Group Blog
 
All Blogs
 

ลดอ้วนสูตรนางเอก 5 กิโลกรัมใน 1 สัปดาห์



ลดอ้วนสูตรนางเอก 5 กิโลกรัมใน 1 สัปดาห์



   เบนซ์-พรชิตา ณ สงขลา ออกตัวว่าเป็นนางเอกช่างกิน แต่ที่ไม่อ้วนก็เพราะมีสูตรเด็ดไว้ค่อยควบคุมน้ำหนัก แถมสูตรนี้ยังฮิตในบรรดานางเอกช่อง 3 อีกด้วย บรรดาสาวๆ ที่อยากหุ่นดีไม่ควรพลาดด้วยประการทั้งปวง



   “เบนซ์ไม่ได้เน้นบำรุงผิวมาก เพราะใส่ใจเรื่องกินมากกว่า เบนซ์กับพี่ชายชอบหาเมนูสุขภาพที่ต้องมีผักและผลไม้มาลองทำกัน บางครั้งจะออกไปกินอาหารนอกบ้านกับพี่มิกซ์-บรมวุฒิ เลือกอาหารที่ดีต่อสุขภาพและอร่อย บางช่วงกินเพลินจนน้ำหนักเพิ่ม ก็ต้องนำสูตรลดความอ้วนมาใช้ สูตรนี้ทำแล้วเห็นผลดี ลดอ้วนได้โดยไม่ต้องอดอาหาร เบนซ์แนะนำเพื่อนๆ ดาราช่อง 3 หลายคนให้ลองทำ ล่าสุด นานา ไรบีนา กินสูตรนี้ก่อนที่จะถ่ายแบบชุดว่ายน้ำค่ะ”



สูตรลดอ้วนแบบเบนซ์...เบนซ์...



   สูตรนี้ใช้บ่อยเวลาที่ต้องการลดน้ำหนักแบบเร่งด่วน ทำอาทิตย์เดียวลดได้ 5 กิโลกรัม หากทำซ้ำ 2 รอบจะลดได้ถึง 7 กิโลกรัม ควรกินน้ำอย่างน้อย 2 แก้วก่อนกินอาหารทุกมื้อ และทำติดต่อกันไม่เกิน 2 อาทิตย์



วันที่ 1     
เช้า โยเกิร์ตรสธรรมชาติ 1 ถ้วย
เที่ยง ไข่ต้ม 2 ฟอง
เย็น สลัดผักน้ำใส



วันที่ 2   
เช้า น้ำผลไม้คั้น 1 แก้ว
เที่ยง ไข่ต้ม 2 ฟอง
เย็น โยเกิร์ตรสธรรมชาติ 1 ถ้วย



วันที่ 3    
เช้า โยเกิร์ตรสธรรมชาติ 1 ถ้วย
เที่ยง เกาเหลาลูกชิ้น 1 ชาม
เย็น สับปะรด 1 ชิ้น



วันที่ 4    
เช้า น้ำผลไม้คั้น 1 แก้ว
เที่ยง ส้มตำ-ไก่ย่าง
เย็น โยเกิร์ตรสธรรมชาติ 1 ถ้วย



วันที่ 5   
เช้า น้ำผลไม้คั้น 1 แก้ว
เที่ยง สลัดผักน้ำใส + ไก่ย่าง
เย็น สลัดผักน้ำใส



วันที่ 6   
เช้า น้ำผลไม้คั้น 1 แก้ว
เที่ยง ปลานึ่งหรือปลาย่าง (ไม่จำกัด)
เย็น นมสดรสจืด 1 แก้ว



วันที่ 7    
เช้า ข้าว 1 ทัพพี + ไข่ต้ม 1 ฟอง
เที่ยง เกาเหลาลูกชิ้น 1 ชาม
เย็น สับปะรด 1 ชิ้น




 



อ่านเพิ่มเติมในคอลัมน์ Beauty นิตยสาร Health & Cuisine ปีที่ : 9 ฉบับที่ : 102 เดือน
: กรกฎาคม 2552





From: //healthandcuisine.com/beauty.aspx?cId=15&aId=1405




 

Create Date : 18 มกราคม 2553    
Last Update : 18 มกราคม 2553 21:15:14 น.
Counter : 812 Pageviews.  

Weight-lost Secret

loadaraiChocolate Covered FruitChocolate Covered RaisinsChocolate SpoonsRitter Sport ChocolateArtisan ChocolateChocolate Bar WrappersBaci ChocolateChocolate Covered OreosScharffen Berger ChocolateExpensive ChocolateChocolate SoapChocolate Holiday GiftWhite Chocolate PopcornChocolate ExtractChocolate PecansChocolate MoneyChristmas Gift ChocolateChocolate EquipmentChocolate BabiesChocolate CandlesSpicy ChocolateMilk Chocolate FondueReeses ChocolateBritish ChocolateWhite Chocolate PretzelsPerugina ChocolateChocolate DachshundEl Rey ChocolateChocolate Potato ChipsChocolate MillChocolate Macadamia NutsChocolate TownFerrero Rocher ChocolatesHoliday ChocolatesDark Chocolate Health BenefitsThe Chocolate PhoneGourmet Chocolate BasketsChocolate SnacksChocolate PastaChocolate Caramel CakeChocolate Covered CookiesStrawberries ChocolateChocolate Covered PopcornBuy Chocolate OnlineChocolate LettersMozart ChocolateChocolate SeashellsChocolate Covered PeanutsChocolate RocksGourmet Dark Chocolate


Weight-lost Secret



   เห็นหุ่นดี ผิวสวยขนาดนี้ หลายคนคงไม่เชื่อว่านางเอก จุ๋ย-วรัทยา นิลคูหา เคยลดความอ้วนแบบผิดวิธีจนเกิดอาการโยโย่มาก่อน ก่อนที่จะได้พบกับเคล็ดลับหุ่นฟิตแอนด์เฟิร์มที่ใช้ได้ผลจริงและดีต่อสุขภาพ ซึ่งเราได้นำมาฝากกันในคราวนี้



   “จุ๋ยเข้าวงการตอนอายุ 19 ปี การแต่งหน้าและสารเคมีจากเครื่องสำอางทำให้สภาพผิวเปลี่ยนไปจากผิวธรรมดาเป็นผิวแห้ง จึงต้องดูแลผิวหน้าด้วยการทาครีมบำรุงที่เพิ่มความชุ่มชื้นเกือบ 10 ขั้นตอนในแต่ละวันและทำเลเซอร์กระตุ้นการทำงานของคอลลาเจนใต้ชั้นผิวหนัง”



   “การอ่านหนังสือเยอะๆ ก็มีส่วนให้จุ๋ยเริ่มใส่ใจสุขภาพมากขึ้นด้วย เพราะเราได้รับความรู้เกี่ยวกับการเลือกกินจากหนังสือนี่แหละ ที่เห็นผลดี คือ การควบคุมน้ำหนัก จากที่เคยกินแต่แอ๊ปเปิ้ลหรือยาถ่ายเพื่อลดความอ้วนก็เปลี่ยนมาเป็นการกินข้าวสีสวยที่นำข้าวกล้องงอก ข้าวสีนิล ข้าวกล้องมันปู และพกคู่มือไว้นับแคลอรีอาหารที่กินในแต่ละวันไม่ให้เกิน 1,500 กิโลแคลอรี เมื่อทำจนเคยชินเราจะเริ่มสังเกตสิ่งที่กินมากขึ้นและรู้จักเลือกกินแต่พอดีด้วย อย่างขนมกรุบกรอบหรือขนมหวานเหล่านี้กินได้หมด เพียงแต่ต้องกินในปริมาณจำกัด เช่น ขนมถุงกินได้ 1/4 ถุง ต่อวัน หรือเค้กกินได้ขนาดเท่าชิ้นค็อกเทล”



.......................................................



สูตรหน้าใส



   สตรอว์เบอร์รี่เป็นผลไม้ที่อุดมด้วยวิตามินซี นอกจากกินเป็นอาหารว่างแล้ว ยังนำมาใช้พอกหน้าได้




  • สตรอว์เบอร์รี่ 3 ผล
  • โยเกิร์ตรสธรรมชาติ 2 ช้อนโต๊ะ
  • น้ำผึ้ง 1 ช้อนโต๊ะ
  • น้ำมะนาว 1 ช้อนชา

วิธีทำ



   บดสตรอว์เบอร์รีให้ละเอียด นำมาผสมกับส่วนผสมที่เหลือให้เข้ากัน แล้วพอกหน้าทิ้งไว้ 10 นาที จึงล้างออกด้วยน้ำเย็น




 



อ่านเพิ่มเติมในคอลัมน์ Beauty นิตยสาร Health & Cuisine ปีที่ : 9 ฉบับที่ : 103 เดือน
: สิงหาคม 2552





From: //healthandcuisine.com/beauty.aspx?cId=15&aId=1424




 

Create Date : 18 มกราคม 2553    
Last Update : 18 มกราคม 2553 20:33:55 น.
Counter : 433 Pageviews.  

เมื่ออารมณ์กลายเป็นอาวุธ

loadaraiOrganic Chocolate MilkChocolate Chocolate Chip CookiesDouble Chocolate CakeGold Chocolate CoinsPersonalized ChocolatesSignature ChocolateChocolate Wedding FavorsDark ChocolatesChocolate FavorCouverture ChocolateChocolate Covered ApplesChocolate Covered Espresso BeansWhite Hot ChocolateChocolate CurlsMerckens ChocolateWhite Chocolate FudgeMaking Chocolate CandyLow Calorie ChocolateCadbury Milk ChocolateChocolate StarsValor ChocolateWhite Chocolate SyrupTwix ChocolateChocolate NibsChocolate TwixFrench Chocolate TrufflesChocolate Covered NutsSuchard ChocolateIrish ChocolateFlake ChocolateChocolate CowChocolate Sunflower SeedsMilk Chocolate TrufflesBaileys ChocolateWhite Chocolate BarkFancy ChocolateChocolate Melting PotMilk Chocolate CandyOrganic Chocolate BarsFrench Truffles ChocolateChocolate Truffle CakeDouble Chocolate Chip CookiesChocolates OnlineChocolate Las VegasChocolate Caramel BarsLindor Chocolate TrufflesHomemade Chocolate CookiesChocolate LollipopChocolate Transfer SheetsChocolate Advent Calendars


เมื่ออารมณ์กลายเป็นอาวุธ




      เคยนึกสงสัยบ้างไหม?
      ทำไมคุณถึงปวดหัวข้างเดียว หรือปวดตึงท้ายทอยเวลาเครียด
      ทำไมความดันจึงขึ้นสูง ทุกครั้งที่คุณโกรธ
      ทำไมอยู่ๆ ก็เป็นโรคกระเพาะ ยามที่รู้สึกวิตกกังวล ทั้งที่กินอาหารตรงเวลา

      คำตอบคือ อารมณ์ไม่ใช่สิ่งที่เกิดขึ้นชั่วครู่ชั่วยามแล้วผ่านพ้นไป แต่เกิดขึ้นพร้อมๆ กับการเปลี่ยนแปลงภายในร่างกายอีกมากมาย ทำให้กลายเป็นความเจ็บป่วยซึ่งทางการแพทย์เรียกว่า การเจ็บป่วยทางกายที่เนื่องมาจากจิตใจ หรือ Phychosomatic disease เช่น โรคความดันสูง หลอดเลือดหัวใจ ไมเกรน หอบหืด ภูมิแพ้ ฯลฯ  อาการเหล่านี้ไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้ด้วยยา หากต้องรักษาอารมณ์ ความคิด เหตุผล และเข้าใจรากเหง้าของปัญหานั้น


 รู้จักอารมณ์ของตัวเอง
      อารมณ์ หมายถึง การทำงานของสมองที่ตอบสนองต่อสิ่งใดสิ่งหนึ่งที่มากระทบจิตใจ อาจแสดงออกเป็นคำพูด การกระทำ ว่าพึงพอใจหรือไม่ ซึ่งเป็นกลไกที่ถูกสร้างมาพร้อมกับมนุษย์เพื่อใช้ในการสื่อสารระหว่างกัน

      กระบวนการเกิดอารมณ์ประกอบด้วย 3 ขั้นตอน คือ มีสิ่งเร้า แปลความหมาย แล้วจึงเกิดเป็นอารมณ์  เช่น มีใครคนหนึ่งตำหนิคุณ( สิ่งเร้า) สมองจะค้นหาข้อมูลเก่าที่เคยเก็บไว้ว่าสิ่งเร้านี้มีความหมายอย่างไร หากเป็นคนที่คุณมีอคติเป็นทุนเดิม อาจแปลความหมายว่า เขากำลังหาเรื่อง แต่หากเป็นเพื่อนสนิท คุณอาจแปลความว่าเขาหวังดี แล้วจึงเกิดอารมณ์ไม่พอใจหรือขอบคุณ ดังนั้นการเกิดอารมณ์จึงมาจากการตีความและแปลความหมายของเรานั่นเอง

 อารมณ์แบ่งเป็น 3 ประเภท คือ
 อารมณ์ด้านบวก เช่น ดีใจ พอใจ เบิกบาน ร่าเริง สดใส ปลื้มปิติ
 อารมณ์ด้านลบ เช่น เศร้า น้อยใจ หดหู่ อ่อนล้า เครียด โกรธ ผิดหวัง
 อารมณ์แบบกลางๆ ซึ่งอาจเป็นด้านสุขหรือทุกข์ก็ได้ตามสภาวะนั้นๆ


 เมื่ออารมณ์กลายเป็นอาวุธ
      อารมณ์เป็นส่วนหนึ่งของเครื่องมือสื่อสารระหว่างมนุษย์ ฉะนั้นหากมีอารมณ์ต่างๆ เกิดขึ้นบ้างไม่มากหรือน้อยเกินไปถือว่าเป็นเรื่องปกติ และเมื่ออารมณ์เป็นเพียงเครื่องมือคุณจึงต้องตระหนักรู้ที่จะเป็นนายของอารมณ์ ไม่ปล่อยให้อารมณ์เข้าครอบงำจนกลายเป็นอาวุธทำลายตัวเอง เพราะทุกครั้งที่เกิดอารมณ์ด้านลบ กลไกการทำงานของสารเคมีในร่างกายทั้งระบบฮอร์โมน ภูมิคุ้มกัน และระบบประสาทอัตโนมัติจะทำงานแปรปรวน หลั่งสารแห่งความเครียดออกมา เพื่อเตรียมตอบสนองต่อสิ่งเร้าว่าจะ สู้ หรือ หนี อวัยวะที่เกี่ยวข้องจะทำงานหนักขึ้น

     ส่วนอวัยวะที่ไม่เกี่ยวข้องก็หยุดการทำงาน เพื่อสงวนพลังงานส่วนที่เหลือไว้สำหรับเหตุการณ์ฉุกเฉินครั้งนั้น ถ้าคุณมีอารมณ์ด้านลบเกิดขึ้นบ่อยๆ ร่างกายจึงเหมือนประกาศภาวะฉุกเฉินตลอดเวลา แทนที่ทุกระบบจะทำงานเท่าเทียมกัน กลับกลายเป็นบางระบบทำงานหนัก บางระบบไม่ทำงาน

      นายแพทย์ประกอบ ผู้วิบูลย์สุข จิตแพทย์และผู้ช่วยศาสตราจารย์ ภาควิชาเภสัชวิทยา คณะแพทย์ศาสตร์ศิริราชพยาบาล อธิบายว่า "เมื่อเกิดอารมณ์เครียด ร่างกายจะเปลี่ยนแปลงหลายอย่าง เช่น ต่อมเหงื่อทำงานมาก ไตขับของเสียได้น้อยลง ทำให้ของเสียคั่งค้างในร่างกาย หัวใจเต้นเร็วและแรง เส้นเลือดในท้องและผิวหนังหดตัว อาหารไม่ย่อย ไขมันที่ถูกสะสมในกล้ามเนื้อละลายออกมาเป็นฟรีฟอร์ม อยู่ในภาวะพร้อมใช้งานทันที ไขมันในเลือดสูงขึ้น ถ้าเกิดบ่อยๆ ก็อุดตันตามเส้นเลือดกลายเป็นโรคหัวใจ ความดันโลหิตสูง"

      มีงานวิจัยหลายชิ้นพบหลักฐานข้อมูลเหล่านี้ เช่น มหาวิทยาลัยมิชิแกนพบว่าผู้มีความรู้สึกเกลียดชัง ความดันจะสูงขึ้น 40 วินาที ความโกรธทำให้ความดันสูงขึ้น 80 วินาที เช่นเดียวกับประเทศญี่ปุ่นที่พบว่า เมื่อหยดสารอะดรีนารีนลงไปในกระแสเลือด ทำให้เส้นเลือดตีบตันเป็นช่วงๆ แสดงว่าอารมณ์ด้านลบมีผลทำให้การไหลเวียนของโลหิตติดขัดจริง

     สอดคล้องกับทฤษฎีความสัมพันธ์ของโรคกับอารมณ์ ซึ่งการแพทยย์แผนจีนอธิบายว่า อารมณ์ดีใจ เกี่ยวข้องกับหัวใจและลำไส้เล็ก  การดีใจเกินไปมีผลทำลายหัวใจเพราะเลือดไหลเวียนช้า จิตใจไม่มีสมาธิ
 
     อารมณ์โกรธ เกี่ยวข้องกับตับและถุงน้ำดี  ถ้าโกรธมากเกินไปจะมีผลทำลายตับ เพราะพลังวิ่งสู่ด้านบนทำให้ปวดหัว หงุดหงิด ตามัว ความดันเลือดสูง หากเป็นมากอาจทำให้หมดสติ

      อารมณ์วิตกกังวล เกี่ยวข้องกับม้ามและกระเพาะอาหาร มีผลต่อระบบการย่อยและดูดซึมอาหาร ทำให้เบื่ออาหาร ท้องอืด แน่นท้อง เป็นแผลในกระเพาะอาหาร ถ่ายเหลว ถ้าเป็นเรื้อรังทำให้หัวใจเต้นเร็ว ความจำเสื่อม นอนไม่หลับ เนื่องจากพลังในการย่อย การดูดซึมถูกขัดขวาง เลือดไปเลี้ยงสมองได้น้อย
 
     อารมณ์โศกเศร้าและเสียใจ เกี่ยวข้องกับปอดและลำไส้ใหญ่ ทำให้การไหลเวียนอากาศในปอดถูกอุดกั้น จึงรู้สึกหดหู่ อ่อนเพลีย

      อารมณ์กลัวและตกใจ เกี่ยวกับไตและกระเพาะปัสสาวะ ทำให้พลังย้อนลงล่าง มีผลต่อการเหนี่ยวรั้ง เช่น กลั้นปัสสาวะ อุจจาระไม่อยู่ ขาไม่มีแรง


      สติบำบัด : ทางลัดจัดการอารมณ์
     สติ หมายถึงการรู้ตัว ทั้งด้านร่างกาย อารมณ์ ความคิด ธรรมชาติ 
     สติบำบัด (Awareness therapy) จึงหมายถึงแนวทางการบำบัดอาการทางจิตใจ โดยใช้หลักการของสมาธิร่วมกับความฉลาดทางอารมณ์

      การรู้ตัวเป็นผลต่อเนื่องจากการฝึกสมาธิ จึงควรฝึกสมาธิเสียก่อน เพราะยิ่งรู้ตัวมาขึ้นเท่าไร ยิ่งควบคุมตัวเองได้มากขึ้นเท่านั้น โดยเฉพาะการรู้ตัวด้านอารมณ์มีความสำคัญมาก ช่วยลดการเปลี่ยนอารมณ์ด้านลบไปสู่อาการทางกายได้ หรืออย่างน้อยก็ช่วยให้การบำบัดรักษาง่ายขึ้น เนื่องจากรู้ว่าการเจ็บป่วยนั้นมาจากอารมณ์ใด

     ทั้งนี้อารมณ์ด้านบวกก็อาจทำร้ายคุณได้ หากคุณเป็นคนอ่อนไหวต่อสิ่งเร้าง่ายเกินไป เช่น มีความสุขง่าย แต่ถ้ามีสิ่งไม่ดีมากระทบก็เศร้าได้ง่ายเช่นกัน การมีอารมณ์ตอบสนองเร็วเกินไปจึงเป็นผลเสียมากกว่า เช่น มีคนขับรถปาดหน้า คุณโกรธทันที  จึงปาดหน้าคืนด้วยความสะใจ เพราะยิ่งช่วงเวลาตั้งแต่เกิดสิ่งเร้าจนถึงเกิดอารมร์สั้นเพียงใด คุณก็จะเลือกปฏิกริยาตอบสนองไม่ได้ แต่เทคนิคสติบำบัดช่วยให้ช่วงเวลาดังกล่าวยาวขึ้น ความรุนแรงของอารมณ์ลดลง ระยะเวลาที่รู้สึกโกรธสั้นลง จึงเลือกปฏิกริยาตอบสนองได้ดีขึ้น แทนที่จะเอาคืนก็เหลือเพียงสบถกับตัวเอง และกลับสู่ภาวะปกติ
 
 ฝึกร่างกายให้มีสติ
      หากมีพื้นฐานการฝึกสมาธิมาก่อน ขั้นตอนนี้จะง่ายขึ้นเพราะการฝึกร่างกายประกอบด้วยสองส่วน คือ การฝึกจดจ่อกับลมหายใจ โดยหายใจเข้าท้องพอง หายใจออกท้องยุบ ทำให้ร่างกายเกิดความผ่อนคลาย


      การฝึกผ่ามือร้อน ช่วยจิตใจนิ่งขึ้น เนื่องจากต้องจดจ่อกับความรู้สึกทางกาย ผลพลอยได้คือการมีสมาธิและสติ  


      ขั้นตอนการฝึก
 1. ตั้งฝ่ามือระดับทรวงอก หันฝ่ามือทั้งสองเข้าหากัน ห่างกันประมาณ 2-3 นิ้ว
 2. ขยับมือเข้าและออกช้าๆ จิตใจจดจ่ออยู่กับความรู้สึกที่ฝ่ามือ
 3. เมื่อเกิดสมาธิ ผู้ฝึกจะรู้สึกร้อนและมีแรงดูดคล้ายประจุที่ฝ่ามือ ทำติดต่อกันอย่างน้อย 10 นาที จิตใจจะสงบ ร่างกายผ่อนคลายขึ้น

      นอกจากนี้การปรับจิตใจก็สำคัญ เพราะปัญหาทางอารมณ์มาจากการควบคุมตัวเองไม่ได้ หรือการมีวิธีคิดในด้านร้าย หากฝึกการละวางอารมณ์ได้ปัญหาต่างๆ ย่อมน้อยลง เทคนิคการฝึกจิตใจมีหลายวิธีเช่น  ฝึกคิดอารมร์ตรงข้าม นอกจากรู้เท่าทันอารมณ์ตนเองแล้ว ยังต้องรู้ที่จะละวางอารมณ์นั้นลงด้วย วิธีที่ช่วยให้ละวางง่ายขึ้น คือ ฝึกคิดถึงอารมณ์คู่ตรงข้ามกับอารมณ์ที่เรารู้สึก เช่น คนที่โกรธง่ายต้องฝึกการใช้อภัยหรือเมตตากรุณา อย่างน้อยสิ่งเหล่านี้ก็ช่วยลดความรุนแรงของอารมณ์ลง


      จับอารมณ์มาใส่ตาราง เทคนิคนี้ประกอบด้วยหลายตาราง แต่มีจุดหมายเดียวกันคือ เพื่อตรวจสอบ รู้จักตัวเอง และการจดบันทึกช่วยให้สามารถย้อนมาอ่านทบทวนดูอารมณ์ของตนเองในแต่ละวัน เพื่อแก้ไขปรับปรุงให้ดียิ่งขึ้นในวันต่อไป และเพื่อให้ได้ผลดีที่สุด ควรระบุแต่ละอารมณ์ให้ละเอียด เช่น หงุดหงิด หดหู่ น้อยใจ เบิกบาน อิ่มใจ พอใจ ฯลฯ ไม่ใช่ระบุเพียง ดี หรือ ไม่ดี เท่านั้น...ทดลองต่อเนื่องประมาณ 1 เดือน อาการป่วยเนื่องจากจิตใจบางโรคจะขาดหาย และบางอย่างทุเลาลง


      ตารางที่ 1 รู้จักตัวเอง เพื่อให้รู้เท่าทันความรู้สึกและการกระทำของตนเอง รวมทั้งใช้สำหรับการพิจารณาดูการกระทำเหล่านั้นถูกต้องและเหมาะสมหรือไม่ โดยท้ายตารางให้ระบุด้วยว่าฝึกหายใจ และฝึกฝ่ามือร้อนนานเท่าใด เช่น


วัน/เวลา


18 ตุลาคม 2545 เวลา 13.06 น.


อารมณ์ 


น้อยใจ


สาเหตุ


เจ้านายเรียกให้ไปนำงานกลับมาแก้ไข


การกระทำ


ร้องไห้ เล่าให้เพื่อนคนอื่นฟัง


ฝึกหายใจ 10 นาที ฝึกฝ่ามือร้อน 10 นาที


 
     อารมณ์เป็นการตอบสนองสิ่งที่เกิดขึ้น แม้เพียงชั่วคราว ก็อาจมีผลต่อสุขภาพโดยรวม การจัดการอารมณ์จึงไม่ใช่การห้ามความรู้สึก แต่ควรรู้เท่าทันอารมณ์ตัวเอง เพราะคงไม่คุ้มค่าเลยที่จะเอาความรู้สึกที่เปลี่ยนอยู่เรื่อยมาแลกกับร่างกายที่ต้องใช้ตลอดไป...



 



อ่านเพิ่มเติมในคอลัมน์ Health นิตยสาร Health & Cuisine ปีที่ : 2 ฉบับที่ : 23 เดือน
: ธันวาคม 2545






From: //healthandcuisine.com/health.aspx?cId=7&aId=178




 

Create Date : 18 มกราคม 2553    
Last Update : 18 มกราคม 2553 20:26:37 น.
Counter : 390 Pageviews.  

เมื่อฉันเรียนรู้ที่จะมีชีวิตใหม่อีกครั้ง 

loadaraiChocolate PopcornChocolate Covered Coffee BeansSwiss Miss Hot ChocolateGuittard ChocolateChocolate TastingBacon ChocolateBest Hot ChocolateEuropean ChocolateChocolate SuppliesHot Chocolate GiftOrganic Dark ChocolateWhite Chocolate ChipsPave ChocolateChocolate GingerHandmade ChocolatesThe Chocolate TouchBest Chocolate Cookie RecipeChocolate Cherry CakeGhirardelli Chocolate SquaresCorporate ChocolateChocolate DeliveryGourmet ChocolatesChocolate Dipped StrawberriesValentine ChocolateChocolate RosesChocolate LollipopsChocolate Gold CoinsHot Chocolate MachineDagoba ChocolateChocolate TurtlesChocolate Covered AlmondsBounty ChocolateLiquor Filled ChocolateDark Chocolate BenefitsQuality ChocolateChocolate CardsChocolate ShellsRitter ChocolateLindt Chocolate TrufflesChocolate SprinklesDark Chocolate CandyChocolate Espresso BeansChocolate Peppermint BarkLindt Dark ChocolateChocolate PoodleChocolate SalesWhite Chocolate TrufflesHershey Chocolate BarsAssorted ChocolatesDove Dark Chocolate


เมื่อฉันเรียนรู้ที่จะมีชีวิตใหม่อีกครั้ง


     หลายครั้งที่คุณรู้สึกว่าชีวิตมืดมน ดำดิ่งลงสู่ห้วงทุกข์ วันและคืนผ่านไปอย่างเชื่องช้าราวกับไม่มีวันสิ้น สุด แต่ถ้าคุณยังคงยืนหยัดและอดทนเดินฝ่ามรสุมร้าย คุณอาจได้พบกับวันที่สดใสยิ่งกว่า เช่นเดียวกับบุคคลต่อไปนี้ที่เชื่อว่า "วันใหม่" นั้นมีอยู่จริง


     ถ้าพูดไม่ได้...ผมขอตายดีกว่า


     "พ่อ...ทำไมพ่อไม่พูดล่ะ"


     เสียงเจื้อยแจ้วของลูกชายวัยกำลังช่างพูดเอ่ยถามซ้ำแล้วซ้ำเล่า แม้จะเป็นน้ำเสียงของความไม่เดียงสา หากก็เป็นดั่งคมมีดที่กรีดเฉือนหัวใจให้แหว่งวิ่นยิ่งขึ้น


     คุณการุณ ตระกูลเผด็จไกร นายกสมาคมผู้ไร้กล่องเสียงแห่งประเทศไทย รื้อฟื้นความหลังอันขมขื่นด้วยแววตาหม่นเศร้า พลางเปิดผ้าพันคอให้ดูร่องรอยของการผ่าตัดมะเร็งกล่องเสียงที่เหลือไว้เพียงรูเล็กๆที่คอ

   เขาบอกว่า "รูนี้เป็นเหมือนชีวิตใหม่ หากมีใครสักคนมาแกล้งเอาอะไรมาปิดไว้ ไอ หรือสำลักแรงๆ ผมก็ตายได้แล้ว"

     คุณการุณในวัยเยาว์ก็คงเป็นเหมือนเด็กหนุ่มทั่วไปที่คิดว่าการสูบบุหรี่เป็นกิจกรรมโก้เก๋ จึงสนุกกับการเป็นสิงห์อมควันตั้งแต่อายุเพียง 18 ปี จากคราวละหนึ่งมวนพัฒนาจนถึงวันละสองซอง
    
     "ช่วงนั้นผมเริ่มบุกเบิกการทำนิตยสารและเป็นบรรณาธิการบริหาร รวมทั้งเขียนส่งให้กับเล่มอื่นๆ อีกประมาณ 7-8 เล่ม เลยค่อนข้างสูบบุหรี่จัด เริ่มเขียน 3 ทุ่ม เสร็จตีสองตีสาม บางทีถึงสว่าง ทำให้ร่างกายไม่ค่อยแข็งแรง"


     สัญญาณร้ายอย่างแรก คือเสียงของคุณการรุณค่อยๆแหบลง ซึ่งแพทย์แนะนำในเบื้องต้นให้เลิกสูบบุหรี่ แต่เขาไม่สามารถทำได้ อาการจึงยิ่งทรุดลง กว่าจะพูดได้แต่ละคำต้องงอตัวเบ่งลมจากช่องท้องแต่เสียงก็ยังเบาเพียงเสียงกระซิบ เมื่อกลับไปตรวจร่างกายอีกครั้ง คุณการุณพบว่าตนเองกลายมะเร็งกล่องเสียงไปเสียแล้ว


     "วันที่ผ่าตัด ยอมรับว่ากลัวมาก แต่คิดว่าคงเป็นการผ่าตัดธรรมดาๆ เพราะหมอพูดเพียงว่า 'ไม่ต้องห่วงนะ ผ่าตัดแล้วคุณจะพูดได้อีกครั้ง'


     "ผมฟื้นขึ้นมา จะพูดก็พูดไม่ออกเพราะเจ็บแผล อยากได้อะไรจากใครต้องเขียนใส่กระดาษ ถ้าอารมณ์ดีก็เขียนสวย แต่ถ้าอารมณ์ไม่ดีก็เขียนชุ่ยๆ ภรรยาอ่านไม่ออกก็โกรธ จากคนที่เคยอารมณ์ดีผมกลายเป็นคนอารมณ์แปรปรวน และได้รู้ว่าสิ่งที่หมอบอกหมายถึงการฝึกพูดด้วยหลอดอาหาร ถ้าผมรู้ว่าผ่าตัดแล้วต้องกลายเป็นคนใบ้ที่พูดไม่ได้ ผมขอตายดีกว่า"


"ช่วงนั้นมีเพื่อนนักเขียนคนหนึ่งให้กำลังใจว่า 'อดทนหน่อยนะ' น้ำตาผมไหลพราก สะอื้นตัวโยน น้ำมูกไหลเต็มไปหมด แต่ก็ไม่มีเสียง มันเป็นช่วงเวลาที่รู้สึกว่าทำไมชีวิตเราเลวร้ายได้ถึงขนาดนี้"


แม้ทำใจยอมรับในสิ่งที่เกิดขึ้นไม่ได้ แต่คุณการุณก็ยินดีเข้ารับการฝึกพูดร่วมกับนักแก้ไขการพูด(speak therapy) สัปดาห์ละหนึ่งครั้ง ด้วยเชื่อว่าเป็นสิ่งเดียวที่จะทำให้เขากลับมาใช้ชีวิตและสื่อสารกับผู้คนได้อีกครั้ง
 
"คุณลองคิดดูนะ ปกติคนเราพูดแทบทุกนาที แต่นี่เป็นเดือนๆแล้วผมยังเปล่งเสียงไม่ได้ เวลาลูกมาเล่น มาชวนคุยผมก็ทำอะไรไม่ได้ ต้องแอบร้องไห้ทุกครั้งที่ลูกถามว่า 'ทำไมพ่อไม่พูด' "


คุณการุณตัดสินใจซื้อปืนมากระบอกหนึ่ง คิดว่าตายเสียคงจะดีกว่า แต่บังเอิญลูกชายเดินเตาะแตะเรียกพ่อๆ เขาจึงฉุกคิดว่าถ้าตายไปจริงๆ ลูกจะอยู่และเติบโตกันอย่างไร เขาจึงหันไปฝึกพูดอย่างจริงจัง


เหมือนเป็นโชค เวลานั้นรัฐบาลญี่ปุ่นเสนอทุนสำหรับการฝึกพูดที่ประเทศญี่ปุ่น เขาจึงไปเรียนจนมีพัฒนาการรุดหน้าอย่างเห็นได้ชัด จากที่พูดได้ 2 คำก็เริ่มพูดได้ดีขึ้น ทั้งยังสามารถกลับมาร้องเพลงได้อีกครั้ง เขาเริ่มนึกถึงเพื่อนคนอื่นๆที่ประสบเคราะห์กรรมเดียวกัน ด้วยเข้าใจความรู้สึกทุกข์ทรมานที่ถูกตัดขาดออกจากโลกภายนอกเป็นอย่างดี จึงร่วมกับโรงพยาบาลศิริราชก่อตั้งสมาคมผู้ไร้กล่องเสียงแห่งประเทศไทยขึ้น รวมทั้งอุทิศตนรณรงค์เพื่อการไม่สูบุหรี่ เพื่อให้กำลังผู้ไร้กล่องเสียงว่า  " สิ่งดีๆย่อมเกิดขึ้นได้ถ้าหากเราตั้งใจจริง"


     เกิดใหม่จากความพิการ


     "ความฝันที่จะได้เป็นหมอของหนูเข้าใกล้มาทุกที"


     คำพูดของที่น้องอิ๋ว-นิภาดา แสนสุภา เด็กน้อยวัย 15 ปี ที่หวังจะทำให้เป็นจริงหลังเรียนจบมัธยมปลาย แต่วันหนึ่งชณะขี่มอเตอร์ไซค์บนทางขรุขระที่บ้านต่างจังหวัด  พอถึงทางโค้งหักศอก รถก็หลุดโค้ง คนที่เห็นเหตุการณ์บอกว่าเพื่อนที่ซ้อนท้ายกระเด็นข้ามหัวไปข้างหน้า ส่วนน้องอิ๋วถูกรถทับขา


     นิภาดาถูกส่งไปยังสถานีอนามัยใกล้ที่เกิดเหตุ ซึ่งจัดการเพียงดึงเข่าให้เข้าที่ แต่เมื่อกลับไปรักษาตัวที่บ้านแผลกลับเริ่มบวมขึ้น จึงต้องไปโรงพยาบาลอีกครั้ง หมอสันนิษฐานว่าเอ็นขาด และแนะนำให้ผ่าตัดอย่างเร่งด่วน


     "หนูไม่รู้ว่าผลการผ่าตัดเป็นยังไงบ้าง รู้แต่ว่าเจ็บแผลมาก ถูกกรีดตั้งแต่ใต้ขาพับจนถึงข้อเท้า ทุกครั้งที่ล้างแผล หนูต้องเอาผ้าเช็ดหน้าใส่ปากไว้ ไม่ให้ร้องออกมา ต้องล้างให้แผลแห้งและเหลือเล็กที่สุด แต่มันไม่ดีขึ้นเลย กระดิกนิ้วเท้าก็ไม่ได้ จนต้องผ่าตัดแต่งแผลใหม่ เป็นอย่างนี้อยู่ประมาณ 7-8 ครั้ง "


     ครั้งหนึ่งเธอเคยถูกทักถามหากต้องตัดขา แต่เธอแอบหวังว่าเหตุการณ์อาจไม่รุนแรงถึงขั้นนั้น จนวันที่คุณหมอเดินมาบอกว่า แผลมีปัญหาคงต้องตัดขาบางส่วนออก เพราะถ้าปล่อยไว้มันอาจลุกลามกว่านี้

     "วินาทีนั้นหนูรับไม่ได้ พูดอะไรไม่ออก ไม่เคยมีความคิดว่าเราต้องเป็นคนพิการ"


     แม้จะพยายามหาทางเลือกอื่นๆ แต่ทุกอย่างก็มืดมน กระทั่งอาการช็อคจากพิษบาดแผลทำให้เธอตัดใจยินยอม


     "วินาทีที่ลงชื่อ รู้เลยว่าอีกไม่กี่วันข้างหน้า ขาที่เคยอยู่กับเรามาตลอดคงไม่มีแล้ว หนูพยายามบอกตัวเองให้ทำใจ แต่ทำได้อย่างเดียวคือหันหน้าหนีจากความจริง วันๆเอาแต่ร้องไห้ คิดอย่างเดียวคืออยากฆ่าตัวตาย ชีวิตที่เหลืออยู่เป็นสิ่งที่หนูรับไม่ได้"


     เมื่ออาการต่างๆเริ่มดีขึ้น น้าสาวพาเธอกลับมาที่กรุงเทพเพื่อหาลู่ทางศึกษาต่อ และเหมือนความบังเอิญที่ตั้งใจ ปีนั้นประเทศไทยเป็นเจ้าภาพจัดการแข่งขันกีฬาเฟสปิกเกมส์ นิภาดาจึงมีโอกาสเปิดตัวในสังคมแห่งคนพิการเป็นครั้งแรก


     "ภาพแรกที่หนูเห็นคือคนพิการกำลังปั่นรถเข็นเต็มไปหมด เป็นนักกีฬาทีมชาติทั้งนั้น ไม่อยากเชื่อเลยว่าจะมีคนพิการมากขนาดนี้ หนูรู้สึกฮึกเหิมและพูดออกไปว่า 'คอยดูนะ..สักวันหนึ่งหนูจะเป็นนักกีฬาอย่างนี้ให้ได้' "


     จากเหตุการณ์ครั้งนั้นทำให้เธอมีกำลังใจแข็งแกร่งยิ่งขึ้น พยายามฝึกให้ตัวเองเคยชินกับอวัยวะชิ้นใหม่ นิภาดาสามารถเดินด้วยขาเทียมโดยไม่ใช้ไม้ค้ำยันในระยะเวลาเพียงไม่ถึงเดือน และได้รับคัดเลือกให้เป็นนักกีฬาเฟสปิกเกมส์ในประเภทแบดมินตันในที่สุด ระหว่างการเก็บตัวเตรียมการแข่งขัน นิภาดาอดทนฝึกซ้อมอย่างหนัก


     "ทีแรกหนูคิดว่าทำไมต้องทนทรมาน ทนเจ็บ แต่ถ้าถามว่าตอนนี้เป็นไง หนูดีใจที่วิ่งได้ และตอนแข่งขันโค้ชพยายามให้กำลังใจ บอกว่าไม่ต้องเครียด เราอายุน้อยกว่า ถ้าตีให้คู่ต่อสู้เคลื่อนไหวมากที่สุดโอกาสจะเป็นของเรา"


     ในที่สุด ความตั้งใจของเธอก็เป็นผล นิภาดา แสนสุภาคว้ารางวัลเหรียญทองแบดมินตันประเภทหญิงคู่ร่วมกับวันดี คำทำ ซึ่งถือเป็นชัยชนะที่ยิ่งใหญ่สำหรับเธอ เพราะนี่คือบทพิสูจน์ว่าถ้าหากคนเราเอาชนะตัวเองได้แล้ว ชัยชนะในเรื่องอื่นๆ ก็ไม่ใช่สิ่งยากเย็นอีกต่อไป


     รู้จักมะเร็งจึงรู้จักความสุข


     "คุณเป็นมะเร็งกระเพาะอาหาร หมอแนะนำว่าควรผ่าตัดภายในสองอาทิตย์นี้ ไม่อย่างนั้นหมอคงช่วยอะไรไม่ได้"


     ถ้อยคำจากแพทย์ผู้วินิจฉัยเหมือนสายฟ้าที่ฟาดกลางแสกหน้าของ คุณสุปราณี พันธุ์ชัย อย่างจัง เธอแทบจินตนาการไม่ออกว่าผู้บริหารหญิงแถวหน้าที่ทำงานเก่ง มีเงินเดือนเกือบแสน มีคนนับหน้าถือตามากมาย หากต้องกลายเป็นคนไร้กระเพาะอาหาร ชีวิตจะดำเนินต่อไปอย่างไร


     "ดิฉันรับผิดชอบศูนย์คอมพิวเตอร์ของบริษัททั้งหมด ซึ่งเหมือนกับต้องทำงาน 24 ชั่วโมงเพื่อเตรียมความพร้อมสำหรับผู้ใช้ทุกคน ขนาดกลับบ้านแล้วก็ยังห่วงเรื่องงานตลอดเวลา สมองมันตัดไม่ได้เลยสักนาที


     "เหมือนร่างกายที่เราใช้งานหนักมาตลอดเริ่มฟ้องว่าตัวเองไม่โอเค อย่างแรกคือต่อมไทรอยด์เป็นพิษ มีอาการเหมือนคนเป็นโรคหัวใจ มือสั่น เหงื่อออกตลอดเวลา ยังไม่ทันทำอะไรก็อยากนอน อยากหลับ รู้สึกเพลียชนิดที่เรียกว่าเหมือนวิ่งทางไกลมาทั้งที่ยังไม่ได้ออกแรงทำอะไรเลย


     "ถัดมาอีกสองปีกระเพาะอาหารเริ่มเป็นแผล หิวก็ปวด อิ่มก็ปวด อาการเริ่มหนักขึ้น คือกินแล้วอาเจียนตลอด เมื่อตรวจอย่างละเอียดก็พบว่ากระเพาะอาหารมีขนาดใหญ่ผิดปกติ ต้องสอดท่อไปดู เก็บชิ้นเนื้อมาตรวจ หมอยืนยันผลว่าเป็นมะเร็งในกระเพาะ"


     ผลการผ่าตัดของเธอเป็นที่น่าพอใจ คือไม่มีมะเร็งเหลือตกค้าง แต่นั่นก็แลกมาด้วยการตัดกระเพาะอาหารทั้งใบ รวมทั้งม้ามออกไปด้วย คงเหลือไว้แต่เพียงหลอดอาหารที่ถูกต่อตรงกับเข้าลำไส้เล็ก


     "หลังจากหยอดน้ำเกลือมาสองอาทิตย์ หมอก็อนุญาตให้กินอาหารได้ ด้วยความหิวเลยกินเต็มที่…เพียงแค่รถเข็นอาหารคล้อยหลังเท่านั้นแหละ รู้สึกปวดท้องเข้าห้องน้ำ สิ่งที่ถ่ายออกมาก็คือที่เราเพิ่งเคี้ยวไปเมื่อสักครู่นี้เอง ดิฉันตกใจว่ามันเกิดอะไรขึ้นกับชีวิตเรา


     "มื้อถัดไปดิฉันมีแก๊ซในท้องมากขึ้น ในขณะที่เราค่อยๆ กลืน  แก๊ซก็ดันขึ้นจนปวดไปหมด  อาหารคาอยู่ในหลอดอาหารนานมาก พยายามดื่มน้ำช่วยก็ไม่ได้ผล เป็นวินาทีที่อึดอัดทรมาน นี่เป็นการเปลี่ยนแปลงที่เราต้องเผชิญ น้ำตาไหลทุกครั้งที่กินข้าว เป็นช่วงเวลาที่ดิฉันไม่รู้เลยว่าจะมีชีวิตอยู่ได้อย่างไร"
 
     คุณสุปราณีโชคดีที่มีสามีคอยดูแลให้กำลังใจ เสาะแสวงหาหนทางที่เชื่อว่าดีมาให้ทดลองปฏิบัติฟื้นฟูตนเอง ทั้งการล้างพิษ การกินอาหารตามแนวธรรมชาติบำบัด พลังจักรวาล ฯลฯ
 
     "เมื่อก่อนดิฉันเลือกร้านอาหารที่นั่งแล้วผ่อนคลาย อาหารเป็นยังไงไม่สน เพราะเราทำงานเครียดมาพอแล้ว  และบอกได้เลยว่าคนที่เป็นมะเร็งทุกคนเกลียดผัก สามีต้องบังคับแล้วบังคับอีก ดิฉันก็กินไปบ่นไป แต่การเรียนรู้เรื่องธรรมชาติบำบัดทำให้เรายอมรับได้มากขึ้น วิทยากรท่านหนึ่งพูดไว้จับใจมากว่า 'คนเป็นมะเร็งต้องกินอาหารเป็นยา กินด้วยปัญญา ไม่ใช่กินด้วยตัณหา' "

     คุณสุปราณีเคร่งครัดกับพฤติกรรมการกินมากขึ้น ในแต่ละวันต้องจัดแจงอาหารของตัวเองถึง 9 มื้อ ทำให้ฟุ้งซ่านน้อยลงแต่ก็ไม่เพียงพอสำหรับความรู้สึกของเธอ

     "ทุกๆ วันดิฉันต้องสร้างความเคยชินกับสภาพร่างกายใหม่ บอกตัวเองว่าอย่ากังวล ถ้ากินแล้วถ่าย ก็กินให้บ่อยขึ้น จากที่ไม่เคยรู้ว่าความหิวเป็นยังไง ก็เริ่มรับรู้ว่าอาการอย่างนี้คือหิวนะ แต่ตอนนั้นถึงพยายามมากแค่ไหน ดิฉันก็ยังโทรม อยากมีอะไรยึดเหนี่ยวหัวใจบ้าง และคิดว่าพระพุทธเจ้าต้องช่วยได้แน่ๆ "


     หลังจากทดลองฝึกอบรมปฏิบัติธรรมเพียง 7 วัน คุณสุปราณีพบความเปลี่ยนแปลงในทางที่ดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด


      "วันแรกดิฉันแทบจะคลานไปเพราะร่างกายไม่เข้าที่ แต่ขากลับรู้สึกสบาย ดิฉันยิ้มและบอกกับตัวเองว่า เรามีชีวิตใหม่แล้ว ดิฉันเพิ่งตระหนักว่าคนเรามักจดจ่ออยู่กับสิ่งที่ตัวเองทุกข์หรือเจ็บปวด ถ้าเราเปลี่ยนจากการจดจ่อด้วยความคิดมาจดจ่อด้วยความรู้สึก ปวดก็ปวดไป อึดอัดก็อึดอัดไป ไม่ต้องคิดมากกว่านั้น จะช่วยให้เราพ้นทุกข์ได้"


     ความทุกข์ทรมานจากความเจ็บป่วยอาจทำร้ายเธอในคราแรก ผ่านมาถึงวันนี้คุณสุปราณีกลับยินดีน้อมรับ และขอบ คุณในโชคชะตาว่านี่คือของขวัญล้ำค่าที่สุดในชีวิต

                               ------------------------------------------------------------------------
    


     เมื่อชีวิตยังดำเนินต่อไป สุข-ทุกข์เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นและสูญสิ้นได้ตลอดเวลา อย่างน้อยประสบการณ์เหล่านี้ก็ให้ข้อคิดที่ดีว่า เมื่อความทุกข์มาเยือน นอกจากการมีสติยอมรับและความตั้งใจเริ่มต้นใหม่แล้ว  บางคราวเราอาจต้องแสวงหาโอกาส และลงมือทำสิ่งนั้นด้วยความอดทน


     การุณ ตระกูลเผด็จไกร เป็นแบบอย่างที่ชัดเจนของการให้โอกาสตนเองด้วยการเข้าร่วมฝึกอบรมการพูดทางหลอดอาหาร จนมีพัฒนาการที่ดีขึ้น และสามารถนำความรู้เหล่านั้นกลับมาช่วยเหลือผู้ประสบเคราะห์กรรมเดียวกัน
 
     เช่นเดียวกับนิภาดา แสนสุภา ที่หากยังจ่อมจมกับความพิการของตนเอง เธอก็คงเป็นเพียงคนพิการธรรมดาๆ คนหนึ่ง แต่การเปิดตัวเปิดใจยอมรับโลกใบใหม่ เธอจึงได้พบว่ายังมีที่ทางอีกมากหากจะขวนขวายไขว่คว้า เธอใช้โอกาสนั้นอย่างดีมาก ถึงขนาดเป็นแชมป์เหรียญทองในการแข่งขันกีฬาเฟสปิกส์เกมส์ ทั้งที่เป็นเพียงการแข่งขันครั้งแรกเท่านั้น


     อย่างไรก็ตาม การยอมรับวิกฤติของชีวิตด้วยความนอบน้อมอาจทำให้จิตใจสงบนิ่ง และมองเห็นทางออกชัดเจนยิ่งขึ้น ดังเช่นสุปราณี พันธุ์ชัย


     บางทีคุณอาจนึกอยากขอบคุณความทุกข์เหล่านั้น ที่ช่วยให้คุณแข็งแกร่งและมีชีวิตอย่างเข้าใจโลกมากขึ้นก็เป็นได้




 



อ่านเพิ่มเติมในคอลัมน์ Health นิตยสาร Health & Cuisine ปีที่ : 2 ฉบับที่ : 24 เดือน
: มกราคม 2546






From: //healthandcuisine.com/health.aspx?cId=7&aId=189




 

Create Date : 18 มกราคม 2553    
Last Update : 18 มกราคม 2553 20:21:48 น.
Counter : 445 Pageviews.  

นวดกดจุด : ยุทธศาสตร์ชีวิตพิชิตโรค

loadaraiChocolate MouldChocolate BlockChocolate Easter BunnyChocolate MarshmallowsEnglish ChocolateDark Chocolate BarsChocolate PointChocolate SticksChocolate IdeasChocolate Mobile PhoneDouble Chocolate CookiesChocolate Chocolate ChocolateStrawberries Chocolate DippedWedding Chocolate FavorsWedding Favors ChocolateChocolate Gift BoxBulk ChocolateChocolate Covered CherriesChocolates GodivaChocolate StoreBox ChocolatesValrhona ChocolateChocolate PearlsDiabetic ChocolateLeonidas ChocolateChocolate SkateboardChocolate Fondue SetChocolate Candy BarsKosher ChocolateChocolate BusinessHalloween ChocolateSan Francisco ChocolateChocolate CoinChocolate PiesWhite Chocolate CandyRocher ChocolateChocolate RaisinsOrder ChocolateChocolate SantaDivine ChocolateChocolate CookbookLindt ChocolatesDark Chocolate CakeFine ChocolatesChocolate Cookie CakeChocolate CompaniesWine And ChocolateChocolate CdChocolate Cookie DoughChocolate Nut Cookies


     นวดกดจุด : ยุทธศาสตร์ชีวิตพิชิตโรค


     การนวดกดจุด(Acupressure Massage) เป็นการแพทย์ทางเลือกแขนงหนึ่งที่ได้รับการยอมรับแล้วว่าสามารถรักษาโรคต่าง ๆ ได้ผลทัดเทียมกับการแพทย์แผนปัจจุบัน 

     สำหรับในประเทศแถบตะวันออกมีระบบการนวดมานานหลายพันปี และถือเป็นต้นแบบของการนวดกดจุดแทบทุกแขนงในโลกนี้ เอกลักษณ์การนวดของ 3 ชาติต่อไปนี้ อาจเป็นทางเลือกหนึ่งในการรักษาโรคของคุณ


     ทุยหน่า นวดกดจุดรักษาสมดุลแห่งชีวิต



     ทุยหน่า (Tuina) หรือการนวดกดจุดแบบจีน เป็นการรักษาที่ผสมผสานการนวดและการกดจุดไว้ด้วยกัน แพทย์จีนเชื่อว่าเดิมทีร่างกายคนเราอยู่ในสภาพสมดุล แต่เมื่อเกิดความเครียดหรือสภาวะผิดปกติที่ส่วนใด จะส่งผลให้กล้ามเนื้อส่วนนั้นเกิดอาการตึง เกร็ง เป็นเหตุให้พลังปราณติดขัด ร่างกายจึงเสียสมดุลและเจ็บป่วย จึงต้องกดจุดเพื่อเปิดช่องพลังปราณ เมื่อพลังปราณไหลเวียนดี ร่างกายก็กลับเข้าสู่ภาวะปรกติ ตรงตามปรัชญาการรักษาของทุยหน่าที่มุ่งเน้นการปรับสมดุลให้ร่างกายเข้าสู่ภาวะปรกติ


      จุดกดนี้จะอยู่ตามแนวเส้นพลังปราณ (Meridian) ที่ไหลเวียนอยู่ทั่วร่างกาย มีทั้งหมด 361 จุด ซึ่งเป็นจุดเดียวกันกับจุดฝังเข็ม แต่ทุยหน่ามีจุดกดพิเศษอีกกว่า 100 จุด ท่านวดเฉพาะอีกมากกว่า 180 ท่า
 
     ก่อนการรักษาทุกครั้ง แพทย์จะซักประวัติคนไข้รวมทั้งตรวจสุขภาพร่างกาย เช่น วัดความดันโลหิต อัตราการเต้นของหัวใจ ชั่งน้ำหนัก ฯลฯ ประกอบด้วย เพื่อวินิจฉัยโรค สาเหตุของการเจ็บป่วย และรักษาได้ถูกจุด อีกทั้งยังช่วยป้องกันการบาดเจ็บที่อาจเกิดขึ้นระหว่างรักษา เช่น หากคนไข้เป็นโรคหัวใจก็ต้องตรวจสภาพหัวใจก่อนว่ารับการนวดไหวหรือไม่ แต่โดยทั่วไปถ้ารักษาอย่างถูกวิธีกับผู้เชี่ยวชาญจะไม่ทำให้เกิดการบาดเจ็บ
 
     ในการรักษา ผู้ป่วยจะอยู่ในท่านั่ง นอนหงาย นอนคว่ำ ขึ้นอยู่กับตำแหน่งจุดกดและท่านวดแพทย์จะใช้นิ้วหัวแม่มือ ฝ่ามือ หลังมือ ถูนวดผู้ป่วยเร็ว ๆ พร้อมกดจุดบริเวณที่บาดเจ็บและบริเวณใกล้เคียง ระยะเวลาและความแรงในการกดต้องเหมาะสมกับสภาพร่างกาย (ความแข็งแรง, ความอ่อนแอ) เพศ อายุ และตำแหน่งจุดกดของแต่ละคน ความพอดีของน้ำหนักมือจะช่วยให้การรักษาได้ผล จึงนับเป็นศิลปะในการรักษาที่ต้องผ่านการฝึกฝนอย่างจริงจังเป็นเวลานาน 
 
     ชิอัตสึ เรียนรู้เพื่อรักษาตัวเอง


     ชิอัตสึ(shiatsu) กดจุดแบบญี่ปุ่นได้รับการดัดแปลงจากการนวดของจีน จึงมีความเชื่อเรื่องพลังปราณ รวมทั้งสาเหตุการเกิดโรคเช่นเดียวกับทุยหน่า ชิอัตสึเรียกจุดกดที่อยู่บนเส้นพลังปราณว่า สุโบ(Tsubo) มีทั้งหมด 660 จุดทั่วร่างกาย และเชื่อว่าส่วนท้องหรือฮารา(Hara)เป็นศูนย์กลางของพลังชีวิตทั้งหมด แพทย์จะวินิจฉัยหาความผิดปรกติของไหลเวียนเลือดและน้ำเหลือง โดยการสัมผัสอย่างแผ่วเบาที่บริเวณนี้ ผสมผสานเทคนิคการนวดของอินเดีย ท่านวดและวิธีการนวดกดจุดจึงต่างจากทุยหน่า

     การบำบัดด้วยชิอัตสึ นอกเหนือจากเพื่อรักษาโรคแล้ว ยังเน้นการป้องกันโดยปรับการไหลเวียนของเลือดให้เป็นปรกติด้วย  

     การรักษาเริ่มด้วยการซักประวัติ ตรวจสภาพร่างกาย และวินิจฉัยหาสาเหตุแห่งโรค จากนั้นเป็นขั้นตอนการบริหารร่างกาย ซึ่งมีท่าเฉพาะ เช่น ใช้มือทุบเบาๆ ที่อวัยวะต่างๆ คล้ายเป็นการอุ่นเครื่องก่อนรักษา ช่วยให้พลังงานไหลเวียนดีขึ้นในระดับหนึ่ง จากนั้นแพทย์จึงกดจุดสุโบลึกลงไปช้าๆ  บางจุดใช้นิ้วมือนวดพร้อมกับกดจุดด้วย แรงกดและระยะเวลาที่กดแตกต่างกันไปตามจุด การรักษา ใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมง จากนั้นทิ้งช่วง 1 - 2 สัปดาห์ แพทย์จึงนัดมาบำบัดอีกครั้ง เพื่อให้พลังงานฟื้นตัวเสียก่อน


Terry Liew อาจารย์ประจำโรงเรียน THE SHIATSU SCHOOL ประเทศสิงคโปร์ แนะนำการกดจุดแบบญี่ปุ่นที่ทำได้ด้วยตัวเอง เพื่อเยียวยาอาการเจ็บป่วยเล็กๆ น้อยๆ

     ท่าที่ 1 แก้อาการปวดหัว ใช้ปลายนิ้วชี้และนิ้วกลางทั้งซ้าย ขวา กดขมับสองข้างน้ำหนักมือพอประมาณ แล้วนวดคลึงเป็นวงกลมช้าๆ 5 - 10 นาที อาการปวดหัวจะทุเลาลง

     ท่าที่ 2 แก้อาการคลื่นไส้ เมารถเมาเรือ ใช้นิ้วหัวแม่มือกดหนัก ๆ จุดที่อยู่ตรงกลางข้อมือ ต่ำจากส้นมือประมาณ 2 นิ้วหัวแม่มือ กดประมาณ 10 วินาที ทำซ้ำ 3 - 4 รอบ
 
     ท่าที่ 3 แก้อาการปวดท้อง ท้องอืด ใช้ปลายนิ้วชี้ นิ้วกลาง และนิ้วนางทั้งซ้าย ขวากดลงที่ส่วนท้อง โดยจรดปลายนิ้วทั้ง 6 ติดกัน จากนั้นลงน้ำหนักพอประมาณแล้วนวดคลึงเป็นวงกลม ประมาณ 2 นาที เปลี่ยนที่กดไปเรื่อยๆ จนทั่วบริเวณท้อง อาการปวดท้องจะทุเลาลง       
        



      นวดกดจุดไทย ห่างไกลโรค 

      แพทย์แผนไทยเชื่อว่าร่างกายของมนุษย์มีเส้นทางเดินของพลังชีวิตที่เป็นเครือข่ายเชื่อมโยงกันถึง 72,000 เส้น แต่มีเส้นสำคัญ 10 เส้น เรียกว่า เส้นสิบ หากเส้นหรือทางเดินพลังติดขัดทำให้เจ็บป่วย สามารถแก้ไขได้โดยการเปิดช่องทางเดินพลังที่ติดขัดด้วยการนวด ซึ่งมีส่วนคล้ายความเชื่อของจีน เพราะเราได้รับอิทธิพลจากการแพทย์แผนจีนส่วนหนึ่ง ผนวกกับความรู้เรื่องการนวดที่ได้รับจากอินเดีย ทำให้ท่านวดของไทยหลายท่าคล้ายคลึงกับท่าโยคะของอินเดีย อย่างไรก็ตามไทยเราเองก็มีศาสตร์การนวดอยู่ก่อนแล้ว การผสมผสานกันจึงทำให้การนวดของไทยมีลักษณะโดดเด่นเฉพาะตัว


     ปัจจุบันการนวดแผนไทยจำแนกเป็น 2 แบบ คือ แบบเชลยศักดิ์และแบบราชสำนัก ความแตกต่างที่เห็นได้ชัดของการนวดทั้ง 2 แบบคือ แบบราชสำนักเน้นรักษาโรค ผู้นวดต้องมีความรู้ด้านกายวิภาค ใช้มือนวดเพียงอย่างเดียว โดยเฉพาะการกดจุดซึ่งมีอยู่ในกระบวนการรักษา 80-90 % ส่วนการนวดแบบเชลยศักดิ์ ใช้มือและอวัยวะส่วนอื่น เช่น ศอก เข่า ส้นเท้า ฯลฯ ช่วยในการนวดด้วย ดังจะเห็นได้ที่วัดโพธิ์ เป็นต้น

     ก่อนทำการนวดกดจุดทุกครั้งต้องทำการซักประวัติก่อน เพื่อตรวจสอบสภาพร่างกาย และสาเหตุการเกิดโรคทำให้รักษาถูกจุด เริ่มด้วยการคลำชีพจรที่ข้อมือและหลังเท้าข้างเดียวกัน แล้วนวดร่วมกับการกดจุดเพื่อรักษาโรค ผู้ป่วยจะอยู่ในท่านั่ง นอนหงาย นอนตะแคงขึ้นอยู่กับท่านวด ประมาณ 15 ท่า เช่น พรหมสี่หน้า หนุมานถวายแหวน หกสูง หกกลาง หกต่ำ ฯลฯ ท่าที่ใช้ขึ้นอยู่กับตำแหน่งของจุดกด แต่ละจุดใช้เวลากดประมาณประมาณ 10 วินาที การรักษากินเวลา 1 - 1 1/2 ชั่วโมง ขณะรักษามีเพลงบรรเลงช้า ๆ ทำนองสบาย ๆ เพื่อให้คนไข้ผ่อนคลาย หลังจากนวดเสร็จแพทย์จะประคบสมุนไพรไทยให้ด้วย

     การนวดกดจุดทั้ง 3 แบบ ใช้รักษากับทุกเพศทุกวัย โดยมากจะต้องทำควบคู่กับการรักษาแผนปัจจุบัน เป็นลักษณะการรักษาเสริมที่ช่วยให้การรักษาแผนปัจจุบันได้ผลดีขึ้น เช่น โรคเบาหวาน ความดันโลหิตสูง ภูมิแพ้ หอบหืด โรคกระเพาะอาหาร อัมพาต อัมพฤกษ์ ปวดไมเกรน ข้ออักเสบ เป็นต้น

     แต่ก็มีความเจ็บป่วยหลายอย่างที่รักษาได้โดยไม่ต้องพึ่งแพทย์ปัจจุบัน เช่น ปวดศีรษะ ปวดหลังเนื่องจากยกของหนัก ปวดคอ ปวดประจำเดือน นิ้วซ้น ข้อเท้าแพลง นอนไม่หลับ อาหารไม่ย่อย กระดูกขากรรไกรเคลื่อน ปวดเมื่อยเนื่องจากการเล่นกีฬาหรืออุบัติเหตุ โรคที่เกี่ยวกับการปวดเมื่อยของกล้ามเนื้อ หรือบาดเจ็บจากการเล่นกีฬา เป็นต้น แต่โรคที่การนวดกดจุดไม่สามารถรักษาได้เลยคือโรคที่เกี่ยวกับเชื้อโรค เช่นโรคผิวหนัง โรคติดเชื้อ และบาดแผลที่เป็นแผลเปิด 
 
     อาศัยเพียงมือทั้งสองข้างเป็นหลักก็สามารถรักษาโรคต่าง ๆ ให้หายได้ การนวดกดจุดจึงนับเป็นศาสตร์ที่น่าทึ่งและมีคุณเอนกอนันต์ต่อมวลมนุษยชาติจริง ๆ



 




 



อ่านเพิ่มเติมในคอลัมน์ Health นิตยสาร Health & Cuisine ปีที่ : 3 ฉบับที่ : 25 เดือน
: กุมภาพันธ์ 2546






From: //healthandcuisine.com/health.aspx?cId=7&aId=202




 

Create Date : 18 มกราคม 2553    
Last Update : 18 มกราคม 2553 19:49:34 น.
Counter : 3511 Pageviews.  

1  2  3  4  5  6  7  8  9  10  11  12  13  14  15  16  17  18  19  20  21  22  23  24  25  26  27  28  29  30  31  32  33  34  35  36  37  38  39  40  41  42  43  44  45  46  47  48  49  50  

Loveaddicted8
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




Friends' blogs
[Add Loveaddicted8's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.