกตแบบนี้ ไม่ใช่ ส่งจิตไปจับลมที่ปลายจมูกดังที่ผมเห็นตอบกันอย่างแพร่หลาย ในอินเตอร์เนท
ถ้าเป็นอย่างนี้ การฝึกฝน ก็จะเหมือนการหยอดน้ำที่ใส่ไม่ตรงปากรูขวดเสียแล้ว กว่าน้ำจะเต็มขวด ก็จะใช้เวลาเนิ่นนานออกไป จนทำให้คนหยอดน้ำเข้าขวด อาจ ท้อใจไปก่อนที่น้ำจะเต็ม
บอกอีกครั้ง นี่เป็นความเห็นส่วนตัว ถ้า่ท่านอ่านแล้ว รู้สึกว่าช่างไร้สาระ ก็ทิ้งมันไว้ใน blog ผมนี่แหละ ถ้าท่านอ่านแล้ว ย้อนมาพิจารณาการฝึกของท่านเอง ท่่านก็นำสาระไปใช้ก็แล้วกัน ผมให้ฟรี ๆ แต่ผมกลับได้มหาศาลจากการทำธรรมทาน
พระพุทธองค์บอกว่า ธรรมทาน เป็นการให้ที่ยิ่งใหญ่ กว่าการให้ทานทั้งปวง
*********
เรื่องท้ายบท...
หลวงพ่อที่สอนผมบอกว่า นิพพาน เห็นได้ด้วยการหยุด ผมเคยได้ิยิน ท่านอาจารย์หญิงท่านหนึ่งสา่ยหลวงพ่อเทียนท่่านพูดว่า จังหวะการหยุดเคลื่อนมือนี่ถึงขั้นตัดวัฏฏะกันเลยทีเดียว
นำคำพูดครูบาอาจารย์มาเล่าให้ฟังครับ คงเป็นปริศนาให้ติดตามค้นหากันเองต่อไป
Create Date : 27 มิถุนายน 2553 |
|
17 comments |
Last Update : 29 มกราคม 2555 16:08:53 น. |
Counter : 1841 Pageviews. |
|
|
|