Group Blog
 
<<
เมษายน 2556
 123456
78910111213
14151617181920
21222324252627
282930 
 
23 เมษายน 2556
 
All Blogs
 
Interview with :: เควิน ไฟกี .. Kevin Feige :: ผู้อำนวยการสร้าง IRON MAN 3 (3D) ::









อ่านเรื่องย่อ :: เรื่องราวการสร้าง :: ตัวละคร
ภาพยนตร์ :: Iron Man 3 :: มหาประลัย คนเกราะเหล็ก 3 ::::

.. มีให้อ่านกันทั้งหมด 9 บล็อก ..

คลิ๊กได้เลยค่ะ ..














เควิน ไฟกี
ผู้อำนวยการสร้าง IRON MAN 3 (3D)




















ในช่วงหนึ่งทศวรรษที่ผ่านมา เควิน ไฟกี (ผู้อำนวยการสร้าง) ได้มีบทบาทสำคัญในภาพยนตร์บล็อกบัสเตอร์หลายเรื่องที่สร้างจากหนังสือการ์ตูนมาร์เวล ซึ่งรวมถึงไตรภาค “Spider-Man” และ “X-Men” ที่ประสบความสำเร็จอย่างสูง ในตำแหน่งปัจจุบันของการเป็นผู้อำนวยการสร้างและประธานมาร์เวล สตูดิโอส์ ไฟกีได้ดูแลทุกแง่มุมของกิจกรรมเกี่ยวกับภาพยนตร์และความบันเทิงในบ้านของบริษัท



















ปีที่ผ่านมา เขาได้อำนวยการสร้างภาพยนตร์ที่ได้รับเสียงวิจารณ์ชื่นชมเรื่อง “Marvel’s The Avengers” ซึ่งทุบสถิติรายได้เปิดตัวช่วงสุดสัปดาห์สามวันในประเทศด้วยรายได้ 207.4 ล้านเหรียญ ภาพยนตร์เรื่องนี้กวาดรายได้ไปกว่า 1.6 พันล้านเหรียญทั่วโลก และกลายเป็นภาพยนตร์ที่ทำรายได้สูงสุดตลอดกาลในอเมริกาและทั่วโลกของดิสนีย์












Captain America












Thor










ในปี 2011 ไฟกีได้อำนวยการสร้างและเปิดตัวแฟรนไชส์มาร์เวลใหม่สองเรื่องด้วย “Captain America” ที่กำกับโดยโจ จอห์นสตันและนำแสดงโดยคริส อีวานส์และ “Thor” ที่กำกับเคนเนธ บรานาห์และนำแสดงโดยคริส เฮมส์เวิร์ธ ภาพยนตร์ทั้งสองเรื่องเปิดตัวอันดับหนึ่งและทำรายได้รวมกันกว่า 800 ล้านเหรียญในบ็อกซ์ออฟฟิศทั่วโลก ในปี 2010 ไฟกีได้อำนวยการสร้าง “Iron Man 2” ที่กำกับโดยจอน แฟฟโรและนำแสดงโดยโรเบิร์ต ดาวนีย์ จูเนียร์และกวินเนธ พัลโทรว์ ภาพยนตร์เรื่องนี้ครองอันดับหนึ่งในสัปดาห์แรกที่เปิดตัวและจนถึงวันนี้ ภาพยนตร์เรื่องนี้ทำรายได้ไปกว่า 620 ล้านเหรียญทั่วโลกแล้ว











Iron Man 1













The Incredible Hulk






Thor: The Dark World

ในฤดูร้อนปี 2008 ไฟกีได้อำนวยการสร้างภาพยนตร์บล็อกบัสเตอร์เรื่อง “Iron Man” และ “The Incredible Hulk” ซึ่งเป็นภาพยนตร์ที่ได้รับทุนสนับสนุนและพัฒนาโดยมาร์เวล สตูดิโอส์อย่างเต็มรูปแบบเรื่องแรก “Iron Man” ที่กำกับโดยจอน แฟฟโร ครองอันดับหนึ่งในบ็อกซ์ออฟฟิศสองสัปดาห์ติดกัน และทำรายได้ไปกว่า 571 ล้านเหรียญทั่วโลก “The Incredible Hulk” ที่กำกับโดยหลุยส์ เล็ทเทอร์เรียร์และนำแสดงโดยเอ็ดเวิร์ด นอร์ตัน, วิลเลียม เฮิร์ท, ทิม ร็อธและลีฟ ไทเลอร์ ก็ครองอันดับหนึ่งในบ็อกซ์ออฟฟิศเรื่องเช่นเดียวกันและทำรายได้ไปกว่า 250 ล้านเหรียญทั่วโลก
ปัจจุบัน เขากำลังอยู่ระหว่างการอำนวยการสร้าง “Thor: The Dark World” ซึ่งมีกำหนดเข้าฉายในวันที่ 8 พฤศจิกายน ปี 2013














Q: ช่วยพูดถึงความเปลี่ยนแปลงของโทนี สตาร์คที่เกิดขึ้นระหว่างสองภาคที่ผ่านมา และใน Marvel’s “Iron Man 3” หน่อยสิว่าเขาเป็นอย่างไรบ้าง


A: การผจญภัยของไอรอน แมน หรือถ้าจะพูดตรงๆ ก็คือการผจญภัยของโลกภาพยนตร์มาร์เวลทั้งหมด เริ่มต้นจากการผจญภัยของโทนี สตาร์คครับ สิ่งที่น่าตื่นเต้นเกี่ยวกับ Iron Man 3 ก็คือ ใช่ครับ มันเป็นเรื่องราวที่เป็นบทสรุปจาก Iron Man 1 และ Iron Man 2 แต่มันก็เป็นเรื่องราวต่อเนื่องมาจาก Marvel’s The Avengers ด้วย ดังนั้น มันก็เป็นหนึ่งในสถานการณ์ครั้งแรกๆ เท่าที่ผมคิดได้ ที่คุณมีหนังที่เป็นซีเควลของหนังสองเรื่อง ในแบบที่เปิดเสรีให้มันมีความโดดเด่นเหนือหนังเรื่องอื่นๆ ที่ถูกสร้างมาก่อน ซึ่งนั่นคือสิ่งที่เราตื่นเต้นมากที่สุดครับ













ส่วนสำคัญของโทนีคือการผจญภัยของเขา การเปลี่ยนแปลงของเขา ตอนที่เราได้พบเขาใน “Iron Man 1” เขาเป็นคนขี้อวดที่สร้างอาวุธ และเขาก็เจอกับอุบัติเหตุที่พลิกชีวิตเขา เมื่อเขาถูกมิสไซล์ลูกหนึ่งของตัวเองระเบิดในอัฟกานิสถาน เขากระตุ้นตัวเองให้สร้างชุดเกราะไอรอน แมนขึ้นมา เขาหันหลังให้กับเกมการค้าอาวุธ และอุทิศตัวเองเพื่อทำความดี อย่างที่เขาบอกเป็ปเปอร์ว่า ..

“ในที่สุด ผมก็รู้แล้วว่าผมต้องทำอะไร ผมรู้แล้วว่าอะไรคือสิ่งที่ถูกต้อง Iron Man 2 ทดสอบความเชื่อนั้นและเขาก็มีปัญหาสุขภาพบางอย่าง ใน The Avengers เขาก็ต้องเผชิญกับบางสิ่งที่พลิกชีวิตเขาไปอีกครั้งครับ


ไม่เพียงแต่เขาได้เจอตัวละครประหลาด ที่ถือขวาน สวมผ้าคลุม ถือโล่ห์และมีพลังที่เกิดจากรังสีแกมมาเท่านั้น แต่ประตูสู่อีกโลกหนึ่งยังเปิดออกเหนือศีรษะเขาด้วย โทนี สตาร์คเป็นคนที่มีความคิดอ่านไปทางวิทยาศาสตร์ ผู้คิดว่าเขากำลังอยู่ในยุควิทยาการล้ำสมัย แล้วจู่ๆ เขาก็ได้เรียนรู้ในช่วงเวลาสั้นๆ ท้ายเรื่อง The Avengers ว่ามันมีสิ่งมากมายเหลือคณานับที่เขายังไม่รู้น่ะครับ
ผมคิดว่ามันทำให้เขารู้สึกตัวเล็กกระจ้อยในแบบหนึ่ง และผมก็คิดว่า แม้แต่การพบกับซูเปอร์ฮีโรคนอื่นๆ ใน The Avengers ก็ทำให้เขารู้สึกเหมือนว่าตัวเองไม่ใช่คนที่ทรงพลังที่สุดในโลก ซึ่งผมคิดว่าโทนีอยากจะรู้สึกว่าตัวเองเป็นแบบนั้น เขาอาจจะเป็นคนที่ฉลาดที่สุดในโลก แต่ก็ไม่จำเป็นต้องเป็นคนที่ทรงพลังที่สุดนี่ครับ ดังนั้น ตอนที่เราได้พบกับเขาในตอนเริ่มต้นของ Iron Man 3 เขาก็ใช้ชุดเกราะนี้เป็นเหมือนเกราะป้องกันมากกว่า มันเป็นเกราะป้องกันที่ป้องกันตัวเขาจากข้อมูลใหม่พวกนี้ กระแสธารความจริงที่ถาโถมเข้าใส่เขา ในขณะเดียวกัน ก็มีผู้ร้ายปรากฏตัวขึ้นมา อย่างที่มักจะเกิดขึ้นในหนังดีๆ น่ะครับ แล้วจู่ๆ เมื่อเขาอยู่ในภาวะที่อยากหมกตัวอยู่ในห้องแล็บเพื่อปรับแต่งชุดเกราะของเขา ก็มีบางสิ่งเกิดขึ้นที่บีบให้เขาต้องออกจากบ้าน ออกจากห้องแล็บ หรือในบางครั้ง เขาก็ต้องถอดชุดเกราะออกด้วยซ้ำไป เพื่อเผชิญหน้ากับวายร้ายตัวใหม่นี้น่ะครับ
















Q: การแสดงของโรเบิร์ต ดาวนีย์ จูเนียร์ตลอดหลายปีที่ผ่านมาทำให้คุณแปลกใจยังไงบ้าง

A: เหตุผลที่เราเลือกโรเบิร์ต [ดาวนีย์ จูเนียร์] ใน “Iron Man 1” ก็เพราะเขาเป็นนักแสดงที่น่าตื่นตาตื่นใจและนับตั้งแต่นั้นมา เขาก็กลายเป็นดาราใหญ่ของโลก และแต่ละครั้ง เขาก็แสดงให้เราเห็นถึงสาเหตุที่เป็นแบบนั้นตลอดครับ เขาไม่ได้พึ่งพาชื่อเสียงของตัวเองเลย เขาไม่ได้เข้ามาแล้วบอกว่า “ผมเป็นดาราที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลก” แต่เขาเข้ามาแล้วแสดงให้คุณเห็นว่าทำไมเขาถึงเป็นดาราที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลกครับ

แล้วสิ่งที่เขาทำก็คือการแสดงอย่างเหลือเชื่อ ที่แน่นอนว่าทั้งกวนประสาทและตลกขบขัน ซึ่งโทนี สตาร์คเป็นแบบนั้นตลอดเวลาและโรเบิร์ตก็สามารถแสดงได้ทั้งๆ ที่หลับอยู่ แต่มันก็รวมถึงช่วงเวลาที่น่าประทับใจกว่าด้วย มีฉากที่เขาอยู่กับเป็ปเปอร์ใน Iron Man 3 ที่ทั้งน่ารักและสะเทือนอารมณ์จริงๆ แต่มันก็เป็นไปในแบบที่สนุกสนนาน ไม่ใช่ในแบบหม่นหมอง เหมือนกับพวกหนังประจำสัปดาห์ แต่ในแบบสนุกสนาน ที่คุณไม่ค่อยได้เห็นระหว่างผู้ชายกับผู้หญิงในหนังแอ็กชันประเภทนี้น่ะครับ


มันเป็นเรื่องสำคัญสำหรับเราที่ความสัมพันธ์ระหว่างโทนีและเป็ปเปอร์จะยังคงอยู่ตลอดในหนังทั้งสี่เรื่อง รวมถึง Marvel’s The Avengers และแน่นอน Iron Man 3 ด้วย และมันก็มาถึงจุดสุดยอดใน Iron Man 3 ในแบบที่ดีมากๆ นอกจากนี้ ระหว่างการผจญภัยที่น่าประหลาดใจของเขาใน Iron Man 3 เขายังได้เจอกับเด็กผู้ชายคนหนึ่งชื่อฮาร์ลีย์ เราไม่เคยเห็นโทนีไปยุ่มย่ามกับเด็กเลย แม้ว่าไอรอน แมนจะเคยช่วยชีวิตเด็กเป็นครั้งคราว แต่เราก็ไม่เคยเห็นเขาพูดคุยเล่นหัวกับเด็กคนไหนเลย ซึ่งผมคิดว่ามันไม่ใช่สิ่งที่โทนีทำบ่อยนักหรอกครับ

ดังนั้น มันก็สนุกดีที่ได้เห็นการแสดงของโรเบิร์ตในตอนที่เขาทำตัวมึนตึงกับเด็กคนนี้ในตอนแรก ทำเหมือนเด็กคนนี้เป็นผู้ใหญ่น่ะครับ แต่เห็นได้ชัดว่าเขาได้ถ่ายทอดความเป็นพ่อ ตามที่เด็กคนนี้อยากจะดึงออกมาจากโทนี สตาร์ค ออกมานิดๆ ครับ ซึ่งนั่นก็เป็นสิ่งที่น่าแปลกใจที่เราได้เห็นจากโรเบิร์ต มันไม่ใช่แค่การประชดประชัน ไม่ใช่แค่อารมณ์ขัน หรือฉากรักที่เขาสามารถแสดงกับกวินเนธได้อย่างยอดเยี่ยมเหลือเกิน แต่ยังรวมถึงช่วงเวลาที่น่าประทับใจมากๆ กับเด็กตัวน้อยๆ คนนี้ด้วย

















Q: คุณคิดว่าตัวละครของเขาจะแตกต่างออกไปอย่างไรในภาพยนตร์เรื่องนี้

A: ช่วงเวลาที่เราชื่นชอบในตำนานเรื่องนี้คือไอรอน แมนได้ย้อนกลับไปสู่องก์แรกของ “Iron Man 1” ที่โทนี สตาร์ค ผู้ซึ่งคุณได้พบเขานั่งอยู่หลังรถฮัมวีกับทหารพวกนั้น กำลังมีความสุขสุดๆ เขาเป็นคนดัง ร่ำรวย ประสบความสำเร็จและไม่แยแสอะไร เขายินดีจะทำเป็นปิดตา ไม่แยแสต่อความเสียหายที่งานของเขาส่งผลต่อโลกใบนี้ แล้วเขาก็มาตระหนักถึงความจริงข้อนี้เมื่อขบวนรถถูกโจมตี เขาถูกโยนเข้าไปในถ้ำ โดยมีถุงคลุมศีรษะ ถูกมัดติดกับเก้าอี้ มันเป็นภาพแรกที่เราได้เห็นก่อนที่ชื่อเรื่อง Iron Man จะปรากฏขึ้นใน Iron Man 1 เสียอีกครับ เราส่งเขาไปอยู่ในถ้ำที่มีกล่องวัสดุ และเราก็อยากจะเห็นเขาเอาตัวรอดจากสถานการณ์นั้นให้ได้


เราชื่นชอบการผลักดันให้โทนีจนมุม มีการยึดเอาของเล่นทั้งหมดของเขา ความร่ำรวยมหาศาลและทรัพย์สมบัติของเขา ทิ้งให้เขาเหลือแต่ตัวเปล่ากับความคิดของตัวเอง และรอดูว่าเขาจะเอาตัวรอดจากสถานการณ์นั้นยังไง ในเทรลเลอร์ คุณจะเห็นว่ามีการโจมตีบ้านของโทนี ดังนั้น ในตอนจบองก์แรกของ Iron Man 3 เขาก็ไม่มีบ้านแล้ว เทคโนโลยีเขาก็หายเกลี้ยง สิ่งที่เขามีเป็นเพียงแค่ชุดเกราะโปรโตไทป์ที่แทบจะใช้งานไม่ได้ด้วยซ้ำ และหลังจากที่เขาหนีจากบ้านที่ถูกถล่มยับเยิน มันก็ใช้งานไม่ได้เลย ดังนั้น โทนีก็พบตัวเองอยู่ใจกลางอเมริกา ในโรสฮิลล์, เทนเนสซี ในสถานการณ์แบบปลาพ้นน้ำ ชายผู้นี้ที่ใช้ชีวิตอยู่ในมาลิบู ต้องไปโมนาโกและไปลงเอยอยู่ในแมนฮัตตัน ใจกลางโรสฮิลล์, เทนเนสซี โดยที่ชุดเกราะใช้งานไม่ได้ และเขาก็ต้องสืบสวนเรื่องเกี่ยวกับผู้ร้ายที่ชื่อแมนดาริน พร้อมไปกับการหาคำตอบว่าเขาอยู่ที่ไหน โทนีเชื่อว่ามีเงื่อนงำบางอย่างที่นี่ที่จะทำให้เขารู้ว่าแมนดารินอยู่ไหน เขาก็เลยลากชุดเกราะพังๆ ของเขาเข้าสู่กระท่อมที่เขาเจอ และเขาก็ใช้ขวานเปิดกระท่อมนั้นออก กลายเป็นว่าเขาได้ไปอยู่ในเวิร์คช็อปเล็กๆ ของเด็กชายตัวน้อยที่ชื่อฮาร์ลีย์ครับ



มันสนุกมากที่ได้เห็นโทนีอยู่ในสถานการณ์แบบปลาพ้นน้ำ โดยไม่มีของเล่นของเขา มีเพียงสติปัญญาของตัวเอง และมันก็สนุกมากด้วยที่ได้เห็นว่าเขาจะสามารถฝ่าฟันอุปสรรคได้ยังไง เพราะจะมีผู้ร้ายที่มาโจมตีเขาในซีเควนซ์นี้ แต่เขากลับไม่มีชุดเกราะจะสวม ผมคงจะไม่บอกหรอกนะครับว่าเขาทำสำเร็จมั้ย แต่คุณอาจจะเดาได้ และความอัจฉริยะนั่นก็สนุกจริงๆ เขาจะเอาตัวรอดจากถ้ำนั้น ที่มีกล่องวัสดุเหลือใช้พวกนั้นอีกครั้งได้อย่างไร ซึ่งนั่นเป็นสิ่งที่เราไม่ได้เห็นใน Iron Man 2 และเราก็ไม่ได้เห็นอะไรแบบนี้ใน The Avengers เหมือนกัน นี่เป็นสิ่งที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะของ Iron Man 3 เท่านั้นครับ
















Q: ทำไมการกำหนดโทนให้โทนีย้อนกลับสู่รากเหง้าของตัวเองถึงเป็นสิ่งสำคัญ

A: ในช่วงเริ่มแรกของการพัฒนา Iron Man ภาคแรก เราได้คุยกันถึงการกลับคืนสู่รากเหง้าสำหรับโทนี เพราะเราอยากเห็นเขาใช้แค่สมองของตัวเอง เราอยากเห็นว่าเขาสามารถทำอะไรได้ในตอนที่อุปสรรคถาโถมเข้ามาโดยเขาไม่มีอะไรในมือเลย คุณจะสงสัยว่าเขาจะเอาตัวรอดได้ยังไง และมันก็ทำให้คุณคอยลุ้นไปกับโทนีด้วยในตอนที่เขากำลังคิดหาวิธีน่ะครับ


แต่คุณจะทำให้มหาเศรษฐี นักอุตสาหกรรม เพลย์บอยเป็นคนที่เราเข้าถึงได้ เป็นคนที่เราคอยเอาใจช่วยได้ยังไงล่ะครับ ทางแรกคือการให้โรเบิร์ต [ดาวนีย์ จูเนียร์] มารับบทโทนี ผู้เป็นวีรบุรุษที่น่าชื่นชมมากๆ ส่วนอีกทางหนึ่งคือการพรากทุกอย่างที่เขามี และทำให้คุณเอาใจช่วยเขา คุณจะทำให้ซูเปอร์ฮีโรที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลกกลายเป็นคนขี้แพ้ในเมืองเล็กๆ ใจกลางอเมริกาได้ยังไงล่ะ? คุณก็ต้องพรากทุกอย่างที่เขามีไปจากเขา และนั่นก็คือสิ่งที่เราอยากจะเห็น การที่หลังจากนั้นเขาจะต่อสู้เพื่อสร้างและแย่งชิงมันกลับมาใหม่น่ะครับ
















Q: มือเขียนบทดรูว์ เพียร์ซ เข้ามาเกี่ยวกับภาพยนตร์เรื่องนี้ได้อย่างไร

A: เราได้พัฒนาหนังเรื่องหนึ่งกับดรูว์ เพียร์ซ แต่แล้วเราก็ไม่ได้สร้างหนังเรื่องนั้นขึ้นมา ตอนที่เราเริ่มจะถ่ายทำ Marvel’s The Avengers และเพิ่งจะเสร็จจากงานโพสต์ของเรื่อง Thor และ Captain America ผมอยู่ในลอนดอน และผมก็ขอพบกับดรูว์ ผู้เพิ่งรู้เรื่องหนังเรื่องนั้นและเขาก็ผิดหวังเราเราจะไม่สร้างหนังเรื่องนั้นที่เขาเขียนบท แต่ผมก็ถามเขาถึงเรื่อง Iron Man 3


เขาได้เขียนทรีทเมนต์และโครงร่าง 25 หน้าของตัวเอง ที่เป็นเหมือนบทความรวมไอเดีย ว่าเขามองว่าตัวละครนี้จะเดินไปในทิศทางไหน แม้ว่าเราจะไม่ได้ทำตามทุกอย่างที่เขาเขียนไว้ในเอกสารชุดแรก แต่มันก็มีอะไรมากมายและเต็มเปี่ยมไปด้วยอารมณ์ จนเราตัดสินใจว่าเราอยากให้เขามาร่วมงานกับเราและให้เขามาร่วมมือกับมือเขียนบท/ผู้กำกับเชน แบล็ค ที่เราเลือกครับ
หลังจากความลังเลเล็กน้อยทั้งในส่วนของดรูว์และเชน ภายในเวลาไม่กี่สัปดาห์ พวกเขาก็กลายเป็นเพื่อนรักกันและที่สำคัญที่สุดคือพวกเขากลายเป็นคู่หูที่ยอดเยี่ยมในการเขียนบทเรื่องนี้และดรูว์ก็อยู่กับเราตลอดกระบวนการทำงานทั้งหมด เขาทำงานได้อย่างยอดเยี่ยมครับ
















Q: คุณมักจะให้มือเขียนบทมาอยู่ในกองถ่ายด้วยระหว่างถ่ายทำเสมอ ทำไมการได้เข้าถึงมือเขียนบทถึงเป็นเรื่องสำคัญล่ะ

A: ผมชื่นชอบการมีมือเขียนบทหลักมาอยู่กับเราด้วยให้มากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ ในระหว่างการถ่ายทำ เผื่อว่าจะมีไอเดียดีๆ ที่ปิ๊งขึ้นมา หรือไอเดียที่ดีกว่าเดิมปรากฏขึ้น หรือถ้ามีความกังวลเกิดขึ้นในกองถ่าย พอคุณพิจารณาฉากหนึ่งๆ นักแสดงเริ่มพูดบท และก็มีความกังวลถึงเรื่องคำพูดตรงนั้นตรงนี้ เพราะแม้ว่าโรเบิร์ตจะขึ้นชื่ออยู่แล้วว่าชอบการแอ็ดลิบ คุณก็อยากทำให้แน่ใจว่าแอ็ดลิบพวกนั้นจะยังคงช่วยสนับสนุนพล็อตน่ะครับ


ถ้าบางอย่างไม่เวิร์ค เราจะสร้างสิ่งที่เวิร์คสำหรับฉากนั้น แต่ยังคงเป็นตัวเชื่อมระหว่างฉากก่อนหน้านี้และฉากต่อไปได้อย่างเหมาะสมได้ยังไงล่ะครับ การมีมือเขียนบทเป็นประโยชน์อย่างยิ่งเลย


















Q: เชนมีอะไรที่ทำให้คุณรู้ทันทีเลยว่าเขาเป็นคนที่จะเหมาะกับหน้าที่นี้

A: เราได้คุยเรื่องนี้กันบ่อยและโรเบิร์ต [ดาวนีย์ จูเนียร์] ก็คุยเรื่องนี้บ่อยเหมือนกัน มันเป็นความจริงครับที่เชน [แบล็ค] เหมือนอยู่ภายใต้เงาของโลกไอรอน แมนมาตั้งแต่ Iron Man 1 โรเบิร์ตได้ร่วมงานกับเขาในหนังดีๆ เรื่อง Kiss Kiss Bang Bang ที่เชนได้เขียนบทและกำกับ และบอกตามตรงนะครับ นั่นเป็นหนังเรื่องหนึ่งที่จอน แฟฟโรกับผมดูในตอนแรกๆ ที่เราพิจารณาความคิดในการเลือกโรเบิร์ตมาแสดงใน Iron Man น่ะครับ


โรเบิร์ตจะนำเอาฉากจาก Iron Man 1 ไปที่บ้านเชน แล้วถามเชนเรื่องนั้น แล้วเชนก็จะเสนอความคิดเห็นดีๆ ให้กับเขา ซึ่งฉากที่ผมจำได้ชัดเจนที่สุดคือฉากตอนเริ่มต้นองก์สองใน Iron Man 1 โทนีเพิ่งกลับมาจากอัฟกานิสถาน ในสภาพยับเยินในชุดเกราะ Mark 1 โรดี้พยุงเขาขึ้นมา เป็ปเปอร์พบกับเขาด้านนอกเครื่อง C-17 ที่ฐานทัพอากาศเอ็ดเวิร์ด และสิ่งแรกที่เขาพูดก็คือเขาอยากจะจัดงานแถลงข่าวน่ะครับ


เขาลงเอยด้วยการเข้ามากินแฮมเบอร์เกอร์แล้วบอกให้ทุกคนนั่งลง เขาพูดถึงเรื่องพ่อตัวเองนิดหน่อย ก่อนที่จะประกาศว่าเขาจะไม่สร้างอาวุธอีกต่อไปแล้ว และส่วนใหญ่ของฉากนั้นก็เขียนขึ้นและได้รับแรงบันดาลใจมาจากบทสนทนากับเชน แบล็ค ดังนั้น มันก็เหมือนเขาคอยช่วยเหลือและนำทางอยู่ในแบ็คกราวน์อยู่แล้ว โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับโรเบิร์ตและตัวละครของเขา ดังนั้น เมื่อถึงเวลาต้องหาผู้กำกับคนใหม่สำหรับ Iron Man 3 ผมคงไม่บอกว่าเขาเป็นคนแรกที่เรานึกถึงเพราะเรามักจะเริ่มต้นจากลิสต์ก่อนและคุณก็ต้องพิจารณาชื่อมากมายครับ



บอกตามตรงนะครับว่าเราไม่รู้เลยว่าเชนจะสนใจรึเปล่า และเมื่อชัดเจนว่าเชนสนใจ และเราเริ่มได้พูดคุยกับเขา ทุกอย่างก็ชัดเจนว่าเราต้องทำแบบนี้ มันเป็นเหมือนชะตากรรมตั้งแต่ Kiss Kiss Bang Bang จากการเลือกโรเบิร์ต และตอนนี้ เชนก็เข้ามาทำงานกับเรา และนำพลังงานแบบเชน แบล็คเข้ามาสู่แฟรนไชส์นี้ มันมีตัวอย่างดีๆ ของภาคสามที่ดีมากๆ และมีตัวอย่างของภาคสามที่น่าผิดหวังหรืองั้นๆ ด้วย เป้าหมายของเราคือการทำให้หนังเรื่องนี้เป็นภาคสามที่ดีกว่าเดิม และน่าตื่นเต้นกว่าเดิม และวิธีเดียวที่เรารู้สึกว่าเราสามารถทำสำเร็จได้คือการเสี่ยง ไม่ใช่เพียงแค่การยึดติดกับสูตรดั้งเดิม แต่เป็นการก้าวออกนอกกรอบครับ และบอกตามตรงเลยว่า Iron Man 3 ภายใต้การกำกับของเชน แบล็ค เกือบจะเป็นเหมือนหนังอีกแนวหนึ่งเลย มันเป็นทริลเลอร์เทคโนโลยีอย่างที่เชนเรียกมันน่ะครับ มันเป็นการหวนกลับไปหาหนังแอ็กชันจากยุค 80s และ 90s และมันก็มีธรรมชาติที่เร็วเกินพิกัดด้วยครับ



มันล้วงลึกเข้าไปในตัวละครโทนี สตาร์ค ในแบบที่ยอดเยี่ยม แปลกประหลาดและคาดไม่ถึง และหนึ่งในลายเซ็นสำคัญของหนังของเชน แบล็ค ซึ่ง Iron Man 3 มีอย่างเหลือเฟือ คือตอนที่คุณคิดว่าหนังเรื่องนี้จะไปทางซ้าย จู่ๆ มันก็ไปทางขวา ซึ่งนั่นเป็นเรื่องสนุกมากครับ บางครั้งมันน่ากลัวก็จริงแต่ก็สนุกด้วย คุณอาจจะทำแบบนี้ได้แค่ในภาคสาม ที่ผู้ชมมีความคาดหวังอยู่แล้วเท่านั้น ผู้ชมคิดว่าพวกเขารู้อยู่แล้วว่าคุณจะทำอะไร แต่จู่ๆ คุณก็หักมุมซะงั้น มันน่าตื่นเต้นและเป็นหนทางที่จะไม่ตกหลุมกับดัก “ภาคสามสุดห่วย” น่ะครับ


















Q: แล้วเป็ปเปอร์ พ็อตส์ในตอนเริ่มต้นเรื่องเป็นอย่างไรบ้าง


A: ในตอนเริ่มต้น Iron Man 3 เป็ปเปอร์ พ็อตส์ กำลังบริหารงานสตาร์ค อินดัสทรีส์ เธอเป็นซีอีโอของสตาร์ค อินดัสทรีส์เหมือนตอนใน Iron Man 2 และเธอก็ยอมรับความจริงที่ว่าสตาร์ค อินดัสทรีส์เป็นสิ่งที่โทนีไม่ได้เกี่ยวข้องอีกต่อไปแล้ว เขาโฟกัสกับชุดเกราะของตัวเองมากๆ เขาโฟกัสกับการเป็นซูเปอร์ฮีโร และเธอก็เป็นผู้หญิงทรงอำนาจ ที่รับตำแหน่งสำคัญภายในบริษัท เธอย้ายไปอยู่กับโทนี มันชัดเจนว่าพวกเขาเป็นคู่รักกันแล้วในตอนนี้ ซึ่งไม่มีการเก็บงำเป็นความลับเลย อย่างที่คุณได้เห็นแล้วในความสัมพันธ์ของพวกเขาใน The Avengers น่ะครับ



เห็นได้ชัดเจนว่ามันพัฒนาจากการจูบกันในตอนจบ Iron Man 2 ตอนนี้ พวกเขาใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันแล้ว และพวกเขาก็มีความสัมพันธ์ที่จริงจัง ซึ่งก็เป็นเรื่องแปลกสำหรับหนังแนวซูเปอร์ฮีโร นั่นเองเป็นหนึ่งในเหตุผลที่เราอยากจะนำเสนอมัน แต่เมื่อคุณใช้ชีวิตอยู่กับโทนี สตาร์ค มันก็มักมีปัญหาและความกังวลเสมอ และหนึ่งในความกังวลในตอนเริ่มต้นเรื่องคือการที่เขาไม่หลับไม่นอน เขาอุทิศเวลาทั้งหมดไปกับการสร้างและปรับแก้ชุดเกราะ และโทนีก็ไม่ทำอะไรอย่างอื่นนอกเหนือจากการสร้างชุดเกราะชุดแล้วชุดเล่า มันเป็นความหมกมุ่นครับ และอย่างที่เป็ปเปอร์เรียกว่ามันเป็นสิ่งที่ทำให้เขาไขว้เขว เห็นได้ชัดว่ามันส่งผลกระทบต่อความสัมพันธ์ของพวกเขาด้วย
















Q: จอน แฟฟโรกลับมารับบทแฮปปี้ โฮแกนอีกครั้ง การได้ตัวเขากลับมา แต่ในครั้งนี้ ไม่ใช่ในฐานะผู้กำกับ เป็นอย่างไรบ้าง

A: การได้จอน แฟฟโรกลับมาในหนังเรื่องนี้ ไม่ใช่แค่รับบทแฮปปี้ โฮแกน ซึ่งเป็นบทบาทที่ใหญ่ที่สุดที่แฮปปี้ โฮแกนมีใน Iron Man ทุกภาคเท่านั้น แต่เขายังมารับหน้าที่ผู้ควบคุมงานสร้างเบื้องหลังฉากด้วย มันเป็นสิ่งที่เป็นประโยชน์อย่างยิ่งยวดต่อบทของหนังเรื่องนี้ครับ จอนเอื้อเฟื้อมากๆ ในลักษณะที่เขาช่วยเชน [แบล็ค] เชนจะถามคำถามเขาไม่ว่าจะเกี่ยวกับการทำงานกับโรเบิร์ต [ดาวนีย์ จูเนียร์] หรือการเซ็ทตัวละคร หรือการดึงเอาส่วนที่ดีที่สุดมาจากนักแสดง ที่เคยแสดงในภาคก่อนหน้านี้หรือกระทั่งเรื่องทางเทคนิคครับ


ตอนนี้ จอนเป็นผู้กำกับระดับเอลิสต์ไปแล้ว เขาเคยทำงานวิชวล เอฟเฟ็กต์มามากมายและเขาก็ภูมิใจตัวเองที่มีความรอบรู้ในเรื่องนั้น จอนยินดีที่จะแบ่งปันความรู้นั้นกับเชนด้วยครับ


มันเป็นสิ่งที่พิเศษสุดจริงๆ ที่ได้จอนมาอยู่ในกองถ่าย และบทบาทของเขาในหนังเรื่องนี้ก็เป็นส่วนหนึ่งที่กระตุ้นให้โทนีออกผจญภัยในหนังเรื่องนี้ หัวใจสำคัญของหนังเรื่องนี้ไม่ใช่เพียงแค่เป็ปเปอร์ ไม่ใช่แค่เพียงเด็กน้อยฮาร์ลีย์ แต่ยังรวมถึงแฮปปี้ โฮแกนด้วย ผมคิดว่า จอนขโมยซีนได้แทบทั้งหมดที่เขาแสดงใน Iron Man 3 มันฮาสุดๆ และเขาก็ทุ่มให้กับการแสดงสุดตัวเลยครับ











Jon Favreau






Q:พูดถึงการที่ดอน ชีเดิลกลับมารับบทโรดี้หน่อยสิ และตอนที่เราได้พบเขาในตอนเริ่มต้นเรื่อง เขาเป็นอย่างไรบ้าง

A: ตอนที่เราเห็นจิม โรดส์ ที่รับบทโดยดอน ชีเดิลครั้งสุดท้าย เขาบินไปจากโทนีในตอนจบ Iron Man 2 โดยสวมชุดเกราะ Mark 2 ที่เขาหยิบมาจากบ้านของโทนี สิ่งที่เราได้เรียนรู้ในตอนเริ่มต้น Iron Man 3 คือพวกเขาได้ทำข้อตกลงกัน โทนีปล่อยให้โรดี้ใช้ชุดเกราะนี้ ซึ่งเขาก็ได้ใช้ชุดเกราะทำงานร่วมกับรัฐบาลสหรัฐฯ ดังนั้น ในตอนเริ่มต้น Iron Man 3 เราก็จะได้เห็นประธานาธิบดีขอให้โรดี้ในฐานะวอร์ แมชชีนไปทาสีใหม่ และเปลี่ยนชื่อใหม่เป็น ไอรอน แพทริออท เพื่อประชาสัมพันธ์ให้อเมริกาและเป็นฮีโรของอเมริกันชน ซึ่งแตกต่างจากพวกเอเวนเจอร์ส หรือไอรอน แมน ที่เป็นเหมือนหน่วยงานที่แยกออกไป ด้วยความที่เขาเป็นทหาร โรดี้ก็เลยตกปากรับคำอย่างภาคภูมิใจ แต่เขาก็ยังคงเป็นเพื่อนรักกับโทนี เขาก็เลยมักจะแอบบอกข้อมูลกับโทนีเสมอ ซึ่งผมคิดว่าเขาทำแบบนั้นตั้งแต่เขาได้ชุดเกราะมาใน Iron Man 2 แล้วล่ะครับ



ความสัมพันธ์ระหว่างโรดส์และโทนีเป็นส่วนสำคัญต่อแฟรนไชส์และการ์ตูนเรื่องนี้ ใน Iron Man ทุกภาคจนถึงภาคนี้ จิม โรดส์เป็นเหมือนคนคอยเตือนสติโทนีตลอด เขาเป็นคนที่เตือนโทนีว่า
“คุณแน่ใจเหรอว่าคุณควรจะทำแบบนี้”
“คุณจะไปทางนั้นหรือ”
“ทำไมคุณถึงทำแบบนี้”


ในภาคนี้ เรานำเสนอมิตรภาพของพวกเขามากขึ้นและคุณก็จะได้เห็นว่าทำไมพวกเขาถึงเป็นเพื่อนรักกันในภาคนี้ด้วยครับ

ในแง่หนึ่ง มันได้กลายเป็นหนังแอ็กชันคู่หู ในองก์ที่สาม ตอนที่พวกเขาร่วมมือกัน พวกเขาไม่มีใครมีชุดเกราะเลยในตอนหนึ่งของหนังเรื่องนี้และพวกเขาก็ได้ร่วมมือกันในแบบของหนังแอ็กชันเยี่ยมๆ สมัยก่อน ดอนกับโรเบิร์ตมีการปะทะคารมที่น่าทึ่งจริงๆ ครับ ดอนสามารถตามแอ็ดลิบของโรเบิร์ตได้ทัน ในแบบที่ทั้งหมดนั่นมักจะลงเอยไปอยู่ในหนังในแบบที่สมบูรณ์แบบที่สุด ดังนั้น การได้เห็นดอนกลับมาก็เป็นเรื่องที่น่ายินดีอย่างยิ่งและเขาก็ใส่ความองอาจเข้าไปในบทนั้นด้วย คุณจะเชื่อทุกอย่างที่เขาพูด และในการที่เขาต้องรับส่งบทกับโทนี มันก็ทำให้เราได้เจอกับการปะทะคารมในแบบฉบับของเชน แบล็คครับ



















Q: คุณวางแผนที่จะนำแมนดารินมาอยู่ในเรื่องราวของ Marvel’s “Iron Man” มาโดยตลอดเลยรึเปล่า

A: ไม่ต้องสงสัยเลยว่าแมนดารินเป็นคู่ปรับที่ร้ายกาจที่สุดของโทนี สตาร์ค บอกตามตรงนะครับ เหตุผลมันไม่ใช่เพราะเขาได้ปรากฏตัวในเรื่องเยี่ยมๆ หลายเรื่อง แต่เขาได้ปรากฏในเรื่องราวต่างๆ มาตั้งแต่ต้นยุค 60s แล้วครับ ดังนั้น ถ้าคุณตั้งคำถามว่า ..
“ใครเป็นศัตรูที่ร้ายกาจที่สุดของไอรอน แมน”
คนส่วนมากน่าจะตอบว่าแมนดารินและเพราะเรื่องนั้น เขาก็มักจะอยู่อันดับบนๆ ของทุกลิสต์สำหรับหนังแต่ละภาค จริงๆ แล้ว เขาเป็นส่วนหนึ่งของ Iron Man 1 ทุกดราฟท์จนกระทั่งสามเดือนก่อนหน้าที่เราจะเริ่มถ่ายทำด้วยซ้ำไปครับ
ทุกครั้งที่เราเริ่มสร้างหนังอีกเรื่อง เราก็คุยกันถึงแมนดารินเสมอ แต่เราก็ไม่มีไอเดียดีๆ ว่าจะสร้างมันออกมายังไง การปรากฏตัวส่วนมากของเขาในการ์ตูนจะค่อนข้างล้าสมัย มันไม่เข้าท่าอีกต่อไปแล้ว และเขาก็ถูกอัพเดทในหลายๆ แง่มุมมากๆ แต่ไม่ใช่ในแบบที่เราคิดว่าจะเวิร์คสำหรับหนังน่ะครับ


แล้วเชน แบล็คก็เกิดไอเดียที่จะสร้างให้เขาเป็นคนที่ไม่รู้ที่มาที่ไป เราไม่รู้ว่าเขามาจากไหนในตอนแรก แต่ดูเหมือนว่าเขาน่าจะเป็นเจ้าหน้าที่ทหาร ที่แยกตัวออกจากกลุ่ม เขาเริ่มดึงเอาสัญลักษณ์และสิ่งของสำคัญจากวัฒนธรรมอื่นๆ มาใช้เป็นสัญลักษณ์เพื่อสร้างความเสื่อมเสียให้กับสัญลักษณ์ของอเมริกาน่ะครับ เขาใช้ชื่อแมนดาริน และสวมชุดคลุมที่มีรูปมังกร เขาใช้กลยุทธแบบกองโจรของอเมริกาใต้ เพื่อสร้างความน่าสะพรึงกลัวให้กับองค์กรก่อการร้ายของเขา แมนดารินเป็นเหมือนผู้ก่อการร้ายสมัยใหม่ที่น่าสะพรึงกลัว ผู้นำเอาสัญลักษณ์ความน่ากลัวจากทั่วโลกมาใช้ประโยชน์น่ะครับ มันเป็นไอเดียที่เจ๋ง เข้าใจง่ายและน่ากลัวมากๆ และสิ่งที่ยอดเยี่ยมเกี่ยวกับแมนดาริน ที่มักจะปรากฏอยู่ในหนังสือการ์ตูนเสมอ คือเขาไล่ล่าโทนีอย่างไม่ลดละแค่ไหนน่ะครับ


เมื่อคุณได้ดูหนังเรื่องนี้ จะมีบางอย่างเกิดขึ้นในองก์แรก ซึ่งแมนดารินถูกมองว่าเป็นตัวการ โทนีพูดต่อหน้าสื่อโทรทัศน์ที่แพร่ภาพทั่วประเทศว่า ..
“ฉันจะจัดการแก แมนดาริน ฉันจะลากคอแกออกมา”
และภายในวันเดียว แมนดารินก็ถล่มบ้านของโทนี โอบาเดียห์ สเตนไม่ได้ทำแบบนั้น วิปแลชไม่ได้ทำแบบนั้น โลกิไม่ได้ทำแบบนั้น แต่แมนดารินทำแบบนั้นในองก์แรกของ Iron Man 3 มันเป็นเรื่องที่ยิ่งใหญ่และซีเรียสมากๆ ครับ
ตอนที่เราคัดเลือกนักแสดงสำหรับบทนี้ เราอยากได้คนที่มีเชื้อชาติไม่ชัดเจนนักและเราก็อยากได้คนที่เป็นนักแสดงที่น่าตื่นตาตื่นใจด้วย และพอเซอร์เบน คิงส์ลีย์สนใจบทนี้ ทุกอย่างก็เข้ารูปเข้ารอยครับ


มันมีการถือกำเนิดของแมนดารินที่แตกต่างกันออกไปหลายครั้ง เหมือนกับว่าเขาถูกดึงตัวมาจากหนังสือการ์ตูนทั้งหมดเพื่อสร้างเป็นตัวร้ายที่โดดเด่นและมีเอกลักษณ์สูงตัวนี้ ในตอนที่คุณได้ยินเสียงของเขาครั้งแรกในเทรลเลอร์ มันจะเป็นสิ่งที่คาดไม่ถึง ที่เป็นแบบนั้นเพราะเราต้องการให้เซอร์เบนบันทึกเสียงไดอะล็อคบางอย่างสำหรับคลิปที่จะไปเปิดในงานคอมิก คอน ที่เราสร้างขึ้นมา เขาบอกว่าเขากำลังทดลองคิดเสียงของแมนดารินอยู่ เราก็เลยปล่อยให้เขาลองดู เราไม่รู้ว่าจะคิดยังไงในตอนแรก จนกระทั่งเราใส่มันเข้ากับภาพ เราถึงตระหนักว่า
“พระเจ้า มันเยี่ยมไปเลย”
มันมีเสน่ห์และคุณก็ไม่สามารถระบุลงไปได้ว่ามันเป็นอะไรหรือมาจากไหน ซึ่งก็เหมือนตัวแมนดารินเองในหนังเรื่องนี้แหละครับ การได้เซอร์เบน คิงส์ลีย์มาเล่นหนังเรื่องนี้เป็นเรื่องน่าอัศจรรย์และผมคิดว่าเขาจะทำให้หลายคนประหลาดใจกับการแสดงของเขานะครับ








Ben Kingsley







Q: ช่วยพูดถึงคิลเลียน และการนำกาย เพียร์ซเข้ามาหน่อยสิ

A: เราเป็นแฟนผลงานของกาย เพียร์ซมาหลายปีแล้ว และเราก็อยากเลือกเขามาเล่นในหนังเกือบทุกเรื่องที่เราสร้างขึ้นมา และนี่ก็เป็นเรื่องที่จังหวะลงตัวอย่างสมบูรณ์แบบครับ อัลดริช คิลเลียน ตัวละครของเขา เป็นคนที่มาจากการ์ตูนครับ เราดึงเอาแก่นของตัวละครในการ์ตูนออกมาและขยายมันมากขึ้นอีกในภาคนี้ สำหรับหนังของโทนี สตาร์ค เราอยากได้ตัวละครที่จะเป็นตัวแทนแง่มุมบางอย่างของเขา และคิลเลียนก็เป็นคนที่อยากจะเป็นผู้ทรงอิทธิพลของโลก เขาอยากเป็นผู้นำอุตสาหกรรมครับ


คิลเลียนเป็นเจ้าขององค์กรของอัจฉริยะที่มีชื่อว่า เอไอเอ็ม ที่เป็นผู้พัฒนาเอ็กซ์ตรีมมิสต์ ซึ่งเป็นสิ่งที่ไปข้องเกี่ยวกับดีเอ็นเอของมนุษย์ เทคโนโลยีนี้สามารถปรับเปลี่ยนรูปแบบพันธุกรรม ทำให้แขนขางอกขึ้นมาใหม่ ช่วยเพิ่มความแข็งแรงและรักษาบาดแผลได้ แต่มันก็สามารถเปลี่ยนแปลงโลกได้เช่นกัน ซึ่งนั่นเป็นสิ่งที่คิลเลียนตั้งใจจะทำครับ


ในตอนที่คุณได้กาย เพียร์ซมาเข้าฉากกับกวินเนธ พัลโทรว์ หรือโรเบิร์ต ดาวนีย์ จูเนียร์ ระดับการแสดงก็จะคูณสามเลยครับ เขาเป็นนักแสดงที่น่าทึ่งแถมยังเป็นคนที่มีความมุ่งมั่นตั้งใจอีกด้วย คิลเลียนเป็นตัวละครที่จะทำให้หลายคนประหลาดใจเมื่อได้เห็นสิ่งที่กายนำมาสู่บทนี้ครับ












Guy Pearce






Q: เอ็กซ์ตรีมมิสต์มีพื้นฐานจากเทคโนโลยีชีวภาพใช่มั้ย

A: ใช่ครับ ในตอนที่เราพัฒนา Iron Man 1 มีการ์ตูนเรื่อง Extremis ออกมา มันเขียนขึ้นโดยวอร์เรน เอลลิสและวาดโดยเอดี้ กรานอฟ และหน้าปกของเล่มแรกก็ทำให้เราตระหนักว่ามันเป็นระดับใหม่ของไอรอน แมน มันเวิร์คมากและจังหวะเวลาก็ลงตัวพอดี เรารู้สึกว่าโทนของมันเป็นสิ่งที่เราสามารถใช้ต่อยอดสร้างเป็นหนังได้ เราได้จ้างเอดี้ กรานอฟมาช่วยในการออกแบบเบื้องต้นสำหรับชุดเกราะไอรอนแมนในหนังเรื่องนี้ด้วย


โทนความสัมพันธ์ระหว่างยินเซนและโทนี สตาร์ค รวมถึงไอเดียของเวอร์ชันที่ใหญ่กว่าและบึกบึนกว่าของชุดเกราะ Mark 1 ทั้งหมดเกิดขึ้นจากเนื้อเรื่องนั้นครับ ในเนื้อเรื่องนั้น มีเอ็กซ์ตรีมมิสต์ ซึ่งเป็นเหมือนการเสริมคุณสมบัติทางชีวภาพ เป็นเหมือนอาวุธชีวภาพที่คนฉีดเข้าไป เพื่อให้สามารถทำในสิ่งที่เหนือมนุษย์และน่าตื่นตาตื่นใจได้


กับหนังแต่ละเรื่อง เราคิดกันว่า “เราจะสร้างเอ็กซ์ตรีมมิสต์ดีมั้ย” แต่สัญชาตญาณของผมบอกว่าต้องเป็นภาคสาม ดังนั้น ตอนที่เราเริ่มพัฒนา Iron Man 3 เราก็เลยลงเอยด้วยการดึงอะไรต่อมิอะไรมาจากเนื้อเรื่องนั้นมากมายครับ


















Q: เล่าเรื่องการเลือกรีเบ็กก้า ฮอลมารับบทมายา ฮันเซนหน่อยสิ

A: เราได้เห็นรีเบ็กก้า ฮอลในหนังของวู้ดดี้ อัลเลน แล้วเราก็ได้เห็นเธออีกใน The Town เธอเป็นนักแสดงที่น่าทึ่งครับ เธอเป็นหนึ่งในนักแสดงหญิงที่ยอดเยี่ยมที่สุดที่ทำงานในปัจจุบัน การคัดเลือกนักแสดงสำหรับหนังพวกนี้เป็นเรื่องยากเพราะเราจะต้องหานักแสดงฝีมือเยี่ยมที่สามารถเข้ากันได้กับกลุ่มนักแสดงฝีมือเยี่ยมที่เรามีอยู่แล้ว โชคดีที่รีเบ็กก้าสนใจจะร่วมงานกับเราและเธอก็ทำงานได้อย่างวิเศษสุด เธอกับโทนี สตาร์คมีความหลังกันมาก่อนและมีฉากหนึ่งในช่วงเริ่มเรื่องที่มีกลิ่นไอความโรแมนติกเกิดขึ้น และมันก็สนุกมากที่ได้เห็นรักสามเส้าระหว่างเป็ปเปอร์ โทนีและมายา และได้เห็นจุดหักมุมที่เกิดขึ้นกับโทนีน่ะครับ




รีเบ็กก้าแสดงฉากพวกนั้นได้อย่างน่าตื่นตาตื่นใจและเธอก็ยอดเยี่ยมในการแสดงให้เห็นว่าตัวละครของเธอลำบากใจแค่ไหนระหว่างการรู้ว่าเธอได้ประดิษฐ์สิ่งที่สามารถทำในสิ่งที่น่าอัศจรรย์ใจได้มากมาย แต่ก็ได้เห็นว่ามันผิดพลาดไปอย่างไรและมันมีอันตรายมากแค่ไหนน่ะครับ










Rebecca Hall




Q: แล้วการเลือกเจมส์ แบดจ์ เดลมารับบทซาวินล่ะ

A: เจมส์ แบดจ์ เดล รับบท ซาวินครับ เขาทำงานให้กับอัลดริช คิลเลียน ตัวละครของกาย เพียร์ซ ในตอนแรก คุณไม่รู้อะไรเกี่ยวกับซาวินมากนักหรอกครับ แต่พอผ่านไปเรื่อยๆ คุณก็จะได้รู้มากขึ้นว่าเขาเป็นคนที่น่าสะพรึงกลัวมากๆ เขาเป็นคนที่ใช้เทคโนโลยีเอ็กซ์ตรีมมิสต์ของมายา ฮันเซนเพื่อประโยชน์ของตัวเอง เขาเป็นคนที่สามารถเดินไปมาแล้วเป็นเหมือนแค่คนธรรมดาทั่วๆ ไป แต่เขาก็แสดงออกซึ่งความมั่นใจเกินร้อย ที่ทำให้คุณไม่แน่ใจว่าความมั่นใจนั่นมาจากไหนหรือทำไมเขาถึงมั่นใจขนาดนั้น แล้วคุณก็จะได้เห็นว่าเขาทำอะไรได้บ้างน่ะครับ


เจมส์เป็นนักแสดงที่วิเศษสุด ผู้ที่เราพิจารณาในหนังหลายๆ เรื่องมาแล้ว เราได้เห็นเขาครั้งแรกในมินิซีรีส์เรื่อง “The Pacific” ซึ่งเขาแสดงได้อย่างยอดเยี่ยม และเมื่อปีที่แล้ว เขาก็แสดงได้อย่างยอดเยี่ยมอีกใน “The Grey” สำหรับบทนี้ ที่ไม่ใช่ตัวละครเอก พระเอก หรือผู้ร้ายตัวสำคัญ เราอยากได้นักแสดงที่สามารถผงาดมาประชันกับทีมนักแสดงชุดนี้ได้ และตั้งแต่วันแรก เจมส์ก็เข้ามาพิสูจน์ให้เห็นว่าเขาสามารถทำได้อย่างสมบูรณ์แบบครับ
เขาสามารถทำตัวตลกสุดๆ ได้ในตอนที่เขาต้องการและเขาก็สามารถทำตัวได้น่ากลัวมากๆ ด้วยเมื่อเขาต้องการ ซึ่งเขาก็ทำทั้งสองอย่างนั้นในหนังเรื่องนี้ด้วยครับ









James Badge Dale





Q:คุณพูดถึงเด็กคนหนึ่งที่เราได้เห็นในหนังเรื่องนี้ ที่ชื่อฮาร์ลีย์ ไท ซิมป์คินส์มีอะไรที่ทำให้คุณชอบเขามาก

A: ในบทร่างครั้งแรก เชน [แบล็ค] และดรูว์ [เพียร์ซ] ได้เขียนตัวละครที่ชื่อฮาร์ลีย์ขึ้นมา เขาเป็นคนที่ใช้เวลาอยู่กับโทนีในช่วงครึ่งหลังของเรื่อง เราไม่ค่อยได้สร้างหนังที่มีเด็กอยู่ซักเท่าไหร่ เราก็เลยวิตกกังวลกันครับ เรากังวลถึงการมีเด็กที่เป็นเหมือนเด็กฮอลลีวูดหรือนักแสดงเด็กมากเกินไป ที่คุณจะบอกได้ว่าแกล้งทำตัวน่ารัก แกล้งทำตัวอ่อนไหว หรือเสแสร้งอย่างนั้นอย่างนี้
“อะโหล ผมมาจากเทนเนสซีครับ”
เราต้องออดิชันเด็กจำนวนมากเพราะเราอยากจะหาเด็กที่สามารถทำตามที่เราต้องการได้ ไม่อย่างนั้นมันก็จะไม่เวิร์คครับ



ไอเดียทั้งหมดจะล้มเหลวถ้าเรามีนักแสดงที่คุณไม่เชื่อหรือมีเด็กตัวเล็กๆ ที่น่ารักเกินไป โรเบิร์ต [ดาวนีย์ จูเนียร์] เอื้อเฟื้ออย่างมากในการสละเวลาของเขาและเขาก็ร่วมการออดิชันกับเด็กๆ หลายครั้งด้วย ดังนั้น คุณก็จะเห็นเด็กที่คิดว่าตัวเองเจ๋งและพยายามจะทำตัวเจ๋งเหมือนโรเบิร์ต แต่ก็ทำไม่ได้ แล้วก็คุณจะเจอเด็กที่ทึ่งกับโรเบิร์ตมาก ซึ่งนั่นก็ไม่เวิร์คอีกเหมือนกัน แต่แล้วเราก็เจอเด็กคนหนึ่งที่ทำตัวเหมือนเด็กๆ เวลาอยู่กับโรเบิร์ต และพูดแอ็ดลิบกับโรเบิร์ตในแบบที่ตรงไปตรงมามากๆ โรเบิร์ตเป็นคนน่าทึ่งในการดึงเอาการแสดงที่จริงใจและตรงไปตรงมาจากเด็ก อย่างที่เราได้เรียนรู้ในหนังเรื่องนี้ครับ


และไทก็คือเด็กคนนั้น ไททำได้อย่างยอดเยี่ยมในการออดิชันของเขา และทำให้เราน้ำตารื้นนิดๆ ไม่ใช่ว่ามันจะมีฉากเรียกน้ำตามากมายอะไรในหนังเรื่องนี้หรอกนะครับ แต่เราน้ำตารื้นเพราะเขาเล่าเรื่องเกี่ยวกับพ่อของเขาให้โทนี สตาร์คฟัง แม้ว่าเขาจะไม่ได้มีประวัติการทำงานที่ยิ่งใหญ่เหมือนกับเด็กบางคนที่เราออดิชัน แต่เห็นได้ชัดว่าเขาเป็นผู้ชนะครับ



เขาเป็นเด็กจริงๆ และเด็กแบบนี้คือคนที่เราอยากให้โทนี สตาร์คได้เจอในใจกลางประเทศ ตอนที่เราบอกโรเบิร์ต เขาบอกว่ามันเป็นข่าวดี แต่เขามีคำขออย่างหนึ่ง นั่นคือเขาอยากโทรบอกไทด้วยตัวเอง เราก็เลยไปหาเบอร์มือถือของไทมา โทรศัพท์เขาดังขึ้นโดยที่โรเบิร์ต ดาวนีย์ จูเนียร์เป็นคนโทรหาเขาบอกว่า “หนูได้บทนี้แล้ว” มันเป็นเรื่องเยี่ยมครับและพวกเขาก็สานสายสัมพันธ์กันในแบบที่ตลกมากๆ นับแต่นั้นมา จนถึงขั้นตอนการซ้อมและตลอดการถ่ายทำด้วยครับ


















Q:อะไรเป็นสิ่งใหม่ในแง่ของเทคโนโลยีการปล่อยประจุอนุภาคและชุดเกราะของโทนี สตาร์คล่ะ

A: ผมพูดเสมอว่าสิ่งที่ตลกเกี่ยวกับแฟรนไชส์นี้คือโทนีเป็นนักประดิษฐ์ เขาเป็นช่างเครื่อง เขาซ่อมสิ่งต่างๆ เทคโนโลยีของเขาพัฒนาขึ้น ใน Iron Man 1 เขาจะต้องยืนอยู่บนแท่นแล้วรอให้ชุดเกราะประกบเข้ากับร่างของเขา ใน Iron Man 2 มันก็เป็นไอเดียเดียวกัน แท่นนั้นต้องใช้เวลาซักพัก และคุณก็ต้องอาศัยแท่นขนาดใหญ่ในการที่จะประกบชุดเกราะเข้ากับร่างของเขา ใน The Avengers เราได้เห็นพัฒนาการของเทคโนโลยีนั้นนิดๆ ถ้าคุณจำได้ โลกิเหวี่ยงเขาออกนอกหน้าต่าง เขาดูเหมือนจะร่วงลงไปตายใตอนที่เขาพูดอะไรบางอย่างกับข้อมือตัวเอง แล้วอุปกรณ์ขนาดเท่าเปียโนก็โผล่ตามเขามา มันโอบตัวเองรอบเขา ซึ่งปรากฏว่าสิ่งนั้นคือชุดเกราะ Mark 7 นั่นเอง โทนีได้พัฒนาไอเดียของชุดเกราะที่เขาสามารถสวมได้ไปไกลกว่าเดิมในตอนเริ่มต้นของภาคนี้ และเราก็มีสิ่งที่เราเรียกว่าชุดเกราะติดหนึบ ซึ่งทำให้แต่ละชิ้นส่วนของชุดเกราะบินแยกจากกันและมาติดกับร่างกายของเขาทีละส่วนได้


มันไม่ได้เวิร์คอย่างสมบูรณ์แบบแต่มันก็เป็นการพัฒนาที่ยอดเยี่ยม ซึ่งโทนีได้ใช้ตลอดหนังเรื่องนี้ เพื่อที่ว่าตามทฤษฎีแล้ว ไม่ว่าเขาจะอยู่ที่ไหน เขาก็สามารถเรียกให้มันมาหาเขาได้ มันไม่ได้เวิร์คตลอด และมันก็มีฉากสำคัญในหนังเรื่องนี้ ที่เราแพลมให้แฟนๆ ที่คอมิก คอนปีนี้ดูผ่านทางโปสเตอร์อาร์ตที่ไรอัน ไมเนอร์ดิงเป็นคนวาด ที่ชุดเกราะทั้งหมดไม่ได้มาหาเขา เขามีแค่ถุงมือข้างเดียว รองเท้าข้างเดียว และต้องสู้กับเหล่าร้ายเป็นโขยงทั้งๆ ที่มีแค่รองเท้ากับถุงมือน่ะครับ


หลายครั้งที่ข้อจำกัดของชุดเกราะจะทำให้เกิดเรื่องตลกที่สุด ไม่ว่าจะเป็นเมื่อชุดเกราะพัง หรือเมื่อมันใช้งานไม่ค่อยจะได้ ซึ่งมันก็เกิดขึ้นบ่อยเลยล่ะครับ แต่เราก็บอกใบ้เป็นนัยๆ ตั้งแต่เริ่มต้นเรื่องแล้วด้วยการบอกว่านี่ไม่ใช่ Mark 8 อย่างที่คุณคิดเพราะ Mark 7 เป็นชุดเกราะล่าสุดที่ถูกเผยให้เห็นใน The Avengers นี่เป็น Mark 42 ครับ ดังนั้น โทนีก็ได้สร้างชุดเกราะกว่า 40 ชุดขึ้นมาในระหว่างเรื่อง The Avengers และ Iron Man 3 เพราะความหมกมุ่นนี้น่ะครับ


ในตอนจบเรื่อง เราได้เห็นชุดเกราะทั้งหมด และคุณก็จะตระหนักได้ว่า โทนีเป็นช่างเครื่องยนต์ และเขาก็จะปรับเปลี่ยนโน่นนี่ตลอดเวลา ไม่ว่าเขาจะคิดไอเดียอะไรขึ้นมาได้เกี่ยวกับเทคโนโลยีชุดเกราะ เขาก็จะสร้างและเก็บมันไว้ในฮอล ออฟ อาร์เมอร์ของเขา ท้ายที่สุด หลังจากพูดถึงมันมาสี่เรื่อง เราก็จะได้เห็นฮอล ออฟ อาร์เมอร์ของเขา รวมถึงกองทัพชุดเกราะที่เขาสร้างขึ้นมาให้กับตัวเองเสียทีครับ
















Q:แล้วไอรอน แพทริออทและพัฒนาการของวอร์ แมชชีนล่ะ

A: เมื่อหลายปีก่อน ในการ์ตูน พวกเขาได้สร้างชุดเกราะไอรอน แพทริออทขึ้นมา ซึ่งมันเป็นชุดเกราะไอรอน แมนฉบับพัฒนา ที่ทาสีแดง ขาวและน้ำเงิน และมีรูปดาวติดอยู่ด้วย ในการ์ตูน ตัวละครอีกตัวเป็นคนสวมและใช้ชุดเกราะนี้ แต่เราชอบภาพนั้นจริงๆ เราคิดว่ามันเป็นภาพที่เตะตามาก และหลังจาก The Avengers ที่คุณมีกัปตัน อเมริกา ซึ่งกัปตัน อเมริกาก็เป็นสัญลักษณ์สำหรับของพวกอเวนเจอร์ส เราก็เลยคิดว่ามันคงตลกดีว่าอเมริกาจะอยากมีไอรอน แมนเวอร์ชันของตัวเองบ้าง แน่นอนครับว่ากัปตันอเมริกาทำงานให้กับอเมริกา แต่เขาเป็นเหมือนฮีโรของพวกอเวนเจอร์สมากกว่า รัฐบาลสหรัฐฯเลยบอกว่า “เราอยากได้ฮีโรของเราเอง” ซึ่งเป็นเหตุผลให้พวกเขาเปลี่ยนชื่อวอร์ แมชชีนเสียใหม่เป็นไอรอน แพทริออทน่ะครับ



ทีนี้ ในหนังเราได้รู้ว่ามันมีวัตถุประสงค์ร้ายกาจอยู่เบื้องหลัง มันเป็นตัวอย่างที่ยอดเยี่ยมของการที่บางครั้ง คุณนำตัวละครมาจากการ์ตูนและซื่อตรงกับมัน แต่บางครั้ง การ์ตูนก็สามารถเป็นไอเดียพื้นฐานให้คุณต่อยอดไปสร้างอย่างอื่นได้ หนึ่งในสิ่งที่เยี่ยมที่สุดเกี่ยวกับการเป็นส่วนหนึ่งของมาร์เวล สตูดิโอส์คือคุณจะเต็มไปด้วยไอเดียครับ คุณมีแผนกสิ่งพิมพ์ที่มาพร้อมกับหนังสือหลายสิบเล่มทุกเดือน และเราก็พลิกดูหนังสือพวกนั้นทุกเล่มในทุกเดือน และดึงเอาสิ่งต่างๆ ออกมา แม้ว่าเราจะไม่รู้ว่าเราจะเอาสิ่งเหล่านั้นไปใช้ที่ไหนก็ตาม แต่เมื่อหลายปีก่อน เราก็เคยดึงเอาไอเดียไอรอน แพทริออทออกมาแล้วบอกว่า ..

“เจ๋งดีนะ คงสนุกน่าดูถ้าจะได้เล่นกับมันในซักวันหนึ่ง”

และคุณก็จะได้เห็นมันใน “Iron Man 3” ครับ



















Q: เทน ริงส์จะมีบทบาทกับเรื่องราวนี้อย่างไรบ้าง

A: เทน ริงส์เป็นองค์กรก่อการร้ายที่เราตั้งขึ้นมาใน Iron Man 1 และมันก็เป็นสิ่งที่มีไว้สำหรับแฟนๆ สายตาไวเท่านั้น ใน Iron Man 1 ยินเซนบอกว่าพวกเขาเรียกตัวเองว่าเทน ริงส์ และนั่นก็เป็นคำที่เราอ้างถึงแหวนทั้งสิบของแมนดาริน ใน Iron Man 2 ในฉากที่ถูกตัดออกไป สมาชิกคนหนึ่งของเทน ริงส์ได้มอบหลักฐานประจำตัวให้กับวิปแลชเพื่อให้เขาสามารถแทรกซึมเข้าไปในการแข่งที่โมนาโก และหั่นครึ่งรถของโทนี สตาร์คได้ ในหนังเรื่องนี้ เราอยากจะล้วงลึกลงไปถึงความคิดของผู้ก่อการร้ายเทน ริงส์ ซึ่งก็เป็นสาเหตุที่บางครั้งคุณจะได้เห็นธงของเทน ริงส์อย่างที่ได้เห็นใน Iron Man 1 ด้านหลังแมนดารินในวิดีโอก่อการร้ายของเขา ที่เขาแพร่ภาพไปทั่วโลก แต่สิ่งสำคัญคือแหวนทั้งสิบของตัวแมนดารินเอง และคุณก็จะได้เห็นแหวนทั้งสิบที่โด่งดังนั้นบนนิ้วของเซอร์เบน และบอกตามตรงนะครับ การให้เซอร์เบนสวมแหวนทั้งสิบวงที่ออกแบบโดยรัสเซล บ็อบบิทท์ ช่างทำอุปกรณ์ของเรา เป็นหนึ่งในช่วงเวลาที่ ..
“พระเจ้า นี่เรากำลังทำมันจริงๆ การ์ตูนกำลังมีชีวิตตรงหน้าเรา” ใน Iron Man 3 และเบนก็สวมมันได้อย่างเข้ากันพอดีครับ



















Q:แล้วภาพที่เผยออกมายังคงน่าตื่นเต้นสำหรับคุณตอนที่คุณได้เห็นพวกมันรึเปล่า

A: พวกมันน่าตื่นเต้นครับและมันก็เกิดขึ้นในหนังเรื่องนี้ด้วยชุดเกราะ Mark 42 ใหม่ แล้วมันก็เกิดขึ้นตอนที่เชน [แบล็ค] และผมได้เห็นไอรอน แพทริออทเป็นครั้งแรก รวมถึงสิ่งที่ทีมงานที่เลกาซีได้ทำกับชุดเกราะชุดนี้ ชุดเกราะแต่ละชุดดีขึ้นๆ เรื่อยๆ ชุดไอรอน แพทริออทที่ใช้ใส่ในกองถ่ายเป็นชุดที่ดีที่สุดที่พวกเขาเคยสร้างขึ้นมาเลยครับ แล้วพอถึงฉากของแหวนทั้งสิบ ที่เราได้เห็นเซอร์เบนสวมแหวนพวกนั้นเป็นครั้งแรกก็เป็นช่วงเวลาที่ยอดเยี่ยมเช่นกันครับ







Q: เล่าถึงฉากผาดโผนแอร์ ฟอร์ซ วันหน่อยสิ ว่ามันถ่ายทำและสร้างขึ้นมาได้อย่างไร

A: มือเขียนบทของเรามีไอเดียเยี่ยมๆ ซึ่งเข้ากับธีมของการนำโทนีไปอยู่ในสถานการณ์ที่คุณไม่รู้ว่าเขาจะเอาตัวรอดได้ยังไง ไอเดียของเชนและดรูว์คือการโยนคน 13 คนออกนอกเครื่องบินแล้วให้จาร์วิสบอกโทนีว่าเขาสามารถรับได้แค่สี่คนเท่านั้น แล้วขณะที่คนพวกนั้นร่วงลงไปพบกับความตาย ไอรอน แมนจะสามารถช่วยพวกเขาทุกคนได้ยังไงน่ะครับ


แล้วพวกเขาก็เกิดความคิดเกี่ยวกับเรื่อง Barrel of Monkeys ซึ่งเป็นเกมของฮัสโบรขึ้นมา มันเป็นเกมที่คุณจะจับลิงมารวมตัวกันเพื่อดูว่าคุณจะสามารถทำให้ลิงพลาสติกตัวเล็กๆ พวกนี้จับมือยึดกันได้กี่ตัว และโทนีก็เริ่มเหาะลงไปและเริ่มคว้าตัวแต่ละคนและบอกพวกเขาว่าให้เอื้อมไปหาคนที่อยู่ถัดไป แล้วจู่ๆ ทีมเวิร์คที่ยิ่งใหญ่ก็ปรากฏให้เห็นเมื่อคนทั้ง 13 คนต่างก็จับมือกันและกัน โดยที่ไอรอน แมนได้ยิงรีพัลเซอร์ของเขาเพื่อหยุดยั้งการร่วงลงมาของพวกเขาน่ะครับ


เราไม่รู้หรอกว่ามันจะได้ผลรึเปล่า เราวาดภาพสตอรีบอร์ดของฉากนี้ และได้สร้างภาพพรีวิชวลสำหรับฉากนี้ด้วย ซึ่งเราก็เริ่มตระหนักว่ามันน่าจะเป็นฉากที่เจ๋งจริงๆ มันจะต้องเจ๋งแน่ๆ เราอยากจะเห็นว่าเขาจะรอดจากสถานการณ์นี้ได้อย่างไร และสิ่งที่เราพูดคุยก็คือเราจะถ่ายทำหนังเรื่องนี้ได้ยังไง ไบรอัน สเมิร์ซ ผู้กำกับยูนิทที่สองของเรา และทีมงานสตันท์ของเราบอกว่า ..



“ทำไมเราไม่โยนคน 13 คนออกนอกเครื่องบินแล้วถ่ายทำมันซะเลยล่ะ”
สิ่งที่เกิดขึ้นคือการกระโดดวันละ 10 ครั้ง ตลอด 8 วันครับ ดังนั้น ซีเควนซ์นั้น ซึ่งเป็นหนึ่งในซีเควนซ์เด็ดของเรื่อง ก็เป็นของจริง เว้นแต่ตัวไอรอน แมน และช็อตบางช็อต ทีมสตันท์เร้ด บูลที่น่าทึ่งนี้ได้กระโดดออกจากเครื่องบิน ครั้งแล้วครั้งเล่า วันแล้ววันเล่า และร่วงลงไปราวกับพวกเขากำลังร่วงลงไปสู่ความตาย พร้อมทั้งเกาะกันและกันไว้แน่นหนาจริงๆ ครับ




ในหนังของเรา มีบางอย่างที่คุณสามารถทำได้จริงๆ และมีบางอย่างที่คุณทำด้วย CG และแม้ว่าเราจะชอบ CG และเราไม่สามารถจะสร้างหนังขึ้นมาได้หากปราศจาก CG ถ้าบางอย่างคุณสามารถทำได้จริงๆ การพยายามทำมันให้เกิดขึ้นมาจริงๆ ก็เป็นหนทางที่ดีกว่า นี่เป็นฉากสตันท์จริงๆ ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดเท่าที่เราเคยสร้างมาในหนังของเรา มันใหญ่กว่าทุกอย่างใน “Iron Man” ภาคก่อนหน้านี้และใหญ่กว่าทุกอย่างใน “The Avengers” ซะอีกครับ












































Q: Marvel’s “Iron Man 3” จะเกี่ยวข้องกับแผนการใหญ่สำหรับเฟสสองของคุณอย่างไร

A: ตอนที่เราเริ่มก่อตั้งมาร์เวล สตูดิโอส์และเริ่มสร้างหนังของเราเอง เราได้รับมอบหมายให้สร้างหนังสองเรื่องต่อปี ขณะที่เราตัดสินในเชื่อมโยงหนังพวกนั้นเข้าด้วยกัน อย่างที่ปรากฏในการ์ตูนมาก่อน เพื่อสร้างโลกภาพยนตร์ของ มาร์เวลขึ้นมา ผมก็คิดว่ามันคงสนุกดีถ้าเราไม่เพียงแต่จะมองมันในฐานะหนังเรื่องหนึ่งๆ และแฟรนไชส์หนึ่งๆ สำหรับ Iron Man,Thor และ Captain America แต่ยังจะมองมันว่าหนังทั้งหกเรื่องแรกจาก Iron Man 1 จนถึง The Avengers เป็นเหมือนเฟสหนึ่งน่ะครับ


ขณะที่ตอนนี้เราก้าวเข้าสู่เฟสสองแล้ว Iron Man 3 เป็นตัวแทนของจุดเริ่มต้นของสิ่งที่จะกลายเป็นเฟสสองและน่าจะไปลงเอยใน The Avengers 2 สิ่งที่สำคัญสำหรับเราในเฟสหนึ่งคือการรวบรวมผู้ชมที่อาจจะไม่เคยอ่านการ์ตูนมาก่อน ผู้ที่ไม่รู้จักไอรอน แมน ธอร์หรือฮัลค์ ที่ทุกคนอาศัยอยู่ในโลกมาร์เวลในการ์ตูนเหมือนๆ กัน และเริ่มบ่มเพาะความคิดจากหนังแต่ละเรื่อง เพื่อให้พวกเขาเคยชินกับความคิดที่ว่าตัวละครพวกนี้อาศัยอยู่ในโลกเดียวกัน ว่านี่เป็นโลกที่พวกเขาใช้ชีวิตอยู่ร่วมกัน และทั้งหมดนั้นก็นำไปสู่ The Avengers และมันก็เวิร์คครับ พวกเขาตอบรับ The Avengers เกินกว่าที่พวกเราคิดฝันเสียอีก
ตอนนี้ จุดเริ่มต้นของเฟสสอง ผู้ชมก็รู้เรื่องนั้นแล้ว ผู้ชมรู้ว่ามันมีประเด็นเชื่อมโยงบางอย่างที่นำมาสู่เรื่องนี้และมันก็จะดำเนินต่อไปในเมื่อตอนนี้เราปูพื้นไว้แล้ว และเราก็สามารถจะสนุกกับมันได้ เหมือนอย่างในการ์ตูนน่ะครับ เราสามารถสนุกและสร้างความประหลาดใจด้วยการที่ใครมีความสัมพันธ์กับใครยังไง แต่สิ่งที่สำคัญกับเราใน Iron Man 3 ซึ่งเป็นหนังเรื่องแรกในเฟสสองของเรา คือมันจะต้องยืนอยู่ตามลำพังด้วยตัวของมันเองได้



การนำโทนี สตาร์ค จาก The Avengers มาสู่การผจญภัยเดี่ยวที่เป็นส่วนตัวมากๆ เป็นเป้าหมายของเราเสมอ เราเตือนให้ผู้ชมรำลึกถึงว่า โทนี สตาร์คเป็นตัวละครที่มีเสน่ห์อย่างเหลือเชื่อของเขาเองอยู่แล้ว และเราก็เริ่มต่อยอดจากตรงนั้น เขามีชีวิตอยู่ในโลกซูเปอร์ฮีโร และอยู่ในโลกที่พวกเขาใช้ชีวิตร่วมกันจริงๆ แต่เราก็อยากจะสร้างเรื่องราวที่เป็นของตัวโทนีเอง เพื่อแสดงให้เห็นว่ามันก็น่าสนใจพอๆ กับเรื่องราวตอนพวกเขาอยู่ด้วยกัน พวกเขาก็น่าสนใจไม่แพ้กันเมื่อไปมีการผจญภัยเดี่ยวของตัวเองน่ะครับ


















Q: อะไรเป็นสิ่งที่คุ้มค่าที่สุดในการผจญภัยครั้งนี้สำหรับทั้งคุณและมาร์เวล

A: สิ่งที่คุ้มค่าที่สุดในการผจญภัยครั้งนี้ที่มาร์เวล สตูดิโอส์จนถึงตอนนี้คือการได้เห็นคอหนังทั่วโลกตอบสนองกับหนังเหล่านี้ มันเป็นสิ่งที่คุ้มค่าอย่างเหลือเชื่อที่ผู้ชมตอบสนองกับสิ่งที่แฟนการ์ตูนรู้มานานหลายทศวรรษแล้วว่า ตำนานและเรื่องเล่าขานที่ดำเนินไปอย่างต่อเนื่องนี้เป็นสิ่งน่าสนใจ ผมคิดว่าคนจะชื่นชอบความคิดของการได้ไปดูหนังที่เป็นส่วนหนึ่งของกรอบตำนานที่กว้างขวางขึ้นน่ะครับ













“ไอรอน แมน 3” นำเสนอโดย มาร์เวล สตูดิโอส์ ในความร่วมมือของ พาราเมาท์ พิคเจอร์ และ ดีเอ็มจี เอ็นเตอร์เทนเมนท์ อำนวยการสร้างโดยประธานบริษัท มาร์เวล สตูดิโอส์ เควิน ไฟกี และจอน ฟาฟโรว์, หหลุยส์ เดอเอสโพซิโต้, อลัน ไฟน์, ชาร์ลส์ นีเวิร์ธ, วิคตอเรีย อลอนโซ, สตีเฟ่น เบราส์ซาด, แสตน ลี, และแดน มินซ์ เป็นผู้อำนวยการสร้างบริหาร “ไอรอน แมน 3” จัดจำหน่ายโดย วอลท์ ดิสนีย์ สตูดิโอส์ โมชั่น พิคเจอร์ส

พบกับการกลับมาของมหาประลัยคนเกราะเหล็ก
กับครั้งแรกในรูปแบบ 3 มิติ



1 พ.ค. 2556















Create Date : 23 เมษายน 2556
Last Update : 23 เมษายน 2556 7:06:55 น. 2 comments
Counter : 7390 Pageviews.

 
9 บล็อก เยอะมาก
อ่านไม่ไหว
อิอิอิ

จ๊วฟฟ คิดถึงซัมเหมอ


โดย: มัยดีนาห์ วันที่: 23 เมษายน 2556 เวลา:7:54:47 น.  

 
ขอบคุณสำหรับข้อมูลค่ะ คุณดี ^^
ตอนนี้รอ iron man สุดๆแล้ว ชอบๆค่ะ

ผู้อำนวยการสร้างก็สุดยอดเลยนะคะ ประวัติไม่ธรรมดา



โดย: lovereason วันที่: 24 เมษายน 2556 เวลา:0:00:24 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

มัชชาร
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 72 คน [?]




Friends' blogs
[Add มัชชาร's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.