ก็แค่Weblogดองๆทำเล่นไปเรื่อยแหละน่าของกรรมกรกระทู้ลงชื่อและเมล์ที่Blogนี้สำหรับผู้ที่ต้องการGmailครับ
เข้ามาแล้วกรุณาตอบแบบสอบถามว่าคุณตั้งหน้าตั้งตาเก็บเนื้อหาในBlogไหนของผมบ้างนะครับ
รับRequestรูปCGการ์ตูนไรท์ลงแผ่นแจกจ่ายครับ
ติดตามการเคลื่อนไหวของกรรมกรผ่านTwitter

เข้ามาเยี่ยมแล้วรบกวนลงชื่อทักทายในBlogไหนก็ได้Blogหนึ่งพอให้ทราบว่าคุณมาเยี่ยมแล้วลงสักหน่อยนะอย่าอายครับถ้าคุณไม่ได้เป็นหัวขโมยเนื้อหาBlog(Pirate)โจทก์หรือStalker

ความเป็นกลางไม่มีในโลก มีแต่ความเป็นธรรมเท่านั้นเราจะไม่ยอมให้คนที่มีตรรกะการมองความชั่วของ มนุษย์บกพร่อง ดีใส่ตัวชั่วใส่คนอื่น กระทำสองมาตรฐานและเลือกปฏิบัติได้ครองบ้านเมือง ใครก็ตามที่บังอาจทำรัฐประหารถ้าไม่กลัวเศรษฐกิจจะถอยหลังหรือประวัติศาสตร์จะซ้ำรอย ได้เจอกับมวลมหาประชาชนที่ท้องสนามหลวงแน่นอน

มีรัฐประหารเกิดขึ้นเมื่อไหร่ ขอให้มวลมหาประชาชนผู้รักประชาธิปไตยทุกท่าน จงไปชุมนุมพร้อมกันที่ท้องสนามหลวงทันที

พรรคการเมืองนะอยากยุบก็ยุบไปเลย แต่ึอำมาตย์ทั้งหลายเอ็งไม่มีวันยุบพรรคในหัวใจรากหญ้ามวลมหาประชาชนได้หรอก เสียงนี้ของเราจะไม่มีวันให้พรรคแมลงสาปเน่าๆไปตลอดชาติ
เขตอภัยทาน ที่นี่ไม่มีการตบ,ฆ่าตัดตอนหรือรังแกเกรียนในBlogแต่อย่างใดทั้งสิ้น
อยากจะป่วนโดยไม่มีสาระมรรคผลปัญญาอะไรก็เชิญตามสบาย(ยกเว้นSpamไวรัสโฆษณา มาเมื่อไหร่ฆ่าตัดตอนสถานเดียว)
รณรงค์ไม่ใช้ภาษาวิบัติในโลกinternetทั้งในWeblog,Webboard,กระทู้,ChatหรือMSN ถ้าเจออาจมีลบขึ้นอยู่กับอารมณ์ของBlogger
ยกเว้นถ้าอยากจะโชว์โง่หรือโชว์เกรียน เรายินดีคงข้อความนั้นเพื่อประจานตัวตนของโพสต์นั้นๆ ฮา...

ถึงอีแอบที่มาเนียนโพสต์โดยอ้างสถาบันทุกท่าน
อยากด่าใครกรุณาว่ากันมาตรงๆและอย่าได้ใช้เหตุผลวิบัติประเภทอ้างเจตนาหรือความเห็นใจ
ไปจนถึงเบี่ยงเบนประเด็นไปในเรื่องความจงรักภักดีต่อสถาบันฯเป็นอันขาด

เพราะการทำเช่นนี้รังแต่จะทำให้สถาบันฯเกิดความเสียหายซะเอง ผมขอร้องในฐานะที่เป็นRotational Royalistคนหนึ่งนะครับ
มิใช่Ultra Royalistเหมือนกับอีแอบทั้งหลายทุกท่าน

หยุดทำร้ายประเทศไทย หยุดใช้ตรรกะวิบัติ รณรงค์ต่อต้านการใช้ตรรกะวิบัติทุกชนิด แน่นอนความรุนแรงก็ต้องห้ามด้วยและหยุดส่งเสริมความรุนแรงทุกชนิดไม่ว่าทางตรงทางอ้อมทุกคนทุกฝ่ายโดยเฉพาะพวกสีขี้,สื่อเน่าๆ,พรรคกะจั๊ว,และอำมาตย์ที่หากินกับคนที่รู้ว่าใครต้องหยุดปากพล่อยสุมไฟ ไม่ใช่มาทำเฉพาะเสื้อแดงเท่านั้นและห้ามดัดจริต


ใครมีอะไรอยากบ่น ก่นด่า ทักทาย เชลียร์ เยินยอ ไล่เบี๊ย เอาเรื่อง คิดบัญชี กรรมกรกระทู้(ยกเว้นSpamโฆษณาตัดแปะรำพึงรำพัน) เชิญได้ที่ My BoardในMy-IDของกรรมกรที่เว็ปเด็กดีดอทคอมนะครับ


Weblogแห่งนี้อัพแบบรายสะดวกเน้นหนักในเรื่องข้อมูลสาระใช้ประโยชน์ได้ในระยะยาว ไม่ตามกระแส ไม่หวังปั่นยอดผู้เข้าชม
สำหรับขาจรที่นานๆเข้ามาเยี่ยมสักที Blogที่อัพเดตบ่อยสุดคือBlogในกลุ่มการเมือง
กลุ่มหิ้งชั้นการ์ตูนหัวข้อรายชื่อการ์ตูนออกใหม่รายเดือนในไทย
และรายชื่อการ์ตูนออกใหม่ที่ญี่ปุ่นในตอนนี้

ช่วงที่มีงานมหกรรมและสัปดาห์หนังสือแห่งชาติประจำครึ่งปี(ทวิมาส)จะมีการอัพเดตBlogในกลุ่มห้องสมุดรวมสาระอุดมปัญญา
และหิ้งชั้นการ์ตูนของกรรมกรกระทู้


Hall of Shame กรรมกรมีความภูมิใจที่ต้องขอประกาศหน้าหัวนี่ว่า บุคคลผู้มีนามว่า ปากกาสีน้ำ......เงิน หรือ กลอน เป็นขาประจำWeblogแห่งนี้ที่เสพติดBlogการเมืองและใช้เหตุวิบัติอ้างเจตนาในความเกลียดชังแม้วเหลี่ยมและความเห็นใจในสถาบัน เบี่ยงประเด็นในการแสดงความเห็นเป็นนิจ ขยันขันแข็งแบบนี้เราจึงขอขึ้นทะเบียนเขาคนนี้ในหอเกรียนติคุณมา ณ ที่นี้ จึงประกาศให้ทราบโดยทั่วกัน

Group Blog
นิยายดองแต่งแล่นบันทึกการเดินทางของกรรมกรกระทู้คำทักทายกับสมุดเยี่ยมพงศาวดารมหาอาณาจักรบอร์ดพันทิพย์สาระ(แนว)วงการการ์ตูนมารยาทในสังคมออนไลน์ที่ควรรู้แจกCDพระไตรปิฎกฟรีรวมเนื้อเพลงดีๆจากดีเจกรรมกรกระทู้รวมแบบแผนชีวิตของกรรมกรกระทู้ชั้นหิ้งการ์ตูนของกรรมกรกระทู้ภัยมืดของโลกออนไลน์เรื่องเล่าในโอกาสพิเศษห้องสมุดรวมสาระอุดมปัญญาของกรรมกรกระทู้กิจกรรมของกรรมกรกระทู้กับInternetคุ้ยลึกวงการบันเทิงโทรทัศน์ตำราพิชัยสงครามซุนวูแฟนพันธ์กูเกิ้ลหน้าสารบัญคลังเก็บรูปกล่องปีศาจ(ขอPasswordได้ที่หลังไมค์)ลูกเล่นเก็บตกจากเน็ตสาระเบ็ดเตล็ดรู้จักกับงานเทคนิคการแพทย์ของกรรมกรรวมภาพถ่ายโดยช่างภาพกรรมกรรวมกระทู้ดีๆการเมือง1กรรมกรกับโรคAspergerรวมกระทู้ดีๆการเมือง2ความเลวของสื่อความเลวของพรรคประชาธิปัตย์ความเลวของอำมาตย์ศักดินาข้อมูลลับส่วนตัวกรรมกรที่ไม่สามารถเผยได้ในการทั่วไปข้อเท็จจริงเกี่ยวกับวัดพระธรรมกายรวมบทความเกี่ยวกับเศรษฐกิจการเงินเจาะฐานการเมืองท้องถิ่น

ถึงผู้ที่ต้องการขอpasswordกล่ิองปีศาจหรือFollowing Userใต้ดินเพื่อติดตามข่าวการอัพเดตกล่องปีศาจและดูpasswordมีเงื่อนไขว่ากรุณาแจ้งอายุ ระดับการศึกษาหรืออาชีพการงาน และอำเภอกับจังหวัดของภูมิลำเนาที่คุณอยู่ เป็นการแนะนำตัวท่านเองตอบแทนที่ผมก็แนะนำตัวเองในBlogไปแล้วมากมายกว่าเยอะ อีกทั้งยังเก็บรายชื่อผู้เข้ามาเยี่ยมGroup Blogนี้ไปด้วย
ถ้าอยากให้คำร้องขอpasswordหรือการFollowing Userใต้ดินผ่านการอนุมัติขอให้อ่านBlogข้างล่างนี่นะครับ
ข้อแนะนำการเขียนProfileส่วนตัว

อยากติดตั้งแถบโฆษณาแนวนอน ณ ที่ตรงนี้จังเลยพับผ่าสิเมื่อไหร่มันจะยอมให้ใช้Script Codeได้นะเนี่ย เพราะคลิกโฆษณาที่ได้มาตอนนี้ได้มาจากWeblogของผมที่Exteen.comซึ่งทำได้2-4คลิกมากกว่าที่นี่ซึ่งทำได้แค่0-1คลิกซะอีก ทั้งๆที่ยอดUIPที่นี่เฉลี่ยที่400กว่าแต่ของExteenทำได้ที่200UIP ไม่ยุติธรรมเลยวุ้ยน่าย้ายฐานจริงๆพับผ่า
เนื่องจากพี่ชายของกรรมกรแนะนำW​eb Ensogoซึ่งเป็นWebขายDeal Promotion Onlineสุดพิเศษ ซึ่งมีอาหารและของน่าสนใจราคาถูกสุดพิเศษให้ได้เลือกกัน ใครสนใจก็เชิญเข้ามาลองชมดูได้ม​ีของแบบไหนที่คุณสนใจบ้าง

คนไทยเลอะเลือนกันไปใหญ่แล้ว!

ชื่อบทความเดิม: การเมืองยุคผู้ดีเดินตรอก ขี้ครอกเดินถนน กระเบื้องเฟื่องฟูลอย น้ำเต้าถอยจม



ยามเฝ้าบ้านตัวเอง



การเมืองไทย 3 ปีที่ผ่านมา ช่างพิลึกพิลั่นกลับตาลปัตรหลายตลบจนน่าสงสัยว่าประเทศไทยแปลกประหลากพิสดารกว่าใครในโลก หรือคนไทยเพ้อเจ้อเลอะเลือนกันไปใหญ่แล้ว

ลองพิจารณาปรากฏการณ์ต่อไปนี้ดู



1. คนรวยเกือบที่สุดในประเทศกลายเป็นขวัญใจมหาประชาชนคนรากหญ้า เลือกกี่ครั้งก็ชนะถล่มถลายทุกที จึงถูกมองว่าเป็นการแข่งบุญวาสนาบารมีกับคนรวยที่สุดในประเทศอีกคนซึ่งก็เป็นขวัญใจมวลมหาประชาชนเช่นกัน



2. ภาคประชาชนทนไม่ได้จึงต้องออกมาต่อต้านประชาชนและเรียกหาพระราชอำนาจของพระเจ้าอยู่หัวพระองค์เดียวเข้ามาแทรกแซง พระเจ้าอยู่หัวบอกใช้มาตรา 7 ไม่ได้เพราะไม่เป็นประชาธิปไตย



3. ทหารจึงแทรกแซงเพื่อประชาธิปไตย แถมทำอย่างสันติ๊ สันติ หน่อมแน้ม น่ารัก น่าหอมสักฟอด ไม่ดุเด็ดน่ากลัวอย่างชายชาติทหารเลย



4. พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย เป็นตัวแบบของความกลับตาลปัตรที่ขำกลิ้งจนร้องไห้แล้วก็ยังเข้าใจไม่ได้



4.1 พันธมิตรฯ มีผลงานต่อต้านฉุดกระชากประชาธิปไตยให้ถอยหลังลงคลองเป็นลำดับไม่ขาดสาย เริ่มจากเรียกร้องพระราชอำนาจ ต่อมาเชิญชวนทหารให้ออกมาทำรัฐประหาร ต่อมาหนุนคณะรัฐประหารสุดตัว ต่อมาไม่พอใจเพราะรัฐบาลคณะรัฐประหารเด็ดขาดไม่พอ เผด็จการไม่พอ พวกเขาหนุนองค์กรและกลไกเผด็จการทุกประเภทอย่างสุดตัว รวมทั้งรัฐธรรมนูญฉบับไม่ไว้ใจประชาชน หนุน “ศาลเจ้าภิวัฒน์” และปวารณาตัวเองเป็น “ยามเฝ้าศาลเจ้า”



ทั้งหมดนี้เรียกว่า ประชาธิปไตยแบบไทยๆ



4.2 ครั้นเลือกตั้งตามกติกามัดมือไพล่หลังคู่ต่อสู้แล้ว ฝ่ายตนก็ยังแพ้ ตอนนี้เขาเลยบอกว่าอย่าไปเลือกเลิกแม่งเลย เอาการเมืองใหม่ดีกว่า เลือกกันเล่นๆ พอเป็นกับแกล้ม 30% แล้วยกอำนาจให้ 70% ที่ประชาชนไม่ได้เลือกดีกว่า



ที่อื่นๆ ในโลกเขาประณามระบบซึ่งค่อยๆ ตายจากโลกนี้ไปทุกทีนี้ว่า อำนาจนิยม คณาธิปไตย แต่พันธมิตรฯ คงสอบตกรัฐศาสตร์ หลงคิดว่าเป็นของใหม่ จึงปะหน้าทาแป้งให้สวยเช้งว่าเป็น “การเมืองใหม่” (โอ๊ย...งงระเบิดเลย เห็นเมืองไทยเป็นจูราสสิคปาร์คหรือไงถึงคิดว่านี่เป็นการเมืองใหม่)



4.3 พันธมิตรฯ อวดว่า อภิชนาธิปไตยค่อนใบแบบนี้เป็นความคิด “ล้ำเส้น” ยากที่จะเข้าใจ อือม์...ยากที่จะเข้าใจจริงๆ แหละ เพราะความคิดนี้ล้าหลัง ถอยหลังจนไม่นึกว่าจะมีใครคิดพิเรนทร์แบบนี้อีกแล้ว ผู้คนจังงังกันเป็นแถวไม่ใช่เพราะล้ำหน้า แต่เพราะแทนที่จะพยายามวิ่งเข้าไปยิงประตูข้างหน้า พันธมิตรฯ กลับวิ่งถอยหลังจนหลุดออกนอกเส้นหลังประตูตัวเอง



งงจริงๆ ไม่รู้ว่าจะมีความฉลาดแบบกลับตาลปัตรได้ถึงขนาดนี้ เหลือเชื่อจริงๆ



4.4 ไม่ว่าที่ไหนในโลก เขาวิจารณ์ข้อจำกัดของระบอบประชาธิปไตยแบบตัวแทนเพราะเขาต้องการให้เพิ่มอำนาจโดยตรงแก่ประชาชนให้ปกครองกันเอง จำกัดอำนาจของรัฐและตัวแทนรัฐ แต่พันธมิตรฯ วิจารณ์ระบอบประชาธิปไตยแบบตัวแทนว่าล้มเหลว เพื่อเสนอว่าในเมื่อคนส่วนใหญ่ของประเทศลงคะแนนเลือกคู่ต่อสู้ของตนเข้ามาเป็นพวกโง่ดักดาน สอนเท่าไหร่ก็ยังเลือกทุนสามานย์อยู่ได้ จึงควรลดอำนาจประชาชนซะ ให้พวกโง่ๆ มีอำนาจแค่ 30% ก็พอ เอาอำนาจให้ผู้ทรงคุณธรรมชั้นสูงเลือกสรรแต่งตั้งคนที่ตนพอใจอีก 70% ดีกว่า



4.5 ท่านผู้นำพันธมิตรฯ มอบหมายเป็นการบ้านแก่บรรดานักวิชาการทั้งหลายให้ไปช่วยกันขบคิดทำให้อภิชนาธิปไตยค่อนใบเป็นรูปเป็นร่างขึ้นมา งงวุ๊ย! คนคุมม็อบดัดจริตทำตัวเป็นนักคิด นักทฤษฎีผู้ชี้นำสังคม ศาสตราจารย์ทำหน้าที่ด่ากราด ใช้วาจาสามหาวกักขฬะหยาบคายโดยไม่ต้องมีข้อมูล ไม่ต้องใช้ปัญญา ไม่มีสาระ นักทฤษฎีมาจากแอคติวิสต์ที่ไม่เคยค้นคว้าวิจัย นักปราศรัยแบบสถุลมาจากมหา’ลัยที่ได้ดีกรีด๊อกฯ มาจากต่างประเทศ



5.1 ประชาธิปไตยของพันธมิตรฯ หมายถึงอำนาจสูงสุดในประเทศอยู่ที่การชุมนุม ส่วนอื่นของสังคมต้องตอบสนองเอื้ออำนวยการชุมนุมของพวกเขา ใครไม่มาชุมนุมโดนตำหนิ ใครตำหนิพันธมิตรฯ โดนด่าประณามว่าเป็นพวกไม่รักชาติ ในเมื่อประชาชนคนส่วนใหญ่โง่ จน เจ็บ และบ้านนอกจึงไม่ควรมีอำนาจเท่ากับชาวพันธมิตรฯ สมควรเป็นแค่เมืองขึ้นของชาวเมืองและกรุงเทพฯ



5.2 ระบอบประชาธิปไตยของการชุมนุม หมายถึงการที่ผู้ชุมนุมมอบอำนาจให้ผู้นำไปคิดและตัดสินใจแทนตน จากนั้นผู้นำมีหน้าที่มาตะโกนถามผู้ชุมนุมว่า “เห็นด้วยไหม” ผู้ชุมนุมมีหน้าที่ตอบรับแข็งขันว่า “เห็นด้วยๆๆๆ”



“สู้ไหม” “สู้ๆๆๆ”



“ใช่ไหม” “ใช่ๆๆๆ”



ผู้นำพันธมิตรฯเรียกสภาวะเช่นนี้ว่า เป็นแบบอย่างของระบอบประชาธิปไตยที่ดี โอ้โฮ! ชื่นใจจัง ยังกะอยู่ในสมัยสุโขทัย พ่อบ้านเรียกประชุมลูกบ้านหน้าประตูวัง อย่าลืมแขวนกระดิ่งหน้าประตูด้วยนะ...จะบอกให้



6.1 ผู้ดีประเทศนี้ก็แสนจะน่ารัก ยอมโดนจูงจมูกเดินตามไพร่พันธมิตรฯ ต้อยๆ อย่างว่านอนสอนง่าย คณะผู้นำเป่า “ปรี๊ด” ก็ซ้ายหันขวาหันตามท่าน ท่านว่า “ออกไป” ผู้ดีซื่อบื้อก็ร้องตามว่า “ออกไป” ท่านว่า “เอาเขาพระวิหารคืนมา” ก็พากันเดินตามก้นไปลงชื่ออย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย น่าร้าก... น่ารัก



6.2 พันธมิตรฯประสบความสำเร็จสุดยอด ได้ชัยชนะสำคัญที่สุด ตรงที่สามารถทำให้ผู้ดีหลงใหลเดินตามไพร่พันธมิตรได้อย่างน่ารักน่าเอ็นดู โดนสอยจมูกลากจูงถอยหลังลงคลองก็ยังไม่รู้ตัว ใครคิดว่าไพร่โง่ โปรดทราบด้วยว่าผู้ดีโง่กว่า ยอมให้ไพร่จูงจมูกอย่างหลงใหล



ไอ้พวกสาธารณรัฐเอาแต่ต่อต้านพันธมิตรฯจนมองไม่เห็นสงครามศักดิ์สิทธิ์ที่พันธมิตรฯ กำลังทำกับพวกผู้ดีซื่อบื้อแบบไทยๆ แต่พันธมิตรฯแฝงเร้นภารกิจนี้ไว้หลายตลบจนพันธมิตรฯ เองก็ไม่รู้ว่าตัวเองกำลังทำอะไรอยู่



6.3 อำมาตยาธิปไตย อภิชนาธิปไตยเติบใหญ่กล้าแข็งด้วยการต่อสู้ของไพร่พวกนี้แหละ ไพร่ต่อสู้เพื่อเพื่ออภิชนผู้ยินดีเดินตามไพร่ผู้ต่อสู้เพื่ออภิชนผู้ยินดีเดินตามไพร่ผู้ต่อสู้เพื่ออภิชนผู้ยินดีเดินตามไพร่ผู้ต่อสู้เพื่ออภิชนผู้ยินดีเดินตามไพร่....โอ๊ย! งง!



เมืองไทยไม่มีความขัดแย้งทางชนชั้น มีแต่ความสมานฉันท์ทางชนชั้นแบบงูกินหาง



7. ภาษาการเมืองของพันธมิตรฯมีความหมายตรงข้ามกับความหมายที่ใช้กันปกติในภาษาไทย



การเมืองใหม่หมายถึงการถอยหลังลงคลองทวนน้ำกลับไปถึงต้นธารโน่น



ถอยหลังคือเดินหน้า อดีตคืออนาคต



ประชาธิปไตยหมายถึง เผด็จการ อภิชนาธิปไตย 70%



ภาคประชาชนหมายถึง อภิชน ผู้ดีมีสกุล และยามเฝ้าศาลเจ้าทั้งหลาย



ประชาชนคือ ทรราชย์ของคนส่วนใหญ่



โอ้! พระเจ้าจอร์จ...ออร์เวลยังยอมแพ้เลย เพราะนี่เป็น “ดับเบิ้ลสปีก” ของจริง ไม่ใช่แค่ในนิยาย 1984 อีกต่อไป ยามเฝ้าศาลเจ้าสามารถทำให้เมืองไทยเป็นสังคมแบบ 1984 จริงๆ ขึ้นมาได้



8.1 ความไม่รุนแรงแบบไทยๆ หมายถึงการที่ฝ่ายหนึ่งตั้งหน้าตั้งตาหาเรื่องยั่วยุจุดชนวนครั้นแล้วครั้นเล่า คุกคามได้ไม่จำกัด โดยที่อีกฝ่ายยังไม่ตอบโต้



การคุกคามแต่เพียงฝ่ายเดียว ไม่ถือเป็นความรุนแรง



ความรุนแรงหมายถึงภาวะที่อีกฝ่ายอาจจะตอบโต้ แค่คิดก็ถือเป็นความรุนแรงแล้ว



การชุมนุมอย่างสันติที่รัฐธรรมนูญคุ้มครองรวมถึงการยั่วยุจุดชนวนเพื่อล้มล้างประชาธิปไตยได้อย่างไม่มีขีดจำกัด ส่งเทียบเชิญทหารให้ทำรัฐประหารก็ได้... ถือว่าสันติ



8.2 นักมวย 2 ฝ่ายอยู่บนเวที ฝ่ายน้ำเงินเดินรี่เข้าไปหาฝ่ายแดง ประกาศชัดตลอดเวลาว่ากูต้องการน็อคเอาท์ฝ่ายแดง แต่ฝ่ายน้ำเงินร้องไปพลางว่า อย่าใช้ความรุนแรงกับตน เรียกร้องให้กรรมการจัดการห้ามฝ่ายแดงตอบโต้เพราะการตอบโต้จะทำให้เกิดการนองเลือด



คนดูช่วยกันร้องว่า ฝ่ายแดงห้ามตอบโต้ เพราะการตอบโต้จะทำให้เกิดการนองเลือด ฝ่ายน้ำเงินต้องการน็อคเอาท์ฝ่ายแดงอย่างสันติ เพราะการคุกคามแต่เพียงฝ่ายเดียว = สันติ



กรรมการจึงเข้าแทรกแซง ไล่ฝ่ายแดงลงจากเวที ยกมือให้ฝ่ายน้ำเงินเป็นฝ่ายชนะ เพื่อป้องกันการนองเลือดโดยฝ่ายแดงซึ่งยังไม่ได้ทำอะไรเลย ส่งผลให้การน็อคเอาท์อย่างสันติโดย

ฝ่ายน้ำเงินบรรลุผล



ฝ่ายน้ำเงินยกย่องกรรมการว่าช่วยป้องกันไม่ให้เกิดการปะทะนองเลือดโดยฝ่ายแดง ซึ่งยังไม่ได้ทำอะไรเลย และช่วยให้การใช้ความรุนแรงฝ่ายเดียว (= สันติ) ของตนบรรลุผล



กติกาและกรรมการของมวยแบบไทยๆ พิลึกจริงๆ



8.3 รัฐประหารจึงช่วยป้องกันการนองเลือดไว้ได้ด้วยการกำจัดฝ่ายที่ยังไม่ได้ทำอะไรเลยไม่ให้ตอบโต้ฝ่ายที่ยั่วยุจุดชนวน ตลอดเวลาดังกล่าวทางออกอีกแบบที่จะป้องกันการปะทะนองเลือดได้โดยไม่ต้องรัฐประหารก็คือ พวกยามเฝ้าศาลเจ้าเลิกคุกคาม ยั่วยุ เลิกจุดชนวนสร้างเงื่อนไขการปะทะ เลิกผลักดันความขัดแย้งเข้าสู่ทางตัน



แต่สันติวิธีของยามฯคือ การตั้งหน้าตั้งตาหาเรื่องยั่วยุจุดชนวนครั้นแล้วครั้นเล่า คุกคามได้ไม่จำกัด แต่ห้ามคู่ต่อสู้ตอบโต้



8.4 อหิงสาของพันธมิตรฯ จึงเป็นสันติวิธีแบบมาเฟียที่ตนมีสิทธิตั้งหน้าตั้งตาหาเรื่องยั่วยุจุดชนวนครั้นแล้วครั้นเล่า คุกคามได้ไม่จำกัด ตราบใดที่ไม่มีการหือ ไม่มีการตอบโต้ ก็ย่อมไม่มีการปะทะกัน

อหิงสาของมาเฟีย เป็นอหิงสาที่ภาคประชาชนแซ่ซ้องสรรเสริญ



9.1 เกินกว่าครึ่งของยามเฝ้าศาลเจ้าผู้ป่าวประกาศความจงรักภักดีต่อสถาบันกษัตริย์อย่างสุดๆบนเวทีพันธมิตรฯ คือ พวกไม่เอาเจ้าอย่างสุดๆ มาก่อน กล่าวหาว่าร้ายมาตลอดหลายปี พวกเขา “ตาสว่าง” พากันกลับใจเป็นรอยัลลิสต์อย่างฉับพลันจากการต่อต้านทักษิณ? หรือพวกเขาแค่ปลิ้นปล้อนตามเกมการเมือง?



9.2 ยามเฝ้าศาลเจ้าจึงเป็นขบวนการของพวกไม่เคยเชื่อหรือศรัทธาศาลเจ้า และเข้าใจว่ายังคงไม่เชื่ออยู่ดี เพียงแต่ปลิ้นปล้อนอย่างจริงใจเพื่อรับใช้สิ่งที่พวกเขาไม่เคยเชื่อ เพื่อบรรลุชัยชนะในเกมการเมืองนี้พวกเขาต้องยอมปลิ้นปล้อนเพื่อชาติ!



9.3 พันธมิตรฯ เรียกร้องให้รัฐบาลจัดการพวกแอนตี้สถาบันกษัตริย์ จึงหมายถึงคนบนเวทีพันธมิตรนั่นเองตั้งหลายคน



9.4 พวกเขาหากินกับศาลเจ้า เรียกร้องให้คนเคารพศาลเจ้า ทั้งๆ ที่พวกเขาคือผู้ที่เคารพศาลเจ้าน้อยที่สุด แต่มีความสามารถแห่ร้องเชิดชูบูชาศาลเจ้าได้ไพเราะกว่าใครอื่นแค่นั้นเอง พวกเขาปลิ้นปล้อนเพื่อชาติได้แนบเนียนสนิทที่สุดกว่าใครอื่นแค่นั้นเอง



น่าสมเพชที่บรรดาผู้จงรักภักดีตัวจริงมองไม่เห็น หลายคนหลงใหลได้ปลื้มไปกับพวกปลิ้นปล้อนเหล่านี้เสียเต็มประดา ประชาชนโง่ก็แย่พอแล้ว ผู้ดีดันโง่เสียยิ่งกว่า น่าสงสารประเทศไทย จะขอมีผู้ดีที่ฉลาดรู้ทันคนปลิ้นปล้อนสักหน่อยก็ยังไม่ได้



9.5 มีผู้จงรักภักดีตัวจริงในหมู่ผู้นำพันธมิตรฯ มองเห็นข้อนี้แน่ๆ แต่เขาแกล้งมองไปที่อื่นผู้ดีบางคนก็คงดูออกว่าผู้นำยามเฝ้าศาลเจ้าหลายคนไม่ได้จงรักภักดีจริงๆ จังๆ หรอก แต่ก็ยอมร่วมมือกันไปก่อนเพื่อต่อสู้ทักษิณ เฮ้อ! ปลิ้นปล้อนเพื่อชาติพอกัน



10.1 สื่อมวลชนโกรธเกลียดสภาวะที่มีเสรีภาพจนฝ่ายต่างๆ พยายามเข้ามาช่วงชิงมีอิทธิพลเหนือสื่อมวลชน พวกเขาเกลียดอำนาจเงิน+อำนาจรัฐ จึงต้องโวยวายเกลียดกลัวสร้างภาพปีศาจขึ้นมาหลอนตัวเอง



สื่อมวลชนปกป้องสภาวะที่ไม่มีเสรีภาพและการแทรกแซงบงการโดยอำนาจเผด็จการ ในเมื่อไม่มีเสรีภาพ ก็ย่อมไม่ต้องกลัวไม่ต้องโวยวายต่อการการสูญเสียเสรีภาพ การไม่มีเสรีภาพ หรือรู้ๆ อยู่แล้วว่าอะไรพูดไม่ได้ ย่อมไม่ถือว่าถูกแทรกแซงเพราะยังไงๆ ก็ไม่มีเสรีภาพให้แทรกแซงอยู่แล้ว (งงวุ้ย!)



10.2 สภาวะโวยวายได้คือความทุกข์อย่างยิ่ง เพราะต้องต่อสู้อย่างหนักว่าตนถูกแทรกแซงขาดเสรีภาพ แต่สภาวะโวยวายไม่ได้ เพราะอำนาจรัฐ+อาวุธ คุมด้วยความกลัว กลับเป็นความสงบที่สื่อมวลชนพึงพอใจ เขาว่านกก็ว่านก เขาว่าไม้ก็ว่าไม้ตามเขาไป



สภาวะไม่มีเสรีภาพไม่น่าเกลียดกลัว แถมยังช่วยให้งานไม่หนัก เพราะไม่ต้องต่อสู้ให้เหนื่อยแรง ใครตำหนิก็อ้างว่าจะไปทำอะไรได้ ด้วยเหตุนี้ สื่อมวลชนจึงเข้าข้างระบอบที่ไร้เสรีภาพ และต่อสู้สุดตัวไม่อยากให้เสรีภาพกลับคืนมาอยู่แล้ว (งงวุ้ย!)



11. สาธารณชนเชื่อการโฆษณาชวนเชื่อเป็นตุเป็นตะ ไม่ต้องคิดมาก ไม่ต้องค้นคว้า เพราะคนที่ตนเชื่อเขาค้นมาให้แล้ว คิดมาให้แล้ว (สอนผ่านทีวีดาวเทียมทุกวันด้วย)



นักวิชาการไร้สาระที่ไม่เคยทำงานวิชาการสักเท่าไหร่ กลายเป็นผู้ที่คนรับฟังเชื่อถือนักวิชาการที่ทำงานขบคิดกับสังคมไทยมาแทบเป็นแทบตายค่อนชีวิต ถูกด่าเป็นหมูเป็นหมา เพียงเพราะความรู้ ความคิดของเขาแสลงหูสาธารณชน



ความรู้คือขยะ ถ้าไม่ตรงกับที่ตัวกูของกูรู้ล่วงหน้าไว้แล้ว



12. ประชาชนทั้งประเทศตกเป็นตัวประกันของยามเฝ้าศาลเจ้า จะบีบก็ยอม จะคลายก็แซ่ซ้องสรรเสริญ ยามศาลเจ้า เฝ้าผูกขาดการพูดถึงเจ้าในศาลกับศาลของเจ้าไปเสียแล้ว ยามเฝ้าศาลเจ้าจึงสามารถทำตัวอวดเบ่งตามสบาย เป็นมาเฟียในนามของศาลเจ้า



ทั้งหมดนี้แสดงว่าประเทศไทยไม่เหมือนใครและไม่มีใครเหมือน หักปากกาเซียนรัฐศาสตร์ได้หมดทั้งโลก



หรือไม่ก็แสดงว่าการเมืองไทยไร้หลักการ ไร้เหตุผลสิ้นดี ปัญญาไม่มี หรือไม่ก็ลืมใช้ นักวิชาการคิดไม่เป็น หรือไม่ก็ลืมคิด สื่อมวลชนเป็นแค่ลูกคู่หางเครื่อง กับเป็นเครื่องบันทึกเทป แถมยังไม่รู้จักจรรยาบรรณของตนเสียอีก



คนไทยเลอะเลือนกันไปใหญ่แล้ว!

ที่มา : ประชาไท

//www.prachatai.com/05web/th/home/12685




 

Create Date : 02 กรกฎาคม 2551    
Last Update : 2 กรกฎาคม 2551 4:56:15 น.
Counter : 472 Pageviews.  

รวมWebสื่ออิสระภาคประชาชนที่นำเสนอข่าวอย่างเป็นธรรมและเป็นจริง

Webข่าวกระแสรองทดแทนเว็ปสื่อกระแสหลักที่ตอนนี้เน่าเพราะนำเสนอข่าวแบบหมกเม็ด ตั้งคำถามนำเสนอไม่สมควร ไม่ผิดชอบต่อผลกระทบของข่าวที่นำเสนอออกไป ฯลฯ

Webข่าวของทวีวุฒิ จุลวัจจนะ
//www.thai-journalist-democratic-front.com

ไทยฟรีนิวส์
//www.thaifreenews.com

ถ่ายทอดสดการชุมนุมของฝั่งต่อต้านพันธมิตรที่ไม่มีวันได้เห็นได้ชมจากสื่อเน่ากระแสหลัก
//www.newskythailand.com

สำนักข่าวออนไลน์ประชาไท
//www.prachatai.com

หนังสือพิมพ์ประชาทรรศน์
//www.prachatouch.com/home.php

หนังสือพิมพ์โลกวันนี้ ในเครือวัฎฎะคลาสสิไฟต์
//www.watta.co.th

ThailandMirror
//www.thailandmirror.com

Thai E-News ข่าวสารเกี่ยวกับประเทศไทยที่คุณไม่อาจหาอ่านได้จากสื่อ
//www.thaienews.blogspot.com

เสียงประชาคม
//www.civilvoice.net

สถานีประชาธิปไตย D-Station
//dstationblog.blogspot.com

วารสารราย3เดือนฟ้าเดียวกัน นำเสนอเรื่องราวเกี่ยวกับ “การเคลื่อนไหวทางสังคม” ทั้งในแง่การเคลื่อนไหวของขบวนการประชาชนต่าง ๆ และการเคลื่อนไหวทางปัญญาความคิด รวมไปถึงเป็นพื้นที่สำหรับในการสนทนาถกเถียงในประเด็นที่เกี่ยวข้องแวดล้อม
//www.sameskybooks.org




 

Create Date : 22 มิถุนายน 2551    
Last Update : 24 เมษายน 2552 18:59:15 น.
Counter : 430 Pageviews.  

สัมภาษณ์พิเศษ‘พระมหาโชว์'แฉ!สันติอโศกล้มแก้รธน.50

วันที่ 16 มิ.ย. 2008 - 13:45:50 น.

ดร.พระมหาโชว์ ทัสสนีโย แฉพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย เดินเกมล้มการแก้ไข รธน.50 ซึ่งมีการบรรจุพระพุทธศาสนาเป็นศาสนาประจำชาติ มีต้นเหตุจากกองทัพธรรมของสันติอโศกร่วมขบวนการ เพราะอาจจะไม่พอใจที่ถูกมหาเถรสมาคมออก "ปกาสนียกรรม" ขับออกจากการเป็นพระสงฆ์ เนื่องจากอวดอุตริมนุสธรรม "บรรลุธรรม" ขณะกำลัง "ยืนฉี่" แฉ "มาร์ค-ปชป." ห่วงฐานเสียงภาคใต้มากกว่าเลยไม่กล้าบรรจุ พบ! บทความ "อาจารย์หม่อมคึกฤทธิ์" ยังระบุ การเอาสันติอโศกไปขึ้นกับมหาเถรสมาคม เป็นการปล่อย "เหี้ย" เข้าวัด

** ทำไมต้องบัญญัติเรื่องพระพุทธศาสนาเป็นศาสนาประจำชาติ

เหตุผลคือประเทศไทยเรานับถือศาสนาพุทธกันมาเป็นระยะเวลายาวนาน แทบจะเป็นหนึ่งเดียวกัน แยกไม่ได้ แต่เดิมนั้นเราปกครองในระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ เจ้าฟ้าเจ้าแผ่นดินดูแล อุปถัมภ์บำรุงพระพุทธศาสนา เมื่อมีการเปลี่ยนแปลงการปกครองจากพระเจ้าแผ่นดิน มาเป็นปัจจุบัน เมื่อส่งมาถึงนักการเมือง นักการเมืองมีหลากหลายศาสนา แต่ว่าโดยส่วนมากเป็นชาวพุทธ 95% โดยจิตสำนึก เขากลับไม่เคยคิดถึงการอุปถัมภ์บำรุงในการดูแลอย่างแท้จริง จาก 2475 เป็นต้นมานักการเมืองไม่เคยใส่ใจเรื่องพระพุทธศาสนาเลย ที่อุปถัมภ์สักแต่ว่าทำตามประเพณีเท่านั้น ไม่มีกฎหมายรองรับ ซึ่งต่อนี้ไปทุกอย่างต้องมีกฎหมายรองรับ เราวิตกตรงนี้ จึงเคลื่อนไหว เพราะกฎหมายศาสนาอื่นๆ นั้น ได้รับการคุ้มครองอุปถัมภ์เพราะมีกฎหมายรองรับ

จุดสำคัญคือ เป็นสถาบันหลัก วัฒนธรรมประเพณีเกิดจากศาสนาพุทธ และไม่เบียดเบียนใคร และเมื่อใส่ไปแล้วไม่ได้บังคับให้ศาสนาอื่นมารักษาศีล 5 อย่างที่ นายเจิมศักดิ์ ปิ่นทอง หรือ นายนรนิติ เศรษฐบุตร ที่ออกมาบอกว่า ใส่ไปแล้วจะทำให้เกิดการแตกแยก จะทำให้เกิดความน้อยใจ จะทำให้มีการบังคับให้รักษาศีล มันเป็นคำพูดที่โคมลอย คือ ถ้าใส่ไปแล้วชาวพุทธไปเบียดเบียนไล่ฆ่าพี่น้องมุสลิม ไล่ฆ่าพี่น้องชาวคริสต์ เราก็จะช่วยกันรณรงค์ไม่ให้บัญญัติเหมือนกัน แต่นี่เป็นร้อยๆ ปี เราร่วมกันโดยตลอด และประเทศไทยไม่เคยไปเขียนกฎหมายในการที่จะกีดกันศาสนิกอื่นที่เข้ามาในประเทศไทย

ประเทศใกล้เคียงเขายังมีกีดกัน เช่น ประเทศพม่า ออง ซาน ซูจี ที่มีสามีเป็นชาวคริสต์ รัฐบาลทหารพม่าไม่ต้องการให้คนที่นับถือศาสนาอื่นเป็นใหญ่เป็นโตในประเทศพม่า เขาเลยจำกัดพื้นที่ ท่านรู้ไหมลึกๆ นี่คือประเด็น สามีเป็นคริสต์ ในรัฐธรรมนูญพม่าเขาเขียนกีดกันเลยว่า ถ้านับถือศาสนาอิสลามในประเทศพม่า ถ้าเป็นนักการเมืองห้ามสูงกว่ารัฐมนตรีช่วยว่าการ เพราะถ้าสูงกว่านั้นจะทำให้มีผลกระทบต่อศาสนาพุทธในพม่า เปลี่ยนแปลงนโยบายได้เปลี่ยนอะไรได้ และถ้าเป็นนายทหาร จะต้องไม่ให้มียศเกินกว่า พันเอกพิเศษ นี่รัฐธรรมนูญของพม่าเป็นอย่างนี้ แต่ของเราในประเทศไทยไม่ได้จำกัด อย่างแม่ทัพภาค 4 เป็นมาแล้ว ผบ.ทบ. อย่าง พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน เป็นมาแล้ว รองนายกรัฐมนตรี นายวันมูหะมัดนอร์ มะทา เป็นมาแล้ว ยังเหลือนายกรัฐมนตรี ตำแหน่งที่สูงสุดในประเทศไทย ทุกตำแหน่งเป็นมาหมดแล้ว เราไม่ได้ไปกีดกัน อย่างที่หลายๆ ฝ่ายมักจะอ้าง นั่น...เป็นการสร้างภาพให้น่ากลัว เกินความจริงไป

อย่างที่ผ่านมา สสร. ประชาพิจารณ์ที่เกิดขึ้น นายเจิมศักดิ์ ปิ่นทอง หรือแม้แต่ น.ต.ประสงค์ สุ่นศิริ ประธานคณะกรรมการยกร่างรัฐธรรมนูญ กีดกันตลอด ที่พูดแบบนี้ไม่ใช่ว่ามาร่วมกับกลุ่ม นปก. (แนวร่วมประชาธิปไตยขับไล่เผด็จการ) หรือ คปพร. (คณะกรรมการประชาชนเพื่อแก้ไขรัฐธรรมนูญ 2550) แต่เรื่องแบบนี้มีอคติ การกีดกันเกิดขึ้น มันต่อเนื่องกันมา และเรายืนยันตั้งแต่ต้นก่อนที่จะมีการร่างประชามติว่า ถ้าไม่มีคำว่าศาสนาพุทธเป็นศาสนาประจำชาติ เราจะไม่รับ บอกตั้งแต่ต้น

ที่นายเจิมศักดิ์ ปิ่นทอง นายธงทอง จันทรางศุ พร้อมคณะ ไปประชาพิจารณ์ ถ้าไม่มีคำว่าพระพุทธศาสนาเป็นศาสนาประจำชาติ เราจะไม่รับร่างรัฐธรรมนูญ ตั้งแต่เมื่อครั้งก่อน และบอกกล่าวกับพระสงฆ์ทั้งหมดให้รับทราบ ส่วนท่านจะมีลูกศิษย์ลูกหาจะไปขยายฐานกันอย่างไร อันนั้นเราไม่ทราบ แต่บอกกันไว้ตั้งแต่ต้นที่ไปทำประชามติ

มาถึงตอนนี้ จากเมื่อครั้งก่อน ในเรื่องหลักการและเหตุผล เพราะดูในเรื่องศาสนาประจำชาติในหลายๆ ประเทศของอิสลาม เกือบ 50-60% จะเขียนบัญญัติเอาไว้ว่า ให้ศาสนาอิสลามเป็นศาสนาประจำชาติ เกือบ 60% บัญญัติเอาไว้ว่า ให้ศาสนาคริสต์เป็นศาสนาประจำชาติ มีแต่ของพุทธนี่แหละ ในประเทศกัมพูชา ศรีลังกา มีการเขียนบัญญัติเอาไว้ว่า ให้ศาสนาพุทธเป็นศาสนาประจำชาติ ถ้าเห็นว่าศาสนาพุทธเป็นศาสนาที่เบียดเบียน แก่งแย่งชิงดีชิงเด่นกัน เรายินดีจะร่วมรณรงค์คัดค้านไม่ให้บัญญัติ แต่ที่ผ่านมามันไม่เคยมี ถ้าใส่ไปแล้วใครจะเสียผลประโยชน์ ถามตรงๆ เพราะกฎหมายตรงนี้ไม่เคยมี เพราะอยู่ร่วมกันด้วยดีมาโดยตลอด

ถามตรงๆ ว่า ต่อไปนี้ไม่มี จำนวนของชาวพุทธน้อยลง ถ้าเกิดว่ามุสลิมมีจำนวนมากขึ้นและขอเป็นศาสนาประจำชาติ ถามว่า คริสต์ในประเทศไทยอยู่ได้ไหม มันก็อยู่ไม่ได้ แล้วพุทธอยู่ได้ไหม อันนี้พูดกันตามตรงว่าในประเทศอินโดนีเซียนี่แหละ เขากำลังทะเลาะกันระหว่างคริสต์กับอิสลาม แต่ว่าของพุทธไม่เคยมี และไม่เคยกีดกัน

เรื่องงบประมาณซึ่งเป็นของชาวพุทธเกือบ 100% อิสลามอยากจะไปทำเรื่องธนาคารอิสลาม เราก็ให้ มีการเอาเงินไปแสวงบุญที่เมกกะ เราให้ กฎหมายซากาต เราให้ทุกอย่าง อย่างกรณี 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ครูสอนปอเนาะ โรงเรียนตาดีกา 2,800 คน เขาบรรจุในช่วง นายอารีย์ วงศ์อารยะ เขาบรรจุในช่วง คมช. ที่แล้ว เป็นข้าราชการประจำ เราก็ไม่เคยไปกีดกัน เราไม่เคยไปว่า ของพยาบาลอิสลาม 3,000 คนเรียนฟรี ส่วนของพุทธสิ่งเหล่านี้ไม่เคยได้ แม้แต่ทางคริสต์เองที่ตามมาในช่วงหลัง เขามีทุนใหญ่คือวาติกัน ลัทธิศาสนาในประเทศไทยเราไม่เคยไปทำอะไร แต่ที่ผ่านมานักการเมืองที่อาศัยเงินของศาสนาเหล่านี้ไปเรียนปริญญาเอกบ้างอะไรบ้าง พอกลับมาเป็นนักการเมืองแล้วคัดค้านชนิดหัวชนฝา

อย่าง นายนิธิ เอียวศรีวงศ์ นายนิวัติ กองเพียร ที่เขียนด่าในหนังสือพิมพ์ ทั้งๆ คนเหล่านี้เบื้องลึกแล้วนับถือศาสนาอะไร และเวลาจะเอาจากพระศาสนา ทุกคนเอาผลประโยชน์จากศาสนา อย่างกฎหมายศาสนาอื่น ของอิสลาม 4-5 ฉบับ ได้ประโยชน์ แต่ของศาสนาพุทธมี พ.ร.บ.สงฆ์ อย่างเดียวที่เกิดขึ้น รศ.121 พ.ศ.2584 พ.ศ.2505 ของเก่าๆ ทั้งนั้นเลย คิดจะปรับปรุงก็ไม่ได้ กฎหมายเก่านี่จะมาปรับปรุงปัดฝุ่นให้ทันสมัยกับสถานการณ์ก็มัวแต่เถียงกันอยู่ จนไม่ได้อะไรเลย

เพราะฉะนั้นกฎหมายนี่ถ้าเขียนแล้วไม่เดือดร้อน และเป็นศักดิ์ศรี เรื่องผลประโยชน์ เรื่องงบประมาณ เขาจะจัดงบประมาณเขาจัดกันโดยกฎหมาย หรือแม้แต่เกิดยันตายเขาคุยกันด้วยกฎหมาย เกิดเขาจะมีสูติบัตร อย่างบัตรประจำตัวประชาชนก็มาจากกฎหมาย สมาร์ทการ์ดที่เกิดจะเกิดจากกฎหมาย มาจนถึงสมรส ใบทะเบียนสมรสเกิดจากกฎหมาย ไปเป็นเจ้าของบ้าน เจ้าของมรดก เจ้าของรถ จะขับรถต้องมีใบขับขี่ เกี่ยวกับกฎหมายไปจนตาย หรือใบมรณบัตร เป็นกฎหมายทั้งหมด วิถีชีวิตคนเราคุยด้วยกฎหมายทั้งหมด พระสงฆ์ที่บอกว่าใช้พระธรรมวินัย แต่พระพุทธศาสนาเป็นเรื่องที่อยู่กับบ้านเมือง

อยากจะบอกว่าใช้พระธรรมวินัยอย่างเดียว มันคุ้มพระพุทธศาสนาไม่อยู่ ลำพังเฉพาะพระสงฆ์ หากทุกคนรู้พระธรรมวินัย เป็นพระอรหันต์หมด ทุกคนบรรลุธรรมหมด อย่างนั้นใช้พระธรรมวินัยอย่างเดียวได้ แต่ว่ากิเลสมันตั้งแต่ต่ำไปจนถึงละเอียด เป็นอนุสัยกิเลส มันอยู่ในใจของมนุษย์ ที่ยังเป็นโลกิยะ เพราะฉะนั้นที่บอกว่า กฎหมายมันต่ำ พระพุทธศาสนามันสูง อันนั้นมันเป็นข้ออ้าง เพราะว่านี่คือกฎหมายสูงสุดของประเทศ เราอยากให้พระพุทธศาสนาซึ่งเป็นของสูงได้รับการดูแลโดยกฎหมาย ใส่ไว้แล้วกฎหมายจะดูแล เราไม่ต้องไปนั่งประท้วง นั่งก่อม็อบกันเป็นร้อยๆ ครั้ง ถ้ากฎหมายมี กฎหมายจะดูแล กฎหมายจะช่วยจัดงบประมาณ บังคับโดยกฎหมายว่ารัฐต้องจัดงบประมาณและคุ้มครอง ทีนี้โดยกฎหมายไม่จำเป็นต้องไปประท้วงทุกครั้ง อย่าง ภิกษุสันดานกา ก็ด่าพระเหยงๆๆ จะเอาอะไรไปจับ เราไปบอก เขาก็ด่าพระ เพราะกฎหมายมันไม่มี เพราะฉะนั้นงบประมาณการคุ้มครอง การดูแล คุยด้วยกฎหมาย ถ้าบอกว่าพระพุทธศาสนาเป็นศาสนาประจำใจ ไอ้นั่น...มันคุยกันแบบอรหันต์ คุยกันแบบผู้ปฏิบัติ ไม่ยอมรับความหลากหลาย และความเป็นจริง ถ้ามันดีกันทั้งหมดอย่างนั้น จะต้องมีรัฐธรรมนูญทำไมเล่า

** คนยังไม่เห็นว่าบัญญัติพระพุทธศาสนาเป็นศาสนาประจำชาติแล้ว คนจะได้อะไรเป็นรูปธรรมชัดเจน

เหมือนกับการจดทะเบียนสมรส หมายความว่า ทรัพย์สินสมรสจะแบ่งกันได้ต้องมีกฎหมาย หมายความว่าจะจัดงบประมาณให้ต้องมีกฎหมาย ไปมอบงบประมาณให้มันผิดกฎหมาย และถ้าหากศาสนาอื่นนอกเหนือจากศาสนาพุทธมาจดเหมือนพุทธ มันจะมีปัญหา เพราะจะเกิดการแก่งแย่ง เกิดการเบียดเบียน ทะเลาะกันว่าด้วยเรื่องศาสนา แล้วมันจะเอื้อในการเผยแผ่พระพุทธศาสนา วิทยุพระไม่เคยมี ต้องไปเช่ากันเองวันละชั่วโมงหนึ่ง เตรียมธรรมะด้วย เตรียมวัตถุดิบด้วย เดือนหนึ่ง 3 หมื่นบาท งบประมาณตรงนี้เอามาจากไหน มันไม่มี พระก็ต้องไปบังสุกุลมาเป็นค่าสถานี อุปกรณ์ที่เป็นการสอนต่างๆ จัดให้เป็นรูปธรรม เรื่องศึกษาเผยแผ่พระพุทธศาสนา เรื่องของสงฆ์ เดิมทีมันไม่ครอบคลุม ที่มีของสงฆ์นี่เป็นคณะสงฆ์ เราจะเขียนไปให้ครอบคลุม ให้มีกฎหมายแม่บทก่อน แล้วค่อยมาเป็นกฎหมายลูก

มีกฎหมายแม่บทก่อนแล้วค่อยไปขยายเป็นกฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญ เช่น พ.ร.บ.กฎหมายอุปถัมภ์และคุ้มครองพระพุทธศาสนา เช่น กรณีของการเผยแผ่พระพุทธศาสนา ที่จะใช้ต้นทุนทางวิทยุ หรือเว็บไซต์นี่แหละ กฎหมายลูกมันต้องตามมาดูแลว่าการใช้เป็นประโยชน์บวกลบอย่างไร พระถ้าเทศน์ผิดเอากฎหมายนี่แหละ

อย่าง กรณีสันติอโศกที่เทศน์ผิด ที่เคยเทศน์เดิม นี่นะ "ตันหา" ตัน คือ ไปไม่ได้ จำเป็นต้องหา หรือกรณี บรรลุธรรมของโพธิรักษ์ ที่เป็นปัญหากันนี่นะ ถ้าอย่างนี้ กฎหมายที่มาใหม่นี้สามารถจับได้เลย เพราะฉะนั้นที่ออกมาคัดค้านเขาคงกลัวกฎหมายหลายๆ ฉบับที่เขากำลังจะเขียนขึ้น เช่น เทศน์ผิดพระไตรปิฎก หรือแต่งตัวเลียนแบบ พระหมุนลูกบวบไปทางด้านซ้าย ฉันเลียนแบบสงฆ์ ฉันหัวหมอเปลี่ยนเป็นด้านขวา และ สรรพนามที่ใช้ บิณฑบาต ถ้ากฎหมายออกมาจับได้เลย เพราะฉะนั้นที่เขากลัวนี่ หรือพยายามออกมาร่วมกับพันธมิตรฯ ลึกๆ อันแรกเลยคือ รัฐธรรมนูญ ถ้ามีแล้วอยู่ลำบาก เพราะจะมีกฎหมายออกมาอุปถัมภ์หรือคุ้มครอง

** หมายความว่า กรณีสันติอโศกที่มาชุมนุมในพันธมิตรฯ และเขากลัวประเด็นการร่าง พ.ร.บ.อุปถัมภ์และคุ้มครองพระพุทธศาสนานี้ใช่ไหม เพราะจะมีกฎหมายลูกออกมาตามเป็นติ่งด้วย

มี มันจะมีกฎหมายลูกตามออกมาอีก คือ กฎหมายอุปถัมภ์และคุ้มครอง มันหมายถึงการเลียนแบบ เช่น เทศน์ผิดพระไตรปิฎก หรือแม้แต่ว่าไปบิณฑบาตนี่โดนหมดนะครับ ถือว่าเลียนแบบ อย่างกรณีท่านจันทร์ ออกมาพูด หรือโพธิรักษ์ หรือแม้แต่กลุ่มอื่นที่ไม่ได้ไปร่วมชุมนุมด้วย หากไปทำก็ผิด แม้แต่พระด้วยกันหากไปเทศน์ผิด ไปเทศน์แล้วบอกว่าหลักธรรมเหล่านี้อาตมาคิดขึ้นมาเอง ก็ผิดเหมือนกัน ฆราวาสที่ไปพูดในรายการทางวิทยุโทรทัศน์ ซึ่งต้องมีกรรมการไปตรวจสอบ รวมถึงที่เขียนหนังสือออกมาขายกันนี่ถูกหรือผิด

** ปัจจุบันรัฐบาลไม่ให้การสนับสนุนงบประมาณส่งเสริมงานพระพุทธศาสนาเลยหรือ

ให้แบบตามประเพณี ถ่ายเทมาจากการถวายความอุปถัมภ์ก่อนปี 2475 สมมติถ้านายกฯ เป็นมุสลิม เป็นคริสต์ ถ้าไม่ใช่พุทธอย่างที่เป็นอยู่เขาก็ตัดได้เลย เพราะว่ามันไม่มีหลักประกัน ไม่มีกฎหมายรองรับ เราจะไปร้องแรกแหกกระเชอ หมดสิทธิ์เลยนะ แต่ที่เขาให้มาปัจจุบัน เขาเป็นพุทธศาสนิกชนโดยตลอด อย่างนายกรัฐมนตรี อย่างรัฐมนตรีทั้งหลาย แต่ตอนนี้มีการแทรกซึม มีการขยายไปเยอะแล้ว อย่าง 3 จังหวัด อย่างผู้ว่าราชการจังหวัดที่ไม่ได้เป็นชาวพุทธ ขยายไปเยอะแล้ว นักการเมืองที่ไม่ใช่พุทธไปค้านกันหลายๆ คน กับพวกกลุ่มนี้ แต่เราดูไม่ออก เพราะใส่สูท แต่เบื้องลึกหลายคนทีเดียวที่ใช่

การเขียนบทบัญญัติรัฐธรรมนูญครั้งที่แล้ว ที่มี น.ต.ประสงค์ สุ่นศิริ เป็นประธานยกร่าง มีการส่งคนไปจับพระที่หน้าสภา 10 รูป เป็นกลุ่มสันติอโศก พยายามยุให้พระทะเลาะกัน ให้ภาพเป็นลบ พระไม่ยอมกัน ชาวพุทธทะเลาะกัน จากนั้นคนที่อยู่ข้างในคือ น.ต.ประสงค์ ซึ่งคือพลังธรรม และพลังธรรม คือ สันติอโศกไม่ใช่หรือ และคนที่พยายามเดินดูอะไรรอบๆ คือ พล.ต.จำลอง ศรีเมือง มันเป็นขบวนการที่ไม่ต้องการให้มี รวมทั้งกฎหมายอื่นที่เป็นกฎหมายลูก นอกจากรัฐธรรมนูญมันไม่ต้องการให้กฎหมายอุปถัมภ์คุ้มครอง ที่เขียนมาใหม่นี่มันถึงเลย อย่างการเลียนแบบการเทศน์ พระที่เทศน์ในวิทยุ ในทีวี ที่เขียนหนังสือเป็นพันๆ เล่ม หากเขียนผิดไปจากพระไตรปิฎกเขาจะให้แก้ไขปรับปรุง จนสุดท้ายหากยังไม่แก้ไข ติดคุกติดตะราง ปรับสินไหม อะไรต่ออะไร

** การนำกลุ่มสันติอโศกมาร่วมชุมนุมที่สะพานมัฆวานฯ เพื่อสกัดกั้น

ไอ้นี่ชัดเลย คือ ถ้าเป็นการเมืองแล้ว การเมืองเดินด้วยกฎหมาย เดินด้วยเหลี่ยม ใครเหลี่ยมจัดกว่าคนนั้นชนะ ไม่มีมิตรแท้และศัตรูถาวร ทุกคนพูด สถาบัน ชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์ เอาแค่เพียงเปลือกมา เพราะเวลาจะขึ้นเวทีพูดโจมตีคนอื่นก็ยก 3 สถาบันมา แต่ไม่ถึงจริงๆ ไม่ถึงแก่น อหิงสา คือการไม่เบียดเบียนด้วยพฤติกรรม ไม่เบียดเบียนด้วยวาจา ไม่เบียดเบียนด้วยใจ แต่ว่าไม่เบียดเบียนด้วยกายมันก็ยังมีกันอยู่ ด้วยวาจานี้ไม่ต้องพูด คือ มันเบียดเบียนกันตลอดตั้งแต่ต้น ไม่มีวาจาที่เป็นวาจาสุจริต วาจาสุภาษิต ไม่ใช่อหิงสา อหิงสาคือการไม่เบียดเบียน แต่นี่คุณกำลังเบียดเบียนทั้งพฤติกรรมทางกาย มีการตีกัน มีการดักทำร้ายกันอย่างต่อเนื่องของ ปาณาติบาต มันไม่ใช่ไม่ฆ่า แต่การไปกักขังหน่วงเหนี่ยวนั้นคือ ปาณาติบาต เหมือนกัน

***การปิดถนนล่ะครับ

การปิดถนนต้องไปดูผลประโยชน์ หมายความว่า โจรกับตำรวจ ถ้าโจรปล้นแล้ว อย่าไปไล่จับเขา ให้สมานฉันท์มันไม่ถูก คือ ผิดมันต้องผิด ถูกคือถูก แต่จะมาบอกว่าสมานฉันท์ หรืออหิงสา แท้ที่จริงแล้วการไม่เบียดเบียนด้วยพฤติกรรม ทั้งกาย วาจา ใจ มันไม่ใช่แค่ว่าเอาไม้เบสบอลมาแล้วถือว่าอหิงสา ยังไม่ได้ตี ยังไม่ได้ใช้ความรุนแรง ที่พูดนี้ถือว่าทุกฝ่ายที่บอกว่าถืออหิงสา ไม่เบียดเบียน คือใช้หลักธรรมให้ถึงที่สุด สถาบันชาติเอามาเป็นเครื่องมือในการด่าผู้อื่น เพลงปลุกใจเอามาร้อง ร้องเสร็จด่าผู้อื่นต่อ ไอ้เอี้ย ไอ้ห่า คือ ปลุกทุกคน ปลุกเสร็จแล้วก็ด่าต่อ สถาบันพระพุทธศาสนา ยกชาดกขึ้นมา ใส่เข้ามาแล้วว่าไอ้จมูกชมพู่มันทำอย่างนี้ พระพุทธเจ้าตรัสเอาไว้อย่างนี้ คือ ในขณะที่หยิบยกสถาบันพระพุทธศาสนาทุกคนพูดถึงพระพุทธเจ้า พูดถึงชาดก พระสยามเทวาธิราช แต่ว่าไม่ได้ถึงจริง สถาบันชาติไม่ถึง เพียงแค่เป็นเครื่องมือในการด่า

** พอจะพูดได้ไหมว่ามีการแอบเผยแผ่ลัทธิสันติอโศกในที่ชุมนุมไปด้วย

ก็อันนี้มันชัดเจน เพราะอย่าง นายพิภพ ธงไชย พูดว่า นี่มันเป็นวิถีชีวิต เพราะว่าเดิมทีมันผิดกฎหมาย แต่ถ้ายกระดับตัวเองขึ้นมาได้ ในกลุ่มของการเมือง สื่อต่างๆ มันออกมาว่า กองทัพธรรม เอย อะไรเอยนี่นะ ตั้งแต่ปี 2549 เป็นการสร้างให้สังคมยอมรับ จากเดิมที่ไปไหนมาไหน แม้แต่คณะสงฆ์เองไม่ยอมรับ แต่ไอ้ตรงนั้นไม่ว่าหรอก เมื่อไม่ยอมรับ อย่างมหายานอะไรต่างๆ ที่ไม่ใช่คนไทยเราก็ยังคุยกันได้ แต่ทีนี้ว่าในส่วนของพระพุทธศาสนานี่ ลักษณะที่ออกมาไม่ได้เป็นไปตามกฎหมายของบ้านเมือง "ปกาสนียกรรม" ปี 2535 นี่ สมัยหลวงพ่อสุเมธาธิบดี สมัยสมเด็จมหาธีราจารย์ พร้อมคณะ ก็เคยมี ปกาสนียกรรม แล้ว

และลัทธิยูโธเปีย ลึกๆ นี่เรื่องของบริโภคนิยม เรื่องของบุญนิยม อะไรต่อมิอะไรต่างๆ คือจะว่าก็ว่าไป จะเทศน์ก็เทศน์ไป แต่ไม่ใช่ว่า เอาดีใส่ตัว เอาชั่วใส่คนอื่น พระที่ฉันเนื้อกลายเป็นยักษ์เป็นมาร พวกที่ไม่ได้ฉันเนื้อ พวกที่ฉันผัก กลายเป็นอริยะ แม้กระทั่งคำพูดในการที่จะไปยกตนข่มคนอื่น พยายามยกตนข่มท่าน พูดถึง ณ ขณะนี้ที่เป็นอยู่ตอนนี้ คือว่า มหาเถรสมาคมเองนี่ มันไม่ใช่เป็นเรื่องการเมืองกับการเมืองอย่างเดียวเท่านั้น เป็นเรื่องของขั้วอำนาจ อันนั้นใช่ เป็นเรื่องของการเมืองที่ต้องการจะแย่งผลประโยชน์ ต้องการจะแย่งอำนาจกัน ลึกๆ ต้องการจะเปลี่ยนขั้ว

อย่าง คุณไชยวัฒน์ สินสุวงศ์ (แกนนำพันธมิตรฯ) ได้พูดในค่ำคืนหนึ่งว่า พี่น้องทั้งหลาย สิ่งที่เราทำนี้รัฐบาลมันก็รู้หมดแล้ว ที่บอกว่าพวกเราพยายามยั่วยุให้ใช้กำลังมาสลายม็อบ มันก็รู้ทัน แสดงว่าลึกๆ แล้วต้องการจะให้รัฐบาลใช้กำลังไปปราบ อันนี้คือคำพูดของ นายไชยวัฒน์ สินสุวงศ์ พูดตอนกลางคืน อ้าว ...แบบนี้แสดงว่าที่ต้องการยั่วยุ ที่นายกฯ สมัคร (นายสมัคร สุนทรเวช นายกรัฐมนตรี) พูดในวันนั้น ก็คือต้องการให้เขาใช้กำลังใช่หรือไม่ แล้วจะได้เกิดการปฏิวัติและมีการเปลี่ยนขั้วอำนาจ ถ้าดูตอนนี้ถ้าทุกส่วนใช้ธรรมกันอย่างจริงจัง โดยเฉพาะลัทธิของโพธิรักษ์ พร้อมคณะ ที่มีกองทัพธรรม อะไรต่อมิอะไรมาเป็นตัวหนุน

ถ้าในเชิงศาสนา ในเชิง มหาเถรสมาคม ต้องพูดอะไรบ้าง เพราะที่ผ่านมาเท่ากับเป็นการท้าทายอำนาจมหาเถรสมาคมที่มีอยู่ และศาลเคยพิพากษาแล้ว และให้รอลงอาญา 2 ปี หมายความว่าที่แต่งกายเลียนแบบสงฆ์ แต่คราวนี้ที่มาทำงานเชิงการเมือง ใช้คำว่า อาตมา เสร็จแล้วก็ไปเลือกตั้งได้ มีบัตรประจำตัวประชาชนได้ เดินบิณฑบาตได้ เล่นการเมืองได้เต็มรูปแบบ มีพรรคการเมืองได้ อย่างพรรคพลังธรรม หรือพรรคเพื่อฟ้าดิน มันคืออะไร แต่ขณะเดียวกันในคณะสงฆ์เองก็บอกว่าไปเลือกตั้งไม่ได้ ไปตั้งพรรคการเมืองไม่ได้ แต่พวกนั้นทำครบรูปแบบ ในขณะเดียวกันก็ยกระดับเดียวกันมาเป็นพระให้คนอื่นเขาใส่บาตรได้

** แบบนี้ทำผิดไหมในฐานะเลียนแบบพระสงฆ์ หรือแอบอ้างความเป็นสงฆ์

มันผิดอยู่แล้ว ผิดตั้งแต่ปกาสนียกรรมนั่นแหละ มหาเถรสมาคมเขาประกาศที่สำนักงานพุทธมณฑล ในปี 2535 และมีการขึ้นศาลสงฆ์ ที่ตำหนักสงฆ์ วัดมหาธาตุ แล้วลงไปสู่การเมืองเต็มตัว สร้างพรรคการเมืองก็ได้ เลือกตั้งได้ ถ้าเอาตามตรง นี่คือการแอบอ้างความเป็นสงฆ์ แต่ทีนี้เมื่อมันจะเป็นให้มันเป็น หมายความว่า มหายาน ที่ต่างประเทศ ที่เรามาประชุมในมหาจุฬาฯ "Buddhism Summit" หลายๆ รอบ เราก็ยังให้ความนับถือกันได้ คุณจะเป็นลัทธิก็เป็นไป แต่พอลงไปแบบนี้ ลงไปในการเมืองเต็มร้อย แล้วยังมาใช้ศัพท์แสงของพระ แล้วมาบอกว่าเป็นผู้เคร่งครัดมากกว่าพระสงฆ์อื่น อย่างที่นายพิภพพูด อันนี้จะยกกันให้สูงขึ้น นายพิภพ ประกาศเลย ชุมชนสันติอโศก หรือกองทัพธรรม เป็นพระที่เคร่งครัด แล้วอะไรไม่ใช่พระ แล้วอะไรคือพระ ขณะนี้มันเต็มร้อยกับการเมือง คือมันลงมาเต็มร้อย เป็นเจ้าของพรรค เป็นเจ้าของ ส.ส. เป็นอะไรต่ออะไร คือไม่ต้องพูด มันเต็มร้อยไปแล้ว

** ถ้าเขาทำสำเร็จ ตามแนวคิดของพระอาจารย์ ประเมินว่าอย่างไร

เท่ากับเป็นการยกฐานะของลัทธินี้ให้เท่ากับคณะสงฆ์ ซึ่งคณะสงฆ์เอาอะไรไปจัดการ ไม่มีเลย ถามว่ามหาเถรสมาคมไม่ต้องเอาพระรูปนั้นรูปนี้หรอก มหาเถรสมาคมจะเอาอะไรไปเตือน เอาอะไรไปดึง ใครไปฉุด ใครไปรั้ง ใครไปเบรก อย่างของมหาโชว์ ถ้าคลาดเคลื่อน เจ้าอาวาสวัดยังกระแอมสักครั้งหนึ่ง เราก็ชะลอแล้ว หรือเจ้าคณะกรุงเทพมหานครสอบสวน เท่ากับมีการตรวจสอบ แล้วอย่างสันติอโศกนี้ใครไปเตือน พอไปเตือนเขาบอกว่า อยู่นานาสังวาส (ถือความเห็นคนละอย่าง จึงอยู่ร่วมกันไม่ได้) ไม่ได้อยู่กลุ่มเดียวกัน นอกเหนือจากกฎหมายสงฆ์ ไม่ได้ขึ้นต่อวงการคณะสงฆ์ เอาอะไรไปเตือน
ที่จำเป็นต้องพูดถึงความจำเป็นในการบัญญัติเรื่องพระพุทธศาสนาเป็นศาสนาประจำชาติ เพราะมันขยับกันมาอย่างนี้

** ความเชื่อของคนในกลุ่มของสมณโพธิรักษ์ อันตรายกับประชาชนไหม

ตอนนี้หากถอยมาอย่างของท่านจันทร์ เวลาออกอากาศตอนนี้ เพื่อนช่วยเพื่อน ยังเอาพระไตรปิฎกมาอ่านบ้าง อะไรบ้าง ยังไม่ห่างมาก แต่ถ้าหากเรื่องการบรรลุธรรม การโหวต การบวช ไม่มาสวดญัตติ แต่เพียงว่า เอานั่งพร้อมกันแล้วให้มีการโหวต คนนั้นคนนี้สมควรจะเป็นพระ ไม่ได้มานั่งสวดญัตติ "จตุตถกรรม" อย่างอื่นไม่มี การไหว้พระพุทธรูปก็ไม่มี มันแตกต่าง แต่ถ้าสอนอย่างที่สมณจันทร์ สอนมันยังพอไหว แต่ถ้าหากบรรลุธรรมในขณะที่ฉี่อยู่อย่างโพธิรักษ์นี่ คือบอกว่า ขณะฉี่เกิด Enlightenment คือเกิดการบรรลุธรรมแล้วพยากรณ์ ไอ้สิ่งเหล่านี้มันไม่ได้ โดยวินัยมันไม่ถูก คนนี้เป็นสกิทาคามี คนนี้เป็นอนาคามี ระดับนี้เขาจะพยากรณ์ให้เลย ซึ่งตรงนี้มันผิด

** สมควรที่คนปกติจะไปกราบไหว้ไหม อย่างโพธิรักษ์ เมื่อเคยมีพฤติกรรมอย่างนี้

คือถ้าเป็นอย่างนี้มันไปแล้วล่ะ คือ ถ้าพยากรณ์แล้ว หมายความว่าอวดอุตริมนุสธรรม แต่ว่าเฉพาะตรงนี้มันเป็นมาแล้วเมื่อปี 2535 และมันถึงที่สุด ทีนี้มาดูบทบาท นับแต่ปี 2549 ที่เขามาลงเรื่องการเมืองกับกลุ่มพันธมิตรฯ คือ ถ้าจะดึงมาเต็มร้อย ซึ่งพระทั่วไปก็ไม่ลงมา อย่างของกลุ่มอาตมาที่ไปในเรื่องอย่างเดียวคือ พระพุทธศาสนา อย่างภิกษุสันดานกามัน เรื่องพระพุทธศาสนา มันด่าพระด้วยภาพ กฎหมายดูแลไม่มี ก็บอกเป็นสิทธิเสรีภาพ เอาอะไรไปจับ เอาอะไรไปเตือน มันไม่มี เรื่องการจัดรูปที่ดินเพื่อพัฒนาพื้นที่ การทำนามบัตรให้พระมีคำนำหน้านาม นี่คือกฎหมายทั้งหมดเลย

ของเราไปนี่ ถ้ารัฐบาลเขาทำถูกเรายกย่อง ใครทำไม่ดีก็ควรปรับปรุง เพราะอย่างไรเสียชาวพุทธก็ควรปรับปรุงกันได้ ตรงนี้ไม่ดี อะไรเสีย ควรจะบอกกันได้ก็บอกกันตามตรง รวมถึงปัจจุบัน รัฐบาลท่านนายกฯ สมัคร ตรงไหนดีเราก็บอกว่าดี อย่างที่ท่านเขาวัด เข้าไปหาพระผู้ใหญ่ประกอบพิธีกรรม อันนี้ดีแล้ว แต่ถ้าไม่ดีเราก็บอกกับรัฐบาลว่าไม่ดีแล้ว เช่น การจัดเขตเศรษฐกิจพิเศษ นั่นไม่ดีเลย นั่นคือหมดพุทธเลย ต่อไปเป็นกลุ่มอิสลามล้วนๆ เลยในพื้นที่ อย่างที่คุณเฉลิมออกมาพูด เราก็ช่วยปรามว่าจะเกิดแบบนั้นแบบนี้นะ ท่านจะหยุด

อย่างบัตรประจำตัวประชาชนแบบสมาร์ทการ์ด ถ้าไม่มีการใส่ข้อมูลเรื่องการนับถือศาสนา จะเป็นการโกงตัวเลขการเป็นพุทธศาสนิกชนแบบสะบั้นหั่นแหลก หมายความว่า เดิมทีการดูสถิติการเป็นพุทธศาสนิกชนเขาจะดูที่ทะเบียนราษฎร ถ้าไม่มีจะเป็นการโกงตัวเลขผู้นับถือศาสนากันอย่างสะบั้นหั่นแหลก และปัจุบันดูจากสำนักทะเบียนราษฎร เดิมทีตามจำนวนคนนับถือศาสนาพุทธ 94.85% แต่ต่อไปไม่มีการบันทึกเอาไว้ อิสลามเขาอาจจะบอกได้ว่ามี 3% แต่ถ้าขณะนี้ วันมูหะมัดนอร์ มะทา จะบอกว่ามี 15%

เดิมมีการแย่งศาสนิก แม้แต่คริสต์ เขาไปใส่ในบัตรประจำตัวประชาชนแถวทางหนองคาย เขาบอกว่เป็นคริสต์ศาสนิกชน ไปใส่ให้เขาเพื่อให้มันเพิ่ม เมื่อเพิ่มขึ้นมาแล้วถามว่าได้อะไร คือการต่อรองงบประมาณแผ่นดิน เอาไปสร้างมัสยิด เอาไปจัดพิธีกรรม เอาไปบอกว่า ณ บัดนี้อิสลามมี 25% การจัดสรรงบประมาณเพื่อให้นำไปประกอบพิธีที่เมกกะ ไปแสวงบุญ ไปสร้างมัสยิด จะเพิ่มขึ้นไปตามเงาตามตัว ในขณะนี้กำลังร่างพระราชบัญญัติ เมื่อ 2 สัปดาห์นี่เอง เป็นมติ ครม. ว่าการทำบัตรสมาร์ทการ์ด และบัตรประจำตัวประชาชนจะไม่ใส่การนับถือศาสนา กำลังเป็นร่างพระราชบัญญัติ ซึ่งเป็นมติ ครม. แต่ต้องเอาเข้าสภาอีกครั้ง เมื่อตัดศาสนาทั้งหมดออก การตรวจสอบยากแล้วล่ะ สามารถโกงการตรวจสอบสบายเลย อย่างอิสลาม 0.5% ต่อไปจะบอก 10% ก็ได้แล้ว จะเอาอะไรมาอ้าง

ตรงนี้เราไม่อยากจะคุยสายตรงแล้ว ไปคุยข้างในแล้ว ถ้าหากเป็นเรื่องที่เกิดเกี่ยวกับพุทธศาสนาเป็นศาสนาประจำชาติแล้ว เพราะเราเคยคุยกับนายอภิสิทธิ์ เกี่ยวกับพระพุทธศาสนาเป็นศาสนาประจำชาติ

เราเคยถามพรรคประชาธิปัตย์โดยตรงกับคุณอภิสิทธิ์ (อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ) เกี่ยวกับเรื่องพระพุทธศาสนาเป็นศาสนาประจำชาติ ในช่วงที่พระไปอยู่หน้าสภา แล้วเขาก็บอกเลยว่าเป็นเรื่องยาก แก้ไขไม่ได้ เพราะในพรรคประชาธิปัตย์ก็มี ส.ส. ที่นับถือศาสนาอิสลามอยู่ เพราะ ถ้าแก้คะแนนการเมืองเสีย เขาก็พูดเอาไว้ชัดว่า มันแก้ยาก มันแก้ลำบาก

แต่นี่การเมืองเกือบกว่า 70 ปีที่เปลี่ยนแปลงการปกครองมา เรื่องที่เกี่ยวกับพระพุทธศาสนา ที่ดูเชิงการเมือง เชิงกฎหมาย มันไม่มีเลย เพิ่งมาถึงนายกฯ สมัคร เพิ่งมามีครั้งนี้ที่เห็นว่านายกฯ เขาพูดชัด ในขณะที่เขาเอื้อ เราก็ควรจะใช้ประโยชน์จากตรงนี้ ไม่จำเป็นต้องไปเดินขบวน ไปตั้งม็อบเหมือนกับครั้งที่แล้วๆ มา ก็คือให้รัฐบาลเป็นเจ้าภาพเอง เราขออาศัยในเรื่องนี้ด้วย เพราะที่ผ่านมามันไม่เคยมี ถ้าจะไปนับหนึ่งถึงสิบนั่นคือของพระ ของชาวพุทธ แต่นี่เพียงแค่เรานับหนึ่งถึงสอง เพื่อช่วยรัฐบาลเขาบ้าง อย่างที่เรื่องของการลงชื่อเนี่ย แต่เขาจะแก้เรื่องอะไรก็เป็นเรื่องของเขาไป เป็นเรื่องการเมืองไป แต่ว่าเรานั้นแค่เพียงอาศัยขบวนรถไฟว่าฝากเรื่องนี้ด้วย แต่ว่าในเรื่องของการที่จะทำงานไม่ใช่เราจะคอยให้เขาแบกอย่างเดียวเรา ควรจะมีน้ำใจบ้าง ทั้งพระเจ้า พระสงฆ์ ญาติโยม ชาวพุทธ อย่างที่ผ่านมา

เพราะฉะนั้นมาถึงตอนนี้ที่วัดสวนแก้ว นายกฯ พูดชัด แม้แต่การติติงอภิรักษ์ (นายอภิรักษ์ โกษะโยธิน ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร) ในการจัดงานวันมาฆบูชา บอกว่าจัดงานเกี่ยวกับพระพุทธศาสนาห่วยแตก และอีกหลายๆ ครั้ง รวมทั้งการพูดจา ซึ่งเห็นได้ว่าครั้งนี้เป็นครั้งที่รัฐบาลทำงานให้กับพระพุทธศาสนา ส่วนเรื่องที่รัฐบาลจะทำเรื่องอื่นด้วยอะไรต่างๆ นั้นเป็นหน้าที่ของรัฐบาลที่เขาจะดูแล แต่ว่าเท่าที่ผ่านมานั้นเพิ่งเห็น ทั้งเรื่องรัฐธรรมนูญ ทั้งเรื่องกฎหมายอื่น ว่าถ้าอย่างนั้นเมื่อรัฐบาลเอาใจใส่ในพระพุทธศาสนา ทั้งเรื่องทางกฎหมาย ทั้งเรื่องศาสนกิจ ทั้งเรื่องทางพิธีกรรมของพระพุทธศาสนาก็ต้องปล่อยให้เขาทำ ส่วนเราก็เป็นกำลังใจ

***ในกระบวนการการแก้ไข รธน. มันจะสำเร็จยาก ในเมื่อ ส.ส. ถอนตัวออกไปแล้ว บวกกับการออกมาเคลื่อนไหวของกลุ่มพันธมิตรฯ ตรงนี้มันจะไปกระทบกับตัวร่าง รธน. ที่บัญญัติเรื่องพระพุทธศาสนาเป็นศาสนาประจำชาติหรือไม่

จริงๆ แล้วถ้าทุกฝ่ายแก้กันด้วยกติกา เรื่องอะไร เพราะว่าในมาตรา 291 การแก้ไม่ได้เขียนเอาไว้เลยในรัฐธรรมนูญว่าเป็นรัฐบาลได้ 3 เดือนแล้วถึงแก้ ไม่ได้เขียนว่าครบ 4 ปีแล้วถึงแก้ ไม่ได้กำหนด 1 ใน 5 นั้นคือกติกาของบ้านเมือง ไม่ได้กำหนดด้วยระยะเวลา เป็นรัฐบาลได้ 3 วัน แก้ไข ไม่จำเป็นต้องบอกว่าให้ทำไปก่อนแก้ไขปัญหาเรื่องปากท้องก่อน มันไม่เกี่ยวเลย มาตรา 291 ในรัฐธรรมนูญบอกเอาไว้ชัดว่ามีรายชื่อ 5 หมื่นชื่อ อีกทางหนึ่งคือ 1 ใน 5 ของจำนวน ส.ส. ไม่ได้ไปผูกมัดว่าจะต้องเป็นรัฐบาลได้กี่ชั่วโมง กี่เดือน ไม่ได้กำหนด เมื่อมันเข้ากรอบตัวนี้มันทำได้

***แต่ทางพันธมิตรฯ เขาไม่ยอม

แสดงว่าไม่เคารพกติกากัน คือ ถ้าเป็นอย่างนี้ไปยุบพรรค ถ้าสมมติว่าประชาธิปัตย์เข้ามามันยุบเหมือนกัน ถ้าเกิดไปใช้เล่ห์เหลี่ยมจากเดิมบอกว่ายุบพรรคตรงนี้ ยุบพรรคมัชฌิมาธิปไตย ยุบพรรคชาติไทย พอไปถึงผู้บริหารพรรคประชาธิปัตย์บ้างบอกว่าแก้ได้ มันอะไรล่ะ เพราะว่าถ้ารัฐบาลไม่แก้ตรงนี้ เรื่องปากท้องแก้ไป ปัญหาอะไรมันเกิดที่พอทำได้ทำ หมายความว่าต่อไปทุกพรรคมันจะโดนเหมือนกันทั้งหมด ไม่ใช่ตรงนี้ที่เดียว เพราะว่าเท่าที่มองทั่วไปแก้เพื่ออดีตนายกฯ ทักษิณ เพื่อพรรคพวก พวกพ้อง แต่ถ้ามองภาพรวมคือว่าทุกพรรคจะโดนเหมือนกัน เมื่อพรรคการเมืองโดนมันสะท้อนถึงเรื่องเศรษฐกิจ ใครที่ไหนจะมาลงทุน เมื่อการเมืองมันไม่นิ่ง เมื่อรัฐบาลมันอยู่ไม่ได้ มันมีกะจิตกะใจที่ไหนจะไปแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจ แล้วประเทศไหนจะมาลงทุน เมื่อมันไม่นิ่ง เดิมทีจะแข่งกับญี่ปุ่น ต่อมาจะแข่งกับสิงคโปร์ ตอนนี้แข่งกับเวียดนาม กับเขมร

***อาจารย์มองว่า ส.ส. ควรจะมีจุดยืนเดิมไหม ในการที่จะยื่นร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญเข้าไปอีก

ไม่อย่างนั้นไปลบมาตรา 291 ไม่ต้องใส่เข้าไปในรัฐธรรมนูญ กระบวนการของการแก้ไขเขาเขียนเอาไว้ว่า 5 หมื่นชื่อ ส.ส. 1 ใน 5 ไม่เห็นเขียนว่าต้องเป็นรัฐบาลเท่านั้นเท่านี้ถึงแก้ไข ไม่มีเลย แต่ทีนี้เพียงแค่ใช้เล่ห์เหลี่ยมของการเมืองมาใส่กันเท่านั้นเอง ทีนี้ ส.ส. ควรมีจุดยืนให้ชัดว่าถ้าเกิดในเรื่องของการบริหารประเทศเราไม่ได้ทำเพื่อคนใดคนหนึ่ง ทำเพื่อส่วนรวม พรรคการเมืองใดที่ได้แก้ตรงนี้แล้วมันก็เป็นอานิสงส์ด้วยกัน แล้ว รธน. ทั้งหมด 17-18 ฉบับมันก็ไม่ได้อยู่ถึง 4 ปี 2475 เป็นต้นมามันก็ฉบับละ 2 ปี หลังจากนั้นก็ปฏิวัติ ไม่มีฉบับไหนมันถาวรสักฉบับ มันก็ยังมีข้อบกพร่อง ยังมีช่องว่างในรัฐธรรมนูญมา ถ้าลองหารดูว่า 18 ฉบับ ตั้งแต่ 2475 เป็นต้นมาเนี่ย 70 กว่าปีนั้นมันตกฉบับละกี่ปี ประมาณ 2 ปีกว่าต่อฉบับ มันไม่เหมือนของอินเดีย ฉบับที่ 1 ใช้มาตลอดเกือบ 60 ปีแล้ว

ของเราเนี่ย คือเวลาร่างมันใส่กิเลสลงไปด้วย กลุ่มไหนเป็นคนร่างมันก็เพื่อผลประโยชน์ของกลุ่มนั้น เพราะฉะนั้นเมื่อมีช่องว่าง ถ้าเกิดว่าโดยมารยาท ของที่ไหนก็ตาม ไม่ว่าจะเป็นข้าราชการประจำ หรือว่าข้าราชการการเมืองนั้น ระเบียบพระราชกำหนด หรือกฎหมายใดนั้นมันเป็นประโยชน์ต่อผู้ปฏิบัติเขาจะย้อนหลังให้ แต่ถ้ากฎหมายใดที่เป็นโทษเขาจะยุติแค่นั้น แต่ทีนี้ในการร่างในครั้งนี้อาตมามองโดยที่ไม่ไปอยู่กลุ่มใด อย่างการร่างครั้งที่แล้วมันร่างเพื่อกันคนคนเดียวคือ นายกฯ ทักษิณ แต่ว่ามันส่งผลกระทบไปถึงคนทั้งประเทศ เราไม่ได้เข้าข้าง แต่ว่าการที่จะไปจับเขาต้องไปจับให้ดูว่ามันผิดอย่างไร ไม่ใช่ว่าเป็นการโยนโคลนใส่เข้าหากัน ไม่มีโอกาสแก้ต่าง ถ้าพูดข้างเดียวใครก็พูดได้

ทีนี้ในส่วนของกระบวนการทางการเมืองนั้น การเมืองมันแก้ด้วยการเมือง ไม่ใช่ว่าเมื่อในพรรคฉันไม่ได้ก็ใช้อารมณ์ ใช้พวกมากลากไป เพราะว่าความถูกต้อง การยุติธรรม มันต้องยุติกันตรงนี้ ยุติด้วยธรรมะ ไม่ใช่ยุติกันด้วยอารมณ์ ยุติกันด้วยคนจำนวนมาก เพราะการเข้าใจผิดนั้นมันสามารถสร้างกระแสได้ 291 นี้คือการแก้รัฐธรรมนูญ ใช้กติกาตรงนี้มาจับ ถ้าแก้เพื่อคนใดคนหนึ่งอย่างที่กล่าวหากัน ตรงนี้ก็ไม่เห็นด้วย แต่เขาอธิบายตรงนี้ก็ต้องฟังเขาว่าแก้เป็นอย่างไร กระบวนการในการแก้ แต่ว่าเท่าที่เห็นคือกระแสของสังคมที่มันทะลักเข้ามา มันไม่เหมือนกับการประท้วงหรือการทำงานอย่างอื่น เพราะการประท้วงสมัยก่อนนั้นมันไม่มีสื่ออยู่ในมือ แค่มือถือเขาบอกว่าม็อบมือถือยังชนะรัฐบาลได้ แต่ว่าในปัจจุบันนี้การประท้วง การก่อม็อบ มันมี TV อยู่ในมือ มีวิทยุในมือ มีหนังสือพิมพ์ในมือ

เมื่อก่อนนั้นเขาปิด เพราะว่าถ้าคนฟังมากมันทั้งถูกและผิดมันไปพร้อมกัน ทั้งบวกและลบ แต่ทั้งบวกและลบถ้ามันกึ่งๆ กัน แล้วคนมันจะทะเลาะกัน กฎของนิติศาสตร์กับรัฐศาสตร์ คือ การใช้วิธีการบริหารปกครองประเทศ บางเรื่องใช้นิติศาสตร์ บางเรื่องใช้รัฐศาสตร์ แต่ว่าการปลุกเร้ากันด้วยสื่อนั้นมันปกครองลำบาก มันกระจายไปทั่วโลก คนยิ่งบริโภคสื่อมากเท่าไร ถ้าเอาเรื่องที่ดีมาคุยกันมันก็เป็นประโยชน์ แต่ถ้าเอาเรื่องที่ไม่ดีมาแล้ว ใส่ทุกวันมัน เป็นยาพิษในสื่อ เพราะฉะนั้นสิ่งที่เกิดขึ้นตอนนี้ถ้ารัฐบาลไม่แก้ปัญหาด้วยความรุนแรง ก็ถือว่าเป็นการดีแล้ว ทางที่ถูกต้องคือมาตรา 291 เนี่ย ถึงแม้ว่ารัฐบาลจะถูก แต่ว่ากระแสความเห็นใจ กระแสการเมือง กระแสผลประโยชน์มันแรง มีการลดราวาศอกให้ก็เป็นเรื่องดี นั่นคือเจตนาดี การมีรัฐบาลกับฝ่ายค้านเพื่อติติงเพื่อให้เกิดการปรับปรุงแก้ไข เกิดการพัฒนา ทำให้ประเทศชาติอยู่ร่วมกันได้ ถ้าเกิดว่ารัฐบาลโกงกิน ประชาชนที่ไหนเขาจะไปยอม คือว่าถ้าชัดเจนจับได้คาหนังคาเขา ก็ยินดีจะเข้าพวกไปไล่รัฐบาลด้วย แต่ทีนี้ต้องไล่ลำดับให้ดีว่ามันผิดแล้วจับได้ไหม ฉะนั้นมันต้องปล่อยให้เขาทำงานตามหน้าที่ ส.ส. ก็ต้องคุยกันในสภา หมายความว่าทั้งฝ่ายรัฐบาลและฝ่ายค้าน ฝ่ายรัฐบาลคุยกันในสภา ฝ่ายค้านถ้าจะติติง ต้องไปว่ากันในสภา ไม่ใช่มาอยู่ในสภาข้างถนน ต้องจบกันในสภา ถ้าอย่างนั้นไม่ต้องมีสภา พอเป็นรัฐบาล-ฝ่ายค้าน ก็มายึดถนนคนละข้าง

***ในส่วนขององค์กรสงฆ์จะเคลื่อนไหวให้มีการแก้ไข-เพิ่มเติม ให้บรรจุพระพุทธศาสนาเป็นศาสนาประจำชาติต่อไปไหม หลังจากที่ร่างฉบับที่แล้วถูกถอนออกไปแล้ว

คือของชาวพุทธเองรอดูว่าในส่วนของกระบวนการที่รัฐบาลจะแก้ไขก็เอาด้วย ก็หมายความว่าขยับเมื่อไรก็เอาด้วยทุกครั้ง แต่ว่าเอาเรื่องพุทธศาสนาอยู่ในรัฐธรรมนูญ เหตุผลที่มันจะทำให้เกิดความแตกแยกมันไม่มี ถ้าทำให้เกิดความแตกแยกเราก็ยินดีที่จะคัดค้านไม่ให้ศาสนาพุทธเป็นศาสนาประจำชาติ ถึงแม้ว่าศาสนาพุทธจะเป็นศาสนาของเราก็ตาม แต่ว่าเหตุที่เอามาอ้างมันไม่มี ใครมีเหตุผลอื่นใด ถ้าเห็นว่าชาวพุทธไปฆ่ามุสลิม เราก็จะช่วยกันคัดค้าน ว่าต่อไปนี้ไม่เอาแล้ว และจะยินดีช่วยกันคัดค้านอีก จะไม่เอาเหมือนกัน แต่นี่มันไม่มี เพราะฉะนั้นเมื่อรัฐบาลเดิน หน้าเราจะสนับสนุนด้วย

แต่ทีนี้ถ้าจะให้มันเป็นแบบฉบับของการเมืองที่เป็นตัวอย่างของคนต่อไปนั้น มันควรจะทำด้วยความเป็นประชาธิปไตยจริงๆ ไม่ใช่ประชาธิปไตยแค่เพียงเปลือก หรือ 3 สถาบันแค่เพียงมาเป็นเครื่องมือในการด่ากัน ไม่ใช่แต่ละคนมองประชาธิปไตยไปคนละอย่าง คนละแบบ ไปๆ มาๆ ทะเลาะกัน จะลงไม้ลงมือกัน เพราะต่างคนต่างมองประชาธิปไตยอย่างที่ตัวเองคิด แต่ไม่ได้เข้าถึงประชาธิปไตย ถ้าอย่างนั้นก็เอาเหมือนพม่าสิ 40 กว่าปีไม่ต้องปล่อย บริหารโดยรัฐบาลทหาร ใครกล้าคัดค้านบ้าง ใครกล้าจับติดคุก อย่างเมื่อปีที่แล้ว หรืออย่างของ คมช. นั้นใครกล้าหือบ้าง อดีต ส.ส.-ส.ว. แค่จะหาเสียงให้พรรคตัวเองยังไม่กล้าขยับเลย หรือว่านิสัยคนไทยชอบการปฏิวัติ ถ้าอย่างนั้นก็ปฏิวัติสัก 10 ปี แล้วก็ค่อยปล่อย

สิทธิเสรีภาพ ต่างคนอยากมีอิสระ พอเขาปล่อยให้มี ต่างคนต่างเกินเลยขอบเขต อิสระมันคือเท่าไร เสรีภาพมันคือขอบเขตใช่หรือไม่ อยากด่าใครด่าได้ นั่นคือเสรีภาพหรือไม่ เสรีภาพมันต้องมีกรอบ แต่มันไม่ใช่ว่าเสรีภาพคือไร้พรมแดน มันไม่ใช่ กฎเกณฑ์กติกาคือกรอบ มันคือขื่อแปของบ้านเมือง

เพราะฉะนั้นตรงนี้ถ้าจะยุติคือว่า 1.ทุกคนต้องเข้าถึงสถาบันทั้ง 3 ให้ชัด ชาติต้องชัด ศาสนาต้องชัด อหิงสาคืออะไร สมานฉันท์ สมามัคคี คืออะไร เอากันให้ชัด หรือแค่ศีล 5 ต้องให้ชัด แล้วเอาหลักการจริงๆ เข้าไปว่ากัน มันจะจบ แต่ถ้าเกิดว่าถ้าใครมีพวกมากกว่าคนนั้นชนะ เพราะว่าสัตว์เดรัจฉานกับมนุษย์มันต่างกันแค่ตัวธรรมะ เพราะฉะนั้นสังคมปัจจุบันไม่ต่างอะไรกับสังคมของสัตว์เดรัจฉานที่มุ่งแต่จะทำลายกัน กติกาไม่จำเป็นต้องมี กฎหมายไม่จำเป็นต้องมี ใครมีพวกมากกว่าใส่กันไป แต่ว่าเมื่อเป็นสังคมมนุษย์ต้องมีกติกา ทุกคนเป็นแนวเดียวกัน มีวินัย มีกรอบ คนไม่มีระเบียบวินัยมันก็เหมือนกับควายไม่มีคอก เพราะฉะนั้นคอกคือกฎหมาย คือกติกา ถ้าเราสร้างกติกามาแล้ว ไม่เคารพกติกา บ้านเมืองวุ่นวาย

ฉะนั้นกฎหมาย กฎเกณฑ์ กติกา บวกกับหลักธรรม แล้วก็เรื่องของลัทธิ นิกาย ถ้าเกิดไม่จุ้นจ้านมากเกินไป เรื่องที่ชี้คดีความว่าผิด หรือเรื่องของพระธรรมวินัยมันก็ชัดเจนอยู่แล้ว วิพากษ์วิจารณ์ไปมันก็จะกินใจกันเปล่าๆ แต่ว่าโดยหลักธรรม และหลักฐานที่ผ่านมานั้นมันไม่ได้ แต่ว่าพอมาถึงตอนนี้ก็ยกระดับจากลัทธิมาเทียบเท่ากับมหาเถรสมาคม ได้รับการยอมรับของสังคมที่ทัดเทียมกัน โดยคิดว่าเป็นผู้ที่เคร่งครัดมากกว่าคณะสงฆ์กลุ่มอื่น โดยอาศัยฐานทางการเมืองมาโปรโมตตัวเอง

////////////

ประชาทรรศน์รายสัปดาห




 

Create Date : 18 มิถุนายน 2551    
Last Update : 18 มิถุนายน 2551 3:30:18 น.
Counter : 588 Pageviews.  

ดร.สุเมธแนะให้ขุดบ่อเก็บน้ำไว้ใช้ยามแล้งเทียบกับสมัครให้ผันน้ำโขงมาใช้ ไม่รู้ไอเดียไหนแน่กว่ากัน

คนอื่นคิดยังไม่ ไม่รู้
แต่สำหรับผม ยิ่งวันยิ่งไม่เชื่อถือคนๆ นี้ครับ

วันก่อนออกทีวีเรื่องเงินเฟ้อ
พิธีกรถามว่า อยากให้แนะนำชาวบ้านว่าจะทำยังไงดี
ดร.สุเมธตอบไปยิ้มไปว่า ก็ต้องอยู่กันแบบพอเพียง...เหอะ ๆ ๆ

อภิโถ..เคยเห็นพูดถึงคำว่าพอเพียงซะเป็นตุเป็นตะ สุดซึ้ง
เล่นแนะนำแบบนี้ก็เท่ากับว่าคำว่าพอเพียงหมายถึง
ตามบุญตามกรรมอด ๆ อยาก ๆ สิครับ

---------ที่มา-------------------
ดร.สุเมธ แนะขุดบ่อกักตุนน้ำใช้ประโยชน์ยามแล้ง [20 เม.ย. 51 - 16:35]

นายสุเมธ ตันติเวชกุล ประธานกรรมการสถาบันสารสนเทศทรัพยากรน้ำและการเกษตร กล่าววันนี้ (20 เม.ย.) ในการอภิปรายเรื่อง “การจัดการทรัพยากรน้ำชุมชน” ว่า ขณะนี้ประเทศไทยกำลังประสบปัญหาภาวะโลกร้อน ทำให้ทรัพยากรน้ำมีปริมาณลดลง และส่งผลกระทบให้ผลผลิตทางการเกษตรขาดแคลนและมีราคาสูงขึ้นตามไปด้วย โดยเฉพาะข้าว ทั้งนี้ ที่ผ่านมาพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงมีรับสั่งมาโดยตลอดว่า น้ำคือชีวิต เพราะเกี่ยวข้องกับทุกชีวิตบนโลก โดยเฉพาะประเทศไทย ซึ่งเป็นประเทศเกษตรกรรมที่ได้รับผลกระทบโดยตรง จึงจำเป็นต้องมีการบริหารจัดการน้ำ เพื่อใช้ประโยชน์ให้เหมาะสมกับพื้นที่

ประธานกรรมการสถาบันสารสนเทศทรัพยากรน้ำฯ กล่าวอีกว่า ปัจจุบันมีการใช้ประโยชน์น้ำเพียงร้อยละ 20 เท่านั้น ซึ่งเห็นว่าชุมชนควรจัดสรรน้ำ โดยร้อยละ 30 ของพื้นที่ต้องขุดบ่อ เพื่อกักตุนน้ำไม่ให้ท่วมผลผลิตทางการเกษตร รองรับปัญหาขาดแคลนน้ำในยามแล้งด้วย หากชุมชนมีการบริหารจัดการน้ำแนวทางดังกล่าวให้สามารถใช้ประโยชน์กับพื้นที่เกษตรกรรมอย่างทั่วถึงเชื่อว่าจะช่วยให้ผลผลิตทางการเกษตรเพิ่มขึ้น และบรรเทาปัญหาการขาดแคลนอาหาร

แก้ไขเมื่อ 20 เม.ย. 51 23:21:56

จากคุณ : ตริวิกรมเสน - [ 20 เม.ย. 51 23:21:23 A:58.8.244.32 X: ]


ค่าขุดบ่อ ครึ่งงานก็ สองสามหมื่นแล้วครับ

จากคุณ : ดอกหญ้าสีฝุ่น - [ 21 เม.ย. 51 00:05:18 A:124.120.164.139 X: ]


เรื่องขุดบ่อ เค้าคิดกันมาตั้งแต่ 6 ปีแล้วหล๊ะลุง ก็สระเอื้ออาทรไง ตอนนี้ท่านสมัครก็เตรียมหาน้ำมาลงสระ ....................... ไปหลบอยู่หลังเขาลูกใดมาหรือลุ๊ง
จากคุณ : บุรุษหน้าเหล็ก - [ 21 เม.ย. 51 00:05:58 A:117.47.0.209 X: ]


..ไอ้เมท มันเพ้อเจ้ออีกแล้ว..บ้าหรือเปล่าก็ไม่รู้
..มันรู้ไหม ว่าการขุดบ่อน้ำ ให้มีน้ำเพียงพอต่อการทำ เกษตร นั้น ต้องใช้ บ่อขนาดไหน
..และใช้อะไรขุด.....ใช้เงินเท่าไร.....เอาเงินจากไหน....ขุดแล้วใช้ไกเนาบเท่าไร......คุ้มทุนกี่ปี....
.......มันรู้ไหมว่า เขาขุดกันมาตั้งแต่ สมัยนายกชาติชายแล้ว.....ตอนนี้ ตื้นหมดแล้ว....
..เพราะอะไร

จากคุณ : รักแดนไทย - [ 21 เม.ย. 51 00:31:48 A:58.8.2.229 X: ]


เบื่อพวกหลังอิงฟ้าแล้วใช้ปากเที่ยวด่าคนอื่นพวกนี้เหลือเกิน เมื่อไหร่จะหมดไปจากแผ่นดินไทยเสียที หลัง 19 กย. 49 ก็นายคนนี้แหละเดินสายออกต่างจังหวัดด่ารัฐบาลที่แล้วและท่านนายกทักษิณ เอาหลังอิงฟ้าตามถนัดพยายามทำให้คนเข้าใจว่าเป็นฟ้าสั่ง คนพวกนี้แหละที่ทำให้เราไม่อยากทำบุญบริจาคให้สังคมในหลาย ๆ โครงการเพราะมีชื่อคนพวกนี้ร่วมอย่ด้วย เมื่อก่อนเคยบริจาคให้ยูนิเซฟช่วยเหลือเด็กยากจน เดี๋ยวนี้ก็หยุดเพราะมีลายเซ็นของผู้ดีรัตนโกสินทร์

จากคุณ : แก้วโกเมน - [ 21 เม.ย. 51 07:46:17 A:125.25.195.165 X: ]


ผมว่าสังคมไทยนี่พัฒนามาผิดครับเพราะพัฒนามาเกินหน้าไป มันต้องพัฒนาแบบพอเพียงตามธรรมชาติซิครับ ราษฎรเขารู้ว่าเขาจะต้องทำอะไร อย่างไรเกี่ยวกับน้ำทั้งนั้นแหละครับเขาไม่ยอมอดตายหรอกครับ เราจะมาพัฒนานั่นพัฒนานี่มันก็จะโกงกันทั้งนั้นซิครับ ไม่ทำไม่มีโกงครับ

จากคุณ : คนพิจิตร - [ 21 เม.ย. 51 08:21:45 A:125.25.167.16 X: ]


แนะให้ชาวบ้านขุดบ่อ อยู่อย่างพอเพียง..หรือว่าอยู่อย่างตามบุญตามกรรม

ขุดบ่อน่ะขุดได้ แต่เอาน้ำที่ไหนมาใส่บ่อล่ะพ่อเมธ ที่พูดนี่ลองมาแล้ว ไม่ต้องไปขุดแถวๆอีสานหรอก ใกล้ๆนี่แหละ เเถวอยุธยานี่เอง เมื่อปีที่แล้วผมลองขุดแล้วใช้เนื้อที่ไป 2 ไร่ เต็มๆ
ตอนหน้าน้ำหลาก ผมรอให้น้ำมันทรงตัว และค่อยสูบน้ำเข้าจนเต็มบ่อ(สระ) เพื่อการทดลองที่จะเอาน้ำไปทำเกี่ยวกับรีสอร์ทเล็กๆของผม แต่รีสอร์ท ยังไม่ได้ลงมือก่อสร้าง แต่บ่อขุดไปแล้ว พอเวลาผ่านไปแค่เดือนสองเดือน ไปดูน้ำในบ่ออีกที ยุบวาบแบบน่าใจหาย นี่ขนาดยังไม่ได้เอาน้ำขึ้นมาใช้เลยยุบไปครึ่งกว่าครึ่ง
ยังพูดกับเพื่อนๆเลยว่าสงสัยจะต้องใช้น้ำบาดาล ที่ๆตรงที่จ้างเขาขุดบ่อ อาจจะกลบไปเลย เพราะว่าเปลืองเนื้อที่ และใช้ประโยชน์ได้ไม่คุ้มค่า เลยมานั่งคิดว่า การที่พ่อเจ้าประคุณเมธมาพูดแนะนำแบบนี้ ก็ถูกแต่คะแนนเต็มสิบให้เมธแค่สอง การขุดบ่อคือการกักเก็บน้ำขั้นพื้นฐานไม่ต้องบอกหรอกชาวบ้านเขารู้ ไม่ต้องดูอื่นไกลหรอก
ว่าๆเมธหัดไปดูแถวๆนครปฐม สุพรรณ อยุธยา อ่างทองดูสิ พื้นที่รอบนอกเขามีบ่อน้ำกันแทบจะทุกบ้านแหละ เพื่อเอาไว้บริโภคและอุปโภค แต่ถึงเวลาแล้ง มันแล้งจริงๆ แล้งที่เรียกว่า ในบ่อมีแต่น้ำปนโคลน เวลาจะตักต้องค่อยๆตักเบาๆ ไม่งั้น ตักแรงไปเดี๋ยวน้ำขุ่น นี่ขนาดภาคกลางนะ ถ้าเป็นภาคอีสานที่อาศัยบ่อน้ำล้วนๆ ไม่มีชลประทานคลองเล็กคลองน้อยไหลผ่านจะเดือดร้อนขนาดไหน แล้วไม่ต้องมาพูดว่ากันหรอกนะว่า แล้วทีเมื่อก่อนอยู่กันมาได้อย่างไร คนที่มีความอดทนและทนอด ผมคนหนึ่งแหละ ที่ยังต้องยกนิ้วให้คนที่อาศัยอยู่ในภาคถิ่นนี้
ถึงฤดูแล้งที ก็จะถึงฤดูกาลที่ทหารและส่วนราชการต้องนำรถไปบรรทุกน้ำมาแจกชาวบ้านเป็นประจำทุกปี เรียกว่าคล้ายกับประเพณีอย่างหนึ่งไปเสียแล้ว ทั้งที่ในหมูบ้านเหล่านั้น มีบ่อกันแทบถ้วนทั่ว มีแต่บ่อ แต่มันไม่มีน้ำ
เข้าใจไหมล่ะ พ่อเจ้าประคุณเมธ..โด่..ไม่อยากจะซุย

จากคุณ : ไม่มีไรจะยะ (non_soda) - [ 21 เม.ย. 51 08:52:00 A:10.90.6.82 X:202.28.181.7 ]

ทางรัฐบาลเกือบทุกๆๆรัฐบาลเขาส่งเสริมขุดบ่อกันมาทั้งนั้น
เขาพยายามไม่ให้น้ำซึมหายไปโดยการปูพื้นพลาสติก เขาวิเคราะห์วิจัย
และส่งเสริมกันมาเป็นสิบๆปีแล้ว

วันนี้คุณ ระดับสุเมธ มาบอกให้ขุดบ่อๆๆๆๆ สมองมันระดับทึ่มแล้ว เขาทำกันมานานแล้ว

เรื่องผันน้ำแม่น่ำโขงเป็นแนวคิดมานาน รัฐบาลนี้จะทำให้สำเร็จ เราก็ต้องให้กำลังใจ แต่คุณtkl1982 ยังแนะแหนอีก "กลัวโกงอีกแล้ว" ไม่มีใครทำเพราะกลัวว่าคุณโกง แล้วชาวบ้านจะอยู่กันอย่างไร
"คิดจะทำประโยชน์ คุณต้องกล้าทำไม่ใช่ มือไม่พายเราเท้าราน้ำอย่างคุณ"

จากคุณ : ไทยด่าน - [ 21 เม.ย. 51 14:32:48 A:58.9.94.156 X: ]

ดร สุเมท นี่เคยลงพื้นที่ไปดูตามชนบทบ้างมั้ยนะ ดีแต่ปากนั่งเทียนพูดอวดความรู้อยู่นั่นแหล่ะ

บ้านย่าของ เราอยู่ชนบทฝั่งตะวันตก รู้ไว้นะท่าน ที่ชาวบ้านชนบทน่ะไม่ว่าที่ไหนๆ เค้าขุดบ่อ ขุดสระ ไว้กักเก็บน้ำของตนเองทั้งนั้นแหล่ะ เค้าทำมาหลาย 10 ปี ก่อนที่ท่านจะมานั่งอวดวิชาตอนนี้เสียอีก แต่พอถึงหน้าแล้งพื้นที่ทางภาคอีสานจะเดือดร้อน เพราะดินมันเป็นดินปนทราย ฝนไม่ตกน้ำก็แห้ง ต่อให้ขุดสักร้อยบ่อพันบ่อ มันจะเอาน้ำที่ไหนไว้ใช้ล่ะ

ไร้สาระจริงๆพวกคิดอะไรบ๊องตื้น

จากคุณ : b_ehoh - [ 21 เม.ย. 51 15:21:21 A:125.24.249.162 X: ]

จะผันน้ำ หรือ จะขุดบ่อ ก็ยังต้องมีบ่อน้ำไว้กักเก็บอยู่ดี เหตุเพราะน้ำต้นทุนมีจำกัด 1.น้ำฝน 2.น้ำจากแม่น้ำโขง

ปัญหาขาดแคลนน้ำคือ มีน้ำมากในหน้าฝน แต่เก็บกักไม่ได้ พอหน้าแล้งก็ขาดน้ำ

การผันน้ำจากน้ำโขง เป็นการเพิ่มต้นทุนน้ำในหน้าฝน แต่หน้าแล้งจะเอาไปใช้มากไม่ได้ เพราะน้ำโขงก็จะมีปริมาณน้อยตาม

และเพราะน้ำโขงเป็นแม่น้ำที่ไหลผ่านหลายประเทศ ต้องใช้โดยไม่รบกวนประเทศทางท้ายน้ำ เพราะต้องใช้น้ำรักษาระบบนิเวศและดันน้ำเค็ม

ผันมาก็ต้องเอาเก็บไว้ แต่ต้องดูเรื่งระบบนิเวศในแหล่งน้ำของไทยด้วย เพราะมันจะติดสัตว์น้ำพืชน้ำจากน้ำโขงมาด้วย ซึ่งอาจมาทำลายระบบนิเวศในบ้านเราด้วย

ถ้าผันน้ำมาจะผันมาทางภาคเหนือและภาคอีสานซึ่งสามารถนำไปใช้ได้จนถึงภาคกลางเลย แต่เป็นโครงการขนาดใหญ่มาก และผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมเยอะ

และยังกระทบถึงเงินลงทุนและเศรษฐกิจต่างๆ รวมถึงผลประโยชน์ที่จะโกงกินกันสนุกปากอีกด้วย(อย่ากลัวเรื่องโกงเลย คนไทยน่าจะรู้นิสัยไทยๆ โกงแล้วมีผลงานยังมีประโยชน์กว่าทำงานแต่ปาก)

เพราะถ้าผันน้ำมาใช้ ต้องมีบ่อน้ำขนาดกลางรองรับประมาณซัก 7-8 บ่อ ก็พอใช้แล้วละครับ

++--------++

ทุกวันนี้มีคณะกรรมการแม่น้ำโขงอยู่ คอยควบคุมดูแลการใช้ประโยชน์ แต่ในจีนแม่น้ำนี้ไม่ได้ชื่อแม่น้ำโขง จึงไม่ได้เข้าร่วมภาคีด้วย(แต่เป็นแม่น้ำเดียวกันนะ)
จีนใช้ประโยชน์น้ำในแม่น้ำนี้มาก โดยสร้างเขื่อนกั้นเลยครับ แต่เขาเป็นประเทศต้นน้ำและมีอำนาจ ประเทศเล็กๆเลยทำอะไรมากไม่ได้ แต่ถ้าไทยจะใช้ตามอย่างเขาบ้าง เวียดนามที่อยู่ปากแม่น้ำ คงไม่ยอมแน่ๆ

โครงการนี้ถ้าพูดทางเทคนิคไม่ยากครับ ศึกษาผลกระทบต่อทรัพยากรสัตว์น้ำกรณีผันน้ำข้ามลุ่ม สร้างประตูน้ำไว้ผันน้ำช่วงน้ำมาก และหยุดช่วงน้ำน้อย
ทางส่งน้ำก็ดูลักษณะธรณีและปฐพี เจอภูเขาถ้าไม่อ้อม ก็เจาะด้านที่สั้น หรืออุโมงค์แล้วจัดโครงข่ายการส่งน้ำจากบ่อใหญ่ ไปกลาง ไปเล็กให้ทั่วพื้นที่

แต่จะมีปัญหาตรงผลประโยชน์ไม่ลงตัวมากกว่าและคนที่เสียผลประโยชน์ก็จะมีการจัดม๊อบมาต่อต้านแน่นอนและ NGO ย่อมไม่นิ่งเฉย

...ถ้ามองด้านการเมืองช่วงนี้หลายฝ่ายกำลังโจมตีรัฐบาล ถ้ารัฐบาลยังทำโครงการนี้ ก็จะมีกลุ่มต้อต้านเพิ่มขึ้นอีก มีเรื่องให้ฝ่ายค้านเอามาด่ามากขึ้นไม่ส่งผลดีต่อเสถียรภาพเลยครับ

....ถ้ามองด้านเศรฐกิจ เงินคงคลังกระจิดริด ความมั่นคงทางการเมืองไม่มี
เศรษฐกิจโลกไม่ดีนัก คงหาคนมาลงทุน หรือให้กู้ยากละคับ

....ถ้ามองจากนิสัยคนไทย มันจะพายเรือแล้ว เอามือราน้ำกันโดยไว

...ภาคอีสานดินไม่เก็บกักน้ำ และอากาศร้อนมีการระเหยสูง สำหรับบ่อน้ำขนาดเล็กก็ปูก้นบ่อด้วยพลาสติกได้ ปลูกต้นไม้รอบบ่อกันลมและความร้อนได้ หรือใช้ระบบชลประทานที่สูญเสียน้ำน้อยเวลาส่ง

จากคุณ : Mr.TOMato - [ 21 เม.ย. 51 16:35:37 A:124.121.118.124 X: ]


ผมรู้สึกเอียนกับคำว่าพอเพียงมาก จนป่านนี้แล้วมีใครนิยามคำว่าพอเพียงได้ครบถ้วนกระบวนความแล้วหรือยัง จริงๆคำว่าพอเพียงไม่ได้มีความหมายอะไรลึกซึ้งเลย พอเพียงก็คือพอเพียง Enough is enough ไม่รู้จะตีความหมายกันไปทำไมนักหนา แต่ถูกตีความตามแต่จะเกิดคำถามจากปัญหาการใช้คำว่าพอเพียงของคนหาเช้ากินค่ำ หรือคนที่รวยเอารวยเอา สรุปคือจริงๆมันไม่ได้มีประโยชน์อะไรเลยนอกจากเอาไว้เล่นงานใครบางคนแล้วทำให้ผู้พูดดูดีเท่านั้นเอง น่าจะสอนว่าหาได้เท่าไหร่ให้หาเอาแต่อย่าโกง อย่าเบียดเบียนหรือเอาเปรียบผู้อื่น หรือหาเงินได้มากเท่าไหร่ยิ่งดีแต่โดยสุจริต

จากคุณ : โรงช้าง - [ 21 เม.ย. 51 23:02:03 A:125.24.239.21 X: ]




 

Create Date : 22 เมษายน 2551    
Last Update : 22 เมษายน 2551 17:11:56 น.
Counter : 539 Pageviews.  

บทสัมภาษณ์อาจาร์ยนิติศาสตร์มธ.ผู้สนับสนุนแก้มาตรา237

สัมภาษณ์ ธีระ สุธีวรางกูร: เมื่อหวัดธรรมดาถูกมาตรา 237 ถือว่าเป็นไข้หวัดนก

หมายเหตุ: บทสัมภาษณ์ชิ้นนี้ ‘ประชาไท’ ได้รับอนุญาตจาก อาจารย์ธีระ สุธีวรางกูร (ผู้ให้สัมภาษณ์) ให้นำมาเผยแพร่ต่อ

โดย กล้า สมุทวนิช

(1)
ผมเพิ่งสัมภาษณ์ ธีระ สุธีวรางกูร เรื่องรัฐธรรมนูญ มาตรา 309 แบบสั้นๆ ไปเมื่อสัปดาห์ก่อน หลังการสัมภาษณ์คราวนั้น ผมคิดว่าไม่น่าจะมีอะไรที่ต้องไปรบกวนเวลาของเขาอีก อย่างน้อยก็ในช่วงนี้


ที่ไหนได้ เรื่องการขอแก้ไขรัฐธรรมนูญ มาตรา 237 นับวันยิ่งเป็นประเด็นบานปลาย เมื่อทั้งฝ่ายนักการเมือง ฝ่ายนักวิชาการ รวมถึงฝ่ายประชาชน ต่างเข้ามาร่วมวงแสดงความเห็นทั้งสนับสนุนและคัดค้านกันอย่างอุตลุด ในสถานการณ์อย่างนี้ มีหรือที่ผมจะทำตัวเป็นคน นอนหลับไม่รู้ นอนคู้ไม่เห็น อยู่ได้


เมื่อตัวเขาเองนั้นก็เป็นหนึ่งในห้าของกลุ่มอาจารย์คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ที่ได้ออกแถลงการณ์สนับสนุนให้มีการแก้ไขรัฐธรรมนูญ และเมื่อการสนับสนุนให้มีการแก้ไขรัฐธรรมนูญของพวกเขา นั้นยังมีบางฝ่ายได้แสดงความเห็นคัดค้าน ในสถานการณ์อย่างนี้ ผมจึงขอรบกวนเวลาเขาอีกครั้ง เพื่อขอทราบความเห็นในเรื่องที่กำลังเป็นประเด็นร้อนทางการเมืองไทยอยู่ในปัจจุบัน


ก่อนอื่น ขอขอบคุณอาจารย์ที่ได้ให้เวลาซึ่งไม่ค่อยมีมากนักมาตอบคำถามของผมอีกครั้ง

ไม่เป็นไรครับ เพราะผมเองยังไงก็ยังไม่ถึงกับเป็นคนล้มละลายทางเวลาเสียทีเดียว

รู้สึกยังไงบ้างครับกับความเห็นที่สนับสนุนและคัดค้านการแก้ไขรัฐธรรมนูญ มาตรา 237 ที่ดูเหมือนจะบานปลายเข้าไปทุกวัน

ผมไม่เคยคิดว่าการมีความเห็นต่างเป็นการที่แสดงออกถึงความผิดปกติของสังคม ความจริง หากเรามองให้ไกลกว่านั้น ผมกลับเห็นว่านี่เป็นเรื่องดีที่ทุกฝ่ายได้มีโอกาสที่จะนำเสนอข้อมูลในทุกด้านให้สังคมรับรู้ เมื่อสังคมพิจารณาข้อมูลเหล่านี้อย่างรอบด้านแล้ว ไม่ว่าใครจะเห็นด้วยหรือไม่ อย่างไร และกับใคร อย่างน้อยที่สุด กระบวนการเรียนรู้ในสังคมก็ถือว่าได้เกิดขึ้นมาแล้วอีกครั้งหนึ่ง

อาจารย์ยังยืนยันเหมือนเดิมว่ามาตรา 237 สมควรถูกแก้ไข

ก่อนหน้านี้ผมมีความเห็นยังไง วันนี้ผมก็ยังมีความเห็นอย่างนั้น


ถ้าดูกันในทางกฎหมาย มาตรา 237 มันมีเนื้อหาที่ไม่เหมาะสมยังไงถึงต้องแก้ไขครับ

มาตรา 237 มันมีอยู่สองวรรค วรรคแรกที่ไม่ค่อยมีปัญหานั้น พูดแบบทั่วไปก็คือ มันกำหนดเนื้อหาเอาว่าถ้าผู้สมัครรับเลือกตั้งคนใดได้ทำการฝ่าฝืนกฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งฯ หากการฝ่าฝืนกฎหมายดังกล่าวนั้น มันส่งผลให้การเลือกตั้งไม่ได้เป็นไปอย่างสุจริตเที่ยงธรรม ผู้สมัครรับเลือกตั้งคนนั้นก็ต้องถูกเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งหรือว่าโดนใบแดงตามภาษาที่เขาใช้กัน


ดูไปแล้ววรรคนี้ก็คงไม่มีปัญหาอะไร ถ้ามันไม่ได้ถูกโยงให้ไปเข้ากับความในวรรคสอง

ใช่ครับ และคงเป็นเพราะคุณเองก็เห็นปัญหาของมัน วันนี้ผมก็เลยต้องมานั่งตอบคำถามของคุณ

(2)

ถ้าอย่างนั้น ผมรบกวนอาจารย์ช่วยอธิบายความในวรรคสองครับ

ความในวรรคสองของมาตรา 237 มีอะไรที่ต้องดูอยู่หลายเรื่องทีเดียว และเรื่องอย่างนั้น มันก็เกี่ยวโยงไปถึงหลักการอีกหลายอย่าง แต่ก่อนจะเข้าไปถึงรายละเอียดในเรื่องนี้ ผมอยากให้คุณตั้งข้อสังเกตอะไรสักอย่าง คุณพอจะสังเกตเห็นไหม ที่เราไม่มีปัญหากับความในวรรคหนึ่ง นั่นก็เพราะเราเข้าใจดีกับสามัญสำนึกของคนที่ยอมรับว่า ผู้กระทำการใดก็ต้องรับผลในสิ่งที่ตนกระทำ



แต่สำหรับความในวรรคสองนั้น โดยเนื้อหาแล้ว มันถูกเขียนให้เกินเลยไปกว่าความเข้าใจแบบธรรมดาสามัญของวิญญูชน การเขียนเนื้อความแบบนี้ บางกรณีมันไม่ถือว่าเป็นเรื่องแปลก โดยเฉพาะเมื่อดูจากเทคนิคในการเขียนกฎหมายภายใต้เหตุผลพิเศษบางอย่าง แต่ไม่ว่ายังไง เรื่องนี้มันมีเหตุผลสมควรที่จะต้องบัญญัติกฎหมายอย่างนั้นหรือไม่ นี่เป็นเรื่องที่เราจะต้องวิเคราะห์กัน



ผมคิดว่าความในวรรคสองของมาตรา 237 มันมีเรื่องใหญ่ที่ควรสนใจอยู่สองเรื่อง ผมคงจำเป็นต้องใช้ภาษาที่เป็นการเป็นงานสักหน่อย แล้วจะอธิบายให้คุณฟังตอนหลัง เรื่องแรก คือการให้ความหมายในทางกฎหมายกับข้อเท็จจริง และเรื่องที่สอง คือผลที่ตามมาจากข้อเท็จจริงที่ถูกให้ความหมายโดยกฎหมาย แล้ว



ผมชักจะงงนิดหน่อยแล้วล่ะครับกับเรื่องที่อาจารย์ตั้งขึ้นมาเป็นประเด็น อาจารย์ว่าต่อเลยครับ

ผมขอเข้าเรื่องการให้ความหมายในทางกฎหมายกับข้อเท็จจริงก่อน แต่ก่อนจะคุยถึงเรื่องนี้ ผมคิดว่าเราจะเข้าใจอะไรได้ชัดเจนมากขึ้น ถ้าเรามีข้อเท็จจริงที่จะนำมาพิจารณาแบบเปรียบเทียบสักสองเรื่อง ในสองเรื่องนี้อาจเป็นตัวอย่างที่ยาวสักหน่อย แต่อยากให้เข้าใจว่าเป็นเพราะผมต้องการสื่อให้คุณเห็นภาพของเรื่องแบบชัดเจนจริงๆ



เรื่องแรก ผมขอสมมติตัวเองว่าผมเป็นกรรมการบริหารพรรคของพรรคการเมืองหนึ่ง เอาล่ะ ในระหว่างที่มีการหาเสียงเลือกตั้ง ผู้สมัครรับเลือกตั้งในพรรคผมคนหนึ่งบอกผมว่า เราน่าจะออกเงินเพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการจ้างรถโดยสารเพื่อรับสมาชิกพรรคของเราและชาวบ้านที่สนใจการเมืองซึ่งอยู่ไกล มาฟังการปราศรัยของพรรคที่จะจัดขึ้นที่วัดแห่งหนึ่งในหมู่บ้าน ผมเชื่อว่าการทำแบบนี้ไม่ผิดกฎหมายเลือกตั้ง ผมตอบตกลงไป ว่าแล้วผู้สมัครรับเลือกตั้งของพรรคผมคนนั้นก็เอาเงินจำนวนหนึ่งหมื่นบาทไปจ้างรถได้สิบคัน รับชาวบ้านรวมกันได้ประมาณแปดสิบคน แล้วขนกันมาฟังการปราศรัยที่พรรคของผมได้จัดขึ้นที่วัดแห่งนั้น เมื่อการเลือกตั้งจบลง ผลปรากฏว่าผู้สมัครรับเลือกตั้งของพรรคผมได้รับเลือกตั้งด้วยคะแนนเสียงท่วมท้นหนึ่งแสนคะแนน และมีคะแนนทิ้งห่างผู้สมัครรับเลือกตั้งของพรรคคู่แข่งแบบไม่เห็นฝุ่นไปเกือบครึ่ง



อย่างไรก็ตาม ผู้สมัครรับเลือกตั้งของพรรคผมคนนี้ได้ถูกร้องเรียนไปยัง กกต.ว่าทำผิดกฎหมายเลือกตั้งด้วยเหตุที่ได้ออกเงินจ้างรถไปรับชาวบ้านมาฟังการปราศรัย กกต.รับเรื่องนี้ไว้พิจารณา พิจารณาแล้ว กกต.เห็นว่ากรณีนี้ได้มีข้อเท็จจริงเกิดขึ้นตามที่ได้ร้องเรียนมาจริง และเห็นว่านี่เป็นการกระทำความผิดตามกฎหมายเลือกตั้งที่มีผลทำให้การเลือกตั้งไม่ได้เป็นไปอย่างสุจริตเที่ยงธรรม เมื่อความออกมาอย่างนี้ กกต.จึงมีมติให้เพิกถอนสิทธิเลือกตั้งของผู้สมัครรับเลือกตั้งของพรรคผมคนนั้น



เคราะห์กรรมไม่ได้จบเท่านี้ มีคนไปร้องเรียนต่อ กกต.อีกด้วยว่าตัวผมเองในฐานะที่เป็นกรรมการบริหารพรรค ก็รู้เห็นเป็นใจกับการกระทำของผู้สมัครรับเลือกตั้งของพรรคคนนั้นด้วย กกต.รับเรื่องนี้ไว้พิจารณา ผมยืนยันว่าผมรับรู้ในสิ่งที่ผู้สมัครรับเลือกตั้งของพรรคคนนั้นทำ แต่ที่ไม่ห้ามเพราะผมไม่เห็นว่ามันเป็นความผิด เมื่อพิจารณาเสร็จสิ้น กกต. มีความเห็นว่า เมื่อได้วินิจฉัยแล้วว่าผู้สมัครรับเลือกตั้งของพรรคผมกระทำความผิดตามกฎหมายเลือกตั้ง เมื่อตัวผมเองในฐานะที่เป็นกรรมการบริหารพรรคได้สนับสนุนให้มีการกระทำอย่างนั้นด้วย เรื้องนี้จึงต้องด้วยรัฐธรรมนูญ มาตรา 237 วรรคหนึ่งประกอบกับวรรคสองที่ว่า หากผู้สมัครรับเลือกตั้งของพรรคการเมืองใดได้กระทำความผิดตามกฎหมายเลือกตั้ง เมื่อกรรมการบริหารของพรรคที่ผู้สมัครรับเลือกตั้งนั้นสังกัดได้รู้เห็นเป็นใจ ก็ต้องถือว่าพรรคการเมืองนั้นเป็นพรรคการเมืองที่กระทำการเพื่อให้ได้มาซึ่งอำนาจในการปกครองประเทศโดยวิธีการซึ่งมิได้เป็นไปตามรัฐธรรมนูญ ว่าแล้ว กกต. ก็วินิจฉัยให้เพิกถอนสิทธิเลือกตั้งของผม และเสนอเรื่องตามกระบวนการเพื่อให้ศาลรัฐธรรมนูญมีคำสั่งยุบพรรคการเมืองที่ผมสังกัด นี่ตัวอย่างที่หนึ่ง



ผมขอพูดต่อในเรื่องที่สอง เรื่องนี้ขอสมมติตัวเองอีกครั้งว่า ผมเป็นทั้งกรรมการบริหารพรรคและยังดำรงตำแหน่งเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย คราวนี้ในระหว่างที่มีการหาเสียงเลือกตั้ง ผมรู้อยู่ว่าพรรคการเมืองที่ผมสังกัดนั้นมีคะแนนนิยมน้อยกว่าพรรคการเมืองคู่แข่ง และถ้าปล่อยให้สถานการณ์เป็นอย่างนี้อีกต่อไป พรรคการเมืองของผมก็คงต้องแพ้อย่างไม่เป็นท่าในสนามเลือกตั้ง



อย่ากระนั้นเลย ด้วยเหตุที่ผมเชื่อว่าผมสามารถควบคุมข้าราชการในกระทรวงมหาดไทยได้ ผมจึงได้มีหนังสือราชการลับที่สุดไปยังผู้ว่าราชการจังหวัดในจังหวัดซึ่งผมคิดว่าคะแนนนิยมของพรรคการเมืองของผมนั้นมีน้อยกว่าพรรคการเมืองคู่แข่ง ทั้งนี้เพื่อให้ผู้ว่าราชการจังหวัดได้สั่งการให้มีการเรียกประชุมนายอำเภอและเจ้าหน้าที่ขององค์การปกครองส่วนท้องถิ่นในจังหวัด เพื่อมารับนโยบายจากผมให้ไปกระจายข่าวให้ชาวบ้านรู้ว่า พรรคการเมืองคู่แข่งของพรรคผมนั้นกำลังจะสร้างระบบประธานาธิบดีในประเทศไทย ผู้ว่าราชการจังหวัดก็ปฏิบัติตามคำสั่งของผมในฐานะที่ผมเป็นผู้บังคับบัญชา ผลจากการนี้ เมื่อการเลือกตั้งเสร็จสิ้น สุดท้ายพรรคการเมืองของผมก็สามารถเอาชนะการเลือกตั้งต่อพรรคการเมืองคู่แข่งได้ถึงยี่สิบจังหวัดในยี่สิบแปดจังหวัดซึ่งผมคาดมาก่อนหน้านี้ว่าจะแพ้การเลือกตั้ง



อย่างไรก็ดี ในทำนองเดียวกันกับเรื่องแรก มีคนไปร้องเรียนกับ กกต.ว่าผมกระทำความผิดตามกฎหมายเลือกตั้งกรณีการออกหนังสือราชการลับที่สุดฉบับนั้น กกต.รับเรื่องนี้ไว้พิจารณา เมื่อพิจารณาเสร็จสิ้น กกต.ก็ได้มีคำวินิจฉัยว่าผมนั้นได้กระทำความผิดตามกฎหมายเลือกตั้งจริง จนทำให้การเลือกตั้งไม่ได้ดำเนินไปอย่างสุจริตเที่ยงธรรม จึงมีมติให้เพิกถอนสิทธิเลือกตั้งของผม นอกจากนั้น เมื่อผมเป็นกรรมการบริหารพรรคของพรรคการเมืองและได้กระทำความผิดเสียเอง กรณีนี้จึงต้องด้วยรัฐธรรมนูญ มาตรา 237 วรรคหนึ่งประกอบกับวรรคสองซึ่งตีความเป็นปริยายได้ว่า เมื่อกรรมการบริหารพรรคของพรรคการเมืองใดได้กระทำความผิดตามกฎหมายเลือกตั้ง ก็ย่อมถือว่าพรรคการเมืองนั้นเป็นพรรคการเมืองที่กระทำการเพื่อให้ได้มาซึ่งอำนาจในการปกครองประเทศโดยวิธีการซึ่งไม่ได้เป็นไปตามรัฐธรรมนูญ ว่าแล้ว กกต.ก็เสนอเรื่องตามกระบวนการเพื่อขอให้ศาลรัฐธรรมนูญมีคำสั่งยุบพรรคการเมืองที่ผมสังกัด นี่คือตัวอย่างที่สอง



จากทั้งสองตัวอย่างที่ได้ยกขึ้นมาเปรียบเทียบให้ดู ผมถามว่าคุณพอจะเห็นอะไรบ้างไหม



ถ้าให้ผมตอบ ผมคิดว่า ไม่ว่ากรณีที่ผู้สมัครรับเลือกตั้งจ่ายเงินค่าจ้างรถให้ไปขนคนมาฟังการปราศรัยของพรรคที่ตนสังกัด หรือไม่ว่ากรณีเอกสารลับที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยได้สั่งการไปยังผู้ว่าราชการจังหวัดให้กระทำการอย่างใดอย่างหนึ่ง ในข้อเท็จจริงทั้งสองอย่างนี้ หากมีกรรมการบริหารพรรคของพรรคการเมืองได้มีส่วนรู้เห็นหรือทำมันเสียเอง พรรคการเมืองที่กรรมการบริหารพรรคคนนั้นสังกัดจะถูกความในวรรคสองของมาตรา 237 ถือว่าเป็นพรรคการเมืองที่ได้กระทำการเพื่อให้ได้มาซึ่งอำนาจในการปกครองประเทศโดยวิธีการที่ไม่ได้เป็นไปตามรัฐธรรมนูญทันที

ครับ เป็นว่าคุณเห็นในสิ่งที่ผมพยายามสื่อให้คุณดูจากสองตัวอย่างที่ผมได้ยกขึ้น คราวนี้ผมจะไปให้ไกลกว่านั้น

(3)

ถ้าคุณดูข้อเท็จจริงทั้งสองเรื่องแบบวิเคราะห์หน่อย ผมเชื่อว่าคุณจะเห็นได้ถึงความร้ายแรงที่แตกต่างกันระหว่างการกระทำความผิดของผู้สมัครรับเลือกตั้งที่กรรมการบริหารพรรคได้มีส่วนรู้เห็นในตัวอย่างแรก กับ การกระทำความผิดของตัวกรรมการบริหารพรรคเองในตัวอย่างที่สอง



ดูที่การจ่ายเงินของผู้สมัครรับเลือกตั้งเพื่อจ้างรถให้ไปขนคนมาฟังการปราศรัย ด้วยข้อเท็จจริงที่ว่ามีการใช้เงินเพียงหนึ่งหมื่นบาท ด้วยข้อเท็จจริงที่ว่ามีคนมาฟังการปราศรัยในวัดแห่งนั้นเพียงหยิบมือหนึ่ง และด้วยข้อเท็จจริงที่ว่ากรรมการบริหารพรรคที่รู้เห็นเป็นใจกับการกระทำนั้นเขาเข้าใจข้อกฎหมายโดยสุจริตว่าสิ่งที่ตนทำนั้นไม่ผิด อย่างนี้ เราจะพูดได้หรือไม่ว่าเรื่องนี้มันเป็นการทำผิดกฎหมายที่มีความร้ายแรงในระดับเดียวกันกับเรื่องการทำผิดกฎหมายของกรรมการบริหารพรรคซึ่งใช้อำนาจในฐานะรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยไปสั่งการให้มีการทำอะไรบางอย่างตามความที่ปรากฎอยู่ในเอกสารลับ



พูดกันอย่างสมเหตุสมผลบนพื้นฐานของข้อเท็จจริง ในเรื่องการจ้างรถเพื่อขนคนมาฟังการปราศรัยนั้น เมื่อดูจากจำนวนเงินค่าใช้จ่ายประกอบกับขนาดของพื้นที่ซึ่งเอาเงินนั้นไปจ่าย เราจะเห็นได้ชัดว่ามันไม่ได้มีผลต่อจำนวนคะแนนเสียงที่ได้รับเลือกตั้งมาจากคนทั้งประเทศของพรรคการเมืองที่ผู้สมัครรับเลือกตั้งคนนั้นสังกัดอย่างมีนัยยะสำคัญเลย ซึ่งกรณีอย่างนี้ มันมีความแตกต่างเป็นอย่างมาก หากเราจะนำไปเปรียบเทียบกับกรณีเอกสารลับที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยได้สั่งการไปยังผู้ว่าราชการจังหวัดให้ใส่ร้ายป้ายสีพรรคการเมืองคู่แข่งจนทำให้พรรคของตัวเองได้รับคะแนนเสียงแบบมีนัยยะสำคัญจนมีผลทำให้ชนะการเลือกตั้งไปถึงยี่สิบจังหวัด



แต่ด้วยการเขียนเนื้อความเอาไว้ในมาตรา 237 วรรคสองแบบ “ให้ถือว่า” โดยไม่เปิดโอกาสให้มีการแยกแยะความร้ายแรงที่แตกต่างกันตามข้อเท็จจริงที่ไม่เหมือนกัน ผลก็คือ ไม่ว่าการกระทำความผิดตามกฎหมายเลือกตั้งของผู้สมัครรับเลือกตั้งจะมีข้อเท็จจริงซึ่งหนักเบาแตกต่างกันอย่างไร ขอเพียงมีกรรมการบริหารพรรคสักคนได้รู้เห็น ผมย้ำอีกครั้ง เพียงมีกรรมการบริหารพรรคสักคนได้รู้อย่างนั้น พรรคการเมืองที่กรรมการบริหารพรรคคนนั้นสังกัดอยู่ ก็จะถูกความในมาตรา 237 วรรคสองพิพากษาโดยอัตโนมัติทันทีว่าเป็นพรรคการเมืองที่ได้กระทำการเพื่อให้ได้มาซึ่งอำนาจในการปกครองประเทศโดยวิธีการซึ่งไม่ได้เป็นไปตามรัฐธรรมนูญ ฉะนั้น จึงต้องถูกยุบพรรคและเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งของกรรมการบริหารพรรคทั้งหมด



ผมเห็นภาพแล้วครับ ถ้าเช่นนั้น ในเรื่องการให้ความหมายในทางกฎหมายกับข้อเท็จจริง ผมพูดอย่างนี้ได้ไหมครับว่า อาจารย์พยายามจะบอกว่าเนื้อความในมาตรา 237 วรรคสองนั้น มันไม่เปิดช่องให้มีการแยกแยะความร้ายแรงของการกระทำความผิดตามข้อเท็จจริงที่แตกต่างกันออกไป ขอเพียงมีกรรมการบริหารพรรคคนใดรู้เห็นหรือทำเอง แม้ความผิดนั้นอาจจะไม่ร้ายแรง เหมือนอย่างกรณีการขนคนไปฟังปราศรัย ความซวยก็จะตกอยู่กับพรรค คือทั้งถูกยุบและกรรมการบริหารพรรคทั้งหมดก็ถูกเพิกถอนสิทธิเลือกตั้ง

นั่นแหละครับ คือสิ่งที่ผมต้องการจะพูด และอีกอย่างหนึ่ง สำหรับเรื่องนี้ ผมต้องบอกคุณด้วยว่าการเขียนกฎหมายที่มุ่งไปที่สถานะของผู้รับรู้ว่าเป็นกรรมการบริหารพรรคหรือไม่ โดยไม่มุ่งไปที่ความร้ายแรงของการกระทำความผิดตามแต่ข้อเท็จจริงของรัฐธรรมนูญมาตรานี้ ผมเห็นว่านี่เป็นการเขียนกฎหมายที่ขัดกับหลักความยุติธรรมในกรณีเฉพาะเรื่องเฉพาะราวโดยไม่มีเหตุผลเพียงพอ



และเพราะรัฐธรรมนูญถูกมาเขียนแบบนี้ นี่จึงเป็นเหตุผลแรกที่ผมสนับสนุนให้มีการแก้ไขมาตรา 237 วรรคสอง



ถ้าให้ผมถามแทนคนอื่น อาจารย์ไม่คิดอีกทางหรือว่าการที่ผู้ร่างรัฐธรรมนูญเขียนมาตรา 237 อย่างนี้ในเรื่องนี้ บางทีอาจเป็นเพราะเขามีเหตุผลพิเศษบางอย่าง

เท่าที่ผมทราบ ดูเหมือนจะยังไม่มีคำอธิบายถึงเหตุผลอย่างเป็นกิจจะลักษณะจากผู้ที่เกี่ยวข้องในเรื่องนี้ แต่ไม่ว่ายังไง การจะบอกว่าพรรคการเมืองใดได้กระทำการเพื่อให้ได้มาซึ่งอำนาจในการปกครองประเทศโดยวิธีการซึ่งไม่ได้เป็นไปตามรัฐธรรมนูญหรือไม่ ผมเห็นว่าเราจะมุ่งไปที่การรับรู้ของกรรมการบริหารพรรคในการทำผิดกฎหมายอย่างเดียวโดยไม่แยกแยะถึงความร้ายแรงของความผิดที่แตกต่างกันตามแต่ข้อเท็จจริงไม่ได้ และเมื่อเนื้อความของมาตรา 237 วรรคสองมันถูกเขียนออกมาอย่างนี้ ผมจึงเห็นว่านี่มันขัดกับหลักความสมควรแก่เหตุซึ่งเป็นหลักการใหญ่ที่รัฐธรรมนูญได้รับรองไว้ในมาตรา 29 ทั้งยังเป็นการปฏิเสธหลักความยุติธรรมในกรณีเฉพาะเรื่องเฉพาะราวด้วย อย่างที่ผมได้บอกคุณ



ครับ งั้นตอนนี้ ผมขอไปในเรื่องที่สองคือ ผลที่ตามมาจากข้อเท็จจริงที่ถูกให้ความหมายโดยกฎหมายแล้ว รบกวนอาจารย์ช่วยอธิบายต่อเลยครับ

เรื่องนี้มันก็สืบเนื่องมาจากเรื่องที่เราพูดกันเมื่อสักครู่ คือเมื่อมีการกระทำความผิดตามกฎหมายเลือกตั้งแล้ว ไม่ว่าการกระทำนั้นมันจะเป็นกรณีที่ผู้สมัครรับเลือกตั้งของพรรคเป็นผู้กระทำผิดโดยมีกรรมการบริหารพรรครู้เห็น หรือจะเป็นกรณีที่กรรมการบริหารพรรคได้กลายเป็นผู้กระทำผิดเสียเอง เมื่อมาตรา 237 วรรคสองบัญญัติให้ถือว่าพรรคที่ผู้สมัครรับเลือกตั้งคนนั้นสังกัดหรือพรรคที่กรรมการบริหารพรรคคนนั้นสังกัด เป็นพรรคการเมืองที่ได้กระทำการเพื่อให้ได้มาซึ่งอำนาจในการปกครองประเทศโดยวิธีการซึ่งไม่ได้เป็นไปตามรัฐธรรมนูญ ผลที่ตามมาของมันก็คือ พรรคการเมืองนั้นก็อาจถูกศาลรัฐธรรมนูญสั่งยุบได้ และหากว่าศาลได้มีคำสั่งให้ยุบพรรคการเมืองนั้นแล้ว กรรมการบริหารพรรคทั้งหมดของพรรคการเมืองนั้นก็จะถูกเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งเป็นระยะเวลาห้าปี



อาจารย์มีความเห็นยังไงครับกับผลที่ตามมาในลักษณะอย่างนี้

ผมขอแยกออกเป็นสองเรื่อง เรื่องแรกเลย สมควรไหมที่เราจะเขียนกฎหมายให้มีการยุบพรรคการเมืองได้ และเรื่องที่สองคือ เมื่อยุบพรรคการเมืองแล้ว สมควรไหมที่เราจะต้องเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งของกรรมการบริหารพรรคทุกคน ไม่เว้นแม้แต่คนที่ไม่ได้ทำความผิด



ขอเรื่องแรกก่อนเลยครับ

เรื่องสมควรมีกฎหมายให้มีการยุบพรรคการเมืองได้หรือไม่นั้น ผมคิดว่าวันนี้เรายอมรับแล้วล่ะว่าพรรคการเมืองนั้นอาจถูกยุบได้ ปัญหาตอนนี้ มันจึงมีแค่ว่าเหตุของการยุบพรรคนั้นมันควรเป็นเหตุอะไร เท่านั้น



ถ้าคุณไปดูรัฐธรรมนูญมาตรา 68 คุณจะเห็นว่าพรรคการเมืองนั้นสามารถถูกยุบได้หากว่าได้ใช้สิทธิเสรีภาพตามรัฐธรรมนูญเพื่อล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข หรือเพื่อให้ได้มาซึ่งอำนาจในการปกครองประเทศโดยวิธีการที่ไม่ได้เป็นไปตามวิถีทางของรัฐธรรมนูญ ถ้าคุณจะถามว่า เหตุแห่งการยุบพรรคการเมืองทั้งสองเรื่องนี้เป็นเหตุสมควรไหม เรื่องนี้ ตอบได้ว่าผมไม่ขัดข้องเลยที่จะให้พรรคการเมืองที่กระทำการอย่างนั้นต้องถูกยุบไป



อย่างไรก็ตาม ต้องไม่ลืมว่าเหตุแห่งการยุบพรรคการเมืองทั้งสองเหตุตามที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญมาตรา 68 นั้น มันใช้ถ้อยคำที่เป็นนามธรรม ในภาษากฎหมายเราเรียกว่ามันเป็นถ้อยคำที่มีความหมายไม่เฉพาะเจาะจง การเขียนกฎหมายโดยใช้ถ้อยคำประเภทนี้มันมีผลยังไง ผลของมันก็คือว่า มันเปิดช่องให้มีการตีความถึงข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นในแต่ละกรณี เพื่อดูว่ามันถึงขนาดที่สมควรจะแปลความได้ว่ามันเข้าเหตุที่จะนำไปสู่การยุบพรรคการเมืองได้หรือไม่ ผมพูดมาถึงตอนนี้ ถ้าคุณตั้งข้อสังเกตสักหน่อย คุณจะเห็นอะไรที่มันประหลาด



ยังไงหรือครับอาจารย์

อย่างที่ผมบอกเมื่อสักครู่ว่า การกระทำเพื่อล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข กับ การกระทำเพื่อให้ได้มาซึ่งอำนาจในการปกครองประเทศโดยวิธีการที่ไม่ได้เป็นไปตามวิถีทางของรัฐธรรมนูญ ทั้งสองกรณีนี้ต่างใช้ถ้อยคำที่มีความหมายไม่เฉพาะเจาะจงด้วยกันทั้งคู่



แต่คุณเห็นความแตกต่างของมันไหม ในกรณีของการกระทำการเพื่อล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข รัฐธรรมนูญได้เปิดช่องให้ศาลสามารถใช้ดุลพินิจในการตีความข้อเท็จจริงตามแต่กรณีว่า มันเป็นการกระทำที่สมควรเรียกว่าเป็นการล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุขหรือไม่ อย่างไรก็ตาม ในทางตรงกันข้าม สำหรับกรณีของการกระทำการเพื่อให้ได้มาซึ่งอำนาจในการปกครองประเทศโดยวิธีการที่ไม่ได้เป็นไปตามวิถีทางของรัฐธรรมนูญนั้น ความในมาตรา 237 วรรคสองกลับเขียนปิดช่องไม่ให้ศาลมีอำนาจดุลพินิจในการตีความข้อเท็จจริงอย่างใดเลย แต่กลับเขียนบทบัญญัติบังคับศาลให้ถือเอาว่าเมื่อผู้สมัครรับเลือกตั้งคนใดได้กระทำความผิดตามกฎหมายเลือกตั้งโดยมีกรรมการบริหารพรรครู้เห็นแม้สักคนหนึ่งแล้วนั่นแหละ ก็ให้ถือว่าได้มีการกระทำการเพื่อให้ได้มาซึ่งอำนาจในการปกครองประเทศโดยวิธีการที่ไม่ได้เป็นไปตามวิถีทางของรัฐธรรมนูญเกิดขึ้นแล้ว



เมื่อเป็นอย่างนี้ สิ่งที่ผมสงสัยก็คือ ผู้ร่างรัฐธรรมนูญมีเหตุผลและคำอธิบายยังไง ถึงต้องสร้างความแตกต่างในเรื่องความสามารถของศาลต่อการใช้ดุลพินิจในการตีความเหตุแห่งการยุบพรรคทั้งสองเหตุไม่ให้มันเหมือนกัน นี่แหละคือสิ่งที่ผมเห็นว่ามันแปลก

(4)

อยากให้อาจารย์ต่อเรื่องที่สองเลยครับว่าหากมียุบพรรคการเมืองแล้ว สมควรไหมที่จะต้องเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งของกรรมการบริหารพรรคทุกคน ไม่เว้นแม้แต่คนที่ไม่ได้ทำความผิด

โดยถ้อยคำของรัฐธรรมนูญ มาตรา 68 หากศาลรัฐธรรมนูญมีคำสั่งให้ยุบพรรคแล้ว ศาลก็จะถูกบังคับโดยรัฐธรรมนูญทันทีให้ต้องเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งของหัวหน้าพรรคการเมืองและบรรดากรรมการบริหารพรรคทุกคนเป็นระยะเวลาห้าปี ไม่อาจหลีกเลี่ยง



แล้วมันยุติธรรมไหมครับกับคนที่เขาไม่รู้อิโหน่อิเหน่ด้วย

ถ้าพูดแบบตรงไปตรงมา ผมเห็นว่ามันไม่ยุติธรรม



แต่มีหลายคนบอกว่าถ้าไม่ใช้ยาแรง การทุจริตการเลือกตั้งมันก็ไม่หายไปจากการเมืองไทย

ผมเข้าใจความหวังดีของเขา แต่เรื่องนี้ มันยังมีอะไรให้ต้องคิดมากไปกว่าบทสรุปเพียงว่ายังไงก็ต้องใช้ยาแรง



ถ้าคุณเป็นหมอรักษาคนไข้ โดยทั่วไป คุณต้องรู้ก่อนว่าคนไข้เป็นโรคอะไร โรคนั้นมีสาเหตุมาจากอะไร เราจำเป็นต้องรักษาด้วยการให้ยาหรือไม่ ถ้าต้องรักษาทางยา มันมียาแบบไหนรักษาได้บ้าง ผลข้างเคียงของยาในแต่ละอย่างมันมีแค่ไหน และภูมิคุ้มกันหรือสภาพร่างกายของคนไข้มันรับได้ไหมกับยาที่มีผลข้างเคียงขนาดนั้น ทั้งหมดนี้ คือสิ่งที่คุณจำเป็นต้องทราบเพื่อจะได้รักษาคนไข้ให้หายจากโรคด้วยวิธีการที่เหมาะสมที่สุด



ถ้าเราจะเปรียบเทียบว่าการทุจริตการเลือกตั้งเป็นเหมือนกับไข้หวัด เราจำเป็นต้องแยกแยะก่อนว่าไข้หวัดนั้นมันมีทั้งไข้หวัดธรรมดา ไข้หวัดใหญ่ และไข้หวัดนก การทุจริตการเลือกตั้งก็ในทำนองเดียวกัน คือมันมีการทุจริตทั้งแบบธรรมดา แบบหนักขึ้นมาหน่อย และแบบร้ายแรงมาก เมื่อเป็นอย่างนี้ การรักษาโรคประเภทนี้มันก็ต้องแยกแยะวิธีการรักษาออกมาให้มันเหมาะกับสภาพของเรื่อง



ผมได้ยกตัวอย่างให้คุณฟังแล้วใช่ไหมถึงการทำผิดกฎหมายเลือกตั้งของผู้สมัครรับเลือกตั้งกรณีการจ่ายเงินจ้างรถไปขนคนมาฟังการปราศรัย การทำผิดกฎหมายแบบนี้ หรือคุณคิดว่ามันเป็นเรื่องร้ายแรงถึงขนาดเหมือนคนเป็นไข้หวัดนก ก็เมื่อโดยสภาพนั้นมันไม่ใช่ แล้วเราจะให้ยาแรงจนถึงขนาดทำให้เกิดผลข้างเคียงต่อร่างกายมากเกินความจำเป็นทำไม



พูดให้เป็นรูปธรรม ถ้าคุณสงสัยว่าอะไรคือผลข้างเคียงแบบเกินขนาดของการรักษาโรคทุจริตการเลือกตั้งกรณีการจ่ายเงินให้รถไปขนชาวบ้านมาฟังการปราศรัย ผมบอกได้เลยว่า แม้จะมีกรรมการบริหารพรรคคนหนึ่งได้รับรู้ แต่การรักษาโรคในกรณีนี้โดยใช้วิธียุบพรรคและเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งของกรรมการบริหารพรรคที่ไม่รู้เรื่องรู้ราวไปกับเขาด้วยนั้นแหละที่มันเป็นวิธีการรักษาที่เกินไปกว่าสภาพของโรค มิหนำซ้ำ ยังก่อผลข้างเคียงให้เป็นการทำลายหลักนิติธรรม และหลักความสมควรแก่เหตุ ตามรัฐธรรมนูญอีกด้วย และด้วยผลข้างเคียงแบบนี้ หากเปรียบเทียบระบบกฎหมายของรัฐเสมือนหนึ่งว่าเป็นร่างกายของคนเรา ผลของมันก็ไม่ต่างไปจากเป็นการทำลายอวัยวะสำคัญๆของร่างกายทีเดียว



และที่ประหลาดมากก็คือ เมื่อผู้ร่างรัฐธรรมนูญไม่แยกแยะระดับความร้ายแรงของโรคแต่ละชนิดเพื่อความเหมาะสมต่อการให้ยาในการแก้ไขปัญหาการทุจริตการเลือกตั้ง แถมยังเขียนข้อความในมาตรา 237 วรรคสองตัดอำนาจศาลไม่ให้มีดุลพินิจในการช่วยแยกแยะระดับความร้ายแรงจากโรคเหล่านั้นเพราะตัวได้วินิจฉัยให้ศาลเสร็จสรรพแล้วว่าโรคหวัดทั้งหมดในเมืองไทยให้ถือว่าเป็นไข้หวัดนก แล้วอย่างนี้ หลักนิติธรรม หลักความสมควรแก่เหตุ และหลักความยุติธรรมเฉพาะเรื่องเฉพาะราว มันจะไม่ถูกทำลายจนเสียสภาพไปหมดหรือ



และนี่แหละ คือเหตุผลอย่างที่สองที่ผมสนับสนุนให้มีการแก้ไขมาตรา 237



ที่อาจารย์พูดมาผมก็เข้าใจ แต่ที่ต้องให้ให้องค์กรต้องรับผิดชอบร่วมกันกับการทำผิดของคนในองค์กร มันก็เป็นหลักที่มีในระบบกฎหมายไทยมาก่อนหน้านี้แล้วไม่ใช่หรือครับ

ถ้าคุณจะยกตัวอย่างที่มีการพยายามเทียบเคียงกับเรื่องนายจ้างต้องรับผิดร่วมกันกับลูกจ้างกรณีละเมิด หรือเรื่องที่กรรมการบริษัทหรือผู้บริหารบริษัทต้องรับผิดร่วมกันกับบุคคลในบริษัทเรื่องการเสนอราคาต่อหน่วยงานของรัฐ ทั้งสองตัวอย่างนี้ มีนักกฎหมายหลายคนแสดงความเห็นกันมากแล้วว่ามันไม่เหมือนกันทีเดียวกับการให้พรรคการเมืองและกรรมการบริหารพรรคการเมืองต้องรับผิดร่วมกันกับความผิดของคนอื่นที่ตัวเองไม่ได้ก่อ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ความแตกต่างในเรื่องของการเปิดโอกาสให้มีการพิสูจน์ว่าตัวเองไม่ได้รู้เห็นเป็นใจไปด้วยกับการกระทำความผิด ผมเองคงไม่จำเป็นต้องมาพูดซ้ำ



แต่ผมอยากบอกอะไรสักหน่อย ไม่ว่ายังไงก็ตาม การสร้างความรับผิดร่วมกันแบบนี้ มันเป็นเรื่องที่ต้องนำมาใช้กันแบบเป็นข้อยกเว้นอย่างยิ่ง และต้องเขียนถ้อยคำอย่างระมัดระวังมากด้วย โดยคำนึงถึงการให้ความยุติธรรมกับผู้ที่ต้องตกอยู่ภายใต้บังคับของเรื่องนี้ แต่หากเราจะยอมรับมันแบบไม่พินิจพิเคราะห์แล้ว ในสถานการณ์ทางการเมืองอย่างนี้ ในสถานการณ์ที่สื่อมวลชนถูกตั้งข้อสงสัยว่ามีนักการเมืองพรางตัวอยู่มากแบบนี้ ถ้ามีคนเห็นว่าการเสนอข่าวสารที่ถูกต้องเป็นเรื่องสำคัญต่อสิทธิในการรับรู้ของสังคมและความมั่นคงของรัฐ แล้วหากเกิดมีใครอุตริเสนอกฎหมายให้ผู้บริหารของสื่อต้องมีความรับผิดร่วมกันกับการเสนอข่าวของผู้สื่อข่าวในบริษัท โดยหากมีการเสนอข่าวที่เป็นเท็จหรือข่าวที่บิดเบือนซึ่งพอจะเชื่อได้ว่าผู้บริหารมีส่วนรู้เห็น ก็ให้ยุบบริษัทของสื่อมวลชนนั้นได้แถมห้ามไม่ให้ผู้บริหารบริษัทประกอบอาชีพสื่อเป็นเวลาห้าปีด้วย อย่างนี้ มันก็จะวุ่นวายไปกันใหญ่



ครับ งั้นตอนนี้อยากให้อาจารย์พูดถึงเรื่องการมีส่วนได้เสียของคนที่จะขอแก้ไขรัฐธรรมนูญ อาจารย์มีความเห็นในเรื่องนี้ยังไง

จะให้ผมพูดในความหมายทางกฎหมายหรือทางการเมือง



มีอย่างนี้ด้วยหรือครับ แล้วแต่อาจารย์ก็แล้วกัน

ในความหมายทางการเมือง คำว่าส่วนได้เสียมันหามาตรวัดที่แน่นอนไม่ค่อยได้ เพราะไม่ว่าเราจะทำอะไร มันก็สามารถตีความว่ามีส่วนได้เสียกันได้ทั้งนั้น ฉะนั้น เรื่องนี้ผมจึงขอยกไว้ให้เป็นเรื่องต่างจิตต่างใจของแต่ละคนที่จะตีความ



แต่สำหรับความหมายทางกฎหมาย ตอนนี้ได้มีการอ้างถึงรัฐธรรมนูญ มาตรา 122 ที่กำหนดให้ ส.ส. และ ส.ว. ต้องปฎิบัติหน้าที่เพื่อประโยชน์ส่วนรวมโดยไม่มีการขัดกันของผลประโยชน์ เรื่องนี้แม้จะมีรัฐธรรมนูญกำหนดไว้ แต่เมื่อมันเป็นถ้อยคำที่มีความหมายไม่เฉพาะเจาะจง เราก็จำเป็นต้องอาศัยการตีความในแต่ละข้อเท็จจริงว่ามันเป็นอย่างไร



ถ้าคุณจะถามว่าการที่พรรคการเมืองหลายพรรคซึ่งจะขอแก้ไขรัฐธรรมนูญเพื่อไม่ให้พรรคของตัวเองถูกยุบนั้นถือว่าเป็นการปฏิบัติหน้าที่เพื่อประโยชน์ส่วนรวมหรือประโยชน์ส่วนตัว เรื่องนี้ ผมตอบได้ว่าเราจะมานั่งคิดเอาเองไม่ได้ แต่จำเป็นต้องดูเหตุผลจากคำอธิบายของพรรคการเมืองเหล่านั้นว่าเขาจะแก้รัฐธรรมนูญเพื่ออะไร วันนี้มีบางฝ่ายสรุปแล้วว่า การที่พรรคการเมืองหลายพรรคซึ่งจะขอแก้ไขรัฐธรรมนูญเพื่อไม่ให้พรรคของตัวเองถูกยุบนั้นถือว่าเป็นการปฏิบัติหน้าที่เพื่อประโยชน์ส่วนตัวซึ่งขัดต่อรัฐธรรมนูญ เรื่องนี้ เมื่อดูตามข้อเท็จจริงเท่าที่มีอยู่ ผมคิดว่าในทางกฎหมายมันไม่ง่ายที่จะมีบทสรุปอย่างนั้น



ถามว่าทำไม ผมเองคงจำเป็นต้องยกตัวอย่างให้คุณเห็นแบบเทียบเคียงโดยอาศัยตรรกะเดียวกัน สมมติว่าวันนี้พรรคการเมืองเหล่านั้นได้ขอแก้ไขรัฐธรรมนูญในเรื่องที่มาของวุฒิสภาโดยขอแก้ให้ ส.ว. ต้องมาจากการเลือกตั้ง และให้ ส.ว.ที่มาจากการสรรหาทั้งหมดซึ่งกำลังปฏิบัติหน้าที่อยู่ในเวลานี้ พ้นจากการเป็น ส.ว. ทันทีเมื่อรัฐธรรมนูญมีผลบังคับใช้ ก็เมื่อการแก้ไขรัฐธรรมนูญมันต้องผ่านการพิจารณาและลงมติของรัฐสภาซึ่ง ส.ว.ที่มาจาการสรรหาเป็นสมาชิกอยู่ และก็เมื่อเรื่องนี้ ส.ว.ที่มาจากการสรรหาเขาก็มีส่วนได้เสียโดยตรงต่อการที่เขาจะอยู่หรือจะไปจากการแก้ไขรัฐธรรมนูญด้วย กรณีแบบนี้ โดยเหตุผลเดียวกัน หรือเราจะบอกได้ว่า ส.ว. เหล่านี้ต่างมีส่วนได้เสียตามรัฐธรรมนูญ ฉะนั้น จึงต้องถูกห้ามไม่ให้มีส่วนในการพิจารณาหรือว่าลงมติ



ผมพูดแบบนี้ คุณอาจจะแย้งผมว่าเรื่องการแก้รัฐธรรมนูญเกี่ยวกับการยุบพรรคนั้นพรรคการเมืองเป็นผู้เสนอ แต่เรื่องการแก้รัฐธรรมนูญในเรื่องที่ให้ ส.ว. ต้องมาจากการเลือกตั้งนั้น ส.ว.ที่มาจากการสรรหาไม่ได้เป็นผู้เสนอให้แก้ไข ดังนั้น สองเรื่องนี้จะนำมาเทียบกันไม่ได้ ถ้าคุณแย้งผมมาอย่างนี้ ผมก็ขอให้คุณไปดูรัฐธรรมนูญ มาตรา 122 ให้ดีว่าการปฏิบัติหน้าที่ตามรัฐธรรมนูญมาตรานี้ มันมีการจำแนกแจกแจงเอาไว้หรือว่ามันหมายถึงเฉพาะการปฏิบัติหน้าที่ในการเสนอกฎหมายเท่านั้น โดยไม่รวมถึงการพิจารณากฎหมายหรือการลงมติว่าจะให้กฎหมายผ่านหรือไม่ผ่าน ทั้งหมดนี้ ถ้าเราไม่มีอคติในการให้เหตุผลจนเกินไป ความจริงแล้วมันก็เป็นการปฏิบัติหน้าที่ตามรัฐธรรมนูญด้วยกันทั้งนั้น



ฉะนั้น ในทางกฎหมาย มันจึงไม่ง่ายที่จะสรุปเอาว่าเมื่อพรรคการเมืองใดจะขอแก้ไขรัฐธรรมนูญโดยมีเนื้อหาบางส่วนเกี่ยวข้องกับเกณฑ์ในการยุบพรรคนั้น แสดงว่าบรรดา ส.ส.ของพรรคการเมืองเหล่านั้นจะปฏิบัติหน้าที่เพื่อประโยชน์ส่วนตัวหรือมีการขัดกันของผลประโยชน์ และนี่ถ้าเกิดว่าพรรคการเมืองเหล่านี้ให้เหตุผลในการขอแก้ไขรัฐธรรมนูญว่าเพื่อประโยชน์ในการรักษาหลักนิติธรรมและหลักความสมควรแก่เหตุซึ่งถูกรับรองเอาไว้ในรัฐธรรมนูญ อย่างนี้ แล้วเราจะว่ายังไง



ครับ ยังไงก็แล้วแต่ ถ้ายังมีคนเห็นว่าเรื่องแก้รัฐธรรมนูญเป็นการกระทำเพื่อประโยชน์ส่วนตัวซึ่งทำไม่ได้ตามรัฐธรรมนูญแล้วเสนอเรื่องให้วุฒิสภาพิจารณาถอดถอน

นั่นเป็นสิทธิโดยชอบตามรัฐธรรมนูญ ผมไม่มีข้อขัดข้อง และเห็นด้วยกับการแก้ไขปัญหาที่ต่างฝ่ายต่างเห็นว่ามันมีอยู่โดยอาศัยระบบ ก็ให้เป็นดุลพินิจของวุฒิสภาที่จะวินิจฉัย



สรุปที่พูดมาทั้งหมด ยังไงอาจารย์ก็ยังยืนยันเหมือนเดิมว่ามาตรา 237 วรรคสองมันมีปัญหาจริงๆ

ครับ และปัญหาของรัฐธรรมนูญมาตรานี้ มันแก้ไขได้ทั้งโดยการแก้ไขรัฐธรรมนูญหรือการตีความของศาลรัฐธรรมนูญเพื่อให้มันสอดคล้องกับหลักนิติธรรมและหลักความสมควรแก่เหตุ รายละเอียดทั้งหมดนี้ มีอยู่แล้วในแถลงการณ์ซึ่งเพื่อนอาจารย์กับผมรวมห้าคนได้เสนอกับสังคมไปแล้วเมื่อสองสามอาทิตย์ที่ผ่านมา ใครที่สนใจรายละเอียดก็ลองไปหาอ่านดู



ครับ สุดท้ายแล้ว ถ้าอาจารย์มีอะไรอยากพูดอีกบ้างก็เชิญครับ

วันนี้ความเห็นต่างในสังคมมีมาก ไม่เว้นแม้แต่นักกฎหมายด้วยกัน แต่นี่ผมเห็นว่าเป็นสัญญาณที่ดีซึ่งแสดงว่าระบอบประชาธิปไตยกำลังทำงานอยู่ตามธรรมชาติของมัน สำหรับการให้ความเห็นทางกฎหมายของผม ผมถือว่ามันเป็นหน้าที่ของผมซึ่งควรจะต้องเข้าไปมีส่วนร่วมกับกระบวนการเรียนรู้ของสังคม แต่นี่ไม่ใช่เพราะว่าเนื่องจากผมมีสถานะเป็นคนสอนหนังสือในมหาวิทยาลัย สำคัญไปกว่านั้นก็คือ เพราะผมเป็นคนๆ หนึ่งซึ่งหวังจะให้สังคมที่ผมอยู่ เป็นสังคมที่คุยกันได้ด้วยเหตุผลและเข้าใจความรู้สึกระหว่างกัน ผมเคารพความเห็นต่างของทุกฝ่าย และผมเข้าใจการทำหน้าที่ของแต่ละฝ่ายซึ่งมันไม่เหมือนกันอยู่ แต่ไม่ว่ายังไง ก็หวังว่าทุกอย่างจะเดินกันไปตามระบบและใช้ระบบเป็นเครื่องมือในการแก้ปัญหา ถ้าเราทำอย่างนี้ ไม่ว่าผลสุดท้ายจะออกมาอย่างไร ผมเชื่อว่าวุฒิภาวะของสังคมไทยจะถูกยกระดับให้สูงขึ้น

----------------------------------------------------------------------------
โดย : ประชาไท วันที่ : 15/4/2551




 

Create Date : 16 เมษายน 2551    
Last Update : 16 เมษายน 2551 13:23:57 น.
Counter : 549 Pageviews.  

1  2  3  4  5  6  7  8  9  10  11  12  13  14  15  16  17  18  19  20  21  22  23  

ไทยวรรษ สีทันดรสมุทร
Location :
กรุงเทพ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 4 คน [?]









ผม ไทยวรรษ สีทันดรสมุทร
สามัญชนคนเหมือนกัน(All normal Human)
คนจรOnline(ได้แค่ฝัน)แห่งห้วงสมุทรสีทันดร
(Online Dreaming Traveler of Sitandon Ocean)
กรรมกรกระทู้สาระ(แนว)อิสระผู้ถูกลืมแห่งโลกออนไลน์(Forgotten Free Comment Worker of Online World)
หนุ่มสันโดษ(ผู้มีชีวิตที่พอเพียง) นิสัยและความสนใจแปลกแยกในหมู่ญาติพี่น้องและคนรู้จัก (Forrest Gump of the family)
หนุ่มตาเล็กผมสั้นกระเซิงรูปไม่หล่อพ่อไม่รวย แถมโสดสนิทและอาจจะตลอดชีวิตเพราะไม่เคยสนใจผู้หญิงกะเขาเลย
บ้าในสิ่งที่เป็นแก่นสารและสาระมากกว่าบันเทิงเริงรมย์
พร้อมแบ่งปันประสบการณ์ดีๆกับบันทึกในโลกออนไลน์แล้วครับ
กรุณาปรับหน้าจอเป็นขนาด1024*768เพื่อการรับชมBlog
ติดตามการเคลื่อนไหวของกรรมกรผ่านTwitter
และติดตามพูดคุยนำเสนอด้านมืดของกรรมกรผ่านTwitterอีกภาคหนึ่ง
Google


ท่องไปทั่วโลกหาแค่ในพันทิบก็พอ
ติชมแนะนำหรือขอให้เพิ่มเติมเนื้อหาWeblog กรุณาส่งข้อความส่วนตัวถึงผมโดยตรงได้ที่หลังไมค์ช่องข้างล่างนี้


รับติดต่อเฉพาะผู้ที่มีอมยิ้มเป็นตัวเป็นตนเท่านั้น ไม่รับติดต่อทางE-Mailเพื่อสวัสดิภาพการใช้Mailให้ปลอดจากSpam Mailครับ
Addชื่อผมลงในContact listของหลังไมค์
free counters



Follow me on Twitter
New Comments
Group Blog
 
All Blogs
 
Friends' blogs
[Add ไทยวรรษ สีทันดรสมุทร's blog to your web]
Links
 

MY VIP Friend

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.