รู้สึกตัว ผ่อนคลาย เฉย ๆ สบาย ๆ **กรุณา .อย่า.ได้บริจาคเงินให้ blog ผม ทาง e-wallet ครับ** **ผมขอสงวนสิทธิการเป็นเจ้าบ้านของ blog ลบข้อเขียนใดๆ ก็ได้ใน blog นี้ตามที่ผมเห็นสมควร**
Group Blog
 
<<
พฤษภาคม 2553
 1
2345678
9101112131415
16171819202122
23242526272829
3031 
 
28 พฤษภาคม 2553
 
All Blogs
 

สมมุติ ปรมัตถ์ ฉบับชาวบ้านอ่าน

ผมเคยเขียนเรื่องเกี่ยวกับ สมมุิติ ปรมัตถ์ มาบ้างใน blog ส่วนมากจะสอดแสรกเข้าไปในเนื้อเรื่อง
แต่ผมก็จำไม่ได้ว่า อยู่ในเรื่องใดบ้างใน blog ผมเขียนให้อ่านใหม่ก็แล้วกัน เป็นฉบับชาวบ้านอ่าน ผมจะใช้คำง่าย ๆ เพื่อให้เข้าใจได้ง่ายสำหรับชาวบ้าน

สำำหรับท่านที่ต้องการอ่านแบบตำรา สามารถหาอ่านได้มีมากมายในอินเตอร์เนท
ซึ่งท่านสามารถค้นหาได้ง่ายใน google

1.ปรมัตถ์ คือ อะไร
ปรมัถต์ คือ สภาวะจริง ๆ ที่เกิดขึ้น แต่ไม่มีชื่อเรียกกัน ตัวอย่างเช่น
ท่านเอามือ 2 ข้าง ถูกัน ถูกไป ถูมา ถูแรง ๆ หน่อย สักพัก ก็จะมีอาการขึ้นที่มือที่ถูกันนั้น
ที่ท่านรู้สึกถึงอาการนั้นได้
ให้ท่านลองเอามือถูจริง ๆ ตอนนี้ก็ได้ครับ ว่ามีอะไรเกิดขึ้นใหม

2.สมมุติ คือ อะไร
สมมุติ คือ สิ่งทีคนเราตั้งชื่อขึ้นมาเพื่อเรียกปรากฏการณ์ที่รู้สึกถึงได้นั้นขึ้น เพื่อการสื่อสาร
เพื่อให้เข้าใจกันในหมู่ชนว่า ชื่ออย่างนี้ คือ อาการอย่างนี้นะ
จากตัวอย่้างข้างต้น พอท่านเอามือถูกันแรง ๆ สักพัก ท่านจะรู้สึกอย่างหนึ่งขึ้นมาทันที
ซึ้งความรู้สึกนั้นเป็นปรมัตถ์ แต่เพื่อให้คนเข้าใจกัน คนก็จะเรียกความรู้สึกที่เกิดขึ้นมานั้นว่า
...ความร้อน.... ซึ่งคำว่า ความร้อน นี่เป็นสิ่งสมมุติที่ใช้แทนชื่อเรียกอาการอย่างนั้นแหละ
ที่เกิดขึ้นมาเมื่อท่านถูฝ่ามือ

พอคนเข้าใจคำสมมุติว่า..ความร้อน.. ก็จะคุยกันรู้เรื่องว่า กำลังพูดเรื่องอะไรกัน

*****************
หลาย ๆ สิ่งในโลกนี้ ทีคนธรรมดาสัมผัสได้จริง ก็มักจะมีชื่อเรียกกันโดยทั่ว ๆ ไป
เช่น เย็น หนาว ร้อน ร้อนตับแตก (นี่คือร้อนมาก) เจ็บ มีความสุข มีความทุกข์
และอะไรอีกมหาศาลชื่อที่คนเขาตั้งขึ้นมาเพื่อใช้สื่อสารกัน

ผมยกตัวอย่างอีกอย่าง ท่านเอาไม้หน้าสามที่ขนาดพอเหมาะ ซัดลงไปทีคน ๆ หนึ่ง
เขาจะร้องอย่างออกมาเสียงดัง อาจมีคำพูดออกมาว่า โอ๊ย เจ็บ มาตีผมทำไมกัน....
คนที่ถูกตีนี้ สัีมผัส ปรมัตถ์ อันเป็นอาการทีีสมมุติเรียกกันว่า เจ๊บ

ทีนี้เอาใหม่ ท่านเอาไม้หน้าสามนั้น ไปตีสุนัขเข้าอย่างแรงเหมือนกัน สุนัขร้องเอ๊ง แล้ววิ่งหนีไป
แต่สุนัขไม่พูดว่า เจ็บ แต่สุนัข เขารู้สึกได้ถึงอาการหนึ่งที่เกิดขึ้นเมื่อถูกตี นั้นคือ ปรมัตถ์ ที่คนเรียกว่า เจ็บ แต่สุนัข ไม่มีคำพูด เพียงแต่รู้สึกถึงได้ของอาการนี้เท่านั้น

****
ที่ผมอธิบายมาข้างบนนี้ คิดว่า ท่านคงเข้าใจ คำว่า สมมุติ ปรมัถต์ แล้วนะครับ
ถ้าไม่เข้าใจ ให้ถามมาได้ ใน blog บทนี้ ผมจะเปิดให้เขียนถามได้ครับ
ขอให้ท่านที่ไม่เข้าใจเขียนถามจริง ๆ
ท่านที่รู้มากแล้ว ชอบเอาตำรามาอ้าง มาถล่มผม กรุณาอย่าเขียนลงมา เพราะผมไม่ต้อนรับ
ผมจะลบสิ่งทีท่านเขียนออกทันทีที่ผมเห็น และผมแนะนำให้ท่านเลิกนิสัยอย่างนี้ซะ มันเป็นตราบาปในใจท่าน ท่านรู้ใหม

ผมเอาเรื่อง สมมุิติ ปรมัตถ์ มาเขียนเพื่อให้ท่านที่เป็นมือใหม่ทราบว่า
ในการฝึกฝนปฏิบัติธรรมเพื่อการพ้นทุกข์นั้น สิ่งทีท่านรู้สึกได้จริงในขณะปฏิบัติ
นั้น อันเป็นปรมัตถ์ ท่านสมควรรู้สึกถึง แต่ไม่จำเป็นต้องไปรู้ชื่อในสิ่งที่รู้สึกถึงนั้นจริง ๆ
( ชื่อเรียก เป็นสมมุิติ )

เช่น ดังตัวอย่างเรื่องถูมือข้างต้น ท่านถูมือ ท่านก็รู้สึกถึงได้ ของการสัมผัสที่เกิดขึ้นในขณะถูมือ
อันเป็นอาการของปรมัตถ์ ที่เรียกในภาษาสมมุติว่า ความร้อนที่เกิดขึ้น โดยท่านไม่ต้องไปสนใจชื่อเรียกมันว่า นี่คือ การสัมผัสนะ นี่คือความร้อนนะ เพียงแต่ท่านรู้่สึกถึงเท่านั้น ก็ใช้ได้แล้วครับ
ท่านจะเห็นว่า การปฏิบัติจริง ๆ นั้นมันง่ายมาก ๆ เพียงแต่คนไม่เข้าใจกันในเรื่องสมมุติ
ปรมัตถ์ ก็เลยทำให้ยากและก็ทำให้ไปไม่ถึงดวงดาวแห่งการพ้นทุกข์กันสักที เพราะมัวแต่หลงสมมุติ ในขณะปฏิบัติกันนั้่นแหละ

****
ทำไมต้องสนใจปรมัตถ์ ไม่ต้องไปสนใจสมมุติ
ท่านอ่านดี ๆ นะครับ ตอนนี้ ถ้าท่านเข้าใจ ท่านจะพบเองว่า การปฏิบัติธรรม
นั้นอย่างไรถูกตรง อย่างใดไม่ตรง เีบียงเบนเล็กน้อย อย่างใดเรียกว่าผิดทางตกเหวลึกหาทางขึ้นไม่พบ

ตอบ......การรู้ปรมัตถ์ จะเป็นการรู้ด้วย "จิต"
แต่การรู้สมมุติ เป็นการรู้ด้วย "ขันธ์" คือเป็น รู้เพราะสัญญาขันธ์
ในการปฏิบัตินั้น ต้องเป็นการรู้ด้วย .จิต. จึงจะใช้ได้ครับ
เมื่อ จิต รู้ปรมัตถ์ จิต จะพบความจริงแห่งปรมัถต์ นั้นคือ ความไม่เที่ยง
การแปรเปลี่ยน ที่ภาษาพระเรียกกันว่า ไตรลักษณ์
ท่านลองดูก็ได้ครับ พอท่านถูมือ มีอาการปรมัตถ์เกิดขึ้นที่ภาษาสมมุติเรียกกันว่า
ความร้อน พอท่านเลิกถู ปรมัตถ์อาการที่เรียกว่า ความร้อน ก็จะหยุดลง จริงใหมครับ

****
ท่านอาจสงสัยว่า ในพระไตรปิฏก มีคำต่าง ๆ มากมาย ที่อ่านแล้วไม่รู้จักว่ามันคืออะไร
ผมเรียนให้ท่านทราบว่า มันคือสมมุติ ครับ ท่านไม่รู้เรื่อง ไม่รู้จักมัน ก็ไม่ต้องไปสนใจเลย
ในขณะปฏิบัติ เพราะมันไม่ใช่ปรมัตถ์

ผมอ่านในกระทู้ธรรมมาตลอด ผมเห็นคำถามจำนวนมากที่ถามเรื่องโน้น เรื่องนี้ในทางศาสนา
อยากรู้จักว่าเป็นอย่างไร ขอให้อธิบาย เมื่อก่อนผมก็เป็นแบบนี้เช่นกัน เพราะผมไม่เข้าใจ
ผมคิดเอาเองว่า ถ้าผมรู้เรื่องพวกนี้ ผมจะพ้นทุกข์ แต่ผมรู้แล้วครับว่า สิ่งเหล่านี้ที่เป็นสมมุติ
ไม่อาจทำให้พ้นทุกข์ได้ ท่านต้องรู้ปรมัตถ์ โดยไม่ต้องไปสนใจชื่อสมมุติต่างหาก ท่านจึงจะพ้นทกข์ได้จริง
อีกประการหนึ่ง ถึงแม้ว่า ท่านถามในอินเตอร์เนท คนที่เข้ามาตอบท่าน ท่านก็ไม่อาจทราบได้เลยว่า
สิ่งที่เขาพยายามตอบท่านนั้น ตรงหรือไม่ตรงและท่านอ่านแล้ว ท่านเข้าใจตรงกับที่เขาเขียนตอบหรือไม่ เพราะท่านไม่รู้จัก ไม่เคยพบ ท่านจึงไม่อาจรู้จริง ๆ ได้เลยว่า มันเป็นอย่างไร

ท่านลองดูก็ได้ครับ ท่านลองเอา น้ำเป๊บซี่ ผสมกับ น้ำแดงแฟนต้าในอัตราส่วน 1 ต่อ 1
ท่านลองให้คน 2 คนกิน แต่อย่าบอกเขาว่า มันคืออะไร แล้วให้เขาอธิบายให้ท่านฟังก็ได้
ว่า คนทั้ง 2 จะพูดเหมือนกันหรือไม่ ในสิ่งทีเขากินนั้น

****
เรื่องท้ายบท

เมื่อผมไปเชียงใหม่ครั้งแรก มีคนพาผมไปรับประทานอาการเที่ยง ที่คนเหนือเรียกกันว่า ข้าวซอย
ผมไม่รู้จัก ข้าวซอย มาก่อน พอผมเห็น ผมก็บอกว่า นี่มัน ก๋วยเตี๋ยว ใส่แกงนี่น๊า ไม่เห็นเป็นข้าวเลย

คำว่า ข้าวซอย ก๋วยเตี๋ยวใส่แกง เป็นชื่อสมมุติทีต่างกัน แต่พอกินเข้าไป จะรู้รสที่เหมือนกัน
อันเป็นปรมัตถ์

ท่านมองออกใช่ใหมครับว่า อะไรเป็นอะไรในการปฏิบัติ






 

Create Date : 28 พฤษภาคม 2553
9 comments
Last Update : 29 มกราคม 2555 16:11:35 น.
Counter : 1494 Pageviews.

 

ดิฉันปฎิบัติธรรม ด้วยการวิปัสนากรรมฐานมาหลายครั้ง ทั้งเดินจงกรม นั่งสมาธิ รับรู้การเคลื่อนไหว มีสมาธิดี แต่พอใครๆถามถึงเรื่องรูปกับนามที่เกิดขึ้น ดิฉันไม่สามารถตอบได้ แยกแยะได้ ขอความกรุณาช่วยอธิบายเรื่องรูปกับนามหน่อยค่ะ

 

โดย: cakecode IP: 61.90.67.227 28 พฤษภาคม 2553 9:29:29 น.  

 

รูปนาม เป็นชื่อทางสมมุติเช่นกันครับ
ในการปฏิบัติจริง ๆ ไม่ต้องไปสนใจกับมันเลยว่า
อะไรคือรูป อะไรคือนาม
แต่เมื่อคุณ cakecode ถามมา ผมก็จะตอบตามตำราดังนี้
ฝากไว้พิจารณาก็แล้ว

รูป คือ ปรมัตถ์ที่สัมผัสได้ โดยมีแหล่งเกิดจากธาตุึ 3 (ยกเว้นธาตุน้ำ)
โดยที่
ธาตุดิน เมื่อสัมผัสปรมัตถ์ ก็จะรู้สึกถึง ความแข็ง ความอ่อน ความนิ่ม
ธาตุไฟ เมื่อสัมผัสปรมัตถ์ได้ ก็จะรู้สึกถึง ความร้อน ความเย็น
ธาตุลม เมื่อสัมผัปรมัตถ์ได้ ก็จะรู้สึกถึง การสั่นไหว การเคลื่อนไหว
ธาตุน้ำ สัมผัสถึงจริง ๆ ไม่ได้

รูปปรมมัตถ์ นี้ จะเป็นสิ่งทีถูกจิตเข้าไปสัมผัสรู้ถึงไ้ด้

นาม คือ อาการของเวทนาทั้งทางกาย ทางใจ
สัญญา สังขาร และ วิญญาณ

อนึ่ง นามนี้จะแบ่งได้ 2 แบบ
แบบที่หนึ่ง ก็คือ สิ่งทีเป็นปรมัตถ์ดังกล่าวท่กล่าวไว้ เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ อันเป็นสิ่งที่ถูกจิต เข้าไปรู้ได้

อีกแบบหนึ่ง นาม คือ ตัวจิตเอง ที่เข้าไปรู้ ไม่ว่า รู้ทั้งรูป รู้ทั้งนาม
ก็ได้ทั้งนั้น

อย่างที่ว่าไว้ครับ ว่าปฏิบัติจริง ไม่ต้องไปรู้ด้วยซ้ำว่า รูปนามคืออย่างไร
ก็ได้

****
มีบางอาจารย์ เขาสอนแบบนี้ ผมฝากไว้พิจารณาก็แล้วกัน
เขาสอนว่า รูป คือ สิ่งที่ถูกจิตเข้าไปรู้เข้า
นาม คือ ตัวจิตเอง คือ ตัวรู้
สอนอย่างนี้ก็ง่ายดี แต่ว่าตามตำรา ก็ไม่ตรงทีเดียวนัก
แต่ถ้าใจแบบนี้ ก็ใช้ในการปฏิบั้ติได้เช่นกัน

*** หมายเหตุ นิพพาน เป็นปรมัตถ์ ที่ไม่ใช่ รูปนาม ถึงแม้ว่า จิตจะรู้ได้ถึงนิพพานก็จริง
เป็นสิ่งยกเว้นไว้ครับ

 

โดย: นมสิการ 28 พฤษภาคม 2553 10:28:40 น.  

 

ติดตามอ่าน สาธุค่ะ

 

โดย: mcayenne94 28 พฤษภาคม 2553 11:35:05 น.  

 

 

โดย: หาแฟนตัวเป็นเกลียว 28 พฤษภาคม 2553 12:00:30 น.  

 

ขอบคุณมากค่ะ ที่ช่วยกรุณาอธิบายให้ฟังได้กระจ่าง
ดิฉันจะไปปฎิบัติธรรมอีก 7 วัน ในต้นเดือนมิ.ยนี้ ขออนุโมทนาบุญด้วยค่ะ

 

โดย: cakecode 28 พฤษภาคม 2553 19:43:49 น.  

 

ผมอ่านและฝึกฝนตามแนวท่านอาจารย์มาประมาณ 1เดือนแล้วครับ ยังไม่มีความคืบหน้าเท่าไร พอรู้กายได้บ้าง แต่ยังไม่รู้สึกถึงจิตรู้ครับ บางทีดูจิตก็น่าจะเป็นเงาของจิต ก็จะฝึกต่อไปจนกว่าจะมีจิตรู้ครับตามแนวทางของอาจารย์ครับ

ขอบคุณครับ

 

โดย: pisith IP: 118.172.40.99 28 พฤษภาคม 2553 23:39:05 น.  

 

เรียนคุณ pisith

จากประสบการณ์ทีเกิดขึ้นที่ผมนั้น ผมก็เคยเข้าใจอย่างทีคุณว่า
คือไม่มีอะไรก้าวหน้า ทำให้เกิดการท้อถอยหลายครั้ง
แต่เมื่อผมปฏิบัติไปเรื่อย ๆ ผมเลยเข้าใจได้ว่า
ที่ว่าไม่ก้าวหน้านั้น เป็นเพราะความอยากก้าวหน้าในจิตใจของเรานั้นเอง
เมื่อเราฝึกทุกครั้ง เราก็ก้าวหน้าไปทีละนิดแบบไม่รู้ตัว เหมือนความแก่
ของคนที่ก้าวเข้ามาหาเราทุกวินาทีแต่เราไม่รู้ตัวอย่างนั้นเลย

ขอให้คุณลองสังเกตดูครับว่า การฝึกที่ผมบอกให้ blog ก็คือ การรู้สึกตัวที่สบาย ๆ ไม่เครัียด รู้สึกผ่อนคลาย เมื่อใครก็ตามที่อยู่ในอาการนี้คือรู้สึกตัวไม่เครียด ผ่อนคลาย เขาย่อมไม่ทุกข์อะไรเลย นี่คือความจริงทีไม่มีใครปฏิเสธได้ ทุก ๆ คนต้องพบเบบนี้

การที่คนเราไปพักผ่อนตากอากาศ เทียวภูเขา เที่ยวต่างประเทศ เพราะต้องการผ่อนคลาย ต้องการไมุ่ทุกข์ ใช่หรือไม่ครับ

ในขณะที่เราฝึกฝน เราก็ผ่อนคลาย เราก็ไม่ทุกข์ มันเหมือนได้ไปเที่ยวตากอากาศทีเดียว แต่ที่เหนือว่า ก็คือ ไม่ต้องเสียเงิน ไม่ต้องไปแย่งอาหารการกินกะใคร ไม่ต้องไปแย่งที่พักกะใคร นี่คือการได้โดยที่เราไม่เข้าใจ

การหลุดพ้นจากทุกข์นั้น เมื่อเราฝึก เราก็ไม่ทุกข์แล้ว นี่คือการหลุดพ้นแต่เป็นแบบชั่วคราว แต่เมื่อเราฝึกไปมาก ๆ เราก็หลุดพ้นได้นานขึ้น
จนในที่สุด หลุดพ้นตลอดกาล ซึ่งทั้งหมดจะเกิดขึ้นโดยเป็นไปเอง
แบบซึมเรา เราไม่ทราบว่าเกิดอะไรขึ้น แต่มันเปลี่ยนแปลงภายในเอง
จนกว่าเราจะถึงทีีสุดแห่งทุกข์ ตอนนั้นเราจะทราบว่า เราหลุดพ้นตลอดกาลแล้ว

 

โดย: นมสิการ 29 พฤษภาคม 2553 6:16:57 น.  

 

ขอปิดถาม-ตอบสำหรับเรื่องนี้ครับ

 

โดย: นมสิการ 31 พฤษภาคม 2553 6:30:04 น.  

 

ผมจำเป็นต้องปิดการเขียนของท่านผู้อ่าน เนื่องจากกฏหมายอินเตอร์เนท
ที่อาจมีสิ่งผิดกฏหมายใส่เข้ามาใน blog

ท่านที่จะสนทนา หรือ ถามคำถาม ขอให้ส่ง email ถึงผมได้ที่
asknamasikarn@gmail.com

หรือสำหรับสมาชิก pantip จะส่งมาทางหลังไมค์ก็ได้เช่นกัน

 

โดย: นมสิการ 29 มกราคม 2555 16:46:09 น.  

ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะ VIP Friend
Comment :
  *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 


นมสิการ
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 142 คน [?]




หลักปฏิบัติ ...รู้สึกตัว ผ่อนคลาย เฉย ๆ สบาย ๆ

มากกว่า 20 ปีที่ไปหลงทำสมถภาวนาแบบสมาธิแบบฤาษีโดยที่ไม่รู้จักกับคำว่า อะไรคือสัมมาสติ สัมมาสมาธิ ผลที่ได้คือความสงบขณะกำลังนั่งสมาธิจนตัวนิ่งแข็งเป็นก้อนหิน แต่ผลข้างเคียงตามมาก็คือการเป็นคนเจ้าโทสะอย่างรุนแรงขณะเวลาไม่ได้นั่งสมาธิ และ ที่อยู่ในชีวิตประจำวัน....

จนได้พบกัลยณมิตรแดนไกล ที่ได้ชักนำให้มารู้จักวิธีปฏิบัติแบบหลวงพ่อเทียน จนได้พบกับพระอาจารย์ในสายหลวงพ่อเทียน ที่ผมได้เรียนการปฏิบัติจากท่าน จนเข้าใจว่า สัมมาสติ สัมมาสมาธิ คืออะไร แล้วลงมือฝึกฝน การปฏิบัติก็รุดหน้าและได้ลิ้มรสสิ่งบริสุทธิในจิตใจอันเป็นผลจากการปฏิบัติด้วยเวลาเพียง 5 ปี

ธรรมปฏิบัติจากฆราวาสเขียนเป็นสิ่งที่ยอมรับได้ยากในสังคมไทย ผมรู้ได้จากที่เขียนใน blog ผมได้พบกับการก่อกวนใน blog การเขียนเหน็บแนม กระแหนะกระแหน ตำหนิการการปฏิบัติที่ผมเขียนใน blog ว่าผิดทาง เขียนแบบคาดเดาเอา ไม่รู้จริง ให้ผมหยุดเขียนแนวนี้ได้แล้ว และไปโมทนาสาธุแนะนำการปฏิบัติสมาธิแบบฤาษีให้กับผมอีกว่านี่คือทางที่ถูกต้อง ...

บทความใน blog จึงเกิดขึ้นมา เพื่อแบ่งปันประสบการณ์ในการภาวนา
แก่ผู้อื่นที่กำลังเดินทางในสายแห่งอริยมรรคนี้

เมื่อท่านได้เข้ามาอ่านข้อเขียนใน blog กรุณาอย่าได้เชื่อผมจนกว่า ท่านได้ทดลองปฏิบัติแล้วและพิสูจน์ด้วยตัวท่านเอง

**กรุณา .อย่า.ได้บริจาคเงินให้ blog ผมทาง e-wallet ครับ **

******
บทความต่าง ๆ ใน blog นี้
ขอสงวนสิทธิ์ตามพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2537
ห้ามนำไปดัดแปลง ลอกเลียน หรือนำส่วนหนึ่งส่วนใดไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต

****
New Comments
Friends' blogs
[Add นมสิการ's blog to your web]
Links
 
MY VIP Friend


 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.