ดูเงาของจิตภาค 3
ข้อความข้างล่างนี้ คือสิ่งที่ผมเขียนไว้ใน เรื่องท้ายบท ใน //www.bloggang.com/viewdiary.php?id=namasikarn&month=06-2010&date=19&group=8&gblog=39 ผมขอเ้น้นยำว่า ท่านที่จะเดินแนววิปัสสนายานิก ท่านต้องศึกษาในข้อ 1 ให้เข้าใจ ใด้ดีครับว่า อาการสัมมาสติเป็นอย่างไร แล้วในชิวิตประจำวัน ท่านต้องฝึกฝน การมีสัมมาสติบ่อย ๆ เนือง ๆ ไม่ใช่เป็นว่า พอโกรธ ก็รู้ว่าโกรธ สงสัย ก็รู้ว่า สงสัย อย่างนี้ไม่ใช่การฝึกฝนสัมมาสตินะครับท่าน *** คำถามมีว่า ทำไมผมจึงเขียนว่า .อย่างนี้ไม่ใช่การฝึกฝนสัมมาสตินะครับท่าน. ******* ท่านที่เข้ามาอ่าน ถ้าท่านอยากทราบเรื่องราว เหตุและผล ขอให้ทำใจเป็นกลาง อ่านอย่างไร้อคติ เพราะผมเชื่อว่า เรื่องที่ผมจะเขียนนี้ อาจทำให้หลาย ๆ ท่านจะมีอาการทางจิตขึ้นมาได้ สำหรับท่านที่ใจเป็นกลางแล้ว ผมขอให้ท่านอ่านให้ดี ๆ และขอให้จดจำเรื่องที่ผมจะเขียนต่อไปนี้ เพราะว่า มันคือหัวใจการภาวนา แบบดูจิตทีเดียว ถ้าท่านเข้าใจในสิ่งที่ผมเขียน ท่านจะเดิน ทางในสายดูจิตได้อย่างดี และไปได้สวย แต่ถ้าไม่เข้าใจ ยังมีความลำเอียง มีอคติ มันเป็นเรื่องของท่านเอง ผมไม่เกี่ยว และผมก็ไม่ได้โจมตีใคร หรือ พระอาจารย์รูปใด แต่นี้คือประสบการณ์ที่ผมเคยได้ยินจาก ท่านเขมานันทะ มาก่อน หน้านี้หลายปีซึ่งมีใน CD เรื่อง ทวนกระแสความคิด จิตก่อนคิด ซึ่งสมัยนั้น ผมไม่เข้าใจในสิ่งที่อาจารย์ท่านสอน แต่ตอนนี้ หลังจากที่ผมได้ฝึกภาวนามีประสบการณ์ ผมเข้าใจแล้วในสิ่งทีท่านอาจารย์ เขมานันทะ ได้กล่าวไว้ใน CD เป็นความจริงทุกประการ ผมจึงนำมาแสดงไว้ใน blog ผม โดยผมขอยกคุณความดีในความรู้นี้ ได้แด่ ท่านอาจารย์ โกวิทย์ เขมานันทะ ***************** ถ้าท่านว่า ตัวเองกำลังดูจิต หรือ ดูเงาของจิต ก็ตามแต่ ท่านต้องตอบคำถามตนเองก่อนครับว่า ท่าน .เห็น. จิต หรือ .เห็น. เงาของจิต ได้จริง ๆ แล้วหรือยัง ที่ว่า .เห็น. ท่านต้องเห็นได้จริง ๆ เห็นเหมือน ตาที่มองเห็นภาพ อย่างไรอย่างนั้น ถ้าท่านยังไม่ .เห็น. เพียงแค่รู้ว่า มีอาการปรุงแต่งของจิตเกิดขึ้นแล้ว อย่างนี้ ท่านยังไม่ถึงขั้นการเห็นจิต หรือ เห็นเงาของจิต แต่ท่านจะอยู่ในช่วงที่ผมเขียนไว้ว่า ********* ไม่ใช่เป็นว่า พอโกรธ ก็รู้ว่าโกรธ สงสัย ก็รู้ว่า สงสัย อย่างนี้ไม่ใช่การฝึกฝนสัมมาสตินะครับท่าน ******** ถ้าท่านฝึกแบบนี้ต่อไป คือ พอโกรธ ก็รู้ว่าโกรธ พอสงสัย ก็รู้ว่า สงสัย นี่เป็นการทำงานที่รู้โดย สัญญาขันธ์ ไม่ใช่การรู้ด้วยจิตรู้ ผลคือ สัญญาขันธ์ จะจดจำอาการที่ท่านไปรู้ไว้ ถ้าท่าน พอโกรธ ก็รู้่ว่า โกรธ บ่อย ๆ สัญญาขันธ์ จะยิ่งบันทึกอาการโกรธนี้เข้าไว้ในสัญญาขันธ์มากมายหลายครั้ง เมื่อมีการบันทึกอาการโกรธมากเข้า มากเข้า นิสัยท่านจะเปลี่ยนไปในทางที่ เลวร้าย ท่านจะโกรธได้เก่ง โกรธไ้ด้นาน โกรธไม่ยอมหยุด พอท่านเฉยๆ ไม่มีอะไร สัญญาขันธ์ ก็พร้อมจะทำงาน โดยท่่านจะนึกไปถึง เรื่องที่ีเคยทำให้ท่านโกรธ เพราะมีัสะสมไว้มากหลายนั้นเอง นี่คือผลแห่งการบันทึกเข้าไปใน สัญญาขันธ์ มากมากครับ ความโกรธ เป็นกิเลสร้าย ท่าน ๆ คงทราบ ยิ่งรู้โกรธ ยิ่งโกรธเก่ง ภาวนาอย่างนี้จะถูกทางได้อย่างไรกัน ฟันธง ครับว่า ผิดทางครับ ไปไม่ถึงมรรคแน่นอน นี่คือการท้วงติงออกมาจาก ครูบาอาจารย์หลาย ๆ ท่าน ว่าผิดทาง มันผิดตรงนี้ครับ ผิดที่ว่า คนที่ภาวนายังไม่เป็น บอกเขาว่า พอโกรธ ให้รู้ว่าโกรธ พอสงสัย ให้รู้ว่าสงสัย ท่านมองออกใช่ใหมครับว่า ผิดอย่างไร ไม่ใช่ทางอย่างไร แล้วที่ถูกต้องเป็นอย่างไร... ผมจะชี้ให้ท่านดูครับ เมื่อท่านเป็นมือใหม่ที่หัดภาวนา .จิตรู้.ยังไม่เกิดการแยกตัวออกมาจากขันธ์ 5 ท่านต้องฝึกรู้ด้วยสัมมาสติบ่อย ๆ ขอให้ท่านสังเกตตัวเองดู มันจะง่าย ๆ ไม่ยาก เห็นได้ทันที ไม่ต้องรอเลย *** เพียงท่านรู้สึกตัวเท่่านั้น จิตใจท่านจะเฉย ๆ ใช่ใหม่ครับ นี่แหละครับ ที่ว่า จิตก่อนคิด คือ ท่านต้องฝึกฝนให้จิตมีสติ เพื่อให้จิตมันจำอาการที่มันมีสติ มันเฉย ๆ ครับ อย่าให้จิตคิดอะุไร จิตที่มีสติ ที่มันเฉย ๆ จะไม่มีนิวรณ์ใด ๆ ไม่มีกิเลสใด ๆ เมื่อจิตมันสัมผัสบ่อย ๆ ในจิตเฉย ๆ ที่มีสติ มันจะคุ้นกับอาการนี้ครับ คือ คุ้นกับสภาวะแห่งจิตไร้กิเลส นั้นเอง *** ท่านเห็นความแตกต่างระหว่างการภาวนา 2 แบบหรือยัีงครับ เมื่อจิตคุ้นกับสภาวะแห่งการมีสติ จิตเฉย ๆ ไร้กิเลส ได้มาก ๆ จิตท่านจะดี เพราะจิตรับประทานแต่สิ่งดี ๆ เข้าไป ไม่ใช่่รับประทานแต่ความโกรธหรือกิเลสตัวอื่นเข้าไป เมื่อจิตรับประทานสิ่งดีๆ เข้าไป จิตก็มีกำลัง และมีความสามารถในการแยกตัวออกมาจาก ขันธ์ 5 ได้ เมื่อ จิตแยกตัวออกจากขันธ์ 5 ได้แล้ว จิตจะเห็น เงาของจิตได้ก่อน ซึ่ง พอจิตเห็นเงาของจิตได้แล้ว ถ้าจิตมีกำลังพอสมควร จิตจะประหารอาการเงาของจิต ให้สลายไปด้วยกำลังแห่งสัมมาสมาธิ ซึ่งหมายความว่า ถ้าเงาของจิตคือกิเลส กิเลสก็จะถูกสัมมาสมาธิตัดทำลายทิ้งไป ครับ ** นี่คือ การท้วงติงอีกอย่างของครูบาอาจารย์ในเรื่องการดูเงาของจิตในขณะทีจิตไร้กำลัง มันเป็นไปไม่ได้ครับ ไม่มีทางครับ คนที่เขาภาวนากันถึง เขาจะรู้อย่างนี้กันทุกคน ในเมืองไทย มีมากมายที่เข้าถึงแล้ว คนรู้จริง เขาก็รู้ครับว่า สิ่งทีผมเขียนจริงหรือไม่จริง **เมื่อท่านฝึกจิตด้วยการมีสัมมาสติบ่อย ๆ จิตจะดี มีกำลังตั้งมั่น เมื่อท่านเห็นเงาของจิตได้แล้ว เมื่อท่านฝึกต่อไปอีก จิตมีกำลังมากขึ้นอีก ท่านจะเห็นตัวจิตได้ต่อไปครับ เมื่อท่านเห็นตัวจิตจริง ๆ ได้แล้ว ท่านจะเข้าใจในสิ่งต่าง ๆ ที่ผ่านเข้ามาในชีวิตท่าน ท่านจะรู้ทันทีเลยว่า คน ๆ นี้เขียนวิธีภาวนาแบบนี้ ไม่ถูกแล้ว คนนี้เขียนถูกแล้ว คนนี้ภาวนาไม่เป็น แต่จำเขามาเขียน ึคน ๆ นี้ภาวนาเป็น ท่านจะรู้ได้ทันที ผมหวัีงว่า บทความนี้ จะให้ความกระจ่างชัดในคำถามที่ผมเขียนว่า โกรธ ก็รู้ว่าโกรธ สงสัย ก็รู้ว่าสงสัย นี่ไม่ใช่ทางเพราะอะไร ****เรื่องท้ายบท ผมนำความจริงในธรรมปฏิบัติมาแสดง ไม่ได้มีเจตนาจะดีสเครดีตใคร ขอให้ท่านเข้าใจตามนี้ ขอบคุณที่เข้าใจครับ
Create Date : 20 มิถุนายน 2553
11 comments
Last Update : 29 มกราคม 2555 16:09:42 น.
Counter : 1274 Pageviews.
โดย: น้องต๋าว IP: 124.121.239.109 20 มิถุนายน 2553 23:17:16 น.
โดย: panwat 20 มิถุนายน 2553 23:22:22 น.
โดย: นมสิการ 21 มิถุนายน 2553 7:02:18 น.
โดย: นมสิการ 21 มิถุนายน 2553 7:31:52 น.
โดย: palmgang IP: 119.42.72.65 21 มิถุนายน 2553 9:21:05 น.
โดย: น้องต๋าว IP: 183.89.218.170 21 มิถุนายน 2553 10:47:31 น.
โดย: นมสิการ 21 มิถุนายน 2553 11:01:29 น.
โดย: ยิ่งเอก IP: 125.24.80.109 21 มิถุนายน 2553 12:16:53 น.
โดย: น้องต๋าว IP: 183.89.218.170 21 มิถุนายน 2553 18:35:21 น.
โดย: นมสิการ 29 มกราคม 2555 16:40:49 น.
Location :
[ดู Profile ทั้งหมด]
ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember ผู้ติดตามบล็อก : 142 คน [? ]
หลักปฏิบัติ ...รู้สึกตัว ผ่อนคลาย เฉย ๆ สบาย ๆ มากกว่า 20 ปีที่ไปหลงทำสมถภาวนาแบบสมาธิแบบฤาษีโดยที่ไม่รู้จักกับคำว่า อะไรคือสัมมาสติ สัมมาสมาธิ ผลที่ได้คือความสงบขณะกำลังนั่งสมาธิจนตัวนิ่งแข็งเป็นก้อนหิน แต่ผลข้างเคียงตามมาก็คือการเป็นคนเจ้าโทสะอย่างรุนแรงขณะเวลาไม่ได้นั่งสมาธิ และ ที่อยู่ในชีวิตประจำวัน.... จนได้พบกัลยณมิตรแดนไกล ที่ได้ชักนำให้มารู้จักวิธีปฏิบัติแบบหลวงพ่อเทียน จนได้พบกับพระอาจารย์ในสายหลวงพ่อเทียน ที่ผมได้เรียนการปฏิบัติจากท่าน จนเข้าใจว่า สัมมาสติ สัมมาสมาธิ คืออะไร แล้วลงมือฝึกฝน การปฏิบัติก็รุดหน้าและได้ลิ้มรสสิ่งบริสุทธิในจิตใจอันเป็นผลจากการปฏิบัติด้วยเวลาเพียง 5 ปี ธรรมปฏิบัติจากฆราวาสเขียนเป็นสิ่งที่ยอมรับได้ยากในสังคมไทย ผมรู้ได้จากที่เขียนใน blog ผมได้พบกับการก่อกวนใน blog การเขียนเหน็บแนม กระแหนะกระแหน ตำหนิการการปฏิบัติที่ผมเขียนใน blog ว่าผิดทาง เขียนแบบคาดเดาเอา ไม่รู้จริง ให้ผมหยุดเขียนแนวนี้ได้แล้ว และไปโมทนาสาธุแนะนำการปฏิบัติสมาธิแบบฤาษีให้กับผมอีกว่านี่คือทางที่ถูกต้อง ... บทความใน blog จึงเกิดขึ้นมา เพื่อแบ่งปันประสบการณ์ในการภาวนา แก่ผู้อื่นที่กำลังเดินทางในสายแห่งอริยมรรคนี้ เมื่อท่านได้เข้ามาอ่านข้อเขียนใน blog กรุณาอย่าได้เชื่อผมจนกว่า ท่านได้ทดลองปฏิบัติแล้วและพิสูจน์ด้วยตัวท่านเอง **กรุณา .อย่า.ได้บริจาคเงินให้ blog ผมทาง e-wallet ครับ ** ****** บทความต่าง ๆ ใน blog นี้ ขอสงวนสิทธิ์ตามพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2537 ห้ามนำไปดัดแปลง ลอกเลียน หรือนำส่วนหนึ่งส่วนใดไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต ****