สิ่งบอกเหตุว่าจะเกิดเหตุการณ์
ในการปฏิบัติธรรมนั้น เมื่อเกิดเหตุปรุงแต่งขึ้นทางจิตใจแล้ว นั่นแสดงว่าเหตุได้เกิดแล้ว แต่ถ้าเดินตามที่ หลวงพ่อเทียน ท่านว่า การปฏิบัติธรรมนั้นสมควร .รู้จักกัน รู้จักแก้.
ผมไม่เคยพบหลวงพ่อเทียนมาก่อน ผมก็ไม่ทราบว่า คำทีหลวงพ่อเทียน ท่านว่า รู้จักกัน รู้จักแก้ หมายความว่าอย่างไร
แต่เมื่อผมได้ปฏิบัติไปเรื่อย ๆ ผมพบอาการหนึ่ง จะว่าเป็นสิ่งบอกเหตุการณ์ล่วงหน้าทางจิตใจได้ ซึ่งผมเข้าใจว่า มันจะเป็นสิ่งที่เหมือนกับคำกล่าวของหลวงพ่อเทียนที่ว่า ให้รู้จักกัน รู้จักแก้
ในการเดินทางการปฏิบัตินั้น เมื่อท่านได้ฝึกฝนการเจริญสมมาสติ สัมมาสมาธิ จนสามารถเห็นอาการจิตตามลำดับดังนี้ 1....อาการจิตปรุงแต่งได้แล้ว อันเป็น ขั้นต้นของการปฏิบัติธรรม 2... อาการจิตว่าง ในขณะที่ไร้จิตปรุงแต่งได้แล้วในขั้นต่อไปจากขั้น 1 3... อาการจิตว่างเปล่าที่ไร้ดวงจิต จิตใจสดใส สว่าง ราวกับท้องฟ้าที่ไร้ก้อนเมฆ ในขั้นต่อไปจากขั้น 2
ผมพบว่า เมื่อท่านสามารถเห็นอาการในจิตในข้อ 3 ได้แล้วนั้น ขอให้ท่านสังเกตดูว่า เมื่อจิตใจเริ่มจะมีอาการแก่วงไหว อาการในข้อ 3 จะเริ่มมัว ๆ ขึ้นมาให้ท่านเห็นทันที โดยที่ท่านไม่ทราบเลยว่า อาการมัว ๆ ที่ว่า นี้คืออาการอะไร รู้เพียงว่า จะเริ่มแล้วนะ เมื่อท่านเห็นอาการมัว ๆ นี้ได้ อาการมัว ๆ นี้ก็จะหยุด แล้วสลายไปทันที โดยทีท่านไม่รู้เลยว่า สิ่งที่กำลังจะเกิดมันคืออาการอะไร
สิ่งที่ผมพบนี้ น่าจะเป็นสิ่งที่หลวงพ่อเทียน ท่านบอกเอาไว้ ( อันนี้ ผมคาดเดาเอาครับ )
การที่นักปฏิบัติบางท่านเข้าใจว่า การรู้เพียงว่า ขณะนี้เผลอ ไม่เผลอ นี้ยังไม่สามารถ รู้จักกัน รู้จักแก้ ได้ครับ เพราะเมื่อเกิดเผลอขึ้นมา อาการปรุงแต่งในจิตจะเกิดทันที ที่เร็วมาก โดยทีท่านตั้งตัวไม่ทันเลย
ถ้าท่านอ่านแล้วไม่เข้าใจในสภาวะอาการทางจิตที่ผมเขียนข้างต้น ผมจะเปรียบเทียบทางโลกให้ท่านเห็น
1. เมื่อท่านอยู่ในป่า ถ้าท่านเห็นน้ำในลำธารเริ่มเปลี่ยนสี จากใสเป็นขุ่น นั่นคือ การบอกเหตุการณ์ล่วงหน้าได้ว่า น้ำป่ากำลังจะมาแล้ว
2. เมื่อท้องฟ้า เริ่มมีเมฆดำก้อนใหญ่ลอยมาเป็นกลุ่มใหญ่ นั่นคือการบอกเหตุได้ว่า ฝนกำลังจะตกในไม่ช้า
ท่านคงมองออกนะครับว่า สิ่งที่บอกเหตุล่วงหน้าทางจิตที่ผมเขียนไว้ ข้างต้นหมายความว่าอย่างไร
นำประสบการณ์มาเล่าให้ฟังครับ อาจเป็นประโยชน์สำหรับท่านที่เป็นนักปฏิบัติเพื่อการพ้นทุกข์ได้
****** เรื่องท้ายบท ผมขอตั้งชื่อเรื่องว่า... ถ้าผมฉลาด ผมนิพพานไปก่อนตั้งแต่ชาติที่แล้วครับ
เรื่องนี้เป็นประสบการณ์ส่วนตัวที่ผมพบเอง เมื่อผมท่องเที่ยวไปในแวดวงกรรมฐาน ผมพบว่า ในประเทศไทยเรา นักปฏิบัติธรรมรุ่นพี่จะมี 3 แบบ
แบบที่ 1 พอน้องใหม่ เข้าไปคุย เข้าไปถาม การปฏิบัติ ก็จะหุบปากเงียบ แล้วรีบเดินหนีไปทันที ซึ่งทำให้น้องใหม่ไม่รู้ว่า ทำอะไรผิดไป หรือ ถามอะไรผิดไปหรือเปล่า แต่ไม่เป็นไร เมื่อไม่บอก ไม่ตอบ ก็ไปถามคนใหม่ก็ได้ ไม่ง้อครับ....
แบบที่ 2 พวกทำตัวแบบ Zen พอถามแล้ว แทนที่จะตอบตรง ๆ ก็มักตอบเลี่ยงๆ ให้ไปคิดหาคำตอบเอง แบบพวก Zen เขาทำกัน ..โธ่ ท่านครับ ถ้าท่านตอบตรง ๆ มันก็เข้าใจอยากอยู่แล้ว ท่านยังมาตอบเลี่ยง ๆ ให้น้องใหม่คิดเอง ให้งงเล่น หรือ ตีความผิดกันทำไมครับท่าน
แบบที่ 3 พวกที่ ให้คำตอบ 1 คำจากการถามหลาย ๆคำ หรือ ตอบเพียงเฉพาะที่ถาม ถ้าไม่ถามก็ไม่ตอบ ไม่บอกให้รู้ .... โธ่ ท่านครับ เรื่องที่น้องใหม่ไม่รู้ จะถามท่านได้อย่างไร ท่านลองคิดดูซิครับ
เมื่อผมยังเป็นน้องใหม่ สิ่งที่ผมพบ มันคือ อาการเซ็งชีวิตครับ ผมเชื่อว่า น้องใหม่อีกเป็นร้อย เป็นพัน ที่พอพบแบบนี้ คงเลิกที่จะหาหนทางธรรมปฏิบัติเพื่อการพ้นทุกข์ไปมากต่อมาก ผมมีคำถามมากมายในหัว ทำไม ทำไม นักปฏิบัติคนไทยถึงเป็นแบบนี้กันไปหมด แล้วคนใหม่เขาจะรู้เรื่องการปฎิบัติได้อย่างไร
พระพุทธองค์ก็ทรงสอนว่า การให้ธรรมเป็นทาน เป็นการให้ทานขั้นสูงสุด แล้วทำไมกลับเป็นแบบนี้ไปได้ ผมไม่อยากใช้คำว่า หวงวิชา กั๊กวิชา แต่สิ่งทีรุ่นพี่เหล่านั้นแสดงออกมา มันทำให้รู้สึกถึงอย่างนั้นจริง ๆ แต่เมื่อคิดให้เป็นธรรมสำหรับรุ่นพี่ มันเป็นสิทธิของเขาที่จะบอกหรือไม่ก็ได้ในสิ่งทีเขารู้มา คนที่ถามอยากโง่เอง ที่ไม่รู้ ผมอยากบอกท่านรุ่นพี่ครับว่า ถ้าผมฉลาด ผมคงนิพพานไปก่อนตั้งแต่ชาติที่แล้วครับ.......
นำมาเล่าสู่กันฟังอีกเช่นกัน
Create Date : 22 พฤษภาคม 2553 |
|
1 comments |
Last Update : 29 มกราคม 2555 16:11:51 น. |
Counter : 1202 Pageviews. |
|
|
|
ที่อาจมีสิ่งผิดกฏหมายใส่เข้ามาใน blog
ท่านที่จะสนทนา หรือ ถามคำถาม ขอให้ส่ง email ถึงผมได้ที่
asknamasikarn@gmail.com
หรือสำหรับสมาชิก pantip จะส่งมาทางหลังไมค์ก็ได้เช่นกัน