ย่ำแดนมหัศจรรย์น้ำตกแห่งลาวใต้ (ตาดขมึด ตาดเสือ ตาดเยือง) ตอนที่ 1/3



เกริ่นนำ
Bolaven Plateau ( ลาวออกเสียงว่า "บอละเวน พลาตูเอ้" ฟังคล้ายคำว่า "บริเวณ" ในภาษาไทยเรา ) หมายถึงที่ราบสูงบอละเวน ภูเขาไฟเก่าแก่ใหญ่สุดในเอเชียอาคเนย์ เป็นป่าฝนเขตร้อน ( Tropical rainforest ) ที่อุดมสมบูรณ์ยิ่งใหญ่และสวยมากแห่งหนึ่งของโลก ปกคลุมด้วยหมอกและอากาศเย็นตลอดปี และสภาพป่าที่สมบูรณ์ประกอบกับสัญฐานที่เป็นที่ราบสูง หรือ Table land คล้ายภูกระดึง อันมีขอบผาและหุบเหวอยู่ทั่วไปจึงเกิดน้ำตกขนาดมากมายกลายเป็นดินแดนมหัศจรรย์แห่งน้ำตก เป็นที่โจษขานและเป็นดินแดนในฝันของเหล่านักท่องเที่ยวผู้รักธรรมชาติ นายน้ำฟ้าได้มีโอกาสมาเยือนลาวใต้เป็นครั้งแรก และนี่เป็นเสี้ยวเศษประสบการณ์ที่ยิ่งใหญ่ ก้าวเล็กๆแต่เติมต่อสู่ป่าเพื่อนบ้านต้อนรับอาเซียนไร้พรมแดนที่กำลังจะมาถึง




เปรียบเทียบขนาดพื้นที่ภูหลวง ภูหอ ภูกระดึงกับที่ราบสูงบอละเวน
เอาล่ะครับ รถพร้อมคนพร้อม Let's Go
หลังผ่านพิธีกรรมข้ามแดน ณ ด่านช่องเม็กสู่ด่านจำปาสัก พวกเราเหล่านักล่าความทรงจำเกือบสามสิบชีวิตก็แบกนานาสัมภาระเดินฝ่าสายฝนโปรยออกจากตม.ลาวมุ่งหน้าท่ารถที่อยู่ห่างออกไป 550เมตร ไกลแท้ รถสองแถวสองคันที่นัดไว้มาคอยท่ารอแล้ว จุดหมายปลายทางอยู่บ้านหนองหลวง เมืองปากซองบนที่ราบสูงบอละเวน
อ่ะท่องไว้ 40โลช่องเม็กปากเซ 50โลปากเซปากซ่อง 12โลปากซ่องหนองหลวง ร้อยสองโลหนองหลวงช่องเม็ก



เส้นทางจะเปลี่ยนระดับ จากร้อยกว่าเมตรสู่พันกว่าเมตรนะครับ ความดันในร่างกายอาจปรับตัวไม่ทัน อาจหูอื้อตาลาย และอาจเมารถ อย่ากระนั้นเลยระหว่างนี้ขออนุญาตท่านผู้อ่าน ดื่มเครื่องดื่มกันเมารถสักป๋องสองป๋องก่อนนะครับ แหม่ 
หยุดรถบ่อยหน่อยเน้ เครื่องดื่มแก้เมารถเริ่มออกฤทธิ์เป็นระยะ :v

ที่ราบสูงบอละเวน มุมมอง sky view จากเมืองปากเซ นั่นหล่ะๆ เส้นสีแดงๆคือเส้นการเดินทางของพวกเรา



ปากเซ หัวเมืองเอกแห่งลาวใต้เมืองเศรษฐกิจใหญ่แห่งแขวงจำป่าสัก ตั้งอยู่ ณ ปากแม่น้ำเซโดนที่ไหลลงมาบรรจบกับมหานทีแม่น้ำโขง เมืองแห่งคนหลากหลายชนชาติ เรามุ่งหน้าทิศตะวันออกมาได้ราว 40กิโลเมตร และกำลังข้ามสะพานมิตรภาพลาว-ญี่ปุ่น ที่ยาวราวๆกิโลเมตรกว่าๆ สู่ฟากฝั่งเมืองปากเซเมืองที่มีสิ่งน่าสนใจมากมาย ในใจผมกำลังคิดว่านี่ต้องไม่ใช่ครั้งเดียวแน่ๆ ที่ผมจะผ่านเข้ามายังปากเซ และจะมีสักครั้งแน่นอนที่จะมาเตร็ดเตร่ที่เมืองนี้ แต่ตอนนี้ขอบึ่งผ่านไปก่อนนะครับพี่น้อง เมื่อเริ่มไต่ระดับขึ้นบอละเวนหนทางก็ปกคลุมด้วยม่านหมอก บ่งบอกให้รู้ว่าเราไต่ความสูงขึ้นมาเรื่อยๆแล้ว ถนนที่นำเราขึ้นมานี้ไม่คดเคี้ยวเลี้ยวลดแต่กลับตัดตรงได้จนแทบไม่รู้สึกว่ารถกำลังขึ้นเขาเลย แปลกดีเหมือนกัน


หมอก หมอก และก็หมอก ชอบจังเลยมาเยือนครั้งแรกก็หลงเสน่ห์แล้ว ถนนสายนี้หมอกหนาจริงๆ บรรยากาศแบบนี้ล่ะใช่เลย เหมือนกำลังเดินทางเข้าสู่ดินแดนอันไกลโพ้นลึกลับและคลาสสิค



ถึงแล้ว บ้านหนองหลวง จุดเริ่มต้นเดินเท้าประจำทริปนี้ของเรา
ขณะนี้เป็นเวลาบ่ายสองแก่ๆ ถึงตรงนี้ก็เรียกได้ว่าเราเดินทางออกจากกรุงเทพมาได้ 17 ชั่วโมงกว่าๆแล้ว นับว่าเป็นการเดินทางที่มาราธอนพอสมควร ฝนยังคงโปรยปรายไม่ขาดสาย หิวแล้ว มื้อเที่ยงรีบเสริฟทันที เดี๋ยวอิ่มแล้วเราจะทำการแยกสัมภาระส่วนที่ใช้ในวันกลับทิ้งไว้ที่นี่ แล้วนำติดตัวไปเฉพาะที่ต้องใช้ในป่า 2 คืน


บ่ายสามโมงครึ่ง เป่านกหวีด ได้เวลาออกเดินเท้า มุ่งหน้าสู่แคมป์ จุดหมายปลายทางของเราอยู่ห่างจากบ้านหนองหลวงนี้ประมาณ 5 กิโลเมตร เป็นเส้นทางถนนซะสองโล ทางป่าซะสามโล ปกติถ้าถนนไม่เละเกินไปสามารถอาศัยรถอีแต๊กขนสัมภาระไปส่งให้ถึงปากทางเดินป่า แต่วันนี้ทางเละสิครับฝนตกซะขนาดนี้
ปลายทางของเราเป็นป่าสนขนาดใหญ่ คนไทยหลายคนเรียกลานสนบ้างลานเปราะภูบ้าง ส่วนคนที่นี่เรียก " ด่านใหญ่ "
เอาล่ะครับ ชักภาพหมู่เป็นที่ระทึกก่อนแล้วเริ่มต้นเดินเท้ากันเลย สภาพเส้นทางจากคำบอกค่อนข้างลาดชันต่ำ ขึ้นๆลงๆ แบบไม่มีไต่ มีข้ามห้วยสองห้วย มีทากบ้างแต่ไม่มาก แต่ก็เจอชูคอสลอนตั้งแต่บนถนนกันเลยทีเดียว





ออกตัวมาโลครึ่งก็เจอซุ้มประตู ซุ้มสัญลักษณ์ บ่งบอกว่าเรากำลังจะเข้าเขตป่ามรดกแล้ว ข้อความเหนือซุ้มเขียนว่า
ยินดีต้อนรับสู่แหล่งท่องเที่ยวมรดกธรรมชาติหินล้านปีคีรีวงกต Welcome to The Ancient Stone Khelee Vongkot Natural's Heritage
เอ่อ ก็ให้สงสัยจุดเด่นที่สุดของที่นี่คงเป็นหินล้านปีคีรีวงกต แต่ยังไม่เห็นใครรีวิวให้ผ่านตา สำหรับพวกเราแล้วดั้นด้นมาที่นี่ในความหมายที่จะพาลูกนัยน์ตาไปชื่นชม 3 ตาดใหญ่ นั่นคือ " ตาดตะเก็ด ตาดเสือ และตาดขมึด " เอาไว้ค่อยสืบค้นเรื่องหินล้านปีอีกทีหนึ่ง
ทางถนนนะครับเนี่ย แหม่ มิน่าล่ะทำไมรถอีแต็กส่ายหัวไม่ยอมมา ฮา เพื่อนหลายคนเจอทากตั้งแต่บนถนนนี้เลยครับ แต่นายน้ำฟ้าเปลือยหน้าแข้งไม่ยักเจอซักตัว 



ป่าฝน ห่มหมอก
นานมากแล้วที่ไม่ได้เดินในป่าที่อบอวลด้วยหมอกขนาดนี้ ทำให้บรรยากาศเวลานี้มีมนต์ขลังจริงๆ หลังจากเดินทำระยะทางออกจากหมู่บ้านมาได้ 2กิโลเมตรทางถนนก็โค้งขวา หัวมุมโค้งก็เป็นช่องทางเริ่มต้นเดินสู่ป่า เดินต่อเข้ามาเกือบครึ่งกิโลเราก็เจอกับลำน้ำสายแรกมีสะพานทำอย่างง่ายๆแต่มั่งคงทอดข้าม ลำน้ำสายนี้ไหลจากซ้ายมือไปขวามือ มันคือลำห้วยที่จะไหลไปลงเป็นสายน้ำตกที่ ตาดขมึด นั่นเอง




จากแผนที่ จะเห็นว่าเส้นทาง Trail ที่เดินจากบ้านหนองหลวงสู่แคมป์ด่านใหญ่นั้น ค่อนข้างเป็นทางราบเดินสบายๆ เราทำเวลากันได้ดีมาก เพียงชั่วโมงครึ่งก็เดินกันมาถึง 4 กิโลเมตรแล้ว และตอนนี้ก็เจอกับลำห้วยแห่งที่สอง ห้วยนี้ตื้น น้ำไม่แรง เดินข้ามสบายๆ เป็นลำห้วยที่สวยพลิ้วไปด้วยพืชน้ำงามเชียว ลำห้วยนี้หากมองจากแผนที่มันจะไหลไปสู่ ตาดเสือ นั่นเอง


ถึงแล้ว ป่าสนด่านใหญ่
เดินมาครบห้ากิโลเมตรพอดีเราก็แตะขอบป่าสน เส้นทางที่ผ่านมาชุ่มฉ่ำไปด้วยน้ำที่เจิ่งนอง เล่นเอารองเท้า ADDA คู่ใหม่ที่ใส่มาทดสอบหมดสมรรถภาพไปทันใดเนื่องจากว่าพอย่ำลงปลักเศษไม้เศษกรวดก็เข้าไปขัดในรองเท้าตลอด แรกๆก็ค่อยๆเขี่ยออกครับ แต่บ่อยเข้าก็เกรงใจลูกหาบที่ตามมาข้างหลังต้องพลอยหยุดยืนรอ หนักเข้าก็เลยตามเลยแล้วมันก็สร้างปัญหาจนได้เมื่อเม็ดกรวดทรายกลายสถานะเป็นกระดาษทรายเบอร์หยาบขัดถูกหลังเท้าไปตลอดทาง ที่สุดก็เปิดแผลบนหลังเท้าผมสำเร็จ เง้อ เจ็บสิครับที่นี้ กรรมเลย ขอแนะนำนะครับเลือกใช้รองเท้าที่กันเศษกรวดเข้าเท้าดีที่สุด อย่างเช่นรองเท้้านินจาเป็นต้น


ฝนยังคงตกต่อไป และม่านหมอกฝนก็หนาขึ้นเรื่อยๆ เราเดินตามทุ่งป่าสนและลัดทุ่งเข้าชายขอบป่าเพื่อไปยังบริเวณที่จะตั้งแคมป์กัน
สายฝนกระหน่ำซะจนแทบไม่มีโอกาสหยิบกล้องใหญ่ แต่ก็แลกกับป่ารอบข้างที่สวยงามในมิติพิเศษ


ณ ด่านใหญ่
ในที่สุดพวกเราก็มาถึงบริเวณสำหรับกางเต้นท์นอนคืนแรก บรรยากาศชวนฝันเสียจริงเชียวมองเห็นแต่ม่านหมอกต้นสนและเปราะภู อันที่จริงจุดประสงค์หลักที่เราดั้นด้นมากลางวัสสานฤดู เดือนกค.นี้ก็เพราะวางแผนจะมาชมดอกเปราะภูสีชมพูบานสะพรั่งทุ่งเนี่ยแหละ เพราะว่าที่เมืองไทยมันออกดอกสีขาวอยู่ที่ภูหลวง อยากจะมาเห็นสีชมพูบ้าง แต่ตอนนี้สายฝนยังคงเป็นอุปสรรค รอวันถัดไปหวังว่าจะมีช่วงเวลาฝนหยุดจะได้เดินเล่นถ่ายภาพเปราะภูงามๆ ตอนนี้ใกล้ค่ำแล้ว พวกเราทั้งหมดเร่งมือช่วยกันกางเพิงพัก กางเต้นท์จัดที่หลับที่นอนและหุงหาอาหารก่อนจะมืดค่ำ



มืดค่ำแล้ว คืนนี้เป็นคืนเดือนหงายพระจันทร์เต็มดวง แต่อากาศปิดแบบนี้ยากที่จะเห็นแม้เดือนดาว อากาศเย็นเล็กน้อยไม่ถึงกับหนาว ลมสงบ ฝนซาแล้ว ระหว่างนี้ก็นั่งยืดขาพักเมื่อย ได้แผลมาพอสมควรทั้งที่เกิดจากรองเท้าและคว้าใบหนามตอนลื่นล้ม ท้องร้องอีกแล้วครับ รอพ่อครัวใหญ่หัวหน้าลูกหมูทำอาหารให้พวกเราคณะลูกหมูกิน งานนี้นอกจากพ่อครัวใหญ่แล้วยังมีพ่อครัวแม่ครัวมือฉมังร่วมสมทบอีกคับคั่ง ส่วนน้ำคงไม่มีใครอาบกันล่ะที่จะอาบอยู่ตรงไหนก็ยังมองไม่เห็น เอาล่ะครับ ได้เวลาพักผ่อน โปรดติดตามชมตอนต่อไป ตอนจบ ภารกิจสองเท้าพาสองตาไปหาน้ำตกใหญ่จะสำเร็จแค่ไหนอย่าลืมติดตามชมกันนะครับ
>>>ตอนที่ 2/3
Create Date : 02 สิงหาคม 2556 |
Last Update : 30 สิงหาคม 2556 9:58:08 น. |
|
43 comments
|
Counter : 12615 Pageviews. |
 |
|
ทางเดินก็ไม่โหดด้วย
แต่ติดตรงทากนี่แหละ สยองสุดๆ
ตอนเด็กๆเคยโดนไปที
ดึงออกมา ขาเป็นรู เลือดไหลไม่หยุดเลยค่ะ