รู้สึกตัว ผ่อนคลาย เฉย ๆ สบาย ๆ **กรุณา .อย่า.ได้บริจาคเงินให้ blog ผม ทาง e-wallet ครับ** **ผมขอสงวนสิทธิการเป็นเจ้าบ้านของ blog ลบข้อเขียนใดๆ ก็ได้ใน blog นี้ตามที่ผมเห็นสมควร**
Group Blog
 
<<
มิถุนายน 2553
 12345
6789101112
13141516171819
20212223242526
27282930 
 
13 มิถุนายน 2553
 
All Blogs
 

หลวงพ่อเทียนท่านว่า ยิ่งคิดยิ่งรู้ แต่ทำไมบางอาจารย์ว่าการปฏิบัติอย่าให้มีความคิด ตกลงเอาอย่างไงแน่

ถ้าท่านเป็นอีกท่านหนึ่งที่รู้สึกสับสนกับวิธีการปฏิบัติในเรื่องเกี่ยวกับความคิดเสียเหลือเกิน
เพราะทำไม หลวงพ่อเทียนท่านว่า ยิ่งคิดยิ่งรู้
แต่ทำไมบางอาจารย์สอนว่าการปฏิบัติอย่าให้มีความคิด ตกลงเอาอย่างไงแน่
ทำไมจึงมีการสอน 2 แนวทางที่ตรงข้ามกันสุดกู่ ไปด้วยกันไม่ได้
แล้วจะให้ปฏิบัติอย่างไรดี

********************

เรื่องนี้ผมขอแสดงความเห็นดังนี้ครับ

ก่อนอื่น ผมจะจำแนกเรื่องความคิดในคำถามให้ชี้เฉพาะลงไปมากขึ้น เพราะอันว่า
ความคิดนี่ จะมี 2 ชนิด คือ
ชนิดแรก คือ การจงใจต้องการคิด เช่นการคิดเรื่องในหน้าที่การงาน อย่างนี้ท่านที่ทำงานต้องคิดครับ ถ้าท่านไม่คิด ท่านจะทำงานไม่ได้ และ เขาจะไล่ท่านให้ท่านออกจากงาน เพราะทำงานให้เขาไม่ได้นั้นเอง
ชนิดที่ 2 คือ การไม่จงใจต้องการคิด แต่เป็นความคิดที่มันโผล่แว๊บชึ้นมาเองในสมอง
และบ่อย ๆครั้งเมื่อความคิดอย่างนี้โผล่แว๊บขึ้นมาก็จะทำให้ท่าน ใจลอยคิดโน่นคิดนี่
ตามเรื่องราวที่มันอยู่ในความคิด

การปฏิบัติธรรมนั้น จะหมายถึงความคิดในชนิดที่ 2 เพียงอย่างเดียวครับ ไม่เกี่ยวเนื่อง
ใด ๆ กับความคิดในชนิดที่ 1 แต่อย่างใด

ก่อนที่ผมจะตอบคำถามข้างต้น นั้น ผมอยากจะให้ท่านมองภาพรวมของการปฏิบัติธรรมก่อนครับ
ซึ่งถ้าท่านเห็นและเข้าใจภาพรวมนี้ได้ ท่านจะหลุดจากการสงสัยในการปฏิบัติไปได้มาก

จุดหมายปลายทางของการปฏิบัติ คือ การปล่อยวางขันธ์ 5 อย่างเด็ดขา่ด
นี่คือ Goal objective ที่แท้จริงของการปฏิบัติธรรมแบบพุทธศาสนา

การจะเกิดการปล่อยวางในขันธ์ 5 อย่างเด็ดขาด จะมาจากการเห็นขันธ์ 5
อย่างท่องแท้ของจิตว่า ขันธ์ 5 มันเป็นมายา มันไม่ใช่ของจริง มันเกิดเพราะมีเหตุ
ปัจจัยให้เกิด มันดับลงไป เพราะเหตุแห่งปัจจัยมันดับลงไป ดังพระอัสสชิ
กล่าวกับท่านสารีบุตรตอนที่ท่านยังไม่ได้บวชว่า
.ธรรมเหล่าใดเกิดแต่เหตุ เมื่อเหตุดับ ธรรมก็ดับ.
คำพูดนี้ ถ้าไม่เข้าใจจริงอย่างท่านสารีบุตร มันช่างเป็นคำพูดที่แสนธรรมดา
ที่เรา ๆ ท่าน ๆ ได้ยินจนชาหู แต่ไร้ปัญญาที่จะเข้าใจได้ แต่นี่คือธรรมขั้นสูงสุด
เหมือนกับไวพจน์ของประโยคที่ว่า .ธรรมทั้งปวงไม่ควรยึดมั่นถือมั่น.

ถ้าผมจะนำมาต่อกันจะได้ว่า .ธรรมทั้งปวงไม่ควรยึดมั่นถือมั่น เพราะว่า ธรรมนั้น
เกิดแต่เหตุ เมื่อเหตุดับ ธรรมก็ดับ.

ธรรม ก็คือ ขันธ์ 5
เมื่อไม่ยึดมั่นถือมั่นในธรรม ก็ืคือ การปล่อยวางในขันธ์ 5

การที่จะให้จิตเข้าใจและเกิดการปล่อยวางในขันธ์ 5 ลงได้อย่างราบคาบนั้น
จิต .ต้องเห็น. การทำงานของขันธ์ 5 ให้ได้ก่อน
การเห็นขันธ์ 5 ของจิตนี่คือขบวนการที่เรียกกันว่า วิปัสสนา

ขบวนการวิปัสสนา จะเกิดขึ้นได้ ก็ต่อเมื่อ จิตนั้นเห็นการทำงานของขันธ์ 5
การที่จิตจะเห็นการทำงานของขันธ์ 5 ได้นั้น
จิตจะต้องแยกตัวออกมาจากขันธ์ 5 ให้ได้ก่อน
ถ้าจิตยังแยกตัวออกมาจากขันธ์ 5 ไม่ได้ ไม่มีทางที่จิตจะเห็นการทำงานของขันธ์ 5 ได้เลย

ซึ่งถ้าเปรียบให้เข้าใจเรื่องจิตแยกตัวออกมาจากขันธ์ 5
มันจะเหมือนกับท่านอยู่ในมุมสูงของตึก แล้วมองลงมาที่ถนน
ข้างล่างที่รถกำลังติดหนัก ท่านจะเห็นได้ชัดว่า รถที่ติด เริ่มมาจากตรงไหน เกิดอะไรขึ้น
ถ้าท่านเป็นคนขับรถอยู่ในถนนที่รถติดนั้น ท่านจะไม่เห็นสาเหตุของรถติดได้เลย

เอาละ ท่านพอมองภาพออกใช่ใหมครับว่า ขบวนการมันจะเป็นอย่างนี้

แต่ว่า ยังมีอีกขบวนการหนึ่ง ที่ผมพบเห็นจากการปฏิบัติ ทีผมจะนำมาโยงให้เข้าใจ
ก่อนจะตอบคำถามท่าน ผมเห็นจากที่ผมปฏิบัติว่า อันว่า .จิตรู้. นี้ กับ จิตที่กำลังคิด
นี่จะเป็น Flip Flop ซึ่งกันและกัน
( อ่านเรื่อง จิตรู้ และ จิตคิด คือ ตัวเดียวกัน แต่ทำหน้าที่ต่างกัน
ที่ //www.bloggang.com/viewdiary.php?id=namasikarn&month=05-2010&date=01&group=8&gblog=6 )
หมายความโดยย่อว่า ถ้าจิตทำหน้าที่รู้ จิตคิดจะต้องไม่ทำงาน
แต่ถ้า จิตคิดทำงาน จิตรู้จะไม่ทำหน้าที่

เอาละ เมื่อท่านเข้าใจขบวนการและเข้าใจการทำงานของ จิตรู้ และ จิตคิด อันเป็น flip flop ซึ่งกันและกันแล้ว ก็มาอ่านดูคำตอบกันต่อไป


1..ในระยะที่ท่านเป็นเด็กน้อยในการภาวนาที่เพิ่งเริ่มต้น แน่นอนว่า จิตรู้ของท่านยังไม่มีกำลัง
วังชาเลย มันยังไม่สามารถแยกตัวออกมารับรู้การทำงานของขันธ์ 5 ได้อย่างแน่นอน
ในระยะเด็กน้อยนี้ ท่านควรฝึกฝนให้จิตรู้ทำงานให้มาก และ อย่าให้จิตคิดทำงานครับ
เมื่อจิตคิดเกิดคิดขึ้นมา ขอให้ท่านสลัดจิตคิดออกไปทันที แล้วให้จิตรู้ทำหน้าที่รู้ต่อไป
ถ้าท่านไม่เข้าใจว่า จิตรู้ จะให้รู้อะไร ละก็
ผมขอให้ท่านเรื่องใน blog นี้ที่เขียนเรื่องการเจริญสัมมาสติ สัมมาสมาธิ
ซึี่งมีจำนวนหลายเรื่อง ยกตัวอย่างเช่น
เรื่อง อาการของสัมมาสติ สัมมาสมาธิ ฉบับประสบการณ์ส่วนตัว
//www.bloggang.com/viewdiary.php?id=namasikarn&month=06-2010&date=07&group=8&gblog=26
และอีกหลาย ๆ เรื่องใน blog นี้ที่ผมเขียนไว้มากมาย

>>เมื่อจิตรู้เขาทำงานมาก ๆ จิตรู้จึงจะมีกำลังครับ
อย่าไปบังคับจิตให้นิ่งนะครับ ดังที่ผมเห็นเขียนกันกลาดเกลื่อนในอินเตอร์เนท
ว่า จิตนิ่งคือจิตมีกำลัง อันนี้เป็นสมาธิแบบฤาษี ซึ่งไม่ใช่ทางแน่นอน


2..เมื่อท่านฝึกฝนการเจริญสัมมาสติ สัมมาสมาธิ จิตรู้ ท่านเริ่มมีพลังและเริ่มแยกตัวออก
ได้จากขันธ์ 5 การทีจะรู้ว่า จิตรู้ เริ่มมีพลังและแยกตัวออกมาได้จากขันธ์ 5 นั้นท่านจะรู้ได้จากที่ จิตรู้ มีความสามารถเห็น .จิตคิด หรือว่า เห็นจิตปรุงแต่งได้.
ซี่งผมเน้นย้ำว่า ต้อง.เห็น.จิตคิด/จิตปรุงแต่ง ไม่ใช่เพียงรู้ว่ามี จิตคิด/จิตปรุงแต่ง
ถ้าท่านยังไม่เห็น ท่านก็ยังเป็นเด็กน้อยครับ ถ้าท่านเห็นได้ ท่านก็เริ่มโตเป็นวัยรุ่นแล้ว

ในระยะวัยรุ่นนี้ ถึงแม้ว่า จิตรู้ จะมีกำลังแยกตัวออกมารู้การทำงานของขันธ์ 5 ได้บ้างแล้ว
แต่ท่านก็ยังคงต้องฝึกการเจริญสัมมาสติต่อไปอีก เพราะ จิตรู้ ยังพ่ายแพ้ต่อ จิตคิด อยู่บ่อย ๆ
ดังนั้น ท่านสมควรฝึกต่อไปคล้าย ๆ กับข้อ 1

3.. เมื่อท่านฝึกจากระยะวัยรุ่นในข้อ 2 ไปอีก จิตรู้ ของท่านจะยิ่งมีกำลังแข็งแกร่งมากขึ้น
จิตรู้ จะแยกตัวจาก จิตคิด ได้มาก ๆ และจะไม่พ่ายแพ้แก่จิตคิดบ่อยนัก (แต่ก็อาจแพ้ได้ในบางคราว เพราะจิตคิดนี่มันเก่งมากครับ ) ระยะที่ 3 นี้แหละครับ ที่จะเป็นปัญญาอย่างดีมาก ๆ
สำหรับผู้ปฏิบัติ เพราะ จิตรู้ เขาเก่ง จิตคิด เขาก็เก่ง ดังนั้น จะพลัดการแพ้ พลัดการชนะ
อยู่บ่อย ๆ เมื่อมีการแพ้ มีการชนะ จะทำให้ จิตรู้ เขาเห็นกลไกการทำงานของขันธ์ 5 ได้มากในระยะนี้ เมื่อท่าน .ปล่อยให้มันคิด. จิตรู้จะเห็นการทำงานของ จิตคิด อันเป็นปัญญาทางพุทธศาสนาแก่จิตรู้ของท่านเอง
ดังนั้น ระยะนี้ ท่านปล่อยให้มันคิดได้ อย่าไปห้ามมันไม่ให้คิด เพราะ่จิตรู้ ท่านเริ่มแข็งแกร่ง
มันจะทำหน้าที่ของมันได้เองและจะเกิดปัญญา

****
การปฏิบัติยังไม่ได้จบแค่ข้อ 3 แต่ผมเขียนเพียงนี้ เพื่อตอบข้อสงสัยข้างต้นเกี่ยวกับการปฏิบัติ
ว่า ตกลง ควรคิด หรือ ไม่ควรคิด กันแน่

>>>> สรปหลักในการปฏิบัติก็คือ ในระยะที่ 1 และ 2 ท่านสมควรจะไม่คิดครับ แต่ให้ฝึกรู้ให้มาก ๆ ก่อน แต่ในระยะที่ 3 ท่านปล่อยจิตให้เป็นอิสระ ปล่อยมันคิด ถ้าจิตมันคิด ท่านจะเห็นความคิดได้ อันเป็นปัญญาครับ

****************
บทความท้ายบท
เมื่อท่านอยู่ในระยะที่ 3 จิตท่านจะมีพลังแข็งแกร่งดี ท่านจะ.เห็น. (ไม่ใช่ .รู้. นะครับ)
ว่า อันว่า จิตปรุงแต่งต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นอันเนื่องจากความพอใจ/ ไม่พอใจ นั้น จะมีลักษณะ
เป็นพลังงานวูบ ๆ ขึ้นมาตอนทีมันเกิดขึ้น ท่านจะเห็นได้อีกว่า กิเลส ตัณหา ก็จะเป็นพลังงาน
วูบ ๆ อย่างนี้เช่นเดียวกัน

ถ้าท่านสังเกตต่อไป เมื่อท่านเห็นพลังงานที่มันโผล่วูบ ๆ ขึ้นมาได้ ขอให้สังเกตว่า เมื่อพลังงานวูบ ๆ นี่มันหายไป มันจะกลายเป็นความว่างเปล่าแทนที่ ซึ่งใน blog ผมนี้เรียกมันว่า จิตว่าง
คือ จิตที่ไม่มีพลังงานวูบ ๆ นี้ปรากฏตัวอยู่ ผมบอกทางให้ท่านที่เดินทางถึงในการสังเกตเห็นจิตว่างนี้ได้อย่างไร

ท่านจะเห็นได้เองว่า พลังงานวูบ ๆ ของจิตคิด / จิตปรุงแต่ง / กิเลส /ตัณหา ล้วนเป็นไตรลักษณ์ ทั้งสิ้น มันเกิดขึ้นเพราะมีเหตุให้เกิด เมื่อเหตุดับ มันก็ดับลงไป นี่คือความเป็นมายา
ของมัน ที่มันไม่ใช่ของจริงแต่อย่างใด สิ่งที่เกิดเหล่านี้ ล้วนเป็นปัญญาให้แก่ท่านทั้งสิ้น
ดังนั้น ถ้าท่านได้ยินได้ฟังจากที่ไหนว่า การปฏิบัติให้ทำจิตให้นิ่ง ๆ ว่าง ๆ ท่านจะไม่มีปัญญา
อย่างนี้ได้เลย ตราบใดที่ท่านยังไม่ตาย พลังงานวูปนี้ มันจะโผล่มาให้เห็นเสมอ ๆ เพียงแต่ท่านเข้าใจมันได้ว่า มันคือมายา เดียวมันก็ดับลงไปเอง ดังนั้นอย่าได้รังเกียจมันว่า เป็นของชั่วร้าย
เลวทราม แล้วก็หลงไปโกรธที่มันเกิดมาอีก ถ้าท่านเป็นอย่างนี้ ท่านก็หลงทางไปกับวิภาวตัณหาเข้าอีกแล้ว

เมื่อท่านเข้าใจในความคิดและขบวนการของมันได้แล้ว ท่านก็ผ่านระยะ 3 มาได้ เข้าสู่ระยะ 4 ท่านจะมีทิฐิที่เปลี่ยนไปเอง ท่านจะเลิกสนใจความคึิด เพราะท่านเห็นมันเป็นธรรมชาิิติแล้วนั่นเอง มันจะเกิดก็ปล่อยมันไป เดียวมันก็ดับลงไปเอง จิตท่านจะเ็ป็นอิสระจากความคิด ไม่เป็นทาสของมัน แต่มันก็อยู่ของมันอย่างนั้นเอง ท่านก็อยู่ของท่านไป ต่างคนต่างอยู่ครับ








 

Create Date : 13 มิถุนายน 2553
8 comments
Last Update : 29 มกราคม 2555 16:10:36 น.
Counter : 1421 Pageviews.

 

อยากจะแนะนำเว็ปไซด์เกี่ยวกับการปฏิบัติธรรมของผู้หญิงคนหนึ่ง ให้คุณได้ลองอ่าน //www.จิตสิ้นสงสัย.com

 

โดย: แก้วใส IP: 115.67.40.44 13 มิถุนายน 2553 16:26:02 น.  

 

ขอบคุณคุณแก้วใสที่แนะนำเวปสิ้นสงสัย
ผมจะทิ้งข้อเขียนของคุณแก้วใสไว้ เพื่อท่านที่เข้ามาอ่าน blog ของผมจะได้เข้าไปอ่านดูบ้าง ผมได้เข้่าไปอ่านแล้ว ผมไม่มีความเห็นใด ๆ เกี่ยวกับเรื่องในเวปของคุณแก้วใส

อนุโมทนาในกุศลจิตของคุณแก้วใส ที่เผยแพร่ประสบการณ์การปฏิบัติธรรม
ของตนเองต่อคนทั่วไป ซึ่งเป็นสิ่งที่หายากยิ่งในปัจจุบัน

 

โดย: นมสิการ 13 มิถุนายน 2553 18:25:45 น.  

 

เข้าใจมากขึ้น ขอบคุณค่ะ

 

โดย: หลงทาง IP: 124.122.223.176 13 มิถุนายน 2553 18:27:10 น.  

 

สาธุ...หมดสงสัย..ขอบคุณมากค่ะ

 

โดย: ตั้งไข่ IP: 114.128.161.223 14 มิถุนายน 2553 8:47:38 น.  

 

ติดตามอ่านค่ะ

 

โดย: MC94 IP: 222.123.169.46 14 มิถุนายน 2553 13:51:20 น.  

 

อธิบายการพัฒนาของจิตได้ดีมาก

 

โดย: ยิ่งเอก IP: 118.173.94.217 15 มิถุนายน 2553 9:40:06 น.  

 

สงสัยมานานแล้วเรื่องหยุุดคิดกับดูความคิด มาอ่านที่นี่มันสว่างโพล่งขึ้นมา เห็นมันกำลังสู้กันอยู่จริงๆ ขอบคุณมากครับ

 

โดย: ฐ. IP: 180.180.98.92 15 มิถุนายน 2553 22:07:34 น.  

 

ผมจำเป็นต้องปิดการเขียนของท่านผู้อ่าน เนื่องจากกฏหมายอินเตอร์เนท
ที่อาจมีสิ่งผิดกฏหมายใส่เข้ามาใน blog

ท่านที่จะสนทนา หรือ ถามคำถาม ขอให้ส่ง email ถึงผมได้ที่
asknamasikarn@gmail.com

หรือสำหรับสมาชิก pantip จะส่งมาทางหลังไมค์ก็ได้เช่นกัน

 

โดย: นมสิการ 29 มกราคม 2555 16:43:10 น.  

ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะ VIP Friend
Comment :
  *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 


นมสิการ
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 142 คน [?]




หลักปฏิบัติ ...รู้สึกตัว ผ่อนคลาย เฉย ๆ สบาย ๆ

มากกว่า 20 ปีที่ไปหลงทำสมถภาวนาแบบสมาธิแบบฤาษีโดยที่ไม่รู้จักกับคำว่า อะไรคือสัมมาสติ สัมมาสมาธิ ผลที่ได้คือความสงบขณะกำลังนั่งสมาธิจนตัวนิ่งแข็งเป็นก้อนหิน แต่ผลข้างเคียงตามมาก็คือการเป็นคนเจ้าโทสะอย่างรุนแรงขณะเวลาไม่ได้นั่งสมาธิ และ ที่อยู่ในชีวิตประจำวัน....

จนได้พบกัลยณมิตรแดนไกล ที่ได้ชักนำให้มารู้จักวิธีปฏิบัติแบบหลวงพ่อเทียน จนได้พบกับพระอาจารย์ในสายหลวงพ่อเทียน ที่ผมได้เรียนการปฏิบัติจากท่าน จนเข้าใจว่า สัมมาสติ สัมมาสมาธิ คืออะไร แล้วลงมือฝึกฝน การปฏิบัติก็รุดหน้าและได้ลิ้มรสสิ่งบริสุทธิในจิตใจอันเป็นผลจากการปฏิบัติด้วยเวลาเพียง 5 ปี

ธรรมปฏิบัติจากฆราวาสเขียนเป็นสิ่งที่ยอมรับได้ยากในสังคมไทย ผมรู้ได้จากที่เขียนใน blog ผมได้พบกับการก่อกวนใน blog การเขียนเหน็บแนม กระแหนะกระแหน ตำหนิการการปฏิบัติที่ผมเขียนใน blog ว่าผิดทาง เขียนแบบคาดเดาเอา ไม่รู้จริง ให้ผมหยุดเขียนแนวนี้ได้แล้ว และไปโมทนาสาธุแนะนำการปฏิบัติสมาธิแบบฤาษีให้กับผมอีกว่านี่คือทางที่ถูกต้อง ...

บทความใน blog จึงเกิดขึ้นมา เพื่อแบ่งปันประสบการณ์ในการภาวนา
แก่ผู้อื่นที่กำลังเดินทางในสายแห่งอริยมรรคนี้

เมื่อท่านได้เข้ามาอ่านข้อเขียนใน blog กรุณาอย่าได้เชื่อผมจนกว่า ท่านได้ทดลองปฏิบัติแล้วและพิสูจน์ด้วยตัวท่านเอง

**กรุณา .อย่า.ได้บริจาคเงินให้ blog ผมทาง e-wallet ครับ **

******
บทความต่าง ๆ ใน blog นี้
ขอสงวนสิทธิ์ตามพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2537
ห้ามนำไปดัดแปลง ลอกเลียน หรือนำส่วนหนึ่งส่วนใดไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต

****
New Comments
Friends' blogs
[Add นมสิการ's blog to your web]
Links
 
MY VIP Friend


 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.