5th World Film Festival (PART 2)
อ่าน PART 1
DAY 4 : 29 Oct 2007
-- รู้สึกดีที่โฆษณาในเทศกาลนี้ไม่ยาวมากนัก (ไม่เหมือนตอนบางกอกฟิล์ม แถมต้องทนดูตัวอย่าง อีส้มสมหวัง เกือบ 20 กว่ารอบ จะบ้าตาย) แต่ก็หลอนกับโฆษณา ผีแสงดาว มากๆ ตอนนี้ก็เลยจะไปนั่งรอหน้าโรงรอให้โฆษณานี้จบก่อน แล้วค่อยเดินเข้า (จริงๆ เกลียดดิจิตอลซาวด์เช็คที่เป็นหมอตบก้นเด็กเหมือนกัน ดูแล้วขยะแขยง จะอาเจียน แต่ยังพอทน)
-- เพื่อนเราคนนึงตั้งข้อสังเกตฮาๆว่า บันไดเลื่อนยาวๆ ที่ขึ้นไปโรงหนังนี่เหมือนบันไดไปสวรรค์ แต่เราก็บอกต่อว่า เป็นบันไดสวรรค์ที่พามาเจอหนังนรก (เพราะหนังในเทศกาลนี้หลายเรื่องที่เฮี้ยนๆหลอนๆ)
-- วันนี้มีงานเลี้ยงเปิดเทศกาลหนังยุโรป (EU Film Fest ปีนี้จัดร่วมในงาน World Film) ก็เป็นกินเลี้ยงกันตรงชั้นโรงหนังนั่นแหละ เราดูแล้วแอบฮานะ คือพวกฝรั่งใส่สูทก็ต้องไปแออัดกันก็ในคอกนั้นน่ะ อ้อ Fred Kelemen (ผู้กำกับ Fallen) เดินทางมาถึงเมืองไทยแล้ว เพื่อนเรายืนยันว่าหน้าตาดีจริงๆ
-- วันนี้ได้ดู Demented แล้วกรี๊ดสลบ ขึ้นมาเป็นอันดับหนึ่งแทนเรื่อง Fallen แล้วเรียบร้อย
1. Forever and Ever (2001, Raymond To, Hong Kong, B) ชายหนุ่มติดโรคเอดส์จากการถ่ายเลือด แต่ก็มีแม่ (แสดงโดย ซิลเวีย จาง) คอยต่อสู้อยู่เคียงข้างตลอดชีวิตของเขา หนังค่อนข้างเมโลดราม่ามาก ซึ่งไม่ใช่แนวหนังที่เราชอบอยู่แล้ว แถมหนังมีแนวคิดเกี่ยวกับศาสนาด้วย (ซึ่งก็เป็นของแสลงสำหรับเราเช่นกัน) ช่วงหลังๆหนังยิ่งฟูมฟายไปกันใหญ่ เช่น ฉากที่แฟนพระเอกมาเล่นเปียโนให้ตามสัญญาตอนเด็กๆ นี่ฮามาก (คือเขาคงตั้งใจให้ซึ้ง แต่เราฮา ที่เราฮามากอีกอย่างก็คือ ฉากที่นางเอกปรากฏตัว แล้วพวกผู้ชายในงานต้องทำหน้าอึ้งๆ ซึ่งเราก็สงสัยจังว่ายัยหน้าปลาจวดนี่มันสวยอะไรนักหนาเหรอ) อย่างไรก็ดี เรารู้สึกว่าซิลเวีย จาง เธอก็เล่นได้ดีนะ (ได้รางวัลนำหญิงจากสักเวที) เธอร้องไห้เหมือนสั่งได้ หรือฉากที่ลูกรู้ว่าตัวเองเป็นเอดส์แล้วอาละวาด เธอเล่นได้ดีมาก เพราะว่าฉากนั้นเธอต้องเป็นฝ่าย passive ซึ่งเราว่ามัน control อารมณ์ได้ยากกว่าฝ่าย active (ลูกชาย) ที่ระเบิดอารมณ์ออกมา
2. Steve + Sky (2004, Felix Van Groeningen, Belgium, A+) ดีใจมากที่ตัดสินใจ ไม่ดูสารคดี The Mosquito Problem and Other Stories แต่มาดูเรื่องนี้แทน หนังเท่ เก๋ และเปรี้ยวมาก (ปกติหนังเบลเยี่ยมได้ดูแต่หนังสมจริงจัดๆ ของพี่น้องดาร์เดน - แต่เรายังไม่เคยดูหนังของ Chantal Akerman) ภาพเกรนแตกๆ สวยสุดๆ แถมเพลงประกอบก็ชนะเลิศ เล่าเรื่องตัดสลับไปมาหน้าๆหลังๆ แต่ถึงจะดู stylish มาก แต่เรารู้สึกว่ามันไม่ fake หรือ act art นะ หนังมันมีจังหวะเฉพาะตัวที่แปลกมาก ฉากที่เราชอบที่สุด คือฉากที่นางเอกกับพระเอกลุกขึ้นมาเต้นกันอย่างเสียสติ ส่วนฉากจบก็เก๋มากๆ (แต่แอบเสียดายเหมือนกัน เรื่องนี้เราเข้าสายไปนิดนึง พอดีมื้อกลางวันแวบไปกิน Ootoya เลยนานไปหน่อย แหะๆ)
เรื่องนี้ก็เป็นตัวเลือกที่น่าสนใจ หนังฉายอีกทีวันศุกร์ที่ 2 พ.ย. รอบ 13.00 จ้ะ
3. Demented (2006, Laurent Achard, France, A+++++++++++++) หนังกรี๊ดแตกประจำวันนี้ และมีแนวโน้มสูงมากว่าจะติด TOP10 หนังปีนี้ ถ้าครอบครัวในหนังเรื่อง Antonias Line เป็น ครอบครัวสวรรค์ ครอบครัวในหนังเรื่องนี้ก็เป็น ครอบครัวนรก แม่เป็นบ้าเสียสติ ย่ากับพ่อทะเลาะกัน พี่ชายก็เป็นเกย์ แถมคู่ขาหนีไปแต่งงานกับผู้หญิง หนังนำเสนอผ่านมุมมองของลูกคนเล็กของบ้านที่อายุ 11 ขวบ ชอบบรรยากาศของหนังที่ดูหนัก และกดดันมาก (แช่กล้องนานๆ / ไม่มีเพลงประกอบเลย จริงๆ มี sense ว่าจะชอบหนังเรื่องนี้ตั้งแต่เครดิตเปิดเรื่องที่เป็นแค่ตัวหนังสือสีขาว + พื้นดำ) แต่ช่วงกลางๆ เรื่องเราก็แอบรำคาญหนังเหมือน คือรู้สึกว่าหนังมันจงใจให้ตัวเอก แส่หาเรื่อง มากเกินไป (ดูแล้วเราก็จะเกิดคำถามในใจว่า ทำไมอีเด็กนี่มันต้องไปยุ่งเรื่องชาวบ้าน ทำไมมันต้องเดินไปนู่นไปนี่ ทำไมมันไม่รู้จักอยู่นิ่งๆ อีกอย่างนึง เราไม่รู้จักอินกับตัวละครเด็กคนนี้ด้วย หน้าตายๆของเด็กเปรตคนนี้ ทำให้เรารู้สึกห่างเหินกับตัวละคร) แต่พอมาคิดดีๆ แล้ว เราว่ามันก็เข้ากับธีมของหนัง ที่ให้พระเอกเป็น ผู้สังเกตการณ์ / นักถ้ำมอง (ฉากเปิด/ปิด ของเป็นฉากพระเอกมองผ่าน รู) แต่พอมาถึงตอนจบของหนัง ข้อเสียต่างๆของหนังก็ถูกลบเลือนไปทันที จริงๆ แล้วมันก็เป็นฉากจบที่คาดไว้ แต่เราชอบที่ การนำเสนอ ของมันดูเก๋ แต่ก็รุนแรงมาก
(ต่อไปนี้จะมีการ Spoil เรื่อง Demented อย่างไรก็ดี หนังหมดรอบฉายไปแล้ว)
- รู้สึกตลกมากว่า พี่ชายของพระเอกหล่อมาก แต่ไหงพระเอกถึงหน้าตาไร้สกุลรุนชาติได้ขนาดนั้น น้อง nanoguy พูดขึ้นมาเล่นๆว่า บางทีพระเอกอาจจะเป็นลูกคนใช้ (ที่น่าจะเป็นอัลจีเรีย) แถมตัวละครแม่ก็ดูจะไม่ค่อยรักพระเอกด้วย
- ฉากที่แม่หันหน้ามามองลูก ถือเป็นฉากคลาสสิกแห่งปี สารภาพเลยว่า ผมกลัวฉากนี้มาก
- ตอนที่พระเอกไปเกี่ยวข้องกับปืน เราเดาตอนจบไว้ 3 แบบ
1) พระเอกยิงตัวตาย
2) ในงานแต่งงานของคู่ขาพี่ชาย พระเอกหยิบปืนขึ้นมายิง คู่ขา + พ่อของคู่ขา (แต่อันนี้อาจจะดูหนังเจ้าพ่อไปหน่อย)
3) พระเอกยิงฆ่าล้างครอบครัว (และอาจจะยิงตัวตายตาม)
หลายครั้งที่เราชอบลองคิดตอนจบแบบที่ เลวร้ายสุดๆ ให้กับหนัง โดยที่รู้ว่ามันไม่มีทางเป็นไปได้ (เช่น สายลับจับบ้าน พระเอกกับนางเอกร่วมมือกันเป็นแมงดา-กะหรี่ ช่วยกันหากิน / บอดี้ศพ 19 เป้ วง Slur เห็นผีเพราะความรู้สึกผิดจากการข่มขืน แป้ง อรจิรา ซึ่งเป็นพี่สาว ฯลฯ) สำหรับ Demented ตอนจบแบบที่ 3 เป็นแบบที่เราอยากให้เป็นมากที่สุด ซึ่งเราก็คิดว่ามันเป็นไปได้ พอหนังเลือกแบบนั้นจริงๆ เราก็เลยดีใจมาก แถมการถ่ายทอดออกมาก็ยังทรงพลังมากด้วย ถือว่าเป็น ความมืดมน ที่ทำให้เรามี ความสุข มาก (แต่ก็แอบฮาว่าพระเอกมันเป็นหน่วย SWAT หรือไง ทำไมยิงปืนแม่นขนาดนั้น ฮ่าๆๆ)
4. Miss Phyllis (2004, Clemence M. Schonborn, Austria, B) เรื่องนี้แบบว่าโดนภาพในเวบหลอก เพราะในเวบเป็นภาพขาวดำ เราก็เลยนึกว่าจะเป็นหนังขาวดำแบบตลกเพี้ยนๆ แต่ปรากฏว่ามันเป็นหนังสี แล้วก็ไม่ได้เพี้ยนอะไรมากด้วย หนังเล่าถึงสาวอายุเฉียดสี่สิบ ที่ยังไม่เป็นโล้เป็นพาย แถมยังอาศัยอยู่กับแม่ตัวเอง จริงๆหนังมันก็ตลกดี แต่พล็อตในหนังมันถูกผูกแบบมั่วๆ ยังไงไม่รู้ (พี่ Mds บอกว่า พี่รู้สึกเหมือนหนังมันทำชุ่ยๆ ซึ่งตรงใจเรามาก 5555) อ้อ หนังเรื่องนี้ยังมีการพาดพิงถึงเมืองไทยด้วยนะ แต่เป็นในทางที่ดี (อนึ่ง ขอตั้งชื่อเล่นให้หนังเรื่องนี้ว่า มิสซิฟิลิส)
DAY 5 : 30 Oct 2007
-- วันนี้เทศกาลเริ่มเข้าสู่ความมืด มีแต่หนังแรงๆฉาย หนังที่ดูในวันนี้ทำให้ตัวเองมีความสุขมากๆ และทำให้ต้องจัดอันดับหนังกันใหม่เลยทีเดียว ตอนนี้เรื่อง Demented จะเริ่มตกลงไปแล้ว เพราะเรื่องนี้เราพีคกับมันแค่ตอนจบ แต่หนังอย่าง Fallen, Egg หรือ Phantom Love เรารู้สึกพีคตลอดเรื่อง
-- ตอนกลางวัน ลองไปกินราเม็งที่ร้าน Shibuya (อยู่ตรงข้ามฮาจิบัง) ได้ข้อสรุปว่า กินฮาจิบังเหมือนเดิมนั่นแหละดีแล้ว
-- ตอนนี้มือถือเราเจ๊ง หน้าจอขาวจ๋องอีกแล้ว (แต่ก็ยังโทรเข้ามาได้ เพียงแต่มันจะไม่รู้ว่าใครโทรมา - อนาถจริงๆ) ต่อไปจะไม่ซื้อมือถือฝาพับอีกแล้ว ฮือๆ
1. Tough Enough (2006, Detlev Buck, Germany, A-) หนังเกี่ยวกับเด็กที่โดนกลั่นแกล้ง แล้วไปเข้าแกงค์มาเฟีย เนื้อเรื่องออกจะสูตรๆ ไม่ค่อยมีอะไร แต่ก็ชอบเรื่องนี้พอสมควร เพราะชอบการแสดงของพระเอกที่ดูนิ่งๆ ดี แล้วก็ชอบเพลงประกอบในหนังมากๆด้วย ส่วนฉากที่ชอบที่สุดก็คือ ฉากไคลแม็กซ์ที่กดดันมากๆ (แต่จริงๆก็แอบขำเหมือนกัน) ถ้าเทียบกับ This is England แล้ว ชอบเรื่องนี้มากกว่า เพราะ พระเอกหล่อกว่า ดูแล้วมีความสุขกว่า
2. Egg (2007, Semih Kaplanoglu, Turkey, A++++++++) สองปีก่อนเคยหลับสนิท 20 นาที กับหนังเรื่อง Angels Fall ของผู้กำกับคนนี้ มาคราวนี้เลยระวังตัวเป็นพิเศษ ซึ่งปรากฏว่าไม่หลับเลย แถมมีความสุขกับหนังมากๆ หนังก็ค่อนข้างนิ่ง ถ่ายแช่กล้อง หรือเคลื่อนกล้องแบบช้าๆ และไม่มีเพลงประกอบ แต่มันก็ไม่ได้ทรมานเกินไปนัก เนื้อเรื่องของหนังแทบไม่มีอะไรเลย ก็แค่ผู้ชายคนหนึ่งกลับบ้านเกิดไปงานฝังศพแม่ตัวเอง แต่จุดนี้แหละที่ชอบมาก เพราะหนังสามารถนำเรื่องเล็กน้อยแบบนี้มาเล่าอย่างมีเสน่ห์และทรงพลังได้ (โดยเฉพาะภาพวิวทิวทัศน์จากธรรมชาติ)
อีกจุดที่ชอบคือ การที่ตัวละครไม่ค่อยแสดงอารมณ์อะไรออกมามากนัก สีหน้าตัวละครเอกสองตัวก็น่าสนใจมาก พวกเขายิ้มให้กันอยู่เนืองๆ แต่นัยน์ตาของพวกเขาก็เหมือนจะมีน้ำตาปริ่มๆ ตลอดเวลา อธิบายเป็นคำพูดไม่ได้เลยว่าตัวละครในเรื่องมีความรู้สึกอย่างไรบ้าง แต่เราว่าความซับซ้อนแบบนี้ก็สมเหตุสมผลกับตัวหนังที่เล่าถึงเหตุการณ์ที่สะสมทับซ้อนมายาวนานหลายปี มันคงไม่เข้าท่าถ้าจะบอกเล่าความรู้สึกแบบนั้นด้วยการระเบิดอารมณ์ ฟูมฟาย แหกปากโวยวาย
ชอบเสียงในเอนด์เครดิตของหนังด้วย ฟังแล้วมันสงบ สบายใจ จนบอกไม่ถูก
แนะนำให้ดูอย่างแรง : Egg ฉายอีกที 1 พ.ย. รอบ 20.20
3. Phantom Love (2007, Nina Menkes, USA, A++++++++) หนังสุดเฮี้ยนที่ทุกคนรอคอย แล้วก็ไม่ทำให้ผิดหวัง คงไม่เขียนอะไรมาก เพราะหนังมันต้องสัมผัสด้วยตาตัวเองจริงๆ นานเหลือเกินแล้วที่ไม่ได้ตื่นเต้นขนาดนี้มาก่อน แต่อย่าได้ถามเชียวว่าหนังเรื่องนี้เกี่ยวกับอะไร เพราะไม่รู้เรื่องอะไรทั้งนั้นแหละ!
ตอนดูตัวอย่าง นึกว่าฉากที่รุนแรงที่สุด น่าจะเป็นฉากที่ผู้หญิงลอยตัวได้ แต่ปรากฏว่ามันยังมีฉากที่เฮี้ยนกว่านั้น เช่น
1) ฉากนางเอกเดินผ่านงู เดิน 3 รอบ หัวใจจะวายทั้ง 3 รอบ
2) ฉากที่นางเอกหันไปเจอ หมาผี (ที่หลุดมาจากเอ็มวีเพลง Frozen ของ Madonna)
3) ทุกฉากที่แม่นางเอกปรากฏตัว (ฮ่าๆๆ) โดยเฉพาะการปรากฏตัวร่วมกับนางเอก
4) ฉากที่ยัยน้องสาวมาถือตะเกียงลอยหน้าไปมา (กลัวฉากนี้มากที่สุด)
แนะนำให้ดูอย่างแรง : Phantom Love ฉายอีกที 1 พ.ย. รอบ 15.30
4. Love Songs (2007, Christophe Honore, France, A+) เรื่องนี้อาจมี spoil เล็กน้อย / ขออนุญาตเขียนเป็นภาษาอังกฤษ
In World Film Festival 2005, Alain Resnaiss Not On The Lips (2003, B) gave me a good sleep, on the contrary, Honores Love Song is such the film which I thoroughly enjoy. Consciously, I accept the nature of musical film (many friends of mine cant resist when the character suddenly sings a song), but the hardest part is the classical style of music (or an old-fashioned one). Fortunately, this film used the modern pop-rock music which is really my type.
Love Songs is like a sequel for Inside Paris (2006, A+), still portrayed about Parisian people in intellectual way (mostly presented via the dialogs). The film always gave me a surprise, but the most interesting one is the third part that motioned about gay issue. From my experience, there are a lot of gay movies but I rarely see a gay musical film. The ending also made a sexual ideology of the film daringly explicit. But I can feel that many audiences cant accept the conclusion of Love Songs. But I desirably love it, very suitable of the title Love Songs, because Love is the universal language.
Things I can observe from Love Songs (It may be my wrong understanding)
1) The scenes that all three main characters sleeping on the same bed was possibly inspired from Scene from the Marriage (1973, Ingmar Bergman)
2) There was a Nobody Knows poster in the gay characters room. (Im not sure about its purpose.)
เรื่องนี้ก็อาจไม่ใช่หนังที่ดีอะไรมาก แต่ก็ขอแนะนำจ้ะ : Love Songs ฉายอีกที 1 พ.ย. รอบ 18.20
DAY 6 : 31 Oct 2007
-- เกิดความคิดฮาๆ ว่าจะแอบแกล้งพนักงานตรวจกระเป๋าด้วยการใส่กางเกงใน หรือถุงยางแพ็คจัมโบ้ไว้ในกระเป๋า (ฮ่าๆๆ ล้อเล่นนะ)
-- Help Me Eros คนเกือบเต็มโรง (แสดงถึงอะไรบางอย่างหรือเปล่า?)
-- ได้ถ่ายรูปกับหลี่คังเซิงด้วย ปลื้มมากๆ (ขอบคุณน้อง nanoguy) วันนี้เขาตัดผม + แต่งตัวมาดูดีทีเดียว (ปีก่อนๆ นึกว่านักท่องเที่ยว 5555) และยังได้ขอคิดว่าการจะเข้าไปขอลายเซ็น/ถ่ายรูปกับผู้กำกับดังๆนั้น คุณต้องถือคติ หน้าด้าน กล้าเสี่ยง
-- ได้ข่าวว่า ไฉ้หมิงเลี่ยง จะมาเทศกาลด้วยในวันหลังๆ (มาทำไมหว่า?)
-- BIOSCOPE เล่มใหม่หน้าปก รักแห่งสยาม / ส่วน CMYK เล่มเดือนตุลาก็ออกแล้วนะจ๊ะ (ขายของๆ) -- หนังอันดับหนึ่งยังคงเป็นเรื่อง Egg
1. Mother of Mine (2005, Klaus Haro, Finland, B) เด็กชายถูกแม่ส่งตัวจากฟินแลนด์ไปสวีเดนในช่วงสงคราม เขาได้ไปอยู่ในบ้านใหม่ และได้พบกับผู้หญิงอีกคนได้เปรียบเสมือนแม่คนที่สอง จริงๆ พล็อตของหนังก็น่าสนใจ แต่หนังมันบิวด์มากกกกก คือบางฉากนี่รำคาญมาก คือกูรู้แล้วโว้ยว่าเศร้า ไม่ต้องมาโหมเพลงออเครสตร้าใส่หูกูก็ได้ (เพลงในหนังชวนให้หลอนถึงโฆษณา ผีแสงดาว) สรุปแทนที่จะเศร้า ก็เลยเซ็งแทน (อนึ่ง จริงๆแล้วหนังเรื่องนี้สามารถสร้างเป็นหนังจิตวิทยาเข้มๆ ได้สบายๆ และเราขอเสนอให้ อิซาเบล อูแปต์เล่นเป็นแม่คนที่สอง 5555555)
2. Possible Lives (2006, Sandra Gugliotta, Argentina, A+) หนังเซอร์ไพรส์สำหรับเราในเทศกาล ตอนแรกที่อ่านเรื่องย่อของหนัง (ผู้หญิงคนหนึ่ง ผัวเธอหายไป เธอเจอเขาอีกที แต่เขาจำเธอไม่ได้แล้ว ฟังดูคล้ายกับ Reconstruction นิดๆ) ก็เดาเอาว่าหนังคงมาทางเฮี้ยนๆ หลอนๆ ซึ่งก็ใช่ และเราก็ชอบ (sound design ของหนังเรื่องนี้รุนแรงมาก น่าจะชอบที่สุดในงาน) แต่หนังมันไม่ได้เอาแต่เฮี้ยนอย่างเดียว เราว่าหนังมันพูดถึงเรื่องความสูญเสีย หรืออธิบายสภาพจิตใจของคนที่เสียอะไรบางอย่างไปได้ซับซ้อนและดีมาก (ต้องชมการแสดงของนางเอกด้วย) ประเด็นที่โดนใจเรามากๆก็คือ บางทีเราก็ใช้คนบางคนเป็นตัวแทนของคนอีกคนได้อย่างเห็นแก่ตัว ซึ่งมันก็เป็นหลักฐานยืนยันว่าเรารักคนๆนั้นมากเพียงใด แต่สุดท้ายมันอาจจะเหลือเพียงความว่างเปล่า
เรื่องนี้ก็แนะนำให้ดูแล้วกัน : หนังฉายอีกที 2 พ.ย. รอบ 15.20
3. I Served the King of England (2006, Jiri Menzel, Czech Republic, A) หนังคืนวงการของ Jiri Menzel นักทำหนังรุ่นใหญ่จากเช็คที่ไม่ได้ทำหนังมานาน หนังเล่าย้อนถึงชีวิตของชายหนุ่มที่ไต่เต้าจากเด็กเสิร์ฟในบาร์กระจอกๆ จนได้ทำงานในโรงแรมระดับห้าดาวในที่สุด หนังค่อนข้างรื่นเริง ดูง่าย และฮาตลอดเรื่อง ชอบที่หนังมีเรื่องพูดถึงสงครามโลกครั้งที่สอง ความขัดแย้งระหว่างคนเยอรมัน/เช็ค แต่ว่าเหตุการณ์ในส่วนนี้ก็ไม่ได้ออกไปทางการเมืองจนเกินไปนัก
เรื่องนี้ก็เป็นตัวเลือกที่น่าสนใจ : หนังฉายอีกที 4 พ.ย. รอบ 13.00
4. Help Me Eros (2007, Lee Kang-Sheng, Taiwan, A) หนึ่งในโปรแกรมทองของเทศกาลนี้ ผลงานกำกับเรื่องที่สองของหลี่คังเซิง เขานำแสดงเองในบทของชายหนุ่มผู้ล้มละลายจากการเล่นหุ้น ก็เลยต้องโทรไปใช้บริการฮ็อตไลน์คลายเครียด จากนั้นก็ไปมีความสัมพันธ์กับอีสาวขายหมากสุดเซ็กส์ ส่วนตัวแล้ว เราเฉยๆกับหนังเรื่องนี้นะ คือสไตล์เราว่ามันก็ซ้ำๆ หนีไม่พ้นหนังไฉ้หมิงเลี่ยง (แต่ให้คิดว่าสองคนนี้จะไปทำหนังแนวอื่นยังไง ก็คิดไม่ออก) ส่วนประเด็นประมาณนี้เราก็เบื่อแล้ว จริงๆหนังมันอาจจะไม่มีอะไรเลยก็ได้ ถ้าไม่มีฉาก sex กายกรรมทั้งหลาย (อยากดูเบื้องหลังการถ่ายทำจัง) โดยเฉพาะท่า 69 แนวตั้ง กับท่ารวมร่างตอนเล่น MSN นี่สุดยอดจริงๆ อยากจะ standing ovation ให้ (ฮา) แต่เซอร์ไพรส์ฉากที่ยัยอ้วนปีนขึ้นบ้านไปดูผัวตัวเอง ฮาลั่นโรงเลยทีเดียว (อนึ่ง จริงๆตอน Q&A อยากจะถามว่า เอ่อ ปลาไหลนี่ของจริงใช่มั้ยครับ แล้วถ่ายทำกันยังไงล่ะเนี่ย แต่ไม่กล้าอ่ะ แบบว่าเขิน)
สำหรับคนอยากดูอะไรโป๊ๆ ก็เชิญเลย : Help Me Eros ฉากอีกที 2 พ.ย. รอบ 17.20
อ่านต่อ PART 3
Create Date : 30 ตุลาคม 2550 |
Last Update : 2 พฤศจิกายน 2550 3:38:26 น. |
|
24 comments
|
Counter : 2396 Pageviews. |
|
|
|
TOP 5 : ชาร์ตอันดับเพลงตามใจฉัน (เลียนแบบมาจากบล็อก เต๋อ คลีโอ)
เพลงที่ฟังบ่อยมากๆ ในช่วงนี้ (เรียงตามลำดับ)
1. Yoko Ono : Walking on thin ice (Pet Shop Boys Remix)
เพลงของป้าโยโกะที่เดิมก็เปรี้ยวอยู่แล้ว แต่มาเจอ PSB มามิกซ์ให้ก็ยิ่งเปรี้ยว แถมเสียงป้าครางว่า "โอ๊ะ โอ๊ะ โอ๊ะ" ก็ยังอยู่ 5555 (เพลงนี้จี๊ดมาก พูดประมาณว่าความสัมพันธ์นี่มันเหมือนการเดินบนน้ำแข็งบางๆ นั่นแหละ) / ดิฉันตระหนักดีว่าโยโกะ โอโนะ เป็นสิ่งที่มีชีวิตเพศหญิงที่น่าสนใจมาก แต่ยังไม่ได้ทำความรู้จักจริงๆจังกับเธอเสียที (ส่วนโยโกะ ทาคาโน่ ...ช่างเถอะนะ)
2. Atomizer: Hooked on radiation (Pet Shop boys Remix)
เพิ่งมารู้ว่า เพลงนี้นี่หว่าที่เราเต้นในผับบ่อยๆ ทุกวันนี้ตั้งเพลงนี้เป็น wake up call ครับ
3. Bodyslam : ยาพิษ / อกหัก
อย่าแปลกใจ ถ้าเดินๆกันอยู่ แล้วดิฉันจะฮัมขึ้นมาว่า "ชีวิตมันโดนทำร้าย บลาบลาบลา" อนึ่ง ซื้ออัลบั้มมาแล้ว พบว่า...ชอบแค่ 2 เพลงนี้แหละ (เอาเงินกูคืนมา!)
4. Travis : Big Chair
ชอบเวลา Travis ทำเพลงหม่นๆ แบบนี้ / เนื้อเพลง "Here we go fast and slow on the big chair. But we don't know where we're going on the big chair" โดน!
5. Goodnight Electric : Rain In My Room
เพลงนี้เป็นส่วนผสมของ เสียงร้องแบบ The Cure แต่ดนตรีเป็น New Order (แบบจังหวะกลางๆ)
World Fil Festival ตั้งแต่พรุ่งนี้ไป หนังด้านมืดจะเริ่มทยอยฉายแล้ว ... ขอให้ทุกท่านสนุกกับฝันร้าย!!