หลวงพ่อเทียนท่านว่า ยิ่งคิดยิ่งรู้ แต่ทำไมบางอาจารย์ว่าการปฏิบัติอย่าให้มีความคิด ตกลงเอาอย่างไงแน่
ถ้าท่านเป็นอีกท่านหนึ่งที่รู้สึกสับสนกับวิธีการปฏิบัติในเรื่องเกี่ยวกับความคิดเสียเหลือเกิน เพราะทำไม หลวงพ่อเทียนท่านว่า ยิ่งคิดยิ่งรู้ แต่ทำไมบางอาจารย์สอนว่าการปฏิบัติอย่าให้มีความคิด ตกลงเอาอย่างไงแน่ ทำไมจึงมีการสอน 2 แนวทางที่ตรงข้ามกันสุดกู่ ไปด้วยกันไม่ได้ แล้วจะให้ปฏิบัติอย่างไรดี
********************
เรื่องนี้ผมขอแสดงความเห็นดังนี้ครับ
ก่อนอื่น ผมจะจำแนกเรื่องความคิดในคำถามให้ชี้เฉพาะลงไปมากขึ้น เพราะอันว่า ความคิดนี่ จะมี 2 ชนิด คือ ชนิดแรก คือ การจงใจต้องการคิด เช่นการคิดเรื่องในหน้าที่การงาน อย่างนี้ท่านที่ทำงานต้องคิดครับ ถ้าท่านไม่คิด ท่านจะทำงานไม่ได้ และ เขาจะไล่ท่านให้ท่านออกจากงาน เพราะทำงานให้เขาไม่ได้นั้นเอง ชนิดที่ 2 คือ การไม่จงใจต้องการคิด แต่เป็นความคิดที่มันโผล่แว๊บชึ้นมาเองในสมอง และบ่อย ๆครั้งเมื่อความคิดอย่างนี้โผล่แว๊บขึ้นมาก็จะทำให้ท่าน ใจลอยคิดโน่นคิดนี่ ตามเรื่องราวที่มันอยู่ในความคิด
การปฏิบัติธรรมนั้น จะหมายถึงความคิดในชนิดที่ 2 เพียงอย่างเดียวครับ ไม่เกี่ยวเนื่อง ใด ๆ กับความคิดในชนิดที่ 1 แต่อย่างใด
ก่อนที่ผมจะตอบคำถามข้างต้น นั้น ผมอยากจะให้ท่านมองภาพรวมของการปฏิบัติธรรมก่อนครับ ซึ่งถ้าท่านเห็นและเข้าใจภาพรวมนี้ได้ ท่านจะหลุดจากการสงสัยในการปฏิบัติไปได้มาก
จุดหมายปลายทางของการปฏิบัติ คือ การปล่อยวางขันธ์ 5 อย่างเด็ดขา่ด นี่คือ Goal objective ที่แท้จริงของการปฏิบัติธรรมแบบพุทธศาสนา
การจะเกิดการปล่อยวางในขันธ์ 5 อย่างเด็ดขาด จะมาจากการเห็นขันธ์ 5 อย่างท่องแท้ของจิตว่า ขันธ์ 5 มันเป็นมายา มันไม่ใช่ของจริง มันเกิดเพราะมีเหตุ ปัจจัยให้เกิด มันดับลงไป เพราะเหตุแห่งปัจจัยมันดับลงไป ดังพระอัสสชิ กล่าวกับท่านสารีบุตรตอนที่ท่านยังไม่ได้บวชว่า .ธรรมเหล่าใดเกิดแต่เหตุ เมื่อเหตุดับ ธรรมก็ดับ. คำพูดนี้ ถ้าไม่เข้าใจจริงอย่างท่านสารีบุตร มันช่างเป็นคำพูดที่แสนธรรมดา ที่เรา ๆ ท่าน ๆ ได้ยินจนชาหู แต่ไร้ปัญญาที่จะเข้าใจได้ แต่นี่คือธรรมขั้นสูงสุด เหมือนกับไวพจน์ของประโยคที่ว่า .ธรรมทั้งปวงไม่ควรยึดมั่นถือมั่น.
ถ้าผมจะนำมาต่อกันจะได้ว่า .ธรรมทั้งปวงไม่ควรยึดมั่นถือมั่น เพราะว่า ธรรมนั้น เกิดแต่เหตุ เมื่อเหตุดับ ธรรมก็ดับ.
ธรรม ก็คือ ขันธ์ 5 เมื่อไม่ยึดมั่นถือมั่นในธรรม ก็ืคือ การปล่อยวางในขันธ์ 5
การที่จะให้จิตเข้าใจและเกิดการปล่อยวางในขันธ์ 5 ลงได้อย่างราบคาบนั้น จิต .ต้องเห็น. การทำงานของขันธ์ 5 ให้ได้ก่อน การเห็นขันธ์ 5 ของจิตนี่คือขบวนการที่เรียกกันว่า วิปัสสนา
ขบวนการวิปัสสนา จะเกิดขึ้นได้ ก็ต่อเมื่อ จิตนั้นเห็นการทำงานของขันธ์ 5 การที่จิตจะเห็นการทำงานของขันธ์ 5 ได้นั้น จิตจะต้องแยกตัวออกมาจากขันธ์ 5 ให้ได้ก่อน ถ้าจิตยังแยกตัวออกมาจากขันธ์ 5 ไม่ได้ ไม่มีทางที่จิตจะเห็นการทำงานของขันธ์ 5 ได้เลย
ซึ่งถ้าเปรียบให้เข้าใจเรื่องจิตแยกตัวออกมาจากขันธ์ 5 มันจะเหมือนกับท่านอยู่ในมุมสูงของตึก แล้วมองลงมาที่ถนน ข้างล่างที่รถกำลังติดหนัก ท่านจะเห็นได้ชัดว่า รถที่ติด เริ่มมาจากตรงไหน เกิดอะไรขึ้น ถ้าท่านเป็นคนขับรถอยู่ในถนนที่รถติดนั้น ท่านจะไม่เห็นสาเหตุของรถติดได้เลย
เอาละ ท่านพอมองภาพออกใช่ใหมครับว่า ขบวนการมันจะเป็นอย่างนี้
แต่ว่า ยังมีอีกขบวนการหนึ่ง ที่ผมพบเห็นจากการปฏิบัติ ทีผมจะนำมาโยงให้เข้าใจ ก่อนจะตอบคำถามท่าน ผมเห็นจากที่ผมปฏิบัติว่า อันว่า .จิตรู้. นี้ กับ จิตที่กำลังคิด นี่จะเป็น Flip Flop ซึ่งกันและกัน ( อ่านเรื่อง จิตรู้ และ จิตคิด คือ ตัวเดียวกัน แต่ทำหน้าที่ต่างกัน ที่ //www.bloggang.com/viewdiary.php?id=namasikarn&month=05-2010&date=01&group=8&gblog=6 ) หมายความโดยย่อว่า ถ้าจิตทำหน้าที่รู้ จิตคิดจะต้องไม่ทำงาน แต่ถ้า จิตคิดทำงาน จิตรู้จะไม่ทำหน้าที่
เอาละ เมื่อท่านเข้าใจขบวนการและเข้าใจการทำงานของ จิตรู้ และ จิตคิด อันเป็น flip flop ซึ่งกันและกันแล้ว ก็มาอ่านดูคำตอบกันต่อไป
1..ในระยะที่ท่านเป็นเด็กน้อยในการภาวนาที่เพิ่งเริ่มต้น แน่นอนว่า จิตรู้ของท่านยังไม่มีกำลัง วังชาเลย มันยังไม่สามารถแยกตัวออกมารับรู้การทำงานของขันธ์ 5 ได้อย่างแน่นอน ในระยะเด็กน้อยนี้ ท่านควรฝึกฝนให้จิตรู้ทำงานให้มาก และ อย่าให้จิตคิดทำงานครับ เมื่อจิตคิดเกิดคิดขึ้นมา ขอให้ท่านสลัดจิตคิดออกไปทันที แล้วให้จิตรู้ทำหน้าที่รู้ต่อไป ถ้าท่านไม่เข้าใจว่า จิตรู้ จะให้รู้อะไร ละก็ ผมขอให้ท่านเรื่องใน blog นี้ที่เขียนเรื่องการเจริญสัมมาสติ สัมมาสมาธิ ซึี่งมีจำนวนหลายเรื่อง ยกตัวอย่างเช่น เรื่อง อาการของสัมมาสติ สัมมาสมาธิ ฉบับประสบการณ์ส่วนตัว //www.bloggang.com/viewdiary.php?id=namasikarn&month=06-2010&date=07&group=8&gblog=26 และอีกหลาย ๆ เรื่องใน blog นี้ที่ผมเขียนไว้มากมาย
>>เมื่อจิตรู้เขาทำงานมาก ๆ จิตรู้จึงจะมีกำลังครับ อย่าไปบังคับจิตให้นิ่งนะครับ ดังที่ผมเห็นเขียนกันกลาดเกลื่อนในอินเตอร์เนท ว่า จิตนิ่งคือจิตมีกำลัง อันนี้เป็นสมาธิแบบฤาษี ซึ่งไม่ใช่ทางแน่นอน
2..เมื่อท่านฝึกฝนการเจริญสัมมาสติ สัมมาสมาธิ จิตรู้ ท่านเริ่มมีพลังและเริ่มแยกตัวออก ได้จากขันธ์ 5 การทีจะรู้ว่า จิตรู้ เริ่มมีพลังและแยกตัวออกมาได้จากขันธ์ 5 นั้นท่านจะรู้ได้จากที่ จิตรู้ มีความสามารถเห็น .จิตคิด หรือว่า เห็นจิตปรุงแต่งได้. ซี่งผมเน้นย้ำว่า ต้อง.เห็น.จิตคิด/จิตปรุงแต่ง ไม่ใช่เพียงรู้ว่ามี จิตคิด/จิตปรุงแต่ง ถ้าท่านยังไม่เห็น ท่านก็ยังเป็นเด็กน้อยครับ ถ้าท่านเห็นได้ ท่านก็เริ่มโตเป็นวัยรุ่นแล้ว
ในระยะวัยรุ่นนี้ ถึงแม้ว่า จิตรู้ จะมีกำลังแยกตัวออกมารู้การทำงานของขันธ์ 5 ได้บ้างแล้ว แต่ท่านก็ยังคงต้องฝึกการเจริญสัมมาสติต่อไปอีก เพราะ จิตรู้ ยังพ่ายแพ้ต่อ จิตคิด อยู่บ่อย ๆ ดังนั้น ท่านสมควรฝึกต่อไปคล้าย ๆ กับข้อ 1
3.. เมื่อท่านฝึกจากระยะวัยรุ่นในข้อ 2 ไปอีก จิตรู้ ของท่านจะยิ่งมีกำลังแข็งแกร่งมากขึ้น จิตรู้ จะแยกตัวจาก จิตคิด ได้มาก ๆ และจะไม่พ่ายแพ้แก่จิตคิดบ่อยนัก (แต่ก็อาจแพ้ได้ในบางคราว เพราะจิตคิดนี่มันเก่งมากครับ ) ระยะที่ 3 นี้แหละครับ ที่จะเป็นปัญญาอย่างดีมาก ๆ สำหรับผู้ปฏิบัติ เพราะ จิตรู้ เขาเก่ง จิตคิด เขาก็เก่ง ดังนั้น จะพลัดการแพ้ พลัดการชนะ อยู่บ่อย ๆ เมื่อมีการแพ้ มีการชนะ จะทำให้ จิตรู้ เขาเห็นกลไกการทำงานของขันธ์ 5 ได้มากในระยะนี้ เมื่อท่าน .ปล่อยให้มันคิด. จิตรู้จะเห็นการทำงานของ จิตคิด อันเป็นปัญญาทางพุทธศาสนาแก่จิตรู้ของท่านเอง ดังนั้น ระยะนี้ ท่านปล่อยให้มันคิดได้ อย่าไปห้ามมันไม่ให้คิด เพราะ่จิตรู้ ท่านเริ่มแข็งแกร่ง มันจะทำหน้าที่ของมันได้เองและจะเกิดปัญญา
**** การปฏิบัติยังไม่ได้จบแค่ข้อ 3 แต่ผมเขียนเพียงนี้ เพื่อตอบข้อสงสัยข้างต้นเกี่ยวกับการปฏิบัติ ว่า ตกลง ควรคิด หรือ ไม่ควรคิด กันแน่
>>>> สรปหลักในการปฏิบัติก็คือ ในระยะที่ 1 และ 2 ท่านสมควรจะไม่คิดครับ แต่ให้ฝึกรู้ให้มาก ๆ ก่อน แต่ในระยะที่ 3 ท่านปล่อยจิตให้เป็นอิสระ ปล่อยมันคิด ถ้าจิตมันคิด ท่านจะเห็นความคิดได้ อันเป็นปัญญาครับ
**************** บทความท้ายบท เมื่อท่านอยู่ในระยะที่ 3 จิตท่านจะมีพลังแข็งแกร่งดี ท่านจะ.เห็น. (ไม่ใช่ .รู้. นะครับ) ว่า อันว่า จิตปรุงแต่งต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นอันเนื่องจากความพอใจ/ ไม่พอใจ นั้น จะมีลักษณะ เป็นพลังงานวูบ ๆ ขึ้นมาตอนทีมันเกิดขึ้น ท่านจะเห็นได้อีกว่า กิเลส ตัณหา ก็จะเป็นพลังงาน วูบ ๆ อย่างนี้เช่นเดียวกัน
ถ้าท่านสังเกตต่อไป เมื่อท่านเห็นพลังงานที่มันโผล่วูบ ๆ ขึ้นมาได้ ขอให้สังเกตว่า เมื่อพลังงานวูบ ๆ นี่มันหายไป มันจะกลายเป็นความว่างเปล่าแทนที่ ซึ่งใน blog ผมนี้เรียกมันว่า จิตว่าง คือ จิตที่ไม่มีพลังงานวูบ ๆ นี้ปรากฏตัวอยู่ ผมบอกทางให้ท่านที่เดินทางถึงในการสังเกตเห็นจิตว่างนี้ได้อย่างไร
ท่านจะเห็นได้เองว่า พลังงานวูบ ๆ ของจิตคิด / จิตปรุงแต่ง / กิเลส /ตัณหา ล้วนเป็นไตรลักษณ์ ทั้งสิ้น มันเกิดขึ้นเพราะมีเหตุให้เกิด เมื่อเหตุดับ มันก็ดับลงไป นี่คือความเป็นมายา ของมัน ที่มันไม่ใช่ของจริงแต่อย่างใด สิ่งที่เกิดเหล่านี้ ล้วนเป็นปัญญาให้แก่ท่านทั้งสิ้น ดังนั้น ถ้าท่านได้ยินได้ฟังจากที่ไหนว่า การปฏิบัติให้ทำจิตให้นิ่ง ๆ ว่าง ๆ ท่านจะไม่มีปัญญา อย่างนี้ได้เลย ตราบใดที่ท่านยังไม่ตาย พลังงานวูปนี้ มันจะโผล่มาให้เห็นเสมอ ๆ เพียงแต่ท่านเข้าใจมันได้ว่า มันคือมายา เดียวมันก็ดับลงไปเอง ดังนั้นอย่าได้รังเกียจมันว่า เป็นของชั่วร้าย เลวทราม แล้วก็หลงไปโกรธที่มันเกิดมาอีก ถ้าท่านเป็นอย่างนี้ ท่านก็หลงทางไปกับวิภาวตัณหาเข้าอีกแล้ว
เมื่อท่านเข้าใจในความคิดและขบวนการของมันได้แล้ว ท่านก็ผ่านระยะ 3 มาได้ เข้าสู่ระยะ 4 ท่านจะมีทิฐิที่เปลี่ยนไปเอง ท่านจะเลิกสนใจความคึิด เพราะท่านเห็นมันเป็นธรรมชาิิติแล้วนั่นเอง มันจะเกิดก็ปล่อยมันไป เดียวมันก็ดับลงไปเอง จิตท่านจะเ็ป็นอิสระจากความคิด ไม่เป็นทาสของมัน แต่มันก็อยู่ของมันอย่างนั้นเอง ท่านก็อยู่ของท่านไป ต่างคนต่างอยู่ครับ
Create Date : 13 มิถุนายน 2553 |
|
8 comments |
Last Update : 29 มกราคม 2555 16:10:36 น. |
Counter : 1421 Pageviews. |
|
|
|