6 วัน 6 เมือง เวียดนามเหนือจรดใต้ 1900 กิโลเมตร ตอนที่ 1/3 ฮานอย ฮาลอง
6 เมืองใน 6 วันฟังแล้วชัดเลยนะครับว่าทริปนี้กว้างไกลปูพรมขนาดไหน นายน้ำฟ้ามีโอกาสเดินทางไปสัมผัสเวียดนามเป็นครั้งแรกและโชคดีได้เดินทางแบบเหนือจรดใต้ในทริปสั้นๆ เอนทรี่นี้คงทำได้ดีที่สุดคือฉายภาพกว้างสถานที่และความรู้ตลอดจนความรู้สึกที่ได้เดินทางมาสัมผัสเวียดนามแผ่นดินที่มีอดีตกาลยาวไกล คงเป็นประโยชน์สำหรับคนยังไม่เคยเยือนเวียดนามได้พอสมควร เวียดนามเป็นดินแดนที่มีประวัติศาสตร์ยาวนานมาก ผ่านกาลเวลามาตั้งแต่ยุคสำริดนับพันพันปีก่อนคริสตกาล กล่าวได้ว่าดินแดนเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เนี่ยแหละที่เป็นต้นกำเนิดความรุ่งเรืองแห่งยุคสำริดร่องรอยอารยะธรรมยุคดงเซินของเวียดนามกลองมโหรทึกที่ทำจากโลหะสำริดถูกขุดพบเป็นประจักษ์พยานหลักฐานแห่งอารยะในแถบถิ่นนี้อย่างดี ดินแดนแห่งนี้ยังนับว่าเป็นแผ่นดินแห่งภัยสงคราม เวียดนามอยู่ภายใต้การรุกรานของจักรวรรดิจีนและอยู่ใต้ปกครองหลายร้อยปี สลับกับการปกครองตนเองภายใต้ราชชวงศ์ต่างๆ อีกหลายสมัย เมื่อพ้นภัยจีนก็โจนเข้าสู่ยุคจักรวรรดิฝรั่งเศสรุกรานอีก พอหมดยุคฝรั่งเศส ก็เข้าต่อสู้ในสงครามเวียดนามกับอเมริกา พอพ้นภัยอเมริกันด้วยการยัดเยียดความพ่ายแพ้ครั้งใหญ่หลวงให้กับกองทัพสหรัฐก็เข้าสู่การแบ่งแผ่นดินเป็นเวียดนามเหนือ เวียดนามใต้ ต่อสู้กันเองอย่างเจ็บปวดสาหัส เพิ่งจะหมดยุคสงครามอย่างแท้จริงเมื่อปี พ.ศ.2519 มานี้เอง พร้อมแล้วไปกันเลย โย่วๆ เราเริ่มต้นทริปนี้ด้วยสายการบิน Air Asia บินตรงจากดอนเมืองสู่ฮานอย เที่ยวบิน FD642 DMK-HAN บินตรงทุกวัน 7โมงเช้า ถึงฮานอย 8.40น. ระยะเวลาบินเคลมไว้ที่ 1ชม.40นาที ทริปนี้พิเศษที่เราได้ใช้อาคารผู้โดยสารแห่งใหม่ของท่าอากาศยานโหน่ยบ่าย สนามบินนานาชาติของมหานครฮานอย อาคารผู้โดยสารหลังนี้เพิ่งสร้างเสร็จและเปิดให้บริการเมื่อ 4มค.2558 สองเดือนเศษเอง พร้อมกับการเปิดตัวของเส้นทางไฮเวย์ 6 เลนเส้นใหม่ผ่านสะพาน Nhat Tan Bridge (สะพานหงัดตัน) สะพานขึงที่ข้ามแม่น้ำแดงแห่งใหม่ที่เปิดตัวพร้อมกัน
อนุสรณ์สถานโฮจิมินห์ Ho Chi Minh Mausoleumณ จตุรัสบาร์ดิงห์ เมืองฮานอย21.036787,105.834769นี่เป็นสถานที่แห่งแรกที่เราแวะชมทันทีที่ก้าวเข้าสู่ฮานอย สถานที่ที่เก็บรักษาศพของโฮจิมินห์ไว้ในโลงแก้ว สถานที่ซึ่งโฮจิมินห์ขึ้นอ่านประกาศอิสรภาพจากฝรั่งเศส เมื่อ 2 กย.1945 สร้างด้วยสถาปัตยกรรมแบบได้รับอิทธิพลการออกแบบจากรัสเซีย อาคารเป็นหินอ่อน+หินแกรนิต ความรู้สึกของผมเหมือนกำลังเดินเข้าสู่ใจกลางการรักษาความปลอดภัยแบบฉบับทหารสูงสุด การเข้าชมต้องตั้งแถวตอนเรียงสอง ปลดอุปกรณ์สื่อสาร อุปกรณ์ถ่ายภาพ กระเป๋าสะพายต่างๆ ออกหมดถอดหมวกและเดินเข้าไปภายในด้วยอาการสำรวม ร่างท่านโฮจิมินห์ในโลงแก้วและเหล่าทหารเฝ้ารอบโลงให้ความรู้สึกถึงความยิ่งใหญ่ของท่านมากๆ เราโชคดีเห็นการเปลี่ยนผลัดทหารภายในนั้นด้วย
ทำเนียบประธานาธิบดีเวียดนามอาคารหลังนี้เป็นจวนข้าหลวงฝรั่งเศสมาก่อน เมื่อมอบให้แก่โฮจิมินห์ใช้เป็นที่พักและทำเนียบ โฮจิมินห์นั้นปฏิเสธ และใช้บ้านพักธรรมดาๆ สามัญทำการแทน เดี๋ยวเราจะได้ไปชมด้วยซึ่งอยู่บริเวณด้านหลังของอนุสรณ์หรือสุสานโฮจิมินห์นี้เอง กล้องและอุปกรณ์ต่างๆที่ห้ามนำเข้าไปเราฝากไว้ที่ไกด์สาวของเราคนนี้แต่เพียงผู้เดียว
ใครที่ตั้งใจมาให้เห็นลุงโฮในโลงแก้วนั้นวางแผนไปอย่าให้ตรงวันจันทร์และศุกร์ และในราวเดือนตุลาคม-พฤศจิกายน ก็จะปิดไม่ให้เข้าชมเลย ได้ยินมาว่าเพราะต้องนำร่างของท่านกลับไปรัสเซียเพื่อทำการอาบน้ำยาใหม่ทุกปี
อากาศที่ฮานอยเดือนมีนาคมที่เรามาเยือนนี้กำลังเย็นค่อนข้างหนาว อุณหภูมิอยู่ในราวสิบกว่าองศาเท่านั้น ท้องฟ้าก็ขมุกขมัวและมีฝนบางๆเป็นระยะ
ไปกันต่อครับ ออกจากสุสานแล้วเราก็มาเจอไกด์สาวของเราที่สะพายกล้องพะรุงพะรังเต็มตัวราวกับมือโปรระดับโลก รับกล้องคืนแล้วก็เดินชมสถานที่ถัดไปที่อยู่ด้านหลังสุสานฯ เป็นสวนร่มรื่นเขียวขจีมีบ่อน้ำขนาดใหญ่ มีบ้านตึกสีเหลืองสดชั้นเดียวบ้างสองชั้นบ้างรายรอบอยู่ทั่ว นี่คือสถานที่ที่เป็นทั้งบ้านพักและที่ทำงานบริหารประเทศของท่านนายกฯและประธานาธิบดีโฮจิมินห์ผู้ซึ่งปฏิเสธที่จะพำนักในทำเนียบประธานาธิบดีผลิตผลจากจักรวรรดิฝรั่งเศส
บ้านพักโฮจิมินห์ โฮจิมินห์พักผ่อนนอนหลับอย่างสมถะ เป็นบ้านไม้ยกเสาสูง นักท่องเที่ยวมากมายพากันมาเยี่ยมชม ถ่ายมาคนตรึม!
วัดเสาเดียว 21.035831,105.833657
จากบ้านพักโฮจิมินห์ เส้นทางเดินมาลัดเลาะสระน้ำมาทะลุออกยังสถานที่สำคัญอีกแห่งนั่นคือวัดเสาเดียว
วัดเสาเดียว มีความเป็นมาที่น่าสนใจทีเดียว วัดนี้เป็นวัดโบราณอายุนับพันปี สร้างขึ้นเมื่อ ค.ศ.1049 (ก่อนเริ่มอาณาจักรสุโขทัยถึง 200 ปีเต็มๆ) สร้างโดยพระเจ้าหลีถายโต่ผู้สถาปนาราชวงศ์หลีขึ้นและย้ายเมืองหลวงจากได่ลามาเมืองทังลอง (ฮานอยในปัจจุบัน) พระเจ้าหลีถายโต่ทรงทอดพระเนตรเห็นเจ้าแม่กวนอิมนั่งในดอกบัวในมืออุ้มเด็กชายคนหนึ่งแล้วส่งให้พระองค์ ไม่นานหลังจากนั้นพระองค์ก็แต่งงานและกำเนิดรัชทายาทขึ้น จึงทรงโปรดให้สร้างวัดนี้ขึ้นโดยสร้างให้ตั้งอยู่บนเสาต้นเดียวประดุจดอกบัว
กาลเวลาผ่านไปอีกเก้าร้อยกว่าปี ในยุคจักวรรดิฝรั่งเศสรุกรานเวียดนาม ฝรั่งเศสได้ระเบิดวัดเสาเดียวทิ้ง! //ใจร้าย หลังจากนั้นก็ได้มีการบูรณะขึ้นใหม่ เสาในปัจจุบันแปรเปลี่ยนเป็นเสาคอนกรีตอย่างที่เห็นในรูป วัดนี้มีชื่อเรียกในภาษาเวียดว่า วัดหมดโกด มาฮานอยแล้วอย่าพลาดแวะมาชมกันนะครับ เอาล่ะ เวลาอันจำกัดเราไม่สามารถเที่ยวเจาะลึกทุกสถานที่ในรัศมีจตุรัสบาร์ดิงห์นี้ได้ แม้ยังมีสถานที่น่าสนใจอีกหลายแห่งอาทิ พิพิธภัณฑ์โฮจิมินห์ หอธงโกดเก่อและพิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์ทางการทหาร แต่ไม่พลาดที่จะไปสถานที่สำคัญที่สุดอีกแห่งหนึ่งนั่นคือ...
วิหารนี้สร้างภายหลังวัดเสาเดียว 21ปี ในสมัยพระเจ้าหลีถายโต่เช่นเดียวกัน อิทธิพลจากจีนที่ปกครองเวียดนามนานหลายร้อยปี ท่ามกลางการต่อสู้ขับไล่จีนเป็นระยะๆสลับกันไป จนเมื่อพ้นภัยจีนและราชวงศ์หลีขึ้นปกครองประเทศนานกว่าสองศตวรรษ แต่สิ่งหนึ่งที่เป็นมรดกตกทอดมาจากจีนฝังแน่นอยู่กับชาวเวียดนามคือหลักคำสอนของขงจื๊อ และวิหารวรรณกรรมนี้ก็คือประจักษ์พยานสถานที่ซึ่งสร้างเพื่ออุทิศแด่ขงจื๊อในสมัยนั้น
ฮานอยเป็นเมืองที่มีประวัติศาสตร์ยาวนานจริงๆ เพียงไม่กี่ชั่วโมงที่เราได้มาเยือนก็สัมผัสที่ความรุ่งเรืองตั้งแต่ยุคอดีตนับพันปีมาแล้วเรียกว่าอารยะธรรมเก่าแก่มากก่อนยุคอาณาจักรสุโขทัยของเราเสียอีก ตลอดจนสัมผัสถึงความยิ่งใหญ่ของท่านโฮจิมินห์ผู้นำการปลดปล่อยเวียดนามสู่อิสรภาพในยุคปัจจุบัน เราจะทิ้งฮานอยไว้เบื้องหลังก่อนเพื่อเบนเข็มไปดินแดนอีกแห่งหนึ่งออกนอกฮานอยไปทางทิศตะวันออกสู่เมืองฮาลอง เมืองมรดกโลกอีกแห่งพักและเที่ยวที่นั่นอีกหนึ่งวันค่อยย้อนกลับมาเก็บตกฮานอยกันอีกครั้ง
จากฮานอย สู่ ฮาลองด้วยระยะทางเพียง 150 กิโลเมตร แต่สภาพถนนหนทางกว่าค่อนเป็นถนนสองเลนสวนกันและรถบรรทุกเยอะ ทำให้ต้องใช้เวลาเดินทางถึงกว่า 3ชม.ครึ่ง ถึงจะใช้เวลานานไปนิดแต่ก็มาถึงรร. ทันถ่ายแสงทไวไลท์ ภาพทไวไลท์ถ่ายผ่านหน้าต่างห้องพักใน Royal Lotus Hotel มองเห็นสะพานที่ทอดข้ามไปยังเกาะที่เป็นท่าเรือท่องเที่ยวอ่าวฮาลองอยู่เบื้องหลังตรงเส้นขอบฟ้า
เราพักอยู่ฝั่งบ๋ายจั๋ย คือเมืองฮาลองนี่ขยายเมืองขึ้นมาจากการรวมเมืองเล็กๆ สองเมืองเข้าด้วยกันคือเมืองบ๋ายจั๋ยกับเมืองห่งกายเมื่อปี ค.ศ.1994 แหม่ ชื่อเมืองนี้ดี๊ดีฟังแล้วรู้สึกเหมือนคำว่าสบายใจ ปัจจุบันนี้ฮาลองเป็นเมืองมรดกโลกแล้ว บ๋ายจั๋ยมีชื่อเสียงด้านอาหารทะเลมากๆ และมือค่ำดินเนอร์มื้อแรกในฮาลองนี้เราก็ไม่พลาดชิมอาหารทะเลสดๆ อร่อยๆ เลิศรสกัน ทั้งปู กุ้งกั้ง ปลา จัดมาๆ และผมยังได้ลองลิ้มชิมรสชาติเบียร์เวียดนามยี่ห้อฮานอย กับยี่ห้อ 333 (ออกเสียงว่าบาบาบา) ลิ้มแล้วบ่องตงอร่อยกว่าเบียร์ไทยทุกยี่ห้อรวมทั้งเบียร์ฝรั่งอีกหลายสัญชาติเลยล่ะครับเพราะว่าแทบไม่มีความขมเลย
เต็มอิ่มกับอาหารทะเลสดๆ หลายหลายและรสชาติสุดยอดของฮานอยเบียร์
เช้าตรู่วันรุ่งเราก็เดินทางออกจากรร.มุ่งหน้าท่าเรือท่องเที่ยวอ่าวฮาลอง ออกเดินทางจากรร. ข้ามสะพานความยาว 1.7 กิโลเมตรไปยังเกาะเล็กๆ เกาะหนึ่งซึ่งก่อสร้างเป็นท่าเรือ ขุดร่องน้ำเข้าในตัวเกาะอย่างดี ระยะทางจากรร. ถึงท่าเรือบนเกาะ 9 กิโลเมตร แผนที่ข้างล่างนี้แสดงเส้นทางเดินเรือชมความงามของอ่าวฮาลองในทริปของเรา ไปถ้ำเทียนกุงและวนชมอ่าวก่อนวกกลับเข้าท่าระยะทางรวมประมาณ 14 กิโลเมตร
เห็นแล้วทึ่งกับการสร้างท่าเรือของฮาลองนะครับ ขุดหรือเปล่าไม่รู้ น่าจะขุดแหละ ทำเป็นร่องน้ำตรงเข้ามาภายในตัวเกาะ ลักษณะเหมือนถนนใหญ่ ถนนทะเลที่เรียบ ตรง มีท่าเทียบเรือของหลายๆ บริษัททัวร์อยู่ที่นี่ การขึ้นลงเรือมีกฏเพื่อความปลอดภัยที่เคร่งครัดขึ้นเรือแล้วยังห้ามขึ้นดาดฟ้าเรือและห้ามไปหัวเรือหรือแม้แต่ยืนเล่นท้ายเรือจนกว่าเรือจะออกจากท่าจึงจะเดินเล่นได้สะดวก เนื่องมาจากการจราจรแถวท่าเรือที่ปกติจะค่อนข้างคับคั่งเวลาเรือออกจากท่าจะค่อนข้างเบียดเสียดจนอาจเบียดกระแทกกับเรือลำอื่นกระเด็นกระดอนตกเรือกันไป
อ่าวฮาลองช่วงที่เรามาเยือนนี้สภาพอากาศยังค่อนข้างหนาวเหมือนๆ ในเมืองฮานอย ฤดูท่องเที่ยวจะอยู่ในราวเดือนพฤษภาคม-กุมภาพันธ์ จะเว้นอยู่แค่สองเดือนคือมีนาคม-เมษายนช่วงที่เรามาเนี่ยล่ะที่สภาพอากาศมักขมุกขมัวแบบนี้ แต่ก็มีเสน่ห์ไปอีกอย่างหนึ่งสำหรับผมนะ ทะเลที่มีหมอกปกคลุมและอากาศเย็นๆ แบบนี้หาได้ง่ายๆ ในเมืองไทยซะที่ไหน
อ่าวฮาลองนับเป็นท้องทะเลที่มีความสวยงามมหัศจรรย์มากๆ เรียกว่ามากที่สุดแห่งหนึ่งของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เลยก็ว่าได้ พื้นที่ที่กว้างใหญ่กว่า 1500 ตร.กม. พื้นที่ใหญ่ขนาดนี้ทำให้การเที่ยวไม่กี่ชั่วโมงของเราเป็นเพียงปฐมบทเล็กๆ ไปเลย ว่ากันว่าจะเที่ยวให้ค่อนข้างทั่วถึงต้องปักหลักพักและตะลอนเที่ยวถึงสามสี่คืนเป็นอย่างน้อย ทะเลบริเวณนี้ประกอบด้วยเกาะแก่งเขาหินปูนจำนวนมากมาย มากถึงกว่า 3000 เกาะ! มีเกาะใหญ่ที่สุดคือเกาะก๊าดบา ทะเลที่ไหนมีเกาะหินปูนขึ้นก็แทบจะเรียกได้ว่าสวยงามทุกที่นะครับ เหมือนๆ กับที่อ่าวพังงาของไทยเรา หรือแม้กระทั่งเขื่อนเชียวหลานนั่นไงสวยขนาดไหน แต่ที่นี่สวยกระทั่งได้รับการรับรองจากยูเนสโก้ให้เป็นมรดกโลก และเป็นถึงสองแขนงคือสถานที่ที่สวยงามยากจะหาที่ใดเทียบและสาขาความหลากหลายของพันธุ์สัตว์
หมอกจางๆ ปกคลุมไปทั่วอ่าว และคลุมหนาๆ อยู่ตามยอดเขาผมรู้สึกเหมือนกำลังแล่นเข้าไปในฉากของภาพยนต์จูราสสิกปาร์คก็มิปาน แลกกับที่อดเห็นผืนทะเลสีเขียวมรกตในฤดูที่อากาศแจ่มใสถึงจะเสียดายไปบ้างแต่ก็ดีไปอีกอย่างคือไร้แดด ไม่ร้อน ไม่ต้องทาครีมกันแดดนะครับ ดีเน้าะ
ถ้ำเทียนกุงปราสาทแห่งสรวงสวรรค์20.911848,107.018196เรือ แล่นออกมาราว 4 กิโลเมตรก็มาเทียบท่าขึ้นเกาะแห่งหนึ่งที่มีแม่เหล็กดึงดูดนักท่องเที่ยวมากมายมาที่นี่ มาชมความงามของถ้ำเทียนกุง แปลว่าปราสาทบนสรวงสวรรค์ ยังมีถ้ำสวยๆ อีกมากมายในอ่าวฮาลองนะครับ แต่ถ้ำเทียนกุงน่าจะมหานิยมที่สุด เนื่องจากใกล้และสะดวกสุดสำหรับพวก half day trip ล่ะ สะดวกแค่ไหนลองนับหัวนักท่องเที่ยวดูนะครัช ตรึม Y Y เห็นคนเยอะแบบนี้ผมงี้ทิ้งขาตั้งกล้องไว้ในเรือเลย แถมเจอทัวร์จีนขึ้นเกาะพอดี โอ้โหยสมคำร่ำลือครับ ทั้งเบียดทั้งกระแทกชนแซงเสียงดังเหมือนทะเลาะกันขโมงโฉงเฉงก้องกังวานลั่นถ้ำ 5555
ได้ภาพสวยๆ มาไม่กี่ภาพ แม้ไม่มีขาตั้งก็อาศัยวางกล้องบนกระเป๋า หามุมดีดีหน่อย ถ้ำตกแต่ง lighting ได้สวยงามมาก แต่หลายคนก็บอกว่าเล่นแสงสีเยอะไปหน่อย แต่อย่างน้อยสำหรับความคิดผมน้า เล่นแสงเยอะไปนิดก็ยังดีกว่าหลายที่ในบ้านเราที่เล่นหลอดฟลูออเรสเซนต์แบบโจ่งแจ้งไม่ซ่อนหลอดกันเลยทีเดียว ว่ามะ
เส้นทางเดินชมถ้ำเค้าจัดให้เข้าทางนึงแล่วเดินไปออกอีกทางนึง ออกจากถ้ำแล้วก็เป็นเส้นทางเดินลงเขาลาดๆ มีวิวชมพอสวย มีร้านค้าขายของที่ระลึกตั้งเรียงราย แล้วก็มีจุดแวะจุดนึงเป็นจุดชมวิวให้ชมทัศนียภาพข้างล่างบริเวณอ่าวที่เป็นท่าเรือ ขากลับเดินกันไกลนิดกว่าจะถึงเรือ เอาล่ะครับ ชมถ้ำเสร็จก็พร้อมเดินทางต่อแระ ออกสู่ทะเลชมความงามของอ่าวฮาลอง หรือฮาลองเบย์กันอีกครั้ง ไปกัน
เกาะไก่ชน สัญลักษณ์ที่เรือต้องพามาเฉียดใกล้ๆ แลดูเหมือนไก่สองตัวหันหน้าชนกัน ผมงี้จะถ่ายจังหวะที่เหมือนกับกำลังจูจุ๊บแต่แม่ยกกล้องไม่ทันมันไซร้ซอกคอกันไปซะแระ อิอิ
เรือที่นำพวกเรามานี้ปกติความจุที่รับนักท่องเที่ยวได้เนี่ยราวๆ สี่ห้าสิบคนสบายๆ แต่พวกเรา vip กันมาก เหมาลำกันเลยทีเดียว 6คน+ไกด์อีก 2 โหะๆ สวรรค์ชัดๆ กับเรือส่วนตัว แถมได้กินมื้อพิเศษสุด lunch กับอาหารทะเลสดๆ อีกมื้อกลางทะเลกันทีเดียว
ได้เวลาอำลาฮาลอง อ่ะ ถ่ายภาพหมู่กันบนเรือหน่อย แหม่ รองเท้า Keen กันทั้งนั้นนะครัชหนุ่มๆ เท่ระเบิดระเบ้อเลย
กลับสู่กรุงฮานอยกันอีกครั้ง
เรานั่งรถยนต์เดินทางกลับสู่ฮานอย ทิ้งฮาลองไว้อยู่เบื้องหลัง สามชั่วโมงกว่าๆ กับระยะทางร้อยกว่ากิโลเมตร ในที่สุดรถก็พาเราข้ามสะพานข้ามแม่น้ำแดง นั่นก็หมายความว่าเรากำลังจะเข้าเขตใจกลางฮานอยอีกครั้งแล้ว เพื่อที่จะเริ่มต้นเก็บตกในฮานอยกันอีกหน่อยก่อนจะจับรถไฟล่องใต้ยาวไปภาคกลางของเวียดนาม
วัดหง็อกเซินหรือ วัดเนินหยก วัดบนเกาะเล็กๆ แห่งทะเลสาบฮว่านเกี๋ยม (หรือทะเลสาบคืนดาบ)21.030654,105.852453
สะพานรุ่งอรุณ (หรือสะพานเทฮุก) สะพานไม้สีแดงๆ เล็กๆ ทรงเสน่ห์ ที่ทอดข้ามสู่วัดหง็อกเซิน นักท่องเที่ยวแน่นขนัดเต็มสะพาน บ่งบอกให้รู้ว่านี่เป็นสถานที่ท่องเที่ยวยอดนิยมอีกแห่งหนึ่งใจกลางฮานอย เราเสียค่าเข้าวัดคงละเล็กน้อย ไม่รู้เหมือนกันว่าเก็บเฉพาะนักท่องเที่ยวโดยยกเว้นให้แก่ขาวเวียดนามหรือเปล่า ลืมบอกไปว่าทุกๆ ที่ที่เราแวะเที่ยวตลอดเอนทรี่นี้ตั้งแต่ต้น ไม่ว่าจะเป็นสุสานโฮจิมินห์ วิหารวรรณกรรม ถ้ำเทียนกุง ล้วนต้องซื้อบัตรเข้าชมนะครับ ยกเว้นวัดเสาเดียวมั้งที่ดูเหมือนจะไม่ต้องซื้อบัตร (ไม่แน่ใจ)
วัดหง็อกเซินหรือวัดเนินหยกนี้เป็นวัดเก่าแก่อีกแห่ง อายุอานามก็ราวๆ สองร้อยถึงสามร้อยปี สร้างในศตวรรษที่ 18 อุทิศแด่ลาตอเทพผู้พิทักษ์แพทย์และขุนพลเจิ่นฮึงด่าวนายทหารที่ยิ่งใหญ่ที่สุดคนหนึ่งของเวียดนามในวีรกรรมที่สามารถขับไล่ทหารมองโกล!ในปี ค.ศ.1288 แหม่ ทหารมองโกลกองทัพแห่งกุ๊บไลข่าน หรือเจงกิสข่านผู้เกรียงไกร ยอดนักรบที่เก่งที่สุดของหนึ่งของโลกที่ยึดเอเชียได้เกือบทั่วทวีป แต่ต้องมาเพรี่ยงพล้ำให้นายพลเจิ่นในยุทธการบนหนองน้ำที่กองทัพมองโกลต้องตกเป็นรอง ให้ตายสิแผ่นดินประเทศนี้ช่างดึงดูดสงครามจริงๆ ทั้งจักรวรรคดิจีน มองโกล ฝรั่งเศส ยันกองทัพสหรัฐอเมริกา ไหนจะการรบกันระหว่างเพื่อนบ้านอย่างเขมรอีก
ผมเห็นผู้คนชาวเวียดนามมากมายในบริเวณวัด แน่ใจว่าน่าจะเป็นคนแถวๆ นี้ คนท้องถิ่น ทำกิจกรรมสารพัดในบริเวณนี้ ทั้งออกกำลังกาย เดินเล่น พักผ่อน และการดวลหมากรุกจีน มีทั้งการดวลที่มีคนล้อมชม คนดวลแต่งตัวเซอๆ กระทั่งบางคู่ที่เห็นนักดวลหมากรุกด้วยมาดที่สุขุมทั้งเสื้อผ้าเครื่องแต่งกายและความสูงวัยและความนิ่งบนใบหน้า ตอนนี้ผมคิดแล้วล่ะว่าค่าธรรมเนียมเข้าวัดนี้ต้องยกเว้นให้แก่ชาวเวียดนามแน่ๆ ซึ่งมันก็ควรจะเป็นอย่างนั้น มาดูหมากรุกจีนกัน เดาว่าคุณลุงคนที่นั่งหันหน้ามากำลังเหงื่อผุดอยู่ใต้หมวกแระ เพราะว่าปืนใหญ่กำลังตกอยู่ในวงล้อมข้าศึก กำลังจะโดนรถฝั่งดำฟาด จะยกรถข้ามไปป้องก็ไม่ทันการ ปืนใหญ่อีกกระบอกฝั่งตัวเองก็ไม่พร้อมยิง ม้าก็ดันทะลึ่งโดนรถขัดตาเดินอีก 555 ฝั่งดำโดนบุกแต่ดูท่ากำลังจะพลิกเป็นต่อและชนะในเกมส์นะครับ
ดินเนอร์เล็กๆ ส่งท้ายฮานอย เย็นมากแล้ว เราออกจากวัดหง็อกเซินข้ามถนนมายืนชมบรรยากาศทั่วๆ ไปบนหัวถนน 36สาย ย่านช็อปปิ้งบรรยากาศเมืองเก่าที่สุดแสนคึกคัก และโรงละครหุ่นกระบอกน้ำที่อยู่ใกล้ๆ กัน แต่เราไม่ได้แวะทั้งสองที่ว่า กลับตรงไปที่นี่แทน เพราะหิว หม่ำมื้อค่ำอาหารเวียดนามขนานแท้มื้อแรก ก่อนจะเข้า รร.แห่งหนึ่ง ( Candle Hotel ) ใช้บริการในแบบ Day use เพื่ออาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าเตรียมตัวเดินทางไกลไปกับรถไฟตู้นอนผ่านราตรีบนเส้นทางรถไฟจากฮานอยสู่เมืองเว้
จากฮานอย สู่ เว้ สู่เมืองหลวงเก่าแห่งราชวงศ์เหวียน ซึ่งย้ายเมืองมาจากฮานอย ในปี ค.ศ.1802 หรือตรงกับ พ.ศ.2345 ให้หลังยี่สิบจากการสถาปนาราชวงศ์จักรีของไทยเรา ระยะทางสู่เว้ประมาณ 700 กิโลเมตร ระยะทางพอๆกับเดินทางด้วยรถไฟจากเชียงใหม่สู่กรุงเทพ ระยะเวลาเดินทางก็เท่าๆ กันคือ 14 ชั่วโมง สองวันในทริปเวียดนามผ่านไปแล้ว สำหรับผมนอกจากได้สัมผัสทำความรู้จักเวียดนามเป็นครั้งแรกแล้วยังได้ต่อภาพจิ๊กซอเชื่อมทามไลน์ประวัติศาสตร์แห่งอุษาคเนย์ในหัวให้สมบูรณ์ขึ้น ลาบล็อกนี้ไปด้วยภาพในตู้นอนรถไฟ เตียงสองชั้นแบบนอนได้ห้องละ 4 คน กับพวกเราเหล่าบล็อกเกอร์หนุ่ม บล็อกหน้าคงเปิดตัวด้วยตู้นอนของห้องบล็อกเกอร์สาวๆ นะครับ จะพาไปดูว่าสาวๆ เค้าใช้ชีวิตในตู้นอนกันยังไง สำหรับเอนทรี่นี้ต้องขอขอบคุณที่ชมจนถึงบรรทัดสุดท้าย พบกันใหม่ตอนหน้า
ฝากคอมเมนท์ไว้เป็นกำลังใจ Like & Share หรือทิ้งร่องรอยให้รู้ว่าท่านมาเยี่ยมเยือนเรา นายน้ำฟ้า นะครับ โย่ว
ลิงค์ตอน 2 เมืองเว้ เมืองแห่งนครจักรพรรดิ
Create Date : 16 เมษายน 2558 |
|
66 comments |
Last Update : 5 พฤษภาคม 2558 14:30:10 น. |
Counter : 8888 Pageviews. |
|
|
|
มันยังอยู่ในหมวดท่องเที่ยวไทยง่ะ เฮียอย่าลืมเปลี่ยนเป็นเที่ยวต่างประเทศเน้อ