หินปูนเกาะกระดูก
ภาวะหินปูนเกาะกระดูก
จะเกิดขึ้นตามธรรมชาติเมื่อกระดูกมีความเสื่อม แตก หัก เสียหาย
โดยร่างกายจะดึงแคลเซียมไปซ่อมแซมในส่วนนั้นๆ
ส่วนใหญ่แล้วการซ่อมแซมโดยธรรมชาตินี้มักจะทำให้รูปร่างกระดูกบริเวณนั้นเสียรูปทรง
กลายเป็นแคลเซียมที่พอกพูนนูนผิดธรรมชาติ ซึ่งทางการแพทย์เรียกว่า Bony Spur หรือ
Osteophyte แปลตรงตัวได้ว่า กระดูกงอก
ซึ่งเป็นคนละอย่างกับหินปูนที่เกาะตามซอกฟันนะคะ
src="//www.healthandcuisine.com/images/magazine/98/98-health-special.jpg"
align=right vspace=2 border=0>อันตรายจากภาวะกระดูกงอกที่อาจเกิดขึ้นได้ มีอาทิ
กระดูกงอกทิ่มกล้ามเนื้อ กระดูกงอกทับหรือทิ่มเส้นประสาท
ความรุนแรงขึ้นอยู่กับบริเวณที่เกิด ซึ่งอาจเกิดได้กับกระดูกทุกส่วนของร่างกาย
ตั้งแต่กะโหลกศีรษะ ลงมาถึงกระดูกแขน ขา ข้อต่อต่างๆ และซี่โครง เป็นต้น
แต่ที่พบมากคือกระดูกไหล่และกระดูกสันหลัง เมื่อเกิดภาวะนี้คุณอาจต้องเจ็บปวดทรมาน
เดินเหินหรือทำกิจกรรมต่างๆ ไม่สะดวก
หากไม่รักษาปล่อยทิ้งเรื้อรังอาจทำให้อวัยวะนั้นๆ ใช้การไม่ได้เหมือนปกติ
วิธีสังเกตความเสี่ยง นอกจากความเจ็บปวดที่อาจเป็นสัญญาณเตือนแล้ว
ให้ลองสัมผัสกระดูกส่วนต่างๆ ดูว่ามีการงอก ปูด โปนผิดปกติหรือไม่
หากสัมผัสพบความผิดปกติพร้อมความเจ็บปวด
ควรพบแพทย์เพื่อเอ็กซเรย์ดูให้แน่ชัดค่ะ
ใครคือกลุ่มเสี่ยง
ร่างกายคนเราเริ่มมีการสะสมแคลเซียมตั้งแต่ครั้งเป็นตัวอ่อนในครรภ์
ถ้าไม่ได้รับปริมาณแคลเซียมที่เพียงพอตั้งแต่เด็กโดยเฉพาะในเพศหญิงเมื่อถึงวัยหลังหมดประจำเดือน
จะส่งผลกระทบโดยตรง เสี่ยงทั้งภาวะหินปูนเกาะกระดูก กระดูกพรุน และกระดูกเสื่อม
อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
วิธีป้องกันที่ดีที่สุดเพื่อลดความเสี่ยงภาวะผิดปกติของกระดูกเมื่อถึงวัยสูงอายุ
คือ รับประทานอาหารที่มีแคลเซียมสูง ตรวจค่าความหนาแน่นมวลกระดูกเสมอ
และออกกำลังกายเป็นประจำ
เพราะการออกกำลังกายจะช่วยให้กระดูกเก็บแคลเซียมได้ดียิ่งขึ้นค่ะ
แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าคนวัยอื่นๆ
จะไม่ต้องกังวลเรื่องความเสี่ยงโรคกระดูก
ยังมีอาการที่คล้ายกับหินปูนเกาะกระดูกเกิดขึ้นได้กับคนทั่วไป ไม่ว่าจะเป็น
วัยเด็กและวัยรุ่น :
ในช่วงที่กระดูกเติบโตยังไม่เต็มที่หรือช่วงที่เด็กยังไม่หยุดสูง
กระดูกจะยังมีความยืดหยุ่น หากได้รับแรงกระแทกหรือแรงดึงบ่อยๆ
จากการออกกำลังกายอย่างหักโหม
จะทำให้กระดูกข้อต่องอกและยืดผิดรูปจนเกิดความเจ็บปวดหรือเคลื่อนไหวลำบาก
หากไม่รีบทำการรักษาจะทำให้โครงสร้างร่างกายส่วนนั้นๆ ผิดปกติได้
วัยทำงาน : วัยที่ร่างกายแข็งแรง
กระดูกเติบโตเต็มที่ มักเกิดความเสี่ยงจากการทำงานมากกว่าสาเหตุอื่น
คือเป็นกลุ่มอาการออฟฟิศซินโดรม ที่คนทำงานหน้าคอมพิวเตอร์มักเป็นกัน
ทั้งอาการเจ็บตามไหล่ แขน ข้อมือ ซึ่งคนส่วนใหญ่คิดว่าเป็นความผิดปกติของกระดูก
แต่ความจริงแล้วเป็นอาการของกล้ามเนื้ออักเสบมากกว่า
แต่คนวัยนี้ก็มีเปอร์เซ็นต์การเกิดหินปูนเกาะกระดูกได้ (แม้จะน้อยมาก)
โดยเฉพาะผู้ที่ไม่ค่อยออกกำลังกายหรือขยับร่างกายน้อย
จะทำอย่างไรเมื่อหินปูนเกาะกระดูก
มีวิธีรักษาภาวะหินปูนเกาะกระดูกอยู่ 3 ประเภทด้วยกัน คือ 1.
ผ่าตัด 2. ให้ยาต้านการอักเสบ และ 3. การทำกายภาพบำบัด
โดยหลักการรักษาจะเป็นแบบรักษาตามอาการ เมื่อเจ็บปวดจึงรักษา หมายความว่า
แม้จะเอ็กซเรย์พบว่ามีหินปูนงอกจากกระดูกจริง แต่หากผู้ป่วยไม่มีอาการเจ็บปวดทรมาน
ก็ไม่มีความจำเป็นต้องผ่าตัดหรือรักษา เพราะนั่นอาจจะให้เกิดความเสี่ยงอื่นตามมาได้
และนอกจากจะรักษาตามอาการแล้ว ต้องพิจารณาว่าอาการนั้นเกิดขึ้นกับกระดูกส่วนไหน
ส่งผลต่อร่างกายมากน้อยเพียงใด เพื่อประเมินความเหมาะสมในการรักษาต่อไป
ส่วนเรื่องระยะเวลานั้น
บางรายอาจรักษาด้วยการกินยาเพียงสัปดาห์เดียวก็หาย ในขณะที่บางคนต้องผ่าตัด
บางรายอาจแค่ทำกายภาพบำบัด หรือบางคนอาจเจอแจ๊คพอตรักษาทั้ง 3 วิธี
ขึ้นอยู่กับอาการและวิจารณญาณของแพทย์
แต่ที่มีการโฆษณาออนไลน์ว่ามีตัวยาช่วยละลายหินปูนเกาะกระดูกได้นั้น
เป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ ขออย่าหลงเชื่อและหามาใช้ผิดๆ
เพราะอาจเกิดผลเสียมากกว่าผลดี
แหล่ง “แคลเซียม” จากอาหาร
แคลเซียมมีบทบาทสำคัญมาก
เพราะเป็นสารอาหารประเภทเกลือแร่ที่จำเป็นต่อการดำรงชีวิต
พบในร่างกายมนุษย์ผู้ใหญ่มากถึง 1.5-2 เปอร์เซ็นต์ของน้ำหนักตัว และ 99
เปอร์เซ็นต์ปรากฎอยู่ในรูปของกระดูกและฟัน
หลังจากร่างกายดูดซึมแคลเซียมแล้วจะลำเลียงไปเก็บที่กระดูก
และเมื่อใดที่แคลเซียมในเลือดต่ำ ทั้งไม่ได้รับเพิ่มเติมอย่างเพียงพอจากอาหาร
แคลเซียมในกระดูกจะถูกดึงออกมาใช้ทดแทน เป็นจุดเริ่มต้นของโรคกระดูกมากมายตามมา
อาหารไทยโดยส่วนใหญ่แม้จะมีปริมาณแคลเซียมที่ค่อนข้างสูง
แต่ก็ไม่ถึงขั้นเพียงพอต่อความต้องการ
(อ่านปริมาณแคลเซียมที่ต้องการในแต่ละวัยได้ในเล่ม)
ผู้บริโภคต้องได้รับแคลเซียมจากแหล่งอื่นเพิ่มเติม โดยเฉพาะนม หรือผลิตภัณฑ์จากนม
การดื่มนมวันละ 2 แก้ว แก้วละ 200 มิลลิลิตร
จะให้ปริมาณแคลเซียมที่เพียงพอต่อความต้องการในหนึ่งวันค่ะ
นอกจากนมแล้ว ยังมีแหล่งแคลเซียมที่ดีอีกมากมาย
เหมาะสำหรับผู้ที่แพ้หรือดื่มนมวัวไม่ได้ เพราะขาดเอนไซม์ย่อยน้ำนม
อาหารจึงเป็นหนทางสำคัญในการนำแคลเซียมสู่ร่างกาย
(ดูตารางอาหารที่ให้แคลเซียมได้ในเล่ม)
สิ่งสำคัญที่ไม่ควรลืมคือ
การบริโภคแคลเซียมจะได้ผลดีที่สุดก่อนอายุ 30 ปี
หลังจากนั้นแคลเซียมที่ได้รับเข้าสู่ร่างกายจะมีผลเพียงแค่ซ่อมแซม
ไม่ใช่สร้างเสริมอีกต่อไป อย่ารอให้กระดูกเสื่อมเสียก่อนแล้วค่อยมารักษา
เรื่องแบบนี้กันไว้ย่อมดีกว่าแก้แน่นอนค่ะ