รู้สึกตัว ผ่อนคลาย เฉย ๆ สบาย ๆ **กรุณา .อย่า.ได้บริจาคเงินให้ blog ผม ทาง e-wallet ครับ** **ผมขอสงวนสิทธิการเป็นเจ้าบ้านของ blog ลบข้อเขียนใดๆ ก็ได้ใน blog นี้ตามที่ผมเห็นสมควร**
Group Blog
 
<<
มิถุนายน 2553
 12345
6789101112
13141516171819
20212223242526
27282930 
 
20 มิถุนายน 2553
 
All Blogs
 

ดูเงาของจิตภาค 3

ข้อความข้างล่างนี้ คือสิ่งที่ผมเขียนไว้ใน เรื่องท้ายบท ใน
//www.bloggang.com/viewdiary.php?id=namasikarn&month=06-2010&date=19&group=8&gblog=39

ผมขอเ้น้นยำว่า ท่านที่จะเดินแนววิปัสสนายานิก ท่านต้องศึกษาในข้อ 1 ให้เข้าใจ
ใด้ดีครับว่า อาการสัมมาสติเป็นอย่างไร แล้วในชิวิตประจำวัน ท่านต้องฝึกฝน
การมีสัมมาสติบ่อย ๆ เนือง ๆ

ไม่ใช่เป็นว่า
พอโกรธ ก็รู้ว่าโกรธ
สงสัย ก็รู้ว่า สงสัย
อย่างนี้ไม่ใช่การฝึกฝนสัมมาสตินะครับท่าน

***
คำถามมีว่า ทำไมผมจึงเขียนว่า .อย่างนี้ไม่ใช่การฝึกฝนสัมมาสตินะครับท่าน.

*******
ท่านที่เข้ามาอ่าน ถ้าท่านอยากทราบเรื่องราว เหตุและผล
ขอให้ทำใจเป็นกลาง อ่านอย่างไร้อคติ เพราะผมเชื่อว่า
เรื่องที่ผมจะเขียนนี้ อาจทำให้หลาย ๆ ท่านจะมีอาการทางจิตขึ้นมาได้

สำหรับท่านที่ใจเป็นกลางแล้ว ผมขอให้ท่านอ่านให้ดี ๆ
และขอให้จดจำเรื่องที่ผมจะเขียนต่อไปนี้ เพราะว่า มันคือหัวใจการภาวนา
แบบดูจิตทีเดียว ถ้าท่านเข้าใจในสิ่งที่ผมเขียน ท่านจะเดิน
ทางในสายดูจิตได้อย่างดี และไปได้สวย
แต่ถ้าไม่เข้าใจ ยังมีความลำเอียง มีอคติ มันเป็นเรื่องของท่านเอง
ผมไม่เกี่ยว และผมก็ไม่ได้โจมตีใคร หรือ พระอาจารย์รูปใด
แต่นี้คือประสบการณ์ที่ผมเคยได้ยินจาก ท่านเขมานันทะ มาก่อน
หน้านี้หลายปีซึ่งมีใน CD เรื่อง ทวนกระแสความคิด จิตก่อนคิด
ซึ่งสมัยนั้น ผมไม่เข้าใจในสิ่งที่อาจารย์ท่านสอน แต่ตอนนี้
หลังจากที่ผมได้ฝึกภาวนามีประสบการณ์ ผมเข้าใจแล้วในสิ่งทีท่านอาจารย์
เขมานันทะ ได้กล่าวไว้ใน CD เป็นความจริงทุกประการ
ผมจึงนำมาแสดงไว้ใน blog ผม โดยผมขอยกคุณความดีในความรู้นี้
ได้แด่ ท่านอาจารย์ โกวิทย์ เขมานันทะ

*****************
ถ้าท่านว่า ตัวเองกำลังดูจิต หรือ ดูเงาของจิต ก็ตามแต่
ท่านต้องตอบคำถามตนเองก่อนครับว่า ท่าน .เห็น. จิต หรือ .เห็น. เงาของจิต
ได้จริง ๆ แล้วหรือยัง

ที่ว่า .เห็น. ท่านต้องเห็นได้จริง ๆ เห็นเหมือน ตาที่มองเห็นภาพ อย่างไรอย่างนั้น
ถ้าท่านยังไม่ .เห็น. เพียงแค่รู้ว่า มีอาการปรุงแต่งของจิตเกิดขึ้นแล้ว อย่างนี้
ท่านยังไม่ถึงขั้นการเห็นจิต หรือ เห็นเงาของจิต
แต่ท่านจะอยู่ในช่วงที่ผมเขียนไว้ว่า
*********
ไม่ใช่เป็นว่า
พอโกรธ ก็รู้ว่าโกรธ
สงสัย ก็รู้ว่า สงสัย
อย่างนี้ไม่ใช่การฝึกฝนสัมมาสตินะครับท่าน
********
ถ้าท่านฝึกแบบนี้ต่อไป คือ พอโกรธ ก็รู้ว่าโกรธ พอสงสัย ก็รู้ว่า สงสัย
นี่เป็นการทำงานที่รู้โดย สัญญาขันธ์ ไม่ใช่การรู้ด้วยจิตรู้
ผลคือ สัญญาขันธ์ จะจดจำอาการที่ท่านไปรู้ไว้
ถ้าท่าน พอโกรธ ก็รู้่ว่า โกรธ บ่อย ๆ
สัญญาขันธ์ จะยิ่งบันทึกอาการโกรธนี้เข้าไว้ในสัญญาขันธ์มากมายหลายครั้ง
เมื่อมีการบันทึกอาการโกรธมากเข้า มากเข้า นิสัยท่านจะเปลี่ยนไปในทางที่
เลวร้าย ท่านจะโกรธได้เก่ง โกรธไ้ด้นาน โกรธไม่ยอมหยุด
พอท่านเฉยๆ ไม่มีอะไร สัญญาขันธ์ ก็พร้อมจะทำงาน โดยท่่านจะนึกไปถึง
เรื่องที่ีเคยทำให้ท่านโกรธ เพราะมีัสะสมไว้มากหลายนั้นเอง

นี่คือผลแห่งการบันทึกเข้าไปใน สัญญาขันธ์ มากมากครับ

ความโกรธ เป็นกิเลสร้าย ท่าน ๆ คงทราบ ยิ่งรู้โกรธ ยิ่งโกรธเก่ง
ภาวนาอย่างนี้จะถูกทางได้อย่างไรกัน

ฟันธง ครับว่า ผิดทางครับ ไปไม่ถึงมรรคแน่นอน

นี่คือการท้วงติงออกมาจาก ครูบาอาจารย์หลาย ๆ ท่าน ว่าผิดทาง
มันผิดตรงนี้ครับ ผิดที่ว่า คนที่ภาวนายังไม่เป็น บอกเขาว่า
พอโกรธ ให้รู้ว่าโกรธ พอสงสัย ให้รู้ว่าสงสัย

ท่านมองออกใช่ใหมครับว่า ผิดอย่างไร ไม่ใช่ทางอย่างไร

แล้วที่ถูกต้องเป็นอย่างไร... ผมจะชี้ให้ท่านดูครับ
เมื่อท่านเป็นมือใหม่ที่หัดภาวนา .จิตรู้.ยังไม่เกิดการแยกตัวออกมาจากขันธ์ 5
ท่านต้องฝึกรู้ด้วยสัมมาสติบ่อย ๆ

ขอให้ท่านสังเกตตัวเองดู มันจะง่าย ๆ ไม่ยาก เห็นได้ทันที ไม่ต้องรอเลย
***
เพียงท่านรู้สึกตัวเท่่านั้น จิตใจท่านจะเฉย ๆ ใช่ใหม่ครับ
นี่แหละครับ ที่ว่า จิตก่อนคิด คือ ท่านต้องฝึกฝนให้จิตมีสติ
เพื่อให้จิตมันจำอาการที่มันมีสติ มันเฉย ๆ ครับ
อย่าให้จิตคิดอะุไร จิตที่มีสติ ที่มันเฉย ๆ จะไม่มีนิวรณ์ใด ๆ
ไม่มีกิเลสใด ๆ เมื่อจิตมันสัมผัสบ่อย ๆ ในจิตเฉย ๆ ที่มีสติ
มันจะคุ้นกับอาการนี้ครับ คือ คุ้นกับสภาวะแห่งจิตไร้กิเลส นั้นเอง

*** ท่านเห็นความแตกต่างระหว่างการภาวนา 2 แบบหรือยัีงครับ

เมื่อจิตคุ้นกับสภาวะแห่งการมีสติ จิตเฉย ๆ ไร้กิเลส ได้มาก ๆ
จิตท่านจะดี เพราะจิตรับประทานแต่สิ่งดี ๆ เข้าไป
ไม่ใช่่รับประทานแต่ความโกรธหรือกิเลสตัวอื่นเข้าไป

เมื่อจิตรับประทานสิ่งดีๆ เข้าไป จิตก็มีกำลัง และมีความสามารถในการแยกตัวออกมาจาก
ขันธ์ 5 ได้ เมื่อ จิตแยกตัวออกจากขันธ์ 5 ได้แล้ว จิตจะเห็น เงาของจิตได้ก่อน
ซึ่ง พอจิตเห็นเงาของจิตได้แล้ว ถ้าจิตมีกำลังพอสมควร จิตจะประหารอาการเงาของจิต
ให้สลายไปด้วยกำลังแห่งสัมมาสมาธิ ซึ่งหมายความว่า ถ้าเงาของจิตคือกิเลส
กิเลสก็จะถูกสัมมาสมาธิตัดทำลายทิ้งไป ครับ

** นี่คือ การท้วงติงอีกอย่างของครูบาอาจารย์ในเรื่องการดูเงาของจิตในขณะทีจิตไร้กำลัง
มันเป็นไปไม่ได้ครับ ไม่มีทางครับ คนที่เขาภาวนากันถึง เขาจะรู้อย่างนี้กันทุกคน
ในเมืองไทย มีมากมายที่เข้าถึงแล้ว คนรู้จริง เขาก็รู้ครับว่า สิ่งทีผมเขียนจริงหรือไม่จริง

**เมื่อท่านฝึกจิตด้วยการมีสัมมาสติบ่อย ๆ จิตจะดี มีกำลังตั้งมั่น
เมื่อท่านเห็นเงาของจิตได้แล้ว เมื่อท่านฝึกต่อไปอีก จิตมีกำลังมากขึ้นอีก
ท่านจะเห็นตัวจิตได้ต่อไปครับ เมื่อท่านเห็นตัวจิตจริง ๆ ได้แล้ว
ท่านจะเข้าใจในสิ่งต่าง ๆ ที่ผ่านเข้ามาในชีวิตท่าน ท่านจะรู้ทันทีเลยว่า
คน ๆ นี้เขียนวิธีภาวนาแบบนี้ ไม่ถูกแล้ว คนนี้เขียนถูกแล้ว
คนนี้ภาวนาไม่เป็น แต่จำเขามาเขียน
ึคน ๆ นี้ภาวนาเป็น
ท่านจะรู้ได้ทันที

ผมหวัีงว่า บทความนี้ จะให้ความกระจ่างชัดในคำถามที่ผมเขียนว่า
โกรธ ก็รู้ว่าโกรธ สงสัย ก็รู้ว่าสงสัย นี่ไม่ใช่ทางเพราะอะไร

****เรื่องท้ายบท
ผมนำความจริงในธรรมปฏิบัติมาแสดง ไม่ได้มีเจตนาจะดีสเครดีตใคร
ขอให้ท่านเข้าใจตามนี้
ขอบคุณที่เข้าใจครับ




 

Create Date : 20 มิถุนายน 2553
11 comments
Last Update : 29 มกราคม 2555 16:09:42 น.
Counter : 1274 Pageviews.

 

ตามอนุโมทนา ค่ะ

 

โดย: mcayenne94 20 มิถุนายน 2553 23:01:41 น.  

 

เพียงท่านรู้สึกตัวเท่่านั้น จิตใจท่านจะเฉย ๆ ใช่ใหม่ครับ
นี่แหละครับ ที่ว่า จิตก่อนคิด คือ ท่านต้องฝึกฝนให้จิตมีสติ
เพื่อให้จิตมันจำอาการที่มันมีสติ มันเฉย ๆ ครับ
^
ขอแย้งท่านเล็กน้อย ถ้าขัดเคืองขออภัย

คนเพิ่งฝึก จะรู้ได้อย่างไร ว่าคือจิตเฉยๆ
ฝึกยังไงก็ไม่เห็น ไม่เข้าใจ เพราะการที่จะเห็นอาการของจิตขยับ ต้องอาศัยผัสสะต่างๆมากระทบ ดูสิ่งที่ปรุงออกมาจากจิต หรือ จิตไปปรุงย้อมใจ ออกมาเป็นอารมณ์ต่างๆโทสะ ดีใจ สุขใจ ซึมเศร้า หดหู่ รื่นเริง
ไม่มีอะไรมากระทบ แล้วจะรู้สึกตัวได้อย่างไร
นี่พูดถึงคนเริ่มฝึกเลยนะ คุณลองเอาเทคนิคนี้ไปสอนคนเพิ่งหัดซิงๆ ถ้าทำสำเร็จช่วยประกาศด้วย จะได้โมทนา

แค่มีผัสสะแรงๆมากระทบ หรือ จิตฟุ้งไปคิดทั้งวัน คนเริ่มใหม่ ยังดูไม่เห็น

คุณคิดว่าจะมีสักกี่คนที่เพิ่งฝึกฝนจะเห็นอาการของจิตเฉยๆเห็น แล้วจะเข้าใจว่านี่คือ จิตเฉยๆ เขาจะเข้าใจว่าไม่เห็นอะไรเลย ถูกไหม?

โทสะนั้นดูง่าย จริงไหม? ดูแล้วยังไงต่อ ดูแล้ว ก็ดูว่าโทสะนั้นเที่ยงไหม เป็นทุกข์ไหม บังคับได้ไหม เพราะโทสะนั้นถ้าแรงหน่อย ไม่ใช่แค่ขัดใจเบาๆ จะเป็นสภาวะธรรมที่เกิดแล้ว ตั้งอยู่สักพักหนึ่ง ก่อนจะดับไป
ตรงนี้ ดูแล้วเห็นหนึ่งรอบ หนึ่งรอบที่พูดถึง คือ เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป
เห็นไหม ดูจิตเฉยๆ แล้วจะเห็นตอนดับไป จิตลงวิถีได้อย่างไร
เราดูให้ครบรอบเพื่ออะไร
เพื่อฝึกคิดโน้มให้จิตรู้จักพระไตรลักษณ์ เพื่อให้รู้ว่า สิ่งใดเกิดขึ้น สิ่งนั้นดับไปทุกสภาวะธรรม
ยังมีต่ออีก แต่มันเกินไปที่พูดถึงการฝึกนับหนึ่ง

ดังนั้น การดูเงาของจิต พูดให้ตรง คือ ฝึกที่จะเรียนรู้การสร้างสติ จากการรู้สึกตัวเป็นระยะๆ ลงปัจจุบันขณะ จากการที่จิตขยับเขยื้อน
ตรงนี้สำคัญนะ ต้องดูให้ทันว่าจิตดวงที่เกิดขึ้นต่อจากดวงก่อนหน้า คือ จิตที่มีโทสะ เป็นจิตที่เรารู้ลงปัจจุบันขณะ

การที่มีสัญญาขันธ์เข้าไปมั่นหมาย เพราะจิตทำงานต่อ
ไม่ได้รู้ แล้วจบลงที่รู้
แต่การที่จะจบลงที่รู้ ใช้เวลาพอสมควร
ดังนั้นจิตจะคิดว่า ว่านี่โกรธนะ ก็เป็นธรรมดา ให้เขาพากษ์ไป

อีกประการ ไม่ใช่แค่ให้ดูโทสะ เพียงแต่โทสะนั้นดูง่าย คนที่ดูโทสะเห็นแล้ว เขาก็ไปไล่ดูโลภะ โมหะ ความอยาก เห็นของหยาบแล้ว ก็ไปดูสภาวะธรรมอื่นๆที่ละเอียดขึ้นไป
ตามกำลังสติที่เพิ่มขึ้น


จึงขอแย้งตามประสบการณ์ที่ผ่านมา

 

โดย: น้องต๋าว IP: 124.121.239.109 20 มิถุนายน 2553 23:17:16 น.  

 

โอม....ครับ

 

โดย: panwat 20 มิถุนายน 2553 23:22:22 น.  

 

คุณน้องด๋าวครับ
โดยปรกติ ผมจะไม่โต้แย้งกับประสบการณ์ของนักภาวนาด้วยกัน
ผมพบสิ่งใด ผมก็เขียนไปอย่างนั้น ผมเพียงฝากไว้ให้พิจารณาของท่านผู้อ่าน เท่านั้น ใครจะเชืือ หรือ ไม่เชื่อ ผมไม่เกี่ยวข้อง ท่านผู้อ่านมีสิทธิที่จะพิจารณาเองด้วยปัญญา
ถ้าไม่เชื่อ ก็ขอให้ผ่านไป อย่างอุเบกขา อย่าได้ติดใจขัดเคืองใจต่อกัน
เพราะนั่้นคือการหลงกลเข้าไปในกิเลสตัณหาแล้ว
ถ้าเชื่อ ก็ลองดู ถ้าลองดูแล้วติดขัด ไม่เข้าใจ จะถามต่อ ผมก็ยินดีไขข้อข้องใจให้ จนเข้าใจ

เรื่องจิตเฉย ๆ ในขณะปฏิบัติ นะครับ ผมมีสอนคนมาเหมือนกัน
และที่ผมสอน ก็จะให้เขาเพียงรู้สึกตัว แล้วเฉย ๆ
จิตเฉย ๆ สำหรับคนใหม่ ก็คือ การเฉย ๆ ไม่มีความคิดอะไร นั่งเฉย ๆ แต่ต้องรู้สึกตัว ไม่ต้องอยากรู้อะไรเลย นี่คือเฉย ๆ แล้ว หรือ ถ้าพูดตามภาษาตำรา ก็คือสภาพการไร้นิวรณ์ 5 นั้นเอง ซึ่งเป็นธรรมชาติของคนทุก ๆ คน แต่คนทั่ว ๆ ไปมักไม่เข้าใจ คิดว่า ต้องทำอย่างโน้น อย่างนี้ ถึงจะเป็นสัมมาสติ สัมมาสมาธิ

ถ้าเฉย ๆ ได้ตลอดเวลา มีอะไรเข้ามากระทบ จิตก็รู้แล้วยังเฉย
นี่คือสภาพแห่งสัมมาสติ ที่ตั้งมั่น นักภาวนาต้องฝึกให้ได้อย่างนี้
จึงจะทุกข์เบาบางลง แล้วพ้นทุกข์ในที่สุด

คุณน้องด๋าว ดูจิต ดูโทสะได้ คุณน้องด๋าวเห็นโทสะเกิดได้จริง ๆ แล้วใช่ใหมครับ ที่เป็นการเห็นเหมือนตาเห็น ซึ่งถ้าใครเห็นได้แล้ว โทสะที่ถูกเห็น จะถูกสัมมาสมาธิประหารให้กระเด็นในพริบตา ซึ่งถ้าเห็นได้อย่างนี้ ประหารกิเลสได้อย่างนี้ ผมก็ขออนุโมทนากับคุณน้องด๋าวด้วย

แต่ถ้าคุณน้องด๋าว ยังไม่เห็นโทสะเหมือนตาเห็น ยังประหารโทสะไม่ได้ด้วยสัมมาสมาธิ พอโกรธก็รู้ว่ีาโกรธ แล้วอารมณ์โกรธยังเกิดแช่จมในจิตอยู่ละก็ ถ้าอาการเป็นอย่างนี้ จากประสบการณ์ที่ผมปฏิบัติมา
คุณต้องด๋าว ยังอยู่ในขั้นเริ่มต้นของคนใหม่เลยนะครับ ยังต้องฝึกฝน
สัมมาสติ ให้มาก ๆ แล้วจึงจะเกิดอาการเห็นโทสะและมีการประหารกิเลสให้สิ้นลงไปได้อย่างฉัีบพลัน นี่เป็นเพียงการแนะนำให้
อย่าได้ถือสาในคำแนะนำ ถ้าไม่สนใจก็ขอให้จบกันไปก็แล้วกัน

เขียนขัดแย้งอย่างนี้ ผมไม่ขัดเคืองหรอกครับ
ถือว่าเป็นการสนทนาธรรมตามกาล ซึ่งเป็นมงคลอันอุดม

ขอบคุณครับ ที่เขียนมาคุยกัน

 

โดย: นมสิการ 21 มิถุนายน 2553 7:02:18 น.  

 

แนะนำอ่านเรื่อง อย่าให้กิเลสจมแช่้อยู่ในจิต
เป็นธรรมจากพระไตรปิฏก
https://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=namasikarn&month=08-2009&date=30&group=4&gblog=1

 

โดย: นมสิการ 21 มิถุนายน 2553 7:31:52 น.  

 

ด้วยข้อจำกัดของภาษา...
ด้วยภูมิธรรมของผู้ฟัง..
ด้วยกาลด้วยวาระแห่งการแสดงธรรม..

ทำใ้ห้ความเข้าใจในข้อธรรมนั้นๆเหมือนจะผิดเพี้ยนไป...

ความเห็นของทุกท่านนั้นถูกต้อง..เพราะเป็นสิ่งที่ประสบมาด้วยตนเอง...

แต่เมื่อปัญญามากขึ้น...สิ่งที่เราเคยคิดว่ามันถูก..แท้จริงมันยังไม่ใช่..

ยังมีสิ่งที่ยิ่งไปกว่านั้น...

ขออนุโมทนาในผลการปฎิบัติของทุกท่าน...

 

โดย: palmgang IP: 119.42.72.65 21 มิถุนายน 2553 9:21:05 น.  

 

ขอบคุณสำหรับคำแนะนำคะท่านมนสิการ
เราต่างไม่รู้ว่าแต่ละฝ่ายปฎิบัตืในขั้นไหน จึงได้แต่คาดเดาภูมิจิตภูมิธรรมของอีกฝ่ายกันไปเองได้เท่านั้น
อย่างไรก็ตาม ขออนุโมทนาในการปฎิบัติของคุณด้วย

ดิฉันเข้าใจว่าการตามดูเงาของจิต ดูเมื่อจิตมีอุเบกขา หรือ จิตไม่เป็นอุเบกขา ตามที่คุณแนะนำมานั้น ถูกต้องตามพระวจนะทุกประการ
แต่แอบขัดแย้งในใจเล็กน้อย ตรงที่ผู้ปฎิบัติอาจจะไปติดเพ่งได้ง่าย เพราะอาการไปล็อคความไม่มีอะไรไว้
เป็นกิเลสละเอียด ที่ดูยาก
บางคนติด บางคนไม่ติด แล้วแต่คนไป

จิตตานุปัสสนา ดูจิตที่มีโทสะ และจิตที่ไม่มีโทสะ
ดูเป็นคู่ๆไป
จึงเป็นสิ่งที่ถูกต้องเช่นกัน

ดิฉันเพียงขอแย้ง ในประเด็น ที่ว่าผัสสะกระทบไม่แรงพอ
ผู้หัดดูใหม่เอี่ยม เน้นว่าผู้หัดใหม่นะคะ
จะจับความรู้สึกไม่ได้ และจิตจะไม่รู้ตื่น ไม่สามารถเริ่มต้นได้เท่านั้น
ไม่ได้ต้องการล่วงเกินความคิดเห็นของท่าน
หากทำให้ขัดเคืองใจ ก็ต้องขออโหสิมา ณ ที่นี้ด้วย
^^

 

โดย: น้องต๋าว IP: 183.89.218.170 21 มิถุนายน 2553 10:47:31 น.  

 

คุณน้องด๋าวครับ
คุณน้องด๋าวเขียนแบบบัญญิต การสนทนาจึงเกิดปัญญาตามมา
และเป็นสิ่งที่น่าสนทนา ทั้ง 2 ฝ่าย
ความขัดเคืองใจย่อมไม่มีในหมู่บัญญิตที่ได้สนทนากันนั้น

สำหรับประเด็นทีีว่า ถ้าผัสสะกระทบไม่แรงพอ
ผู้ฝึกใหม่จะรู้สึกไม่ได้ นี่เป็นความจริงอย่างแน่แท้ครับ
ที่ผู้ฝึกใหม่จะรู้สึกไม่ได้ เป็นเพราะว่า กำลังสัมมาสติ ยังไม่แน่นพอ
จนเกิด ปัญญาญาณ ครับ
สำหรับผู้ฝึกใหม่นั้น ก็ขอให้ฝึกไปเรื่อย ๆ การจับผัสสะนั้น
ก็จะมีพัฒนาขึ้นตามลำดับเอง เริ่มจากหยาบ ๆ ก่อน เช่นความโกรธ ความคิด อย่าไปคาดหวังว่า จะสามารถจับผัสสะที่ละเอียดได้เลย มันเกิดขีดความสามารถของคนใหม่ไปแล้ว

การจับผัสสะที่ละเอียดได้นั้น เช่น การเริ่มก่อตัวของโลภะ หรือ สภาวะ่ก่อนการจะเกิดโมหะ ซึ่งละเอียดมาก ๆ นั้น ผู้ปฏิบัติจะต้องผ่านการฝึกฝนสัมมาสติ จนตั้งมั่นเป็นอย่างมาก แล้วเกิดปัญญาญาณเห็นจิตที่เป็นสภาวะแห่งสุญญาตาได้ก่อน เมื่อเกิดญาณแล้วนี่แหละ
นักปฏิบัติจึงจะเห็นสภาวะที่ละเอียดได้ต่อไป ซึ่งไม่ใช่ของง่าย
แต่มันไม่ใช่ว่าเ็ป็นไปไม่ได้ ถ้าได้รับการฝึกฝนอย่างถูกต้อง
และมีความขยันหมั่นเพีัยรในการฝึกฝน

 

โดย: นมสิการ 21 มิถุนายน 2553 11:01:29 น.  

 

ตอนผมเริ่มฝึกใหม่ จับความรู้สึกตัวที่กายเคลื่อนไหว(แนวหลวงพ่อเทียน) มันก็มีความคิด มีนิวรณ์5มารุมตลอด เพียงแต่รู้เฉยๆรู้แล้วผ่านเลย ให้มาอยู่กับความรู้สึกตัวตามคําสอนของหลวงพ่อเทียน ผ่านได้มั่งไม่ได้มั่ง แต่อาการรู้เฉยๆมันมีการพัฒนาของมันเอง มันแม่นชัดเจนในอาการของความรู้สึกตัว ความมีสติสัมปญัชยะ (คงมาจากการภาวนาต่อเนื่องหลายปี ไม่เคยมีการตามรู้ ตามดูจิตเลย)
พอมีความคิดโกรธ คิดโลภ คิดหลง เห็นสติเกิด มีความตั้งมั่น มีความรู้สึกตัวกลับมาอยู่กับปัจจุบันได้เอง ไม่มีการกําหนด เพ่ง จงใจเลย
ผลของจิตที่ได้รับมันมีความเงียบอยู่ภายใน เฉยๆ มีการรู้อยู่แต่ไม่รู้อะไรเลย
ต้องขอบคุณคําชี้แนะจากประสบประการณ์ของคุณนมสิการ มันมีประโยชน์ ขออนุโมทนาด้วยครับ


 

โดย: ยิ่งเอก IP: 125.24.80.109 21 มิถุนายน 2553 12:16:53 น.  

 

เจริญในธรรมคะ คุณนมสิการ
วันข้างหน้า คงมีโอกาสขอคำแนะนำท่านบ้าง เมื่อมีโอกาสอันควร
:)

 

โดย: น้องต๋าว IP: 183.89.218.170 21 มิถุนายน 2553 18:35:21 น.  

 

ผมจำเป็นต้องปิดการเขียนของท่านผู้อ่าน เนื่องจากกฏหมายอินเตอร์เนท
ที่อาจมีสิ่งผิดกฏหมายใส่เข้ามาใน blog

ท่านที่จะสนทนา หรือ ถามคำถาม ขอให้ส่ง email ถึงผมได้ที่
asknamasikarn@gmail.com

หรือสำหรับสมาชิก pantip จะส่งมาทางหลังไมค์ก็ได้เช่นกัน

 

โดย: นมสิการ 29 มกราคม 2555 16:40:49 น.  

ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะ VIP Friend
Comment :
  *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 


นมสิการ
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 142 คน [?]




หลักปฏิบัติ ...รู้สึกตัว ผ่อนคลาย เฉย ๆ สบาย ๆ

มากกว่า 20 ปีที่ไปหลงทำสมถภาวนาแบบสมาธิแบบฤาษีโดยที่ไม่รู้จักกับคำว่า อะไรคือสัมมาสติ สัมมาสมาธิ ผลที่ได้คือความสงบขณะกำลังนั่งสมาธิจนตัวนิ่งแข็งเป็นก้อนหิน แต่ผลข้างเคียงตามมาก็คือการเป็นคนเจ้าโทสะอย่างรุนแรงขณะเวลาไม่ได้นั่งสมาธิ และ ที่อยู่ในชีวิตประจำวัน....

จนได้พบกัลยณมิตรแดนไกล ที่ได้ชักนำให้มารู้จักวิธีปฏิบัติแบบหลวงพ่อเทียน จนได้พบกับพระอาจารย์ในสายหลวงพ่อเทียน ที่ผมได้เรียนการปฏิบัติจากท่าน จนเข้าใจว่า สัมมาสติ สัมมาสมาธิ คืออะไร แล้วลงมือฝึกฝน การปฏิบัติก็รุดหน้าและได้ลิ้มรสสิ่งบริสุทธิในจิตใจอันเป็นผลจากการปฏิบัติด้วยเวลาเพียง 5 ปี

ธรรมปฏิบัติจากฆราวาสเขียนเป็นสิ่งที่ยอมรับได้ยากในสังคมไทย ผมรู้ได้จากที่เขียนใน blog ผมได้พบกับการก่อกวนใน blog การเขียนเหน็บแนม กระแหนะกระแหน ตำหนิการการปฏิบัติที่ผมเขียนใน blog ว่าผิดทาง เขียนแบบคาดเดาเอา ไม่รู้จริง ให้ผมหยุดเขียนแนวนี้ได้แล้ว และไปโมทนาสาธุแนะนำการปฏิบัติสมาธิแบบฤาษีให้กับผมอีกว่านี่คือทางที่ถูกต้อง ...

บทความใน blog จึงเกิดขึ้นมา เพื่อแบ่งปันประสบการณ์ในการภาวนา
แก่ผู้อื่นที่กำลังเดินทางในสายแห่งอริยมรรคนี้

เมื่อท่านได้เข้ามาอ่านข้อเขียนใน blog กรุณาอย่าได้เชื่อผมจนกว่า ท่านได้ทดลองปฏิบัติแล้วและพิสูจน์ด้วยตัวท่านเอง

**กรุณา .อย่า.ได้บริจาคเงินให้ blog ผมทาง e-wallet ครับ **

******
บทความต่าง ๆ ใน blog นี้
ขอสงวนสิทธิ์ตามพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2537
ห้ามนำไปดัดแปลง ลอกเลียน หรือนำส่วนหนึ่งส่วนใดไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต

****
New Comments
Friends' blogs
[Add นมสิการ's blog to your web]
Links
 
MY VIP Friend


 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.