อำนาจพ.ร.ก.ฉุกเฉินและลัทธิอาณานิคมภายในประเทศไทย
โดยโรเบิร์ต อัมสเตอร์ดัม บทความจาก Huffington Post
หลายเดือนที่ผ่านมา รัฐบาลไทยนำโดยนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ได้ถูกประชาคมโลกวิพากษ์วิจารณ์อย่างกล้างขวาง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการละเมิดสิทธิมนุษยชน ความล้มเหลวของการสอบสวนเหตุการณ์การสลายการชุมนุม การละเมิดเสรีภาพสื่อ และใช้อำนาจเผด็จการคุมขังประชาชน อย่างไรก็ตามสิ่งที่ดูจะเป็นประเด็นที่สุดคือการที่รัฐบาลไทยพยายามยืดพ.ร.ก. ฉุกเฉินออกไปและไม่มีทีท่าว่าจะยกเลิก ทำให้หลายฝ่ายรู้สึกกังวลและตั้งคำถามมากมาย ย้อนไปในวันที่ 5กรกฎาคม International Crisis Group ณ กรุงบรัสเซลได้เผยแพร่รายงานว่าสิ่งที่ประเทศทำควรทำเป็นอย่างแรกคือ ยกเลิก พ.ร.ก. ฉุกเฉินที่ประกาศใช้หลายแห่งในประเทศ เพราะเป็นการทำลายระบอบประชาธิปไตย ขัดขวางกระบวนการสมานฉันท์ และเพิ่มระดับความร้าวฉาน นอกจากนี้นักการฑูตอย่างนายวิเลี่ยม เจ เบิร์นยังกล่าวว่า การใช้พ.ร.ก. ฉุกเฉินนั้นไม่เป็นประโยชน์แก่ระบอบประชาธิปไตย ซึ่งเป็นการตอกย้ำให้เห็นถึงปััญหาการใช้พ.ร.ก. ฉุกเฉิน
แต่กระนั้นนายอภิสิทธิ์ นายกรัฐมนตรีผู้ที่ได้รับการศึกษาจากประเทศอังกฤษ ไม่ได้การแสดงท่าทีว่าจะยกเลิก พ.ร.ก. ฉุกเฉินในกรุงเทพและบางจังหวัดในภาคกลาง เหนือ และตะวันออกเฉียงเหนือแต่อย่างใด ในขณะเดียวกันก็ไม่มีคำอธิบายที่่น่าเชื่อว่าเหตุใจจึงมีความจำเป็นที่จะต้องคงกฎหมายอันเคร่งครัดนี้ไว้ในช่วงเวลานี้ นายสุเทพ เทือกสุบรรณประธานศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน (คศฉ.) ไม่เห็นด้วยที่จะยกเลิกพ.ร.ก. ฉุกเฉิน เพราะพ.ร.ก. ฉุกเฉินให้อำนาจรัฐอย่างมากในการควบคุมประเทศ ในขณะนี้ยังคงมีการประหาศใช้พ.ร.ก. ฉุกเฉินใน 10จังหวัด จาก 76จังหวัด ซึ่ง พ.ร.ก. ฉุกเฉินได้ให้อำนาจรัฐรวมไปถึงทหารปิดสื่อสำนักพิมพ์ต่าง ระงับบัญชีธนาคาร และจับกุมคุมขังประชาชนโดยไม่ต้องแจ้งข้อหา นอกจากนี้ยังห้ามไม่ให้มีการชุมนุมทางการเมืองมากกว่า 5คนขึ้นไป ซึ่งดูเหมือนว่าจะบังคับใช้กับการชุมนุมที่ต่อต้านรัฐบาลเท่านั้น
เหตุผลที่มีการคงพ.ร.ก.ฉุกเฉินอย่างต่อเนื่องนั้นสามารถพิจารณาได้ 2ประเด็นคือ ประวัติศาสตร์ของพ.ร.ก.ฉุกเฉิน และผลประโยชน์ที่รัฐบาลได้รับในช่วงสั้นๆจากการใช้พ.ร.ก.ฉุกเฉิน
เมื่อย้อนกลับไปดูการใช้ พรก. ฉุกเฉิน ในยุคล่าอาณานิคมของอังกฤษในศตวรรษที่ 18 สามารถเห็นสายสัมพันธ์ที่เห็นได้ชัดเจนว่าการใช้อำนาจนี้เผยให้เห็นถึงความไม่ชอบธรรมและปราศจากต้นทุนทางสังคมในประเทศภายใต้อาณานิคมดังกล่าว ในหนังสือที่มีชื่อเรื่องว่า The Jurisprudence of Emergency, ฮูสเซ็นระบุว่า การอภิปรายเรื่องระบบกฎหมายสมัยใหม่แสดงให้เห็นถึงข้อขัดแย้งที่อาจเกิดขึ้นระหว่างการใช้อำนาจรัฐและระบบกฎหมาย ระหว่างสิ่งที่รัฐคิดว่าจะมีการใช้อำนาจในขอบเขตใดเพื่อความอยู่รอดในบางสถานการณ์ และกฎหมายให้อำนาจแค่ไหน กล่าวอีกนัยหนึ่งคือปัญหาเกี่ยวกับการใช้ พ.ร.ก. ฉุกเฉินคือใครควรจะเป็นผู้ตัดสินใจใช้และใช้นานเท่าไร รวมถึงความไม่ชัดเจนและอาจเป็นการใช้อำนาจเบ็ดเสร็จในการประกาศใช้ พ.ร.ก ซึ่งเพื่อเอื้อผลประโยชน์ตนเองมากกว่าผลประโยชน์ของประเทศชาติ
ในหนังสือของอูสเซ็นแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับประเทศไทยว่า ประเทศไทยมักจะรู้สึกภูมิใจที่เป็นประเทศเดียวในเอเชียตะวันออกเฉียงไต้ที่ไม่ตกเป็นเมืองขึ้นของชาติตะวันตก นักเขียนไทยมักจะกล่าวว่าพื้นส่วนใหญ่ในประเทศไทยที่จะถูกผนวกเข้ากับประเทศสยามเมืองสองศตวรรษที่ผ่านมานนั้นถูกปฎิบัติราวกับเป็นเมืองขึ้นของรับสยาม โดยเฉพาะในภาคเหนือและอีสาน
หากกล่าวถึงเศรษฐกิจแล้ว นักวิชาการอย่างฉัตรทิพย์ นาถสุภาได้ชี้ให้เห็นว่าเมื่อระบบตลาดเสรีนิยมได้เข้าเริ่มต้นขึ้นในประเทศสยามเมื่อมีการทำสนธิสัญญาเบาว์ริ่งในปี 2398 สนธิสัญญานี้ทำให้เกิดกลุ่มทุนนิยมพ่อค้าชาวจีน และได้เพิ่มผลผลิตของการเกษตรไม่ได้เป็นไปเพื่อการพัฒนาพื่นที่ที่ผลผลิตนั้นถูกผลิตขึ้น ซึ่งคล้ายคลึงกับมหาอำนาจตะวันตกปฏิบัติต่อประเทศอาณานิคมของตน ฉัตรทิพย์กล่าวว่าพ่อค้ารุ่นใหม่นี้ไม่ได้สนใจเพิ่มผลผลิต แต่จำกัดกิจกรรมการผลิตเพื่อที่จะสกัดเอาความมั่งคั่งจากต่างจังหวัดโดยการใช้กำลังบังคับ หักหลังและเอาเปรียบ จากเหตุการณ์เหล่านี้ทำให้เหล่าอำมาตย์และกลุ่มอำนาจใหม่ใช้ ระบบทุนิยมแบบกาฝาก (เอารัดเอาเปรียบ) ทั้งสองกลุ่มมีแบ่งปันผลประโยชน์เดียวกันในการกดขี่ชาวชนบท เพื่อที่จะรักษาไว้ซึ่งอำนาจปละความมั่งคั่งของตนเอง และทั้งสองกลุ่มยังไม่มีความสนใจที่จะช่วยพัฒนาชนบทให้ดีขึ้น
ในแง่การเมือง นักวิชาการอย่างสมชัย ภัทรธนานันท์ได้กล่าวว่าอำนาจอันเด็ดขาดในกรุงเทพมหานครนั้นได้ถูกต่อต้านอย่างจากจากประชาชนที่อาศัยอยู่ห่างไกลจากกรุงเทพมหานคร ในภาคอีสานการต่อต้านศูนย์กลางอำนาจนั้นมีลักษณะคล้ายกับต่อต้านที่กินเวลาหลายพันปีอย่าง Holy Men Revolt 1902 โดยชาวนาปฎิเสธไม่จ่ายภาษีให้กับรัฐบาลกลางในกรุงเทพมหานคร การต่อต้านนี้ไม่เพียงแต่ถูกปราบปรามอย่างทารุณโดยรัฐบาลสยามเท่านั้น แต่ยังส่งผลให้มีการดำเนินนโนบายรณรงค์ถึงวัฒนธรรมที่เหนือกว่าของกรุงเทพมหานคร มีการทำลายศาสนาพุทธแบบอีสาน และยังพยายามลบอัตลักษณ์ทางภาษาโดยยกย่องให้ภาษาภาคกลางเป็นภาษาประจำชาติ และยังสร้างอัตลักษณ์ทางวัฒนธรรมขึ้นมาใหม่เพื่อให้สอดคล้องกับระดับชนชั้นทางสังคมและจัดระบบการศึกษาสมัยใหม่เพื่อถ่ายทอดแนวความคิดนี้ ในระยะยาว แนวคิดหลัก ได้ช่วยเปลี่ยนการคุกครามด้วยกำลังเป็นการควบคุมโดยสังคมแทน
ประวัติศาสตร์อาณานิคมภายในประเทศของไทยนี้ได้ส่งผลต่อระบบเศรษฐกิจและการเมือง ในระบบเศรษฐกิจ ผลที่ตามมากก็คือความแตกต่างของการพัฒนาของระบบเศรษฐกิจระหว่างภาคใต้และภาคกลางมีความมั่งคั่งมากกว่าภาคอีสานและภาคเหนือ ในแง่การเมือง ผลที่ตามมาคือคนเหนือและอีสานกลายเป็นพลเมืองชั้นสอง รวมถึงคนอีสานและเหนืออีกหลานล้านคมที่ย้ายไปตั้งถิ่นฐานในกรุงเทพมหานครในศตวรรษที่ผ่านมาด้วย
ไม่น่าแปลกใจที่พรรคเพื่อไทยและกลุ่มคนเสื้อแดงได้รับการสนับสนุนอย่างมากจากคนในพื้นที่เป็นอาณานิคมของกรุงเทพมหานคร การที่คนกลุ่มนี้ให้ความสนใจทางการเมืองและมีการเคลื่อนย้ายทางชนชั้นมากขึ้นนำมาซึ่งวิกฤติของการตั้งคำถามถึงความชอบธรรมของส่วนแบ่งที่อำมาตย์ในกรุงเทพมหานครได้รับ รัฐบาลอภิสิทธิ์ไม่มีทางเลือกนอกจากบังคับกฎหมายที่ไม่ชอบธรรมขึ้นมารองรับความไม่ชอบธรรมเหล่านั้น ซึ่งเหมือนกับประเทศอาณานิคมทำกับประเทศใต้อาณานิคมทั่วไป อุดมการณ์ความคิดทางสังคมเปลี่ยนไปและไม่อาจรักษาความไม่ชอบธรรมเหล่านี้เอาไว้ได้ อำนาจเผด็จการจึงเป็นความหวังในระยะสั้น และในระยะยาวคือ คณะกรรมการการสมานฉันท์ และ ปฎิรูป ที่ตั้งขึ้นมาโดยรัฐบาลหลังการสลายการชุมนุมเพื่อที่จะประสานรอยร้าวอุดมการณ์และแนวทางความเชื่อในแบบรัฐไทย เพื่อที่จะเปิดโอกาสให้เหล่าอำมาตย์ได้เสพสมอำนาจที่สามารถใช้อิทธิพลแต่งตั้งคณะรัฐบาลภายใต้รัฐธรรมนูญได้
15 ปีที่ผ่านมา รายได้ของประชาชนในภาคอีสานและภาคอื่นๆในประเทศไทยเพิ่มขึ้น ดังนั้นประชาชนเหล่านั้นจึงต้องการให้ให้มีรับฟัง อภิสิทธิ์และพรรคประชาธิปัตย์ชอบที่จะพูดถึงความสวยหรูของระบอบประชาธิปไตยมากกว่าจะนำไปปฏิบัติ อภิสิทธิ์และพรรคประชาธิปัตย์เลือกที่จะไม่รับฟังเสียงเหล่านั้น หากนั้นยึดอาณานิคม แล้วเราจะเรียกสิ่งเหล่านี้ว่าอะไร?
พ.ร.ก. ฉุกเฉินที่รับบาลประกาศใช้นั้นเป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้องและชอบธรรม ทั้งยังเป็นสิ่งที่เป็นภัยต่อกระบวนการสมานฉันท์ นอกจากนี้การยืดกฎหมายพิเศษนี้ยังย้ำให้เห็นถึงความกลัวและกาต่อต้านการเลือกตั้งของอภิสิทธิ์ สุเทพ และพรรคพวก ถึงเวลาแล้วที่เราจะต้องเรียกร้องให้มีการเลือกตั้งและให้โอกาสระบอบประชาธิปไตยได้เริ่มต้นอีกครั้ง เพราะระบอบเผด็จการคือระบอบที่ล้มเหลว
ที่มา robertamsterdam.com
Create Date : 07 สิงหาคม 2553 | | |
Last Update : 7 สิงหาคม 2553 22:50:27 น. |
Counter : 585 Pageviews. |
| |
|
|
|
|
92ปีวันอวสานราชวงศ์โรมานอฟรัสเซีย
ที่มา วิกิพีเดีย 17 กรกฎาคม 2553
การปฏิวัติรัสเซีย พ.ศ. 2460 (Russian Revolution of 1917) เป็นการปฏิวัติล้มล้างระบบจักรวรรดิในรัสเซีย เปลี่ยนมาเป็นการปกครองโดยพรรคคอมมิวนิสต์
ฝูงชนกลุ่มใหญ่ออกมาเดินขบวนแสดงความไม่พอใจ ร่วมกับกรรมกร และทหารในกรุงเปโตรกราด จนพระเจ้านิโคลัสที่ 2 ต้องทรงสละราชสมบัติในเดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ. 2460 (ค.ศ. 1917)
หลังจากนั้นก็เริ่มเป็นการแบ่งแยกทางความคิดเสรีนิยม ของฝ่ายรัฐบาลชั่วคราว กับสังคมนิยมของฝ่ายเปโตกราดโซเวียตซึ่งเป็นที่รู้จักกันว่า "อำนาจคู่" (Dual Power) ซึ่งต่อมาพรรคบอลเชวิกของเลนินก็สามารถแยกตัวออก และในเดือนตุลาคมก็ก่อการจลาจลโดยมีกรรมกร ทหาร และกลาสีเรือเข้าร่วมกันขับไล่รัฐบาลชั่วคราวออกไป
จัดตั้งรัฐบาลโซเวียตขึ้นเป็นครั้งแรก นับเป็นการปฏิวัติที่เกิดขึ้นรวดเร็วจนถือว่าเป็นรูปแบบการปฏิวัติ ที่มีชื่อเฉพาะว่าเป็นการปฏิวัติเลนิน-สตาลิน
พระเจ้าซาร์นิโคลัสที่ 2 และพระราชวงศ์ถูกฝ่ายปฏิวัติจับกุมไว้ได้ และนำไปขังยังที่ห่างไกลแห่งหนึ่ง ต่อมาเมื่อวันที่ 17 กรกฎาคม พ.ศ. 2461 (ค.ศ. 1918) หรือวันนี้เมื่อ 92 ปีที่แล้ว กองกำลังบอลเชวิคได้ปลงพระชนม์ซาร์นิโคลัสที่ 2 แห่งรัสเซียและสังหารหมู่สมาชิกราชวงศ์ทั้งหมดที่เมืองเยคาเทียรินบุร์กอย่างโหดเหี้ยม สิ้นสุดการปกครองรัสเซีย 304 ปีของราชวงศ์โรมานอฟ
คริสตจักรของรัสเซีย นิกายออโธด็อกซ์ได้รื้อฟื้นพระเกียรติในหลายสิบปีต่อมา ด้วยการแต่งตั้งให้ซาร์นิโคลัสที่ 2 เป็นนักบุญ
นิติภูมิ เนวรัตน์ เขียนถึงซาร์นิโคลัสที่ 2 ในคอลัมน์เปิดฟ้าส่องโลกเมื่อ 13 มิถุนายนที่ผ่านมา รวมถึงเหตุการณ์ล่มสลายของราชวงศ์โรมานอฟดังต่อไปนี้ ------ ซาร์นิโคลัสที่ 2 ทรงเป็นพระราชโอรสองค์โตในซาร์อะเล็กซาน-เดอร์ที่ 3 และซารีนามาเรีย เฟโอโดรอฟนา พระองค์ถูกพระราช มารดาทรงตามพระทัยมากเกินไปและไม่ยอมให้พระองค์อยู่ห่างพระเนตร พระราชบิดาและพระราชมารดาเรียกซาเรวิชว่า "แม่หนู" เมื่อเจริญพระชันษาขึ้น ซาเรวิช หรือมกุฎราชกุมารพระองค์นี้จึงมีพระทัยอ่อนไหว ถือพระองค์ เมื่อทรงครองราชบัลลังก์รัสเซีย พวกปัญญาชนปฏิวัติจึงไม่ชอบพระองค์ มองว่าพระองค์ทรงอ่อนแอ และจะนำประเทศชาติบ้านเมืองไปไม่ได้
แม้ว่าประสูติในกรุงเซนต์ปีเตอร์สเบิร์ก เมืองหลวงในสมัยนั้น แต่ พระองค์ก็ทรงได้รับการศึกษาจากมหาวิทยาลัยชั้น 1 ของประเทศ ศาสตราจารย์ ระดับท็อปของสาขาต่างๆ ต้องเดินทางเจ็ดแปดร้อยกิโลเมตรเพื่อไปสอนพระองค์ เช่น ศาสตราจารย์คอนสแตนติน เปโตรวิช โพเบโตนอสต์ซอฟ อาจารย์จากมหาวิทยาลัยมอสโก ไปสอนกฎหมาย ศาสตราจารย์นิโคไล บุนเก สอนสถิติและเศรษฐศาสตร์การเมือง ศาสตราจารย์นิโคไล กีร์ส สอนความสัมพันธ์ ระหว่างประเทศ ฯลฯ
สิ่งหนึ่งซึ่งสังคมปัญญาชนไม่พอใจมกุฎราชกุมารองค์นี้ก็คือ ระหว่างถวายความรู้ อาจารย์จะถูกห้ามไม่ให้แสดงความเห็นเกี่ยวกับการเรียนของพระองค์ ห้ามถามพระองค์ ห้ามทดสอบความรู้ ฯลฯ สิ่งต่างๆ ในสมัยวัยเยาว์ หลอมให้พระองค์ทรงยึดความเป็นอัตตา และปกครองประเทศแบบอัตตาธิปไตย ไม่ยอมรับการปฏิรูป หรือการเปลี่ยนแปลงการเมืองและใดๆ เป็นผู้นำแบบอำนาจนิยม ไม่ทรงฟังผู้อื่น ฯลฯ
ขณะเดียวกัน รัฐบาลจักรวรรดิรัสเซียในสมัยนั้นก็พยายามสร้างภาพลักษณ์ของซาร์นิโคลัสที่ 2 ว่าทรงใจดี มีความเป็นบิดา ทรงเอื้ออาทรต่อประชาชนคนรัสเซียทั้งปวง แต่ภาพลักษณ์พวกนี้ก็ถูกทำลายไปเมื่อพระองค์สั่งให้ใช้กำลังทหารฆ่าประชาชนคนที่กำลังเดินขบวนประท้วงอย่างสันติอยู่ในกรุงเซนต์ปีเตอร์สเบิร์ก
ต่อหน้าพระพักตร์ ประชาชนคนทั่วไปสรรเสริญเยินยอและอวยพระองค์ว่า พระบิดาผู้ทรงเอื้ออาทรต่อทวยราษฎร์ แต่ในระหว่างประชาชนคนรัสเซียด้วยกันเอง ส่วนใหญ่เรียกพระองค์ว่า "ผู้ทำลายชีวิตประชาชน" และตั้งฉายาให้พระองค์ว่า "นิโคลัสผู้กระหายเลือด"
ความที่ไม่ทรงฟังใคร ซาร์นิโคลัสที่ 2 ประกาศนำกองทัพรัสเซียไปรบในสงครามโลกครั้งที่ 1 และก็แพ้ เสียชีวิตทหารซึ่งเป็นลูกหลานของประชาชนไปบานเบอะเยอะแยะ ระหว่างการครองราชบัลลังก์ของซาร์นิโคลัสที่ 2 พระองค์ทรงทำให้วิกฤตการณ์ทางการเมืองและสังคมของรัสเซียเลวร้ายลงมาก สังคมมีแต่ความแตกแยก
เรื่องต่างๆ อย่างนี้ต่างหาก ที่ซาร์นิโคลัสที่ 2 ถูกสภาดูมาบังคับให้สละราชสมบัติหลังจากการปฏิวัติเดือนตุลาคม พ.ศ.2460 หลังจากนั้น ทั้งพระองค์และพระราชวงศ์ก็ถูกนำไปควบคุมในตำหนักฤดูร้อนที่ซาร์สโกเยเซโล
เมื่อผู้คนในชาติแตกแยกออกเป็นหลายฝักหลายฝ่าย ก็จึงเกิดสงครามกลางเมืองในรัสเซียระหว่าง พ.ศ.2461-2464 ในปีที่เริ่มสงครามกลางเมือง ซาร์นิโคลัสที่ 2 และพระราชวงศ์จึงถูกส่งไปควบคุมอยู่ที่เมืองเยคาเตรินเบิร์กในไซบีเรีย
ราตรีวันที่ 16 ต่อเช้าของวันที่ 17 กรกฎาคม 2461 ซาร์นิโคลัสที่ 2 และพระราชวงศ์ถูกปลงพระชนม์ทั้งหมด
ปัจจุบันทุกวันนี้ ประเทศที่ไม่มีกษัตริย์มายาวนานอย่างรัสเซีย พยายามที่จะเอ่ยถึงประเทศตัวเองสมัยมีกษัตริย์ปกครองด้วยความภาคภูมิใจ
ผู้คนจำนวนไม่น้อยอยากกลับไปมีพระมหากษัตริย์เหมือนเดิม
Create Date : 20 กรกฎาคม 2553 | | |
Last Update : 20 กรกฎาคม 2553 15:39:23 น. |
Counter : 616 Pageviews. |
| |
|
|
|
|
สังคมไทยเป็นทุนนิยมแล้วทั้งรากฐานเศรษฐกิจและโครงสร้างชั้นบนจริงหรือ?
วิพากษ์ บทวิพากษ์ ของคุณวรวิทย์ ต่อทัศนะของธง แจ่มศรี
โดย อรุโณทัย มิถุนายน 2553
คุณวรวิทย์ได้เขียนบทความตีพิมพ์ใน วารสารเสียงชาวบ้าน ฉบับที่ 50 ประจำเดือนมีนาคม-เมษายน 2553 คอลัมน์ส่องกล้องมองสังคม วิพากษ์ ทัศนะของ ธง แจ่มศรี ที่เห็นว่า รากฐานทางเศรษฐกิจของสังคมไทยเป็นทุนนิยมแล้ว แต่โครงสร้างชั้นบนยังเป็นศักดินาอยู่ ซึ่งคุณวรวิทย์เห็นว่า สังคมไทยในปัจจุบันเป็นสังคมทุนนิยมแล้วทั้งรากฐานทางเศรษฐกิจและโครงสร้างชั้นบน คือการปกครองเป็นประชาธิปไตยของชนชั้นนายทุนแล้ว แต่ยังมีส่วนที่ไม่สมบูรณ์และไม่สมประกอบ
อะไรคือรากฐานเศรษฐกิจและโครงสร้างชั้นบน รากฐานเศรษฐกิจ ตามคำจำกัดความหมายถึง ผลรวมของความสัมพันธ์ทางการผลิตในขั้นการพัฒนาทางประวัติศาสตร์ที่แน่นอนของสังคมหนึ่ง ๆ (บ้างเรียกว่าแบบวิธีการผลิต เช่น ในสังคมศักดินา แบบวิธีการผลิตคือเศรษฐกิจธรรมชาติผลิตเพื่อกินเองใช้เอง จะเรียกว่าเศรษฐกิจพอเพียงก็ย่อมได้ สังคมทุนนิยม แบบวิธีการผลิตคือ เศรษฐกิจสินค้า ผลิตเพื่อขาย เพื่อการตลาด ไม่ใช่ผลิตเพื่อกินเองใช้เอง เป็นต้น) ส่วนโครงสร้างชั้นบนหมายถึง ทัศนะทางการเมือง กฎหมาย ศีลธรรม ปรัชญา ศิลปวัฒนธรรม ศาสนา รูปการจิตสำนึก เป็นต้น
การพิจารณาว่าสังคมหนึ่งๆ อยู่ในขั้นการพัฒนาทางประวัติศาสตร์ขั้นใดนั้นก็พิจารณาได้จากรากฐานทางเศรษฐกิจและโครงสร้างชั้นบนดังที่ได้กล่าวมาแล้วข้างต้น
สำหรับสังคมไทยอยู่ในขั้นการพัฒนาทางประวัติศาสตร์ขั้นใดนั้น มีการถกเถียงกันมายาวนาน จนถึงปัจจุบันก็ยังเถียงกันอยู่ คุณ ธง เห็นว่า สังคมไทยกล่าวจากรากฐานทางเศรษฐกิจเป็นทุนนิยมแล้ว แต่โครงสร้างชั้นบนยังไม่ใช่ คุณวรวิทย์เห็นว่า สังคมไทยเป็นทุนนิยมแล้วทั้งรากฐานทางเศรษฐกิจและโครงสร้างชั้นบน การเมืองการปกครองเป็นประชาธิปไตยของชนชั้นนายทุนแล้วตั้งแต่เปลี่ยนแปลงการปกครองที่นำโดย ดร.ปรีดี พนมยงค์ ในปี พ.ศ. 2475 เป็นต้นมา การปฏิวัติประชาธิปไตยของชนชั้นนายทุนก็ได้สำเร็จลุล่วงแล้วโดยพื้นฐาน
รากฐานเศรษฐกิจของสังคมไทย ทั้งคุณธง และคุณวรวิทย์ไม่ได้เห็นต่าง และผมก็เห็นด้วยกับทั้ง 2 ท่านคือ ถ้าวิเคราะห์ตามหลักที่กล่าวมาแล้วข้างต้นก็เห็นได้ชัดว่ารากฐานทางเศรษฐกิจของสังคมไทยโดยพื้นฐานแล้วเป็นแบบวิธีการผลิตของทุนนิยม คือเป็นเศรษฐกิจสินค้า ผลิตเพื่อขายเพื่อการตลาด ไม่ใช่ผลิตเพื่อกินเองใช้เอง ส่วนรูปแบบการขูดรีดนั้นก็เป็นการขูดรีดในรูปมูลค่าส่วนเกินโดยพื้นฐาน ไม่ใช่การขูดรีดในรูปของค่าเช่าดอกเบี้ย ซึ่งเป็นรูปการขูดรีดหลักของสังคมศักดินา แต่ว่า การขูดรีดแบบศักดินาซ่อนรูปมีอยู่ในสังคมไทยหรือไม่ อยากให้คุณวรวิทย์ไปศึกาษาค้นคว้าให้มากกว่านี้ ก็จะพบความจริงที่น่าตกใจ
ประเด็นที่เห็นต่างคือโครงสร้างชั้นบน ทัศนะทางการเมือง การปกครอง กฎหมาย ศีลธรรม ปรัชญา ศิลปวัฒนธรรม ศาสนา รูปการจิตสำนึก คุณวรวิทย์เห็นว่า การเมืองการปกครองเป็นประชาธิปไตยของชนชั้นนายทุนแล้วโดยพื้นฐาน แม้จะยังมีส่วนที่ไม่สมบูรณ์และไม่สมประกอบก็ตาม และวิพากษ์ ธง แจ่มศรีว่าไม่ได้ศึกษาประวัติศาสตร์การเมืองไทยโดยเฉพาะตั้งแต่เปลี่ยนแปลงการปกครองปี 2475 จนถึงปัจจุบัน ไม่ได้อ่านและเข้าใจเนื้อหาหลักในรัฐธรรมนูญ 18 ฉบับตั้งแต่ปี 2475 เป็นต้นมา จึงยังละเมอว่าพระมหากษัตริย์อยู่เหนือรัฐธรรมนูญเหนือรัฐอยู่ และวิพากษ์คุณธงว่าเอากระพี้ มาเป็นแก่น เอาแก่นมาเป็นกระพี้ เอาส่วนน้อยมาเป็นส่วนใหญ่ เอาส่วนใหญ่มาเป็นส่วนน้อย ผมว่าคุณ วรวิทย์ เองนั่นแหละไม่เคยเรียนรู้ประวัติศาสตร์ เอารูปแบบมาแทนเนื้อหา เอาปรากฏการณ์มาแทนธาตุแท้ ไม่ยอมทำความเข้าใจว่าลายลักษณ์อักษรบนแผ่นกระดาษกับการปฏิบัติจริงมันตรงกันหรือเปล่า คุณวรวิทย์ ยกเอาขั้นตอนใดขั้นตอนหนึ่งของประวัติศาสตร์มาอธิบาย ยืนยันทัศนะของตัวเอง แต่ละเลยไม่ยอมเอ่ยถึงประวัติศาสตร์ที่ต่อเนื่อง การศึกษาประวัติศาสตร์เพื่ออะไร เพื่อการเรียนรู้ ยึดกุมกฎการพัฒนาของมัน จะได้ช่วยกันผลักดันกงล้อประวัติศาสตร์ให้พัฒนาก้าวไปข้างหน้า ไม่ทำตัวเป็นผู้ขวางกงล้อประวัติศาสตร์ ฉุดรั้งประวัติศาสตร์ให้ถอยหลังเข้าคลอง ซึ่งท้ายที่สุดถูกกงล้อประวัติศาสตร์บดขยี้จนแหลกลาน แต่ดูเหมือนว่าคุณวรวิทย์ไม่ได้เรียนรู้อะไรจากการศึกษาประวัติศาสตร์เลยแม้แต่น้อย กลับมีหน้ามาวิจารณ์คนอื่นว่าหลงละเมอเพ้อพก แถมยกเอาคำสอนของปรมาจารย์ปฏิวัติที่บอกว่า การศึกษาต้องใช้ท่วงทำนอง หาสัจจะจากความเป็นจริง ไม่ใช่ท่วงทำนองที่ยโสโอหัง สำคัญว่าตนถูกต้องเสมอ และ ชอบวางตนเป็นอาจารย์ของผู้อื่น มาสั่งสอนคุณธง ผมว่า คุณวรวิทย์ ควรเก็บคติพจน์ของปรมาจารย์บทนี้ไว้สั่งสอนตนเอง น่าจะตรงเป้ากว่า หาสัจจะจากความเป็นจริง คืออะไร สัจจะ หมายถึงสัจธรรม ซึ่งก็คือกฎเกณฑ์ คือความสัมพันธ์ภายในที่เป็นแก่นหรือธาตุแท้ของสรรพสิ่ง ความเป็นจริง หมายถึงสิ่งที่เกิดขึ้นจริงทางภววิสัย ไม่ใช่จากตัวหนังสือสวยหรูที่เขียนไว้บนแผ่นกระดาษ หรือสิ่งที่คาดเดาเอาเองทางอัตวิสัย คุณวรวิทย์ พูดถึงเนื้อหาหลักของรัฐธรรมนูญ 18 ฉบับ หาว่าคุณธงไม่ได้อ่านไม่ได้ทำความเข้าใจ ทำไมต้องมีรัฐธรรมนูญถึง 18 ฉบับ คุณ วรวิทย์ ละเว้นไม่ยอมพูดถึง มันถูกฉีกทิ้งโดยคณะรัฐประหารแล้วเขียนใหม่เพื่อเอื้อประโยชน์ให้ผู้มีอำนาจตัวจริงใช่หรือไม่ใช่ คุณวรวิทย์มองข้ามประเด็นนี้ไปได้อย่างไร เนื้อหาหลักหรือหลักการ รวมทั้งบทบัญญัติที่เขียนไว้สวยหรูในรัฐธรรมนูญ ถ้าใช้ได้จริง ทุกคนได้ยึดถือปฏิบัติจริง ก็ไม่ต้องมีถึง 18 ฉบับ ฉบับที่ 1 ผู้มีอำนาจแท้จริงไม่ยึดถือปฏิบัติ จึงมีฉบับที่ 2 ที่ 3,4,5 ตามมาจนถึงฉบับที่ 18 และยังอาจมีฉบับที่ 19, 20 ไปสิ้นสุดในฉบับที่เท่าไรไม่มีใครรู้ ขึ้นอยู่กับความพอใจหรือไม่พอใจของผู้มีอำนาจแท้จริง รัฐธรรมนูญแต่ละฉบับที่เข้ามาแทนที่ส่วนใหญ่ไม่ได้เกิดจากการแก้ไขเพิ่มเติมโดยผู้มีอำนาจที่ระบุไว้ในรัฐธรรมนูญคือรัฐสภา หากแต่เกิดจากการฉีกทิ้งโดยบุคคลคนเดียวหรือคณะบุคคลเพียงไม่กี่คน แล้วอย่างนี้คุณวรวิทย์ ยังจะเพ้อฝันและจริงจังกับข้อความสวยหรูที่เขียนไว้บนแผ่นกระดาษของรัฐธรรมนูญ จะไม่ไร้เดียงสาไปหน่อยหรือ อเมริกาตั้งแต่ประกาศเอกราชมาเป็นเวลากว่า 200 ปีมีรัฐธรรมนูญแค่ฉบับเดียว เขาเทิดไว้เหนือเกล้าถือเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ สร้างหอเก็บไว้เป็นอย่างดี เพื่อให้ชนรุ่นหลังได้ศึกษาเรียนรู้ ชื่นชม กล่าวขานว่านั่นคือกฎหมายสูงสุด เขียนรับรองการเป็นเจ้าของอำนาจอธิปไตยของพวกตนไว้ ใครบังอาจฉีกทิ้ง ก็ต้องขอสู้ตายถวายชีวิต แต่ของไทยไม่ถึง 80 ปี ใช้รัฐธรรมนูญสิ้นเปลืองถึง 18 ฉบับ ประชาชนแค่ฉีกบัตรเลือกตั้งโดยไม่ตั้งใจก็ผิดกฎหมายแล้ว ถูกจับไปดำเนินคดี เสียค่าปรับ เผลอ ๆ อาจติดคุกหัวโต แต่ทหารฉีกรัฐธรรมนูญซึ่งเป็นกฎหมายสูงสุดของประเทศไม่ผิดกฎหมาย ยังลอยหน้าลอยตาอยู่ในสังคมได้ทุกยุคทุกสมัย แถมมีพวกสอพลอออกกฎหมายนิรโทษกรรมให้ ไม่ต้องรับผิดทั้งในอดีต ปัจจุบัน และอนาคต ถามว่าเพราะอะไร เพราะว่านี่คือประเทศไทยที่เขาบอกว่า พวกอำมาตย์ไม่ว่าทำอะไรก็ถูกหมด ส่วนประชาชนคนธรรมดาหรือไพร่สามัญไม่ว่าทำอะไรก็ผิดหมด และนี่คือสัจธรรมที่ คุณวรวิทย์ แกล้งทำมองไม่เห็น คุณวรวิทย์ พูดถึง 14 ตุลา 2516 ว่าประชาธิปไตยมีการพัฒนามากขึ้น แต่ละเว้นไม่ยอมเอ่ยถึงว่าในช่วงเวลาที่มีการพัฒนาประชาธิปไตยนั้น ผู้นำของขบวนการประชาธิปไตยได้สังเวยชีวิตเพื่อประชาธิปไตยไปแล้วกี่ศพ และภายหลังจากนั้นอีก 3 ปี คือในวันที่ 6 เดือนตุลาคม ปี พ.ศ. 2519 เกิดการสังหารหมู่อย่างโหดเหี้ยมอำมหิตที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ประชาธิปไตยที่พัฒนามาได้ 3 ปีถูกทำลายจนหมดสิ้นโดยฝีมือใคร ลูกเสือชาวบ้าน นวพล กระทิงแดง คนพวกนี้เป็นใคร? มาจากไหน? ใครจัดตั้ง? คุณวรวิทย์ ยกเอากรณีการเคลื่อนไหวของกลุ่มพันธมิตรขับไล่ทักษิณ ที่มีคนเสนอให้ใช้ มาตรา 7 ขอนายกพระราชทานตามรัฐธรรมนูญปี 2540 เพื่อยุติความขัดแย้งที่ทวีความรุนแรงมากขึ้นและกำลังเข้าสู่ทางตันซึ่งในหลวงท่านเห็นว่าทำไม่ได้ แสดงว่ากษัตริย์ไทยไม่มีอำนาจเหนือรัฐในเรื่องสำคัญของการปกครอง แต่คุณวรวิทย์ หลีกเลี่ยงไม่ยอมเอ่ยถึงว่าภายหลังจากนั้นไม่นานสถานการณ์ความขัดแย้งก็จบลงด้วยการรัฐประหาร 19 กันยา 2549 โดยฝีมือใคร คุณวรวิทย์อาจเถียงว่า นั่นมันพวกทหารเขาทำ ไม่เกี่ยวกับสถาบันศักดินา ก็ใช่ โดยรูปแบบแล้วเป็นอย่างนั้นจริง แต่เนื้อแท้แล้วมันคืออะไร ก่อนหน้านั้นใครออกมาพูดเรื่องม้ากับจ๊อกกี้ ส่งสัญญาณให้ทหารใช้ปืนโค่นล้มรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง ไม่ต้องเป็นถึงดอกเตอร์ แค่ชาวบ้านธรรมดาก็อ่านเกมได้อย่างทะลุปรุโปร่ง เว้นแต่เขาผู้นั้นจะแกล้งโง่ ทำเป็นอ่านไม่ออก
การรัฐประหารยึดอำนาจการปกครองจากการเลือกตั้งของประชาชนโดยคณะนายทหารเกิดขึ้นครั้งแล้วครั้งเล่านับแต่เปลี่ยนแปลงการปกครองปี 2475 เป็นต้นมา ทำให้ประชาธิปไตยของไทยถูกคุมกำเนิด แคระแกน ประชาชนที่เป็นเจ้าของอำนาจอธิปไตยซึ่งเขียนรับรองไว้ในรัฐธรรมนูญทุกฉบับไม่มีโอกาสเรียนรู้ว่าแท้จริงแล้วตัวเองเป็นเจ้าของอำนาจ ไม่มีโอกาสเรียนรู้เพราะถูกคุมกำเนิดอยู่ตลอดเวลาแล้ว ยังถูกพวกชนชั้นสูงในสังคมตราหน้าว่า โง่ งก เห็นแก่เงินไม่กี่บาท เลือกเอาคนไม่ดีมาปกครองบ้านเมือง
นายทหารไทยที่ได้รับการอบรมบ่มนิสัยด้วยระบอบเจ้าขุนมูลนาย จารีตนิยมนั้น เป็นพวกแคปปิตอลลิสต์ หัวเสรีนิยม หรือฟิวดัลลิสต์ หัวอนุรักษ์นิยม? คำตอบก็เป็นที่รู้ ๆ กันอยู่ ฉะนั้น การรัฐประหารแต่ละครั้งล้วนทำให้การเมืองการปกครองถอยห่างจากระบอบประชาธิปไตยของชนชั้นนายทุนและเข้าใกล้ระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์หรือราชาธิปไตยของชนชั้นศักดินามากขึ้นทุกที จนถึงปัจจุบัน ทุกอย่างก็เห็นกันโทนโท่ ไม่ต้องมีคำอธิบายเพิ่มเติม คำว่าสมบูรณาญาสิทธิราชย์ใหม่ ตามความเข้าใจของผมก็หมายถึงว่า โดยรูปแบบแล้ว เป็นประชาธิปไตย แต่เนื้อหาไม่ใช่ เปลือกนอกเป็นประชาธิปไตย แต่เนื้อในไม่ใช่ ทางทฤษฎีเป็นประชาธิปไตย แต่ทางปฏิบัติไม่ใช่ ทางนิตินัยเป็นประชาธิปไตย แต่พฤตินัยไม่ใช่ โดยทางทฤษฎี รูปแบบภายนอกและนัยทางกฎหมายมีรัฐธรรมนูญระบุเป็นลายลักษณ์อักษรไว้อย่างชัดเจนว่าอำนาจอธิปไตยเป็นของปวงชนชาวไทย แต่ในทางปฏิบัติที่เป็นจริงอำนาจนี้จะถูกปล้นชิงแย่งยึดกลับไปเมื่อไรก็ได้ แล้วแต่ความพอใจหรือไม่พอใจของกูผู้มีอำนาจอยู่เหนือ เพราะในประวัติศาสตร์ตลอดเวลาเกือบ 80 ปี เคยเกิดขึ้นมาแล้วนับครั้งไม่ถ้วน และนั่นคือคำตอบว่าทำไมจึงมีรัฐธรรมนูญถึง 18 ฉบับ เพราะฉะนั้นมันจะต่างอะไรกับระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ มีคำว่าใหม่อยู่ในวงเล็บก็เพื่อจะจำแนกให้เห็นว่าไม่ใช่สมบูรณาญาสิทธิราชย์แบบดั้งเดิมที่เป็นสมบูรณาญาสิทธิราชย์ทั้งรูปแบบและเนื้อหา ทั้งเปลือกนอกและเนื้อใน ทั้งทางทฤษฎีและการปฏิบัติ ทั้งนิตินัยและพฤตินัย เข้าใจง่าย ๆ ไม่มีอะไรซับซ้อน คุณวรวิทย์ แสร้งทำเป็นไม่เข้าใจเฉไฉไปพูดว่าพระมหากษัตริย์ไม่มีอำนาจเหนือรัฐธรรมนูญ แน่นอน ในทางทฤษฎีไม่มีบทบัญญัติเป็นลายลักษณ์อักษรอยู่ในรัฐธรรมนูญ แต่ในทางปฏิบัติที่เป็นจริงเป็นอย่างไร คงไม่ต้องอธิบาย อำนาจเหนือรัฐ อิทธิพลนอกรัฐธรรมนูญ อำนาจนอกระบบ มือที่มองไม่เห็น ผู้มีบารมีนอกรัฐธรรมนูญ ทั้งหมดนี้ศัพท์ต่างกันแต่มีความหมายอย่างเดียวกัน คือหมายถึงอำนาจแท้จริงที่ครอบงำสังคมไทยอยู่ในทุกวันนี้ แม้จะไม่ได้ระบุไว้ในรัฐธรรมนูญว่านั่นคือเจ้าของอำนาจตัวจริง แต่โดยความเป็นจริง นี่แหละเจ้าของอำนาจตัวจริง
คุณวรวิทย์น่าจะไปศึกษาประวัติศาสตร์การเมืองไทยตั้งแต่ปี 2475 มาถึงปัจจุบันสักหน่อยว่า ในจำนวนนายกรัฐมนตรี 27 นายนั้น มีนายกรัฐมนตรียศนายพลจากการรัฐประหารกี่นาย นายกรัฐมนตรีพลเรือนจากการเลือกตั้งของประชาชนกี่นาย แต่ละนายอยู่ในตำแหน่งกี่ปี ส่วนไหนมากกว่ากัน และรัฐบาลโดยคณะรัฐประหารกับรัฐบาลพลเรือนที่มาจากการเลือกตั้งของประชาชนรัฐบาลใดอยู่ในอำนาจยาวนานกว่ากันในช่วงเวลา 80 ปี เอามาเปรียบเทียบกัน ก็จะพบความจริงที่สามารถอธิบายอะไรได้หลาย ๆ อย่าง และสามารถนำไปสู่ข้อสรุปว่า แท้จริงแล้วรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งของประชาชนนั้น ไม่มีอำนาจแท้จริง ไม่เคยกุมกลไกอำนาจรัฐที่สำคัญโดยเฉพาะคือกองกำลังติดอาวุธได้เลย จากนั้น เราก็สามารถได้ข้อสรูปว่าประชาธิปไตยของชนชั้นนายทุนได้สถาปนาในสังคมไทยแล้วจริงหรือไม่? ซึ่งคุณวรวิทย์ คงไม่ปรารถนาจะทำเช่นนั้น เพราะอยากจะเดินทางลัด ทำการปฏิวัติประชาธิปไตยแผนใหม่ตามแบบฉบับของจีนแล้วก้าวไปสู่สังคมนิยมเลยดีกว่า ง่ายดี
อะไรคือการปฏิวัติประชาธิปไตยแผนใหม่ การปฏิวัติประชาธิปไตยเป็นการปฏิวัติของชนชั้นนายทุนที่โค่นล้มชนชั้นศักดินา นำเอาระบอบการปกครองแบบประชาธิปไตยของชนชั้นนายทุนมาแทนที่ระบอบการปกครองแบบสมบูรณาญาสิทธิราชย์หรือราชาธิปไตยของชนชั้นศักดินาซึ่งเกิดขึ้นในประวัติศาสตร์ระหว่างศตวรรษที่ 15 ถึงศตวรรษที่ 19 การปฏิวัตินี้นำโดยชนชั้นนายทุน จึงเรียกว่าการปฏิวัติประชาธิปไตยของชนชั้นนายทุน ส่วนการปฏิวัติประชาธิปไตยแผนใหม่นั้นยังคงอยู่ในบริบทของการปฏิวัติประชาธิปไตยแต่เป็นประชาธิปไตยของประชาชนซึ่งนำการปฏิวัติโดยชนชั้นกรรมาชีพ ทฤษฎีนี้นำเสนอโดยปรมาจารย์นักปฏิวัติที่ยิ่งใหญ่เหมาเจ๋อตงและนำสู่การปฏิบัติจนประสบความสำเร็จในประเทศจีนมาแล้ว ทฤษฎีนี้เจ้าของทฤษฎีคือเหมาเจ๋อตงได้วิเคราะห์จากเงื่อนไขประวัติศาสตร์ คือยุคจักรวรรดินิยมกับการปฏิวัติของชนชั้นกรรมาชีพ เห็นว่าหลังการปฏิวัติสังคมนิยมเดือน 10 ปี 1917 ของรัสเซียได้รับชัยชนะ ก็ได้เปลี่ยนแปลงทิศทางของประวัติศาสตร์ ขีดเส้นแบ่งยุคแบ่งสมัยของโลกทั้งโลก ชี้ว่า ในยุคดังกล่าว ถ้าหากเกิดการปฏิวัติในประเทศเมืองขึ้นกึ่งเมืองขึ้นที่คัดค้านจักรวรรดินิยม ซึ่งก็คือคัดค้านชนชั้นนายทุนโลก คัดค้านทุนนิยมโลก การปฏิวัตินั้นก็ไม่จัดอยู่ในขอบข่ายของการปฏิวัติประชาธิปไตยของชนชั้นนายทุนโลกเก่าอีกต่อไป หากแต่จัดอยู่ในขอบข่ายใหม่ ไม่ใช่เป็นส่วนหนึ่งของการปฏิวัติโลกของชนชั้นนายทุน และทุนนิยมอีกต่อไป หากแต่เป็นส่วนหนึ่งของการปฏิวัติโลกของชนชั้นกรรมาชีพและสังคมนิยมแล้ว การปฏิวัติที่เกิดขึ้นในประเทศเมืองขึ้นกึ่งเมืองขึ้นชนิดนี้ ขั้นตอนแรก ก้าวที่หนึ่ง ถึงแม้ว่าพิจารณาจากลักษณะสังคม โดยพื้นฐานแล้วยังคงเป็นการปฏิวัติประชาธิปไตยของชนชั้นนายทุน ข้อเรียกร้องทางภววิสัย คือขจัดสิ่งกีดขวางบนหนทางพัฒนาของทุนนิยม แต่ว่า การปฏิวัตินี้จะไม่ใช่การปฏิวัติที่นำโดยชนชั้นนายทุนซึ่งมีเป้าหมายเพื่อสถาปนาสังคมทุนนิยม สร้างอำนาจรัฐเผด็จการของชนชั้นนายทุน หากแต่เป็นการปฏิวัติที่นำโดยชนชั้นกรรมาชีพที่มีเป้าหมายขั้นแรกเพื่อสถาปนาสังคมประชาธิปไตยแบบใหม่ สร้างอำนาจรัฐเผด็จการร่วมของชนชั้นที่ปฏิวัติทุกชนชั้น เพราะฉะนั้นการปฏิวัตินี้ ก็เป็นการขจัดสิ่งกีดขวางบนหนทางสายใหญ่ของการพัฒนาสังคมสังคมนิยมพอดิบพอดี (จากสรรนิพนธ์เหมาเจ๋อตง เล่ม 2)
ทฤษฎีนี้ใช้ได้ในยุคสงครามกับการปฏิวัติ ถือเป็นสัจธรรมทั่วไป และเมื่อนำไปปฏิบัติโดยประสานกับสภาพรูปธรรมของสังคมประเทศจีนเก่าในยุคนั้น ก็ประสบผลสำเร็จในยุคดังกล่าว แต่ปัจจุบันเป็นยุคสันติภาพกับการพัฒนา และสัจธรรมทั่วไปต้องนำไปปฏิบัติโดยประสานกับสภาพรูปธรรมและลักษณะเฉพาะของสังคมแต่ละสังคม ประเด็นคือ ปัจจุบันที่เรียกกันว่ายุคสันติภาพกับการพัฒนา การนำเสนอประเด็นนี้สอดคล้องกับความเป็นจริงทางภววิสัยหรือไม่ และที่สำคัญสัจธรรมทั่วไปต้องนำมาประสานกับสภาพรูปธรรมและลักษณะเฉพาะของสังคมแต่ละสังคม ลักษณะทั่วไปของสังคมประเทศจีนเก่ากับสังคมประเทศไทยมีส่วนที่คล้ายคลึงกันคือ ต่างจัดอยู่ในกลุ่มประเทศเมืองขึ้นกึ่งเมืองขึ้น แต่ลักษณะเฉพาะของสังคมประเทศจีนเก่ากับลักษณะเฉพาะของสังคมประเทศไทยมีความแตกต่างกันอย่างมากทั้งเงื่อนไขประวัติศาสตร์ การเมืองการปกครอง วัฒนธรรม ขนบธรรมเนียมประเพณี ประเทศจีนเก่าผ่านการปฏิวัติของชนชั้นนายทุนแบบเก่าซึ่งนำโดย ดร.ซุนยัดเซ็นที่เรียกกันว่าการปฏิวัติซินไฮ่ในปี ค.ศ. 1911 หรือ พ.ศ. 2454 โค่นล้มราชวงศ์ชิง สถาปนาประชาธิปไตยชนชั้นนายทุนภายใต้ระบอบสาธารณรัฐ สำหรับประเทศไทยที่พอจะฝืนเรียกว่าการปฏิวัติประชาธิปไตยของชนชั้นนายทุน อันหมายถึงการเปลี่ยนแปลงการปกครองโดยคณะราษฎร์ในปี พ.ศ.2475 หรือ ค.ศ.1932 ซึ่งนำโดย ดร.ปรีดี พนมยงค์ ทำให้ชนชั้นศักดินาจำยอมสละอำนาจ สร้างประชาธิปไตยภายใต้ระบอบรัฐธรรมนูญที่มีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข ประเทศจีนเก่าหลังการปฏิวัติซินไฮ่ ได้สร้างอำนาจรัฐเผด็จการโดยพรรคการเมืองพรรคเดียวคือพรรคกั๋วหมินตั่งหรือก๊กมิ่นตั๋งมาโดยตลอดจนถึงปี 1949 หรือ พ.ศ. 2492 จึงถูกโค่นล้มโดยพรรคคอมมิวนิสต์จีนที่นำโดยเหมาเจ๋อตง ช่วงเวลา 38 ปี นับจากปี 2454 ถึงปี 2492 ผ่านช่วงประวัติศาสตร์ที่สำคัญ ๆ คือช่วงแรกที่พรรคกั๋วหมินตั๋งนำโดย ดร.ซุนยัดเซ็น ต้องเผชิญกับสถานการณ์ที่บรรดาขุนศึกเฉือนดินแดนแข็งอำนาจ ไม่ขึ้นต่อรัฐบาลกลาง ภายหลังที่พรรคคอมมิวนิสต์จีนก่อตั้งในปี ค.ศ. 1921 ดร.ซุนยัดเซ็น ผู้นำพรรคกั๋วหมินตั่ง ได้ประกาศนโยบายใหญ่ 3 ประการคือร่วมมือกับสหภาพโซเวียต ร่วมมือกับพรรคคอมมิวนิสต์จีน และ อุ้มชูกรรมกรชาวนา ในปี 1924 พรรคกั๋วหมินตั่งกับพรรคคอมมิวนิสต์จีนร่วมมือกันทำสงครามปราบขุนศึกภาคเหนือ ร่วมกันตั้งโรงเรียนการเมืองการทหาร บ่มเพาะผู้ปฏิบัติงาน โดยมี เจี่ยงเจี้ยสือ หรือที่ทุกคนรู้จักกันดีว่า เจียงไคเช็ค เป็นอธิการบดีและกรรมการฝ่ายการทหาร โจวเอินไหลเป็นกรรมการฝ่ายการเมือง เข้าสู่ยุคสงครามปราบขุนศึกภาคเหนือ ภายหลัง ซุนยัดเซ็น ถึงแก่กรรม เจียงไคเช็ค ผู้นำคนใหม่ของพรรคกั๋วหมินตั่งทรยศต่อการปฏิวัติในปี 1927 กวาดล้างชาวพรรคคอมมิวนิสต์จนเลือดนองแผ่นดิน เข้าสู่ยุคประวัติศาสตร์ของสงครามกลางเมืองเป็นเวลา 10 ปีนับจากปี 1927 ถึงปี 1937 ญี่ปุ่นรุกรานประเทศจีน ความขัดแย้งทางประชาชาติกลายเป็นความขัดแย้งหลักแทนที่ความขัดแย้งทางชนชั้น พรรคคอมมิวนิสต์จีนร่วมมือกับพรรคกั๋วหมินตั่งอีกครั้งทำสงครามต่อต้านญี่ปุ่นเป็นเวลา 8 ปีนับจากปี 1937 ถึงปี 1945 เมื่อญี่ปุ่นพ่ายแพ้สงครามยอมจำนน ความขัดแย้งทางประชาชาติหมดไป ความขัดแย้งทางชนชั้นเลื่อนขึ้นเป็นความขัดแย้งหลักของสังคม เกิดสงครามกลางเมืองครั้งที่ 2 ระหว่างพรรคกั๋วหมินตั่งที่นำโดยเจียงไคเช็คกับพรรคคอมมิวนิสต์จีนที่นำโดยเหมาเจ๋อตงเป็นเวลา 4 ปีนับจากปี 1945 ถึงปี 1949 จีนใหม่หรือ สาธารณรัฐประชาชนจีนจึงได้สถาปนาขึ้นในวันที่ 1 ตุลาคม ปี 1949 ( พ.ศ.2492) นับเวลาจากการปฏิวัติซินไฮ่หรือการปฏิวัติประชาธิปไตยของชนชั้นนายทุนแบบเก่าได้รับชัยชนะในปี 1911 ถึงปี 1949 ที่การปฏิวัติประชาธิปไตยของชนชั้นนายทุนแบบใหม่หรือแผนใหม่ได้รับชัยชนะ ใช้เวลา 38 ปี ถ้านับจากปีที่พรรคคอมมิวนิสต์จีนก่อตั้งและเป็นผู้นำการปฏิวัติประชาธิปไตยแผนใหม่จนได้รับชัยชนะ ก็ใช้เวลาเพียงแค่ 28 ปีจากปี 1921 ถึงปี 1949 นั่นคือประวัติศาสตร์ของจีนช่วง 38 ปีโดยสังเขปนับจากปี ค.ศ. 1911 ที่มีการปฏิวัติประชาธิปไตยของชนชั้นนายทุนแบบเก่าถึงปี ค.ศ.1949 ที่สถาปนาจีนใหม่
มาดูของไทยเรา ตั้งแต่ปี พ.ศ.2475 มาถึงปัจจุบันเป็นเวลา 78 ปีเต็ม ได้ผ่านช่วงประวัติศาสตร์อะไรมาบ้าง คงไม่ต้องจาระไนให้ละเอียด โดยสังเขปก็คือ ผ่านกบฏบวรเดชที่มุ่งหมายจะฟื้นอำนาจศักดินาในช่วงต้น ๆ หลังเปลี่ยนแปลงการปกครอง แม้จะถูกปราบลง แต่ก็มีความพยายามจะฟื้นอำนาจด้วยรูปแบบต่าง ๆ ตลอดเวลา ผ่านการยึดอำนาจรัฐประหารเฉลี่ย 3 ปีต่อครั้ง ใช้รัฐธรรมนูญสิ้นเปลืองถึง 18 ฉบับ มีนายกรัฐมนตรี 27 คน ผู้นำการปฏิวัติเปลี่ยนแปลงการปกครอง ดร.ปรีดี พนมยงค์ ต้องเนรเทศตัวเองไปอยู่ต่างประเทศ จนถึงวาระสุดท้ายของชีวิต ไม่มีโอกาสกลับมาเหยียบแผ่นดินบ้านเกิดอีกเลย พรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทยก่อตั้งในปี พ.ศ. 2485 หลังการปฏิวัติประชาธิปไตยของชนชั้นนายทุนแบบเก่า 10 ปีคล้ายกับของจีน เคยจับมือกับขบวนการ เสรีไทย ซึ่งเป็นขบวนการใต้ดินร่วมกันต่อต้านญี่ปุ่น แต่ไม่เคยจับมือกับพรรคการเมืองที่กุมอำนาจรัฐทำกิจกรรมร่วมกัน พรรคการเมืองอันเป็นส่วนประกอบที่สำคัญที่สุดของระบอบประชาธิปไตยอ่อนปวกเปียก ล้มลุกคลุกคลาน ยกเว้นพรรคการเมืองหัวอนุรักษ์ที่อยู่ยงคงกะพัน นักการเมืองไม่ต้องพูดถึงหัวสังคมนิยม แค่หัวเสรีนิยม หัวประชาธิปไตย ก็ต้องจบชีวิตลงคนแล้วคนเล่า ต่างกับประเทศจีนเก่าหลังการปฏิวัติประชาธิปไตยของชนชั้นนายทุนแบบเก่าที่อำนาจรัฐกุมอยู่ในมือของพรรคการเมืองที่เข้มแข็งเพียงพรรคเดียวคือพรรคกั๋วหมินตั่ง ลักษณะสังคมอย่างนี้ การเมืองการปกครองอย่างนี้ เงื่อนไขประวัติศาสตร์อย่างนี้มีส่วนไหนที่เหมือนกับประเทศจีนเก่า การขนเอาบทเรียนการปฏิวัติของประเทศจีนมาใช้ในประเทศไทยแบบคัดลอกตำรานั้นจะได้ผลหรือ ขอฝากไว้เป็นข้อคิด ผมไม่บังอาจชี้ว่าได้หรือไม่ได้ อีกอย่างบทเรียนของประเทศต่าง ๆ มีให้เราศึกษามากมาย ทำไม่สหภาพโซเวียตจึงล่มสลาย ทำไมกำแพงเบอร์ลินจึงพังทลาย ทำไมประเทศสังคมนิยมในยุโรปตะวันออกจึงพากันเปลี่ยนสี ทำไม่ประเทศจีนที่เป็นสังคมนิยมต้องหันมาปฏิรูปเปิดประเทศ ปรับระบบโครงสร้างเศรษฐกิจ ทำไม่ต้องเปิดตลาดการค้าเสรี ทำไมต้องมี 1 ประเทศ 2 ระบอบ ทำไมต้องสร้างเขตเศรษฐกิจพิเศษ ทำไมต้องใช้เศรษฐกิจกลไกตลาดแบบทุนนิยมมาเสริมเศรษฐกิจวางแผนแบบสังคมนิยม ทำไมต้องนำเข้าทุนจากต่างประเทศ ทำไม่ต้องมีตลาดหุ้นที่เขาบอกว่าเป็นของทุนนิยม ทำไมต้องรับเอาวิธีบริหารจัดการของทุนนิยมมาใช้ในวิสาหกิจสังคมนิยม ทำไมเวียตนามและลาวก็หันมาปฏิรูป ลดดีกรีความร้อนแรงที่มุ่งสร้างสังคมนิยมให้สำเร็จลุล่วงในเร็ววัน
คนที่จะนำการปฏิวัติ จะต้องศึกษาหาข้อมูลให้มากกว่านี้ ไม่ใช่กอดแต่ตำราเก่า ๆ ใช้วาทะกรรมเดิม ๆ
Create Date : 04 กรกฎาคม 2553 | | |
Last Update : 4 กรกฎาคม 2553 12:05:44 น. |
Counter : 681 Pageviews. |
| |
|
|
|
|
จะทำยังไงกับลัทธิล่าแม่มดใหม่ใน ค.ศ 2010
2 พฤษภาคม 2553 สาวตรี สุขศรี ที่มา ประชาไท
ขบวนการล่าแม่มดออนไลน์ ถือกำเนิดขึ้นในปี ค.ศ. 2010 ในแวดวงผู้เล่นเฟสบ๊ค (Facebook) ไทย เว็บไซท์ประเภท Social Network ที่ปัจจุบัน นับเป็นเวทีสาธารณะสำคัญเวทีหนึ่งที่ผู้คนในยุคข้อมูลข่าวสารใช้เป็นสถานที่แลกเปลี่ยน เรียนรู้ ระบาย ใส่ร้าย ฯลฯ เรื่องราวต่าง ๆ ในชีวิตประจำวันในหมู่เพื่อนฝูง คนรู้จัก หรือคนอยากรู้จัก สำหรับ ขบวนการล่าแม่มดออนไลน์ ซึ่งมีศูนย์กลางอยู่ที่กลุ่มเฟสบุคที่ใช้ชื่อกลุ่มว่า Social Sanction: ยุทธการลงทัณฑ์ทางสังคม [1] นั้น น่าจะมีแรงขับเคลื่อนหลักเป็นความ เกลียดชัง ที่มีต่อตัวผู้ชุนนุมประท้วง รวมทั้งผู้ที่เห็นด้วย หรือทำท่าว่าจะเห็นด้วยกับการชุมนุมของกลุ่มคนเสื้อแดง ซึ่งในระยะหลังถูกจับไปเชื่อมโยง หรือยัดเยียดข้อหาเป็นอีกขบวนการหนึ่งที่เรียกว่า ขบวนการล้มเจ้า ซึ่งถูกตั้งขึ้นอย่างเป็นทางการโดย ขบวนการ ศอฉ.
ลัทธิ กรรมวิธี หรือจะเรียกว่าอะไรก็ตามแต่เกี่ยวกับการล่าและประหัตประหารแม่มดอย่างเป็นระบบ เริ่มต้นจากการพิพากษาของศาลที่สนับสนุนโดยพระสันตะปาปา ที่จัดตั้งขึ้นในคริสต์ศตวรรษที่ 13 หรือช่วงปลายยุคกลาง (เรื่องราวการต่อต้านแม่มด และคุณไสยมีอยู่ก่อนยุคกลางแล้ว แต่ไม่ได้ถูกนำมาใช้อย่างแพร่หลาย) แต่การเข่นฆ่า ทารุณกรรมแม่มดขนานใหญ่ เกิดขึ้นตั้งแต่ราวศตวรรษที่ 15 ต่อเนื่องไปจนถึงศตวรรษที่ 17 โดยเฉพาะอย่างยิ่งภายหลังเหตุการณ์ทรมานให้รับสารภาพ และประหารแม่มดจำนวนมากด้วยการเผาไฟทั้งเป็น ในข้อหากบฏ เพราะมีแผนลอบปลงพระชนม์พระเจ้าเจมส์ที่ 6 แห่งสก๊อตแลนด์ ในคดีที่ นอร์ธ เบอร์วิก (North Berwick) ลัทธิล่าแม่มดนี้ถือเป็นรอยแปดเปื้อนรอยใหญ่ในหน้าประวัติศาสตร์มนุษยชาติของโลกตะวันตก เป็นสิ่งที่คนยุคหลังล้วนสรุปต้องตรงกันว่า มันเป็นวิธีการอันป่าเถื่อน ไร้มนุษยธรรม มุ่งใส่ความประจานหยามเหยียด เป็นเครื่องมือเพื่อใช้กำจัดผู้มีความคิดเห็นต่างจากผู้มีอำนาจ ทั้งนี้ไม่เฉพาะในวงศาสนจักรแต่ยังล่วงเข้าไปถึงฝ่ายอาณาจักร ด้วยการยัดเยียดข้อหาร้ายแรงโดยไม่จำเป็นต้องมีหลักฐาน หรือเหตุผลที่หนักแน่นมารองรับ ซึ่งล้วนขัดต่อหลักสิทธิมนุษยชน ทั้งสิ้น
ด้วยเหตุต่าง ๆ ดังกล่าวมา อันที่จริงแล้ว จึงไม่น่าจะมีเหตุผลหรือความชอบธรรมใด ๆ อีกเลยที่แนวความคิดสามานย์ ที่ว่าด้วยการใส่ร้าย หรือยัดเยียดข้อกล่าวหาที่รุนแรง ประจาน และลงโทษกันเองโดยขาดเหตุผลแบบนี้ จะกลับฟื้นคืนชีพ กลายเป็นสิ่งพึงพิศมัย สามารถปรากฏตัว และผสมผสานอยู่ได้กับพฤติกรรมของคนรุ่นใหม่ในโลกอินเทอร์เน็ต คนที่อ้างหรือเชื่อว่าตนมีความเป็นศิวิไลน์แล้วในยุคข้อมูลข่าวสาร ที่สำคัญกว่านั้น คือ มันกำลังกลายเป็นความรุนแรงอีกรูปแบบหนึ่งที่เกิดขึ้นในโลกออนไลน์หรือโลกเสมือน นอกเหนือจากความรุนแรงในโลกแห่งความเป็นจริงที่ประเทศไทยกำลังเผชิญอยู่ชนิดที่ยังไม่มีใครล่วงรู้ถึงจุดจบ อนึ่ง ปัจจุบัน มิเพียงแต่ในเครือข่าย Social Network อย่าง Feacbook เท่านั้น แต่กลุ่มที่มีแนวความคิดแบบเดียวกันนี้ยังใช้วิธีการส่งต่อข้อมูลทางจดหมายอิเล็กทรอนิกส์ หรืออีเมลเพื่อประจานเหยื่อแบบเป็นกลุ่มลูกโซ่อีกด้วย
การถูกนำ ชื่อจริง นามสกุลจริง ประวัติการศึกษา ชื่อบิดามารดา เบอร์โทรศัพท์ รสนิยมส่วนตัวในเรื่องต่าง ๆ มาเปิดเผย การถูกรุมด่าด้วยถ้อยคำหยาบคาย ถูกสมาชิกในกลุ่มล่าแม่มด ฯ วิเคราะห์ไปในเชิงที่จะถูกดูหมิ่น เสื่อมเสียเกียรติยศ ชื่อเสียง การถูกไล่ออกจากงาน ถูกเจ้าหน้าที่รัฐจับในข้อหาต่าง ๆ อาจเป็นเรื่องเล็กน้อยมาก เมื่อเทียบกับการถูกโทรศัพท์ข่มขู่จะเอาชีวิต และร่างกาย ซึ่งเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจริง แต่หลายคนอาจยังไม่รู้
ด้วยผลพวงต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นจากการปรากฏการณ์การ ล่าแม่มด ในอินเทอร์เน็ต (ไทย) ซึ่งกำลังปฏิบัติการกันอยู่อย่างเป็นการเป็นงาน อีกทั้งดูเหมือนจะได้รับการสนับสนุนจากผู้มีอำนาจในบ้านเมืองบางกลุ่มอยู่ด้วย ในทศวรรษนี้ ผู้เขียนมีข้อสังเกต รวมทั้งอยากให้ข้อเสนอแนะสำหรับผู้ได้รับผลกระทบโดยตรงจากการกระทำเหล่านี้ ดังนี้
1.เรื่องนี้อาจทำให้หลาย ๆ คนที่ก่อนหน้านี้ไม่ได้สนใจ หรือให้ความสำคัญนักกับ ข้อมูลส่วนบุคคล ของตัวเอง ที่ถูกคีย์ หรือส่งเข้าไปโลดแล่นอยู่ในเครือข่ายออนไลน์สาธารณะ ทั้งจะโดยตั้งใจ หรือไม่ตั้งใจให้คนอื่นนำไปใช้ต่อก็ตาม เริ่มหันมองปัญหา หรือกระทั่งมองหากฎหมายที่ว่าด้วย การคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล ในประเทศไทยมากขึ้น แต่ความสนใจในปัญหานี้ย่อมยังไม่เพียงพอ เพราะที่ถูกแล้วคนไทยควรต้องหันมาสนใจมาตรการการป้องกันตนเอง จากการถูกใช้ข้อมูลส่วนบุคคลไปในทางอื่นใดที่มิชอบด้วยกฎหมายด้วย
2.น่าเศร้าใจว่า คนรุ่นใหม่ที่ควรคาดหวังได้ว่ามีหัวก้าวหน้า เคารพในสิทธิเสรีภาพในความเชื่อความศรัทธา เคารพพื้นที่ความเป็นส่วนตัว โดยเฉพาะอย่างยิ่งเคารพข้อมูลส่วนบุคคล ทรัพย์ดิจิตอล ที่ถูกยกให้มีความสำคัญ และควรได้รับความคุ้มครองที่สุดในยุคเทคโนโลยีสารสนเทศ กลุ่มคนที่ครั้งหนึ่งเรียกร้องให้คนอื่นเคารพสิทธิเสรีภาพของตนเพราะได้รับผลกระทบจากการชุมนุมของคนเสื้อแดง กลับไม่มีความศรัทธาในระบอบประชาธิปไตย ความเสมอภาคในการแสดงความคิดเห็น ขาดความเคารพในสิทธิเสรีภาพ ไม่ แม้กระทั่งเคารพข้อมูลของบุคคลอื่น หลายคนทำลืมไปว่า ข้อมูล ของตนเอง ณ ปัจจุบันก็โลดแล่นอยู่ในระบบออนไลน์นี้เช่นกัน บางคนทำเป็นไม่ใส่ใจว่าถ้าเหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้นกับตนบ้างตนจะมีความรู้สึกหรือต้องได้รับความเสียหายอย่างไร บุคคลผู้เรียกตัวเองว่าเป็นคนทันสมัยเหล่านี้ กลับมีความคิดคับแคบ และใช้วิธีการแย่เสียยิ่งกว่า Hacker คนที่ได้ชื่อว่าเป็นอาชญากรคอมพิวเตอร์ แต่ในยุคหนึ่งพวกเขาเคยกำหนดจรรยาบรรณร่วมกันไว้ข้อหนึ่งว่า จงใช้ข้อมูลสาธารณะ ในขณะที่ต้องคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล [2]
3.น่าสนใจว่า ในขณะที่หลักการ และเหตุผลในกระบวนการลงโทษทางสังคม (Social Sanction) ที่ตั้งอยู่บนอารมณ์ ความรู้สึก หลาย ๆ กรณีที่ปรากฏอยู่ในขบวนการดังกล่าว ไม่ได้สอดคล้องกับหลักการที่ปรากฏในบทบัญญัติของกฎหมายเลย แต่เจ้าหน้าที่ของรัฐไทยกลับตอบสนองข้อเสนอของขบวนการนี้ด้วยความรวดเร็วฉับไว ผิดกับการตอบสนองต่อการร้องเรียนให้ตรวจสอบการกระทำต่าง ๆ ที่น่าจะไม่ชอบด้วยกฎหมาย ทั้งนี้ทั้งที่กระทำโดยเจ้าหน้าที่รัฐ และของบุคคลกลุ่มอื่นใด ที่ไม่ใช่กลุ่มคนเสื้อแดง หรือกลุ่มที่ดูเหมือนจะสนับสนุนคนเสื้อแดง ซึ่งมักเป็นไปด้วยความล่าช้า ประวิงเวลา หรือกระทั่งโยนข้อร้องเรียนนั้นทิ้งด้วยข้ออ้างว่าตนไม่มีอำนาจ
แม้ มาตรา 112 แห่งประมวลกฎหมายอาญา ที่ว่าด้วยการหมิ่นประมาทประมุขแห่งรัฐฯ มีหลักเกณฑ์ที่แตกต่างจากการหมิ่นประมาทบุคคลธรรมดาอยู่หลายประการ กล่าวคือ ใครกล่าวโทษฟ้องร้องก็ได้, ยอมความไม่ได้, ไม่มีข้อยกเว้นความผิด หรือยกเว้นโทษ และมีโทษหนักมาก แต่ควรต้องเข้าใจด้วยว่า องค์ประกอบความผิดในมาตรานี้ไม่ได้มีความแตกต่างไปจากองค์ประกอบความผิดตามมาตรา 326 แห่งประมวลกฎหมายอาญา ที่ว่าด้วยการหมิ่นประมาทบุคคลธรรมดาเลยคือ ต้องเป็นการใส่ความ โดยประการที่น่าจะทำให้ผู้ถูกใส่ความนั้น เสียชื่อเสียง ถูกดูหมิ่น หรือถูกเกลียดชัง จากบุคคลอื่น หรือบุคคลที่สาม
จริงอยู่ที่ว่า การใส่ความนั้นไม่ได้หมายเฉพาะแต่การพูด การเขียน แต่หมายรวมไปถึงพฤติกรรม การกระทำ การแสดงท่าทางด้วย จริงอยู่ที่พฤติกรรมบางอย่าง ที่ถือไม่ได้ว่าถึงขั้นใส่ความแล้ว กับคนในสถานะหนึ่ง อาจเป็นการใส่ความที่เป็นหมิ่นประมาทได้เหมือนกัน ถ้าพูด เขียน หรือกระทำกับคนในอีกสถานะหนึ่ง แต่การวินิจฉัยว่าการกระทำหนึ่ง ๆ จะถึงขั้นหมิ่นประมาทหรือไม่ อย่างไร นอกจากต้องพิจารณาจากมุมผู้ถูกใส่ความเอง และศาล แล้ว จำเป็นต้องดูความคิดความเห็นของ วิญญูชน อื่น ๆ (ไม่ใช่คนกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งที่ชัดเจนว่ามีความเกลียดชัง หรือมีอคติต่อผู้ถูกกล่าวหาว่ากระทำความผิด) ประกอบด้วยว่า มีความร้ายแรงถึงขนาดที่จะทำให้บุคคลผู้ถูกใส่ความ ถูกสังคม และผู้คนเกลียดชัง ดูถูกดูแคลน ได้หรือไม่
จากเหตุการณ์ล่าสุดที่เกิดขึ้นย่อมถือเป็นสิ่งท้าทายความกล้าหาญทางวิชาชีพของ นักกฎหมาย และนักปฏิบัติการตามกฎหมาย เช่นกัน ที่จะต้องร่วมกันตั้งคำถามและวินิจฉัยให้ได้ว่าการ ปลดรูป ลง ถือเป็นการกระทำที่ถึงระดับขั้นที่ว่านี้แล้วหรือไม่ การกระทำเช่นนั้นแสดงได้แล้วหรือว่าจะทำให้ผู้คนทั่วไปที่ได้รู้เหตุการณ์นี้ เกิดความเกลียดชังเจ้าของรูป ทำนองเดียวกันกับกรณีการ ไม่ยืน เมื่อเพลงสรรเสริญพระบารมีดังขึ้น ถือเป็นพฤติกรรม หรืออาชญากรรมหนึ่งที่ถึงขั้นใส่ความแล้วฉะนั้นหรือ ? ที่สำคัญไม่ควรลืมว่า กฎหมายอาญาจะลงโทษ หรือจะลิดรอนสิทธิเสรีภาพของบุคคลใดบุคคลหนึ่งที่การกระทำความผิดในกลุ่ม หมิ่นประมาท นี้ได้ ก็ต่อเมื่อ ความเสียชื่อเสียง การถูกดูหมิ่น หรือการถูกเกลียดชัง นั้น เกิดขึ้นหรือน่าจะเกิดขึ้นกับ ผู้ถูกกระทำ หาใช่ ผู้กระทำ ไม่ แต่สิ่งที่กำลังเกิดขึ้นอย่างมากในประเทศไทย ก็คือ มิเพียงการตีความการกระทำความผิดในฐานนี้จะกว้างขวางไร้ขอบเขตแล้ว ยังดูเหมือนว่าความเสื่อมเสียทั้งหลายบรรดามี มักเกิดขึ้นทันทีต่อตัวผู้กระทำเอง และบางครั้งถึงขั้นเกี่ยวพันหรือมีอิทธิพลต่อความเป็นกลางของหน่วยงานผู้ตัดสิน
กฎหมายอาญาเปรียบเสมือนของมีคม ถูกนำไปใช้ลงโทษผู้ใดเมื่อใดผู้นั้นก็ต้องได้รับบาดเจ็บ หลักสำคัญที่สุดที่ถูกวางไว้ทั้งในแง่มุมของการบัญญัติ และการใช้บังคับกฎหมายประเภทนี้ จึงมีถึง 4 ประการด้วยกัน คือ ต้องบัญญัติให้ชัดเจนว่าอะไรห้าม หรืออะไรไม่ห้าม ต้องไม่ใช้วิธีตีความเทียบเคียงจากกฎหมายอื่นใดมาให้เป็นโทษแก่ผู้ถูกกล่าวหา ห้ามลงโทษย้อนหลัง รวมกระทั่งห้ามเอาจารีตประเพณีมาใช้ในทางที่เป็นโทษกับผู้ต้องหา แต่การณ์กลับปรากฏว่า กฎหมายหลายต่อหลายฉบับ และการใช้กฎหมายหลายต่อหลายครั้งในช่วงที่ผ่านมาในประเทศ หมิ่นเหม่ และถูกตั้งคำถามถึงความชอบด้วยหลักการทางกฎหมายอาญาอยู่เสมอ อย่างไรก็ตาม ดูเหมือนคนไทยจำนวนมาก (ที่ยุยงให้ใช้กฎหมายอาญาโดยไม่สนใจหลักการที่ถูกต้อง) จะไม่เคยเรียนรู้ หรืออยากที่จะเรียนรู้ถึงความเสียหาย หรือรู้สึกหวาดผวากับผลกระทบใด ๆ เลย ตราบใดที่ผลกระทบและปัญหาเหล่านั้นยังไม่เกิดขึ้นกับตัวเขา หรือครอบครัวของเขาเอง
4.คงไม่แปลกอีกต่อไปแล้วกระมัง หากจะไม่ปรากฏข้อเรียกร้องความเป็นธรรมใด ๆ จากกลุ่มที่ทำงานด้านสิทธิมนุษยชน หรือกลุ่มสันติวิธีที่ตั้งขึ้นเองจำนวนมาก เกี่ยวกับการนำรูป นำข้อมูลส่วนบุคคล ออกมาเผยแพร่ (เสียบ)ประจาน คนที่เห็นด้วย หรือทำท่าว่าจะเห็นด้วยกับการชุมนุมของคนเสื้อแดง เพื่อให้คนอีกจำนวนมากที่อยู่ฝั่งตรงข้ามเข้ามาต่อว่า ด่าทอด้วยถ้อยคำหยาบคาย รุนแรง หรือกระทั่งปลุกปั่น ยุงยงให้คนที่พบเห็นทำร้ายชีวิตร่างกายของบุคคลนั้น
5.ไม่แน่ใจว่า ในประเทศไทยเคยมีความเคลื่อนไหวใด ๆ จากภาคสังคม กลุ่มพนักงาน แรงงาน ฯลฯ ในประเด็นที่เกี่ยวพันกับการเลิกจ้างอันไม่เป็นธรรมด้วยข้ออ้างที่ไร้เหตุผล และพยานหลักฐานที่ไม่แน่นหนา โดยผู้ประกอบการบ้างหรือไม่ อาจเคยมีก็ได้ แต่ครั้งนี้ยังไม่เห็น
ข้อเสนอแนะสำหรับผู้ใดก็ตามที่ถูกขบวนการดังกล่าวนำข้อมูลส่วนบุคคลของตน มาเปิดเผย นำออกแสดง หรือนำไปใช้ในทางที่น่าจะก่อให้เกิดความเสียหายอย่างใดอย่างหนึ่งขึ้น
1.เบื้องต้น ในประเด็นด้านเทคโนโลยีคอมพิวเตอร์ ธรรมชาติของสื่อสาธารณะออนไลน์ รวมทั้งปัญหาช่องโหว่ของกฎหมาย (สถานภาพปัจจุบันของ พระราชบัญญัติคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล คือ ร่าง) โปรดเพิ่มความระมัดระวังให้มากขึ้น ในการส่งข้อมูลส่วนบุคคลในแง่มุมต่าง ๆ ของท่านไปไว้ในบริการต่าง ๆ บนเครือข่ายออนไลน์ ทั้งนี้ไม่เฉพาะแต่เครือข่ายขนาดใหญ่อย่างอินเทอร์เน็ต แต่หมายรวมถึงเครือข่ายภายในอย่างอินทราเน็ต ด้วย
สำหรับข้อมูลใด ๆ ที่อยู่ในระบบสาธารณะอยู่แล้ว ปัญหาที่ต้องสนใจ ก็คือ บุคคลอื่นใดจะนำไปเปิดเผยที่อื่นนอกเหนือจากที่ ๆ เจ้าของนำไปโพสไว้ได้หรือไม่ ? ซึ่งประเด็นนี้อาจยังติดปัญหาดังกล่าวไปแล้วเรื่อง คือ กฎหมายที่จะเข้ามาคุ้มครองตรง ๆ ยังไม่มี แต่หากปรากฎชัด หรือผู้ได้รับความเสียหายมีพยานหลักฐานในเบื้องต้น หรือมีเหตุอันชัดเจนว่า ขบวนการล่าแม่มดออนไลน์ เจาะระบบ ดักรับ หรือจรากรรมข้อมูลส่วนบุคคลอื่นใดที่ผู้เป็นเจ้าของไม่เคยนำไปโพสไว้ในบอร์ด หรือพื้นที่สาธารณะที่ไหนเลย การกระทำของสมาชิกขบวนการแม่มดฯ ดังกล่าวย่อมเข้าข่ายเป็นความผิดตาม พระราชบัญญัติการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ. 2550 มาตรา 5, 7 หรือ 8 ได้
2.หากผู้ถูกประจานประเมินแล้วว่า ตนได้รับความเสียหายจากการกระทำต่าง ๆ โดยขบวนการล่าแม่มดออนไลน์ ในที่นี้หมายถึง ทั้งจากการที่ข้อมูลส่วนบุคคลถูกนำไปเปิดเผยในที่อื่นใดโดยฝ่าฝืนต่อความประสงค์ เป็นเหตุให้ข้อมูลนั้นแพร่กระจายหรือถูกนำไปใช้ต่อด้วยวัตถุประสงค์อื่น และทั้งจากการถูกรุมด่าประณามด้วยถ้อยคำเสียหายแบบขาดไร้พยานหลักฐาน ก่อให้ถูกดูหมิ่น เสื่อมเสียเกียรติและชื่อเสียง ถูกเกลียดชัง และข้อความต่าง ๆ เหล่านั้นไม่เป็นความจริง กรณีต่าง ๆ เหล่านี้ สามารถพิจารณาได้กับความเสียหายในทางแพ่ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในข้อหา ละเมิด ตามมาตรา 420 อันเป็นบททั่วไป หรือมาตรา 423 ที่ว่าด้วยการหมิ่นประมาท ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ซึ่งเหล่านี้ผู้เสียหายสามารถเรียกร้องค่าสินไหมทดแทน หรือให้ศาลใช้มาตรการเยียวยาอื่นใดได้ เช่น ลบข้อความนั้นเสีย หรือลงข้อความขอโทษในสื่อตามระยะเวลากำหนด (มาตรา 447 ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์)
มาตรา 420 ผู้ใดจงใจหรือประมาทเลินเล่อ ทำต่อบุคคลอื่น โดยผิดกฎหมายให้เขาเสียหายถึงแก่ชีวิตก็ดี แก่ร่างกายก็ดี อนามัยก็ดี เสรีภาพก็ดี ทรัพย์สินหรือสิทธิอย่างหนึ่งอย่างใดก็ดี ท่านว่า ผู้นั้นทำละเมิด จำต้องใช้ค่าสินไหมทดแทนเพื่อการนั้น
มาตรา 423 ผู้ใดกล่าวหรือไขข่าวแพร่หลาย ซึ่งข้อความอันฝ่าฝืนต่อความจริง เป็นที่เสียหายแก่ชื่อเสียงหรือเกียรติคุณของบุคคลอื่น ก็ดีหรือเป็นที่เสียหายแก่ทางทำมาหาได้ หรือทางเจริญของเขาโดย ประการอื่นก็ดี ท่านว่าผู้นั้นจะต้องใช้ค่าสินไหมทดแทนให้แก่เขาเพื่อความเสียหายอย่างใด ๆ อันเกิดแต่การนั้น แม้ทั้งเมื่อตนมิได้รู้ว่าข้อ ความนั้นไม่จริง แต่หากควรจะรู้ได้
ผู้ใดส่งข่าวสารอันตนมิได้รู้ว่าเป็นความไม่จริง หากว่าตนเอง หรือผู้รับข่าวสารนั้นมีทางได้เสียโดยชอบในการนั้นด้วยแล้วท่านว่าเพียงที่ส่งข่าวสารเช่นนั้นหาทำให้ผู้นั้นต้องรับผิดใช้ค่าสินไหม ทดแทนไม่
3. นอกจากข้อพิจารณาในทางแพ่งแล้ว การกระทำของขบวนการดังกล่าวยังอาจเข้าข่ายความผิดตามกฎหมายอาญาที่ว่าด้วยการ หมิ่นประมาทบุคคลอื่น ตามมาตรา 326 หรือ 328 แห่งประมวลกฎหมายอาญา ซึ่งมีทั้งโทษจำคุก และหรือปรับ ด้วย
มาตรา 326 ผู้ใดใส่ความผู้อื่นต่อบุคคลที่สาม โดยประการที่น่าจะ ทำให้ผู้อื่นนั้นเสียชื่อเสียง ถูกดูหมิ่นหรือถูกเกลียดชัง ผู้นั้นกระทำความผิดฐานหมิ่นประมาท ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินหนึ่งปี หรือ ปรับไม่เกินสองหมื่นบาทหรือทั้งจำทั้งปรับ
มาตรา 328 ถ้าความผิดฐานหมิ่นประมาทได้กระทำโดยการโฆษณา ด้วยเอกสาร ภาพวาด ภาพระบายสี ภาพยนตร์ ภาพหรือตัวอักษรที่ ทำให้ปรากฏด้วยวิธีใด ๆ แผ่นเสียง หรือสิ่งบันทึกเสียง บันทึกภาพ หรือบันทึกอักษร กระทำโดยการกระจายเสียง หรือการกระจายภาพ หรือโดยกระทำการป่าวประกาศด้วยวิธีอื่น ผู้กระทำต้องระวางโทษ จำคุกไม่เกินสองปีและปรับไม่เกินสองแสนบาท
โดยเมื่อพิจารณาจากพฤติการณ์ต่าง ๆ ที่ขบวนการล่าแม่มดออนไลน์กระทำแล้ว กล่าวคือ เพื่อ (เสียบ)ประจาน (ตามถ้อยคำที่กลุ่มใช้เอง) ย่อมถือไม่ได้ว่าการต่าง ๆ เหล่านั้นเป็น การติชมโดยสุจริต อันจะเป็นเหตุให้ได้รับยกเว้นความผิดตามมาตรา 329 ได้
อนึ่ง หากประสงค์จะยื่นคำฟ้องต่อศาลใด ๆ ควรเตรียมเก็บพยานหลักฐานทางอิเล็กทรอนิกส์ต่าง ๆ เตรียมพร้อมไว้ เนื่องจากข้อมูล ถ้อยคำ ข้อความ รูปภาพในลักษณะนี้ สามารถถูกเปลี่ยนแปลง ทำลาย หรือโยกย้ายเปลี่ยนที่ทางได้ในเวลาอันรวดเร็ว
4.มิเพียงแต่ความผิดที่กระทำต่อ ข้อมูลส่วนบุคคล เกียรติยศ ชื่อเสียง เท่านั้น ที่ขบวนการล่าแม่มดดังกล่าวควรต้องรับผิดชอบ แต่การกระทำความผิดต่อความปลอดภัย หรือเสรีภาพในชีวิต ร่างกาย อนามัย รวมทั้งสุขภาพจิตของเหยื่อผู้ถูกกระทำ ก็ควรตกอยู่ในความรับผิดชอบร่วมกันของขบวนการดังกล่าวด้วย ทั้งนี้ อาจเป็นได้ทั้งในนามตัวการร่วม ผู้ใช้หรือยุยง หรือผู้สนับสนุนให้เกิดการกระทำความผิดในฐานอื่นใด (หากจะเกิดขึ้นจริง) อาทิ การข่มขืนใจผู้อื่น โดยทำให้กลัวว่าจะเกิดอันตรายต่อชีวิต ร่างกาย เสรีภาพ ฯลฯ (มาตรา 309 ประมวลกฎหมายาอาญา) , ทำร้ายร่างกาย (มาตรา 297 ประมวลกฎหมายอาญา) ฯลฯ
5.หากมีบุคคลใดถูกไล่ออกจากงาน หรือถูกกระทำการใด ๆ โดยไม่เป็นธรรมในที่ทำงาน ด้วยเหตุผลเพียงเพราะถูกกลุ่มบุคคล หรือขบวนการลักษณะนี้กล่าวหา ประจานอย่างเลื่อนลอย บุคคลนั้นควรคิดหาทางเรียกร้องสิทธิตามกฎหมายคุ้มครองแรงงาน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในส่วนที่ว่าด้วย การเลิกจ้างอันไม่เป็นธรรม เพื่อเรียกร้องเงิน หรือมาตรการชดเชยควบคู่ไปด้วย
6.อาจรวมกลุ่มกันดำเนินการยื่นหนังสือเปิดผนึก หรือบันทึกร้องเรียนไปยัง ผู้บริหาร Facebook เกี่ยวกับพฤติกรรมที่ไม่เป็นมิตรต่อสิทธิเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นของขบวนการล่าแม่มดฯ ดังกล่าว โดยพยายามชี้ให้เห็นว่า นอกจากจะเป็นการกระทำที่ขัดต่อกฎหมายแล้ว ยังขัดต่อหลักสิทธิมนุษยชน และหลักการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลด้วย ขอให้ Facebook ใช้มาตรการที่เหมาะสมในการจัดการดูแลต่อไป
7.การตั้งกลุ่มต่อต้านขบวนการล่าแม่มดออนไลน์ อาทิ กลุ่ม Anti -Social Sanction: ยุทธการลงทัณฑ์ทางสังคม [3] ย่อมถือเป็นสิทธิ และทำได้ตามสมควร แต่ต้องระมัดระวัง และไม่ควรใช้วิธีการเช่นเดียวกับที่กลุ่ม Social Sanction: ยุทธการลงทัณฑ์ทางสังคม ใช้อยู่ ทั้งนี้เพื่อไม่ให้กลายเป็นการผลิตซ้ำความรุนแรง และแนวความคิดสามานย์ที่มีลักษณะทั้งขัดต่อกฎหมาย และขัดต่อสิทธิมนุษยชนเสียเอง
สุดท้ายนี้ ขอความสันติ อหิงสา จงมีมาพร้อม ๆ กับความเท่าเทียมเสมอภาค ไม่ว่าจะในโลกจริง หรือโลกเสมือนจริง
จากใจ แม่มดตนหนึ่ง ที่รอคอยการล่า
[1] //www.facebook.com/pages/Social-Sanction-yuthhkar-lng-thh-thang-sngkhm/108738429154376?ref=ts [2] //www.ccc.de/hackerethics [3] //www.facebook.com/pages/ANTI-Social-Sanction-yuthhkar-lng-thh-thang-sngkhm/103397556371253?v=wall
Create Date : 04 พฤษภาคม 2553 | | |
Last Update : 4 พฤษภาคม 2553 3:15:45 น. |
Counter : 570 Pageviews. |
| |
|
|
|
|
ชาตินี้ที่รัก เราคงรักกันไม่ได้
Fri, 2010-04-23 สมหญิง อาชาวานิชสกุล ที่มา ประชาไท
ไม่ว่าจะลงเอยเช่นไร การชุมนุมของคนเสื้อแดงเพื่อเรียกร้องให้รัฐบาลอภิสิทธิ์ยุบสภาตั้งแต่วันที่ 14 มีนาคมเป็นต้น ได้ช่วยทำให้ฉัน ตาสว่าง ในหลายๆ เรื่อง
1. ม็อบ นปช. เป็นม๊อบรับจ้าง?
ในรอบสองสามปีที่ผ่านมานี้ ฉันได้ยินได้ฟังมาโดยตลอดว่าชาวบ้านที่มาชุมนุมกับนปช. ต่างรับเงินมาจากหัวคะแนน คนละห้าร้อยบาทบ้าง พันบาทบ้าง คนพวกนี้ไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไรทั้งนั้น อุดมกงอุดมการณ์อะไรก็ไม่มี ใครให้เงินก็มา ดีกว่าอยู่บ้านเปล่าๆ แต่การที่พวกเขามาชุมนุม นอนกลางฟุตบาท กินกลางถนน ท่ามกลางเปลวแดดอันร้อนระอุของเดือนมีนาคม เมษายน ได้นานนับเดือนคงต้องมาด้วยอะไรที่มากกว่าเงินเป็นแน่ หากพวกเขาไม่มีใจ ไม่มีความหวัง ความเชื่อในบางสิ่งบางอย่างแล้ว พวกเขาจะอดทนตากแดดตากฝนกันได้ยาวนานเพียงนี้เชียวหรือ ยิ่งพวกที่ยอมเจ็บยอมตายในคืนที่รัฐบาลสั่งให้ทหารเข้าไป ขอคืนพื้นที่ แล้วยิ่งไม่ต้องสงสัยว่าเลยว่าพวกเขาเป็นเพียงม๊อบรับจ้าง
2. คนเสื้อแดงถูกหลอกใช้?
ไอ้พวกนี้มันควายทั้งนั้น ถูกไอ้พวกนักการเมืองชั่วมันหลอกใช้ ฉันได้ยินคำพูดทำนองนี้เต็มสองรูหูทั้งในที่ทำงาน ร้านอาหารหรูๆ และตามหน้าหนังสือพิมพ์ บนจอโทรทัศน์ หรือบนเฟซบุ๊ค แต่พอซักไซ้ถามต่อว่าพวกเขาโง่ตรงไหน ถูกหลอกใช้อย่างไร ส่วนใหญ่มักจะตอบกันไม่ค่อยจะได้ ได้แต่เสไปพูดเรื่องนักการเมืองชั่วบ้างล่ะ คนพวกนี้ไม่มีการศึกษาใครพูดอะไรก็เชื่อทั้งนั้น น้อยคนที่จะรู้จริงว่าคนเสื้อแดงคิดและรู้สึกอย่างไร เพียงแต่เห็นว่าพวกเขาเป็นคนบ้านนอกก็ทึกทักเอาเสียแล้วว่าเขาเป็นคนโง่ ยิ่งพวกนักข่าวแล้ว ฉันไม่เคยเห็นพวกเขาไปทำข่าวถามไถ่คนพวกนี้สักคำว่าพวกเขามากันทำไม ฉันมาคิดๆ ดูแล้ว ฉันว่าคนที่บอกว่าคนเสื้อแดงโง่ต่างหากที่โง่บรม วันๆ ได้แต่จำขี้ปากคนอื่นมาพูด รัฐบาลบอกอะไรก็เชื่อฟังเหมือนเด็กว่านอนสอนง่าย
3. สังคมไทย เป็นสังคม สองมาตรฐาน ?
ฉันได้ยินคำนี้มาพักใหญ่แล้วเรื่องสองมาตรฐาน แต่ไม่อยากจะปักใจเชื่อร้อยเปอร์เซ็นต์ เพราะยังอยากจะคิดว่ามันจะเป็นไปได้อย่างไรที่บรรดานักปราชญ์ นักวิชาการผู้ปราดเปรื่อง นักคิด นักเขียน ปัญญาชนผู้มากด้วยวิจารณญาณ แพทย์พยาบาลผู้ได้ชื่อว่าอุทิศตัวเพื่อช่วยชีวิตเพื่อนมนุษย์โดยไม่เลือกชั้นวรรณะ คณะกรรมการอิสระผู้ทรงเกียรติและศักดิ์ศรี สื่อมวลชน นักข่าว นักหนังสือพิมพ์ผู้ยึดมั่นในจรรยาบรรณ ตลอดจนศาลผู้สถิตย์ไว้ซึ่งความยุติธรรม จะพากันมีอคติ เลือกที่รัก มักที่ชั่ง ได้อย่างพร้อมเพรียงกัน ราวกับสั่งซ้ายหัน ขวาหันได้ แต่พฤติกรรมของคนทั้งหลายเหล่านี้ที่มีต่อคนเสื้อแดงในรอบหนึ่งเดือนที่ฉันเฝ้าติดตามดูอยู่นั้น เมื่อเทียบกับปฏิกิริยาของพวกเขาที่มีต่อพวกคนเสื้อเหลืองที่เคยชุมนุมบนถนน ยึดทำเนียบ และปิดสนามบิน ทำให้ฉันประจักษ์แน่ชัดแล้วว่า สังคมไทยมีสองมาตรฐานจริงๆ อย่าว่าแต่บรรดาผู้ทรงเกียรติและทรงศักดิ์ที่กล่าวมาข้างต้นนี้เลย แม้แต่ฟ้าก็ยังไม่เป็นใจให้กับคนเสื้อแดงเลย ไหนจะร้อนตับแตก ไหนจะฝนตกมาห่าใหญ่
4. สังคมไทยไม่มีชนชั้น?
สืบเนื่องจากเรื่องสองมาตรฐาน คือเรื่องไพร่กับอำมาตย์ นี่ก็เป็นเรื่องใหม่สำหรับฉัน อย่างที่รู้ๆกันว่าระบบไพร่หมดไปแล้วจากสังคมไทย แต่ ความเป็นไพร่ ความเป็นอำมาตย์ หาได้หายสาบสูญตามระบบไพร่ไปด้วย แต่มันยังอยู่และปรากฏตัวอย่างชัดเจนยิ่งขึ้นในการชุมนุมของคนเสื้อแดงครั้งนี้ ปฏิกิริยาของบรรดาท่านผู้ทรงเกียรติที่กล่าวมาก่อนหน้านี้ รวมไปถึงพฤติกรรมและท่าทีของบรรดาชนชั้นกลางในกรุงเทพฯ ที่ดูหมิ่นถิ่นแคลน เหยียดหยาม เยาะเย้ยคนเสื้อแดงทั้งโดยเปิดเผยและในหมู่คณะของพวกเขา (นับเป็นความโชคร้ายอย่างยิ่งที่ฉันก็อยู่ในหมู่คณะของคนเหล่านี้ด้วย) ทำให้ฉันไม่ประหลาดใจ เมื่อคนเสื้อแดงจะประกาศยืนยันความเป็นไพร่ของพวกเขาด้วยความภาคภูมิใจ และเป็นที่ถูกอกถูกใจคนจำนวนมากทั่วทั้งประเทศที่ถูกทำให้รู้สึกโดยตลอดมาว่าพวกเขาเป็นคนต่ำต้อยไร้ค่าในสายตาของท่านผู้ทรงศีลและมากด้วยภูมิปัญญาในกรุงเทพฯ
ที่ฉันไม่ค่อยจะเข้าใจนักก็คือ บรรดาอภิชน อภิสิทธิ์ชน และชนชั้นกลางในกรุงเทพฯเหล่านี้พูดมาตลอดว่าชาวบ้านคนต่างจังหวัด เป็นพวกโง่เง่า ขายสิทธิ์ ขายเสียง ถึงขนาดนำเอามาเป็นข้ออ้างเพื่อล้มรัฐบาลที่ชนะการเลือกตั้งก็เคยทำมาแล้ว ขณะเดียวกันก็ถือว่าตนเองคือผู้ฉลาดมีปัญญา มีศีลธรรม รู้ผิดชอบชั่วดีมากกว่าคนต่างจังหวัด พฤติกรรมและวจีกรรมเหล่านี้ก็คือการแบ่งแยกคน แบ่งแยกชนชั้นอย่างโจ่งแจ้ง แต่ครั้นเมื่อคนต่างจังหวัดลุกขึ้นมาประกาศว่า เออ โง่ก็โง่วะ กูเป็นไพร่ แล้วมึงจะทำไม บรรดาดัดจริตชนคนกรุงเทพฯ พาลจะเป็นจะตายเสียให้ได้ รีบมาจีบปากจีบคอบอกว่า สังคมไทยไม่มีไพร่ ไม่มีผู้ดี ไม่มีชนชั้น เราอยู่กันอย่างพี่อย่างน้อง มันจะอะไรกันนักกันหนา นี่จะเอามันซะทุกอย่างเลยหรืออย่างไร มือข้างหนึ่งก็ชี้หน้าด่าชาวบ้านว่าโง่ แต่มืออีกข้างก็โบกปัดพัลวัน บอกว่าเราเป็นพี่น้องกัน ชนชั้นไม่มีในสังคมไทย อภิชนและชนชั้นกลางบ้านเรานี้มันไร้น้ำยากันขนาดนี้เลยหรืออย่างไร กล้าทำก็ต้องกล้ารับบ้างจะเป็นไรไป
5. ใครใช้ความรุนแรงก่อนคือผู้แพ้?
เชื่อกันว่า ในการต่อสู้กับรัฐบาลด้วยการชุมนุมประท้วงนั้น ฝ่ายใดใช้ความรุนแรงก่อนจะต้องประสบกับความพ่ายแพ้อย่างไม่ต้องสงสัย เหตุการณ์หลายครั้งในประวัติศาสตร์ดูเสมือนว่าจะพิสูจน์สัจธรรมของความเชื่อดังกล่าว ไม่ว่าจะเป็นกรณี 14 ตุลาคม 2516 ที่ถนอม ประพาส ณรงค์ ต้องระเห็จออกนอกประเทศเพราะปราบปรามผู้ชุมนุม กรณีพฤษภาทมิฬในปี 2535 ที่สุจินดาจำต้องลาออกจากการเป็นนายกรัฐมนตรี หลังจากมีการนำทหารเข้ามาสลายการชุมนุม หรือในกรณี 7 เมษายน 2551 ที่รัฐบาลสมชายถูกประณามอย่างรุนแรงภายหลังเกิดการปะทะกับกลุ่มพธม.
สัจธรรม นี้จึงเป็นเสมือนเกราะกำบังที่ทำให้ผู้ชุมนุมทางการเมืองกล้าเสี่ยงฝ่าฝืนกฎหมาย เพราะมั่นใจว่ารัฐบาลจะไม่กล้าใช้ความรุนแรงสลายการชุมนุมทางการเมืองเป็นอันขาด แต่การระดมทหารติดอาวุธและยุทโธปกรณ์เต็มอัตราวุธเข้าสลายการชุมนุมคนเสื้อแดงเมื่อวันที่ 10 เม.ย. คือบทพิสูจน์ว่าสัจธรรมที่ว่านี้ไม่มีอยู่จริง แม้จะมีพลเรือนตายนับสิบและบาดเจ็บนับร้อย แต่รัฐบาลของนายอภิสิทธิ์ก็ยังอยู่เป็นปกติดี โดยรัฐบาลไม่จำเป็นต้องรับผิดใดๆ แม้แต่คำกล่าว ขอโทษ สักคำก็ไม่มี ซ้ำร้ายฝ่ายผู้ชุมนุมกลับถูกกล่าวหาว่าเป็น ผู้ก่อการร้าย เข้าให้อีก
ฉันไม่แปลกใจหรือผิดหวังอะไรหรอกที่นายอภิสิทธิ์จะไม่ออกมากล่าวขอโทษหรือยอมรับผิด เพราะรู้เช่นเห็นชาติบุคคลผู้ไร้ยางอายผู้นี้มาตั้งแต่ครั้งที่เขาออกมาเรียกร้องขอนายกพระราชทานแล้ว
แต่ฉันขอสารภาพว่าผิดหวังกับสื่อ องค์กรอิสระด้านสิทธิมนุษยชน องค์กรเอ็นจีโอต่างๆ ตลอดจนบรรดาปัญญาชน นักวิชาการ นักสันติวิธี และผู้ต่อต้านความรุนแรงทั้งปวง ที่ต่างพากันวางเฉยไม่ออกมาตำหนิหรือกดดันให้รัฐบาลต้องรับผิดในสิ่งที่กระทำลง ซ้ำร้ายจำนวนมากของคนเหล่านี้กลับออกมาพูดให้ทุกฝ่ายหยุดใช้ความรุนแรง ราวกับว่าเหตุการณ์วันที่ 10 เป็นเรื่องของคนสองฝ่ายยกพวกตีกัน ทั้งๆที่ก็เห็นอยู่ทนโท่ว่ารัฐบาลเป็นฝ่ายเปิดฉากส่งทหารติดอาวุธหนักเข้ามาสลายการชุมนุมในยามวิกาลซึ่งผิดหลักสากลอย่างไร้ข้อกังขา ที่เลวทรามยิ่งกว่าคือจำนวนมากของคนเหล่านี้ได้ออกมาเรียกร้องให้รัฐบาลจัดการกับผู้ชุมนุมให้หนักมือยิ่งขึ้น บ้างก็ออกมาป่าวร้องอย่างกระหายเลือดให้ฆ่าผู้ชุมนุมให้หมดไป ภายใต้ข้ออ้างเพื่อความอยู่รอดของชาติ และความผาสุกของคนกรุงเทพฯ และที่ชั่วช้าน่าขยะแขยงที่สุดคือการออกมาใส่ร้ายป้ายสีผู้ชุมนุมให้เป็น ผู้ก่อการร้าย เป็นขบวนการล้มสถาบันหลักของชาติ ไม่ผิดอะไรกับเมื่อการใส่ร้ายนักศึกษาประชาชนก่อนที่เกิดการสังหารหมู่เมื่อวันที่ 6 ตุลาคม 2519
ฉันอยากจะเตือนสติพวกท่านว่า เพียงเพื่อจะอุ้มรัฐบาลนี้กันต่อไป พวกท่านยอมลงทุนทำลายกฎเหล็ก ใครเริ่มต้นความรุนแรงก่อน เป็นผู้แพ้ อันเป็นเกราะกำบังคุ้มครองความปลอดภัยของผู้ชุมนุมทางการเมืองจากการใช้ความรุนแรงของรัฐ วันข้างหน้าพวกท่านจะต้องสำนึกเสียใจ เพราะไม่มีใครอยู่ค่ำฟ้า และรัฐบาลนี้ต่อให้ลากยาวไปจนหมดวาระ ก็เชื่อแน่ได้ว่าจะไม่มีวันหวนกลับมาอีกแน่ ฉันจะไม่แปลกใจเลยเมื่อถึงวันนั้นการชำระแค้นในครั้งนี้จะต้องเกิดขึ้นอย่างแน่นอน ถึงตอนนั้นเมื่อพวกท่านระดมคนมาชุมนุมทางการเมืองต่อต้านรัฐบาล ท่านจะเอาอะไรเป็นเกราะกำบังคุ้มครองได้
บัดนี้ฉันได้รู้ซึ้งแก่ใจแล้วว่าคนที่โหดเหี้ยมอำมหิตยิ่งเสียกว่าทหารหรือรัฐบาลก็คือบรรดาคนรอบๆตัวฉันนี่เอง คือราษฎรอาวุโส ปราชญ์ ปัญญาชน อาจารย์ตามรั้วมหาวิทยาลัย นักสันติวิธี เอ็นจีโอ สื่อมวลชน และชนชั้นกลางในกรุงเทพฯ ผู้อวดอ้างตนเองมาโดยตลอดว่าเป็นผู้ยึดมั่นในความจริง ฝักใฝ่ประชาธิปไตย เชิดชูคุณธรรมและความเป็นธรรม ฉันนึกไม่ออกจริงๆ ว่าหัวใจของคนเหล่านี้ทำด้วยอะไร พวกเขาไม่เพียงแต่จะวางเฉยปล่อยให้อำนาจอธรรมย่ำยี่ความจริงเท่านั้น แต่จำนวนมากได้ออกมาสนับสนุนและร่วมมือกระทำการใส่ร้ายและเข่นฆ่าประชาชนได้อย่างเลือดเย็น
ฉันไม่รู้ว่าสำนึกในเรื่องความยุติธรรมและความเป็นคนของพวกเขาได้ตกหล่นสูญหายไปตั้งแต่เมื่อไร หรือว่าจริงๆแล้วพวกเขาไม่เคยมีสำนึกเหล่านี้มาแต่ไหนแต่ไรแล้ว
ฉันนึกไม่ออกว่าจะมีสังคมใดและชาติใดที่คนเราจะโหดเหี้ยมอำมหิตต่อเพื่อนมนุษย์ด้วยกันได้อย่างเลือดเย็นดังที่ฉันได้ประสบในรอบหนึ่งเดือนที่ผ่านมานี้
อ้อแล้วก็เลิกพูดเสียทีเถอะว่าทั้งหมดนี้พวกท่านทำไปเพื่อชาติ ศาสน์ กษัตริย์ เพราะหากชาติที่พวกท่านชอบอ้างกันนักมีหน้าตาดังเช่นที่เป็นอยู่ในขณะนี้ ฉันต้องขอบอกว่า ชาตินี้ที่รัก เราคงรักกันไม่ได้
Create Date : 25 เมษายน 2553 | | |
Last Update : 25 เมษายน 2553 1:48:24 น. |
Counter : 537 Pageviews. |
| |
|
|
|
|
| |
|
ผม ไทยวรรษ สีทันดรสมุทร
สามัญชนคนเหมือนกัน(All normal Human)
คนจรOnline(ได้แค่ฝัน)แห่งห้วงสมุทรสีทันดร
(Online Dreaming Traveler of Sitandon Ocean)
กรรมกรกระทู้สาระ(แนว)อิสระผู้ถูกลืมแห่งโลกออนไลน์(Forgotten Free Comment Worker of Online World)
หนุ่มสันโดษ(ผู้มีชีวิตที่พอเพียง) นิสัยและความสนใจแปลกแยกในหมู่ญาติพี่น้องและคนรู้จัก
(Forrest Gump of the family)
หนุ่มตาเล็กผมสั้นกระเซิงรูปไม่หล่อพ่อไม่รวย แถมโสดสนิทและอาจจะตลอดชีวิตเพราะไม่เคยสนใจผู้หญิงกะเขาเลย
บ้าในสิ่งที่เป็นแก่นสารและสาระมากกว่าบันเทิงเริงรมย์
พร้อมแบ่งปันประสบการณ์ดีๆกับบันทึกในโลกออนไลน์แล้วครับ
กรุณาปรับหน้าจอเป็นขนาด1024*768เพื่อการรับชมBlog
ติดตามการเคลื่อนไหวของกรรมกรผ่านTwitter
และติดตามพูดคุยนำเสนอด้านมืดของกรรมกรผ่านTwitterอีกภาคหนึ่ง
ติชมแนะนำหรือขอให้เพิ่มเติมเนื้อหาWeblog กรุณาส่งข้อความส่วนตัวถึงผมโดยตรงได้ที่หลังไมค์ช่องข้างล่างนี้รับติดต่อเฉพาะผู้ที่มีอมยิ้มเป็นตัวเป็นตนเท่านั้น ไม่รับติดต่อทางE-Mailเพื่อสวัสดิภาพการใช้Mailให้ปลอดจากSpam Mailครับ Addชื่อผมลงในContact listของหลังไมค์
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|