Group Blog
 
All Blogs
 

หินปูนเกาะกระดูก

loadaraiWorkshoesYellow Tennis ShoesYouth Converse ShoesYouth LeagueYouth Soccer Goals9 Shoes9.99 Shoe StoreAddidas BootsAddidas CleatsAddidas TrainersAerosoles ShoeAir Basketball ShoesAntistatic ShoesArches ShoesAsics Gel Kayano Running ShoeAsics Gel Kayano WomenAsics Gel Nimbus Running ShoesAsics Kayano ShoesAsics Kayano WomenAsics Nimbus Running ShoesAsics Running Shoes For WomenAthlete Foot Shoe StoreAudio Skate ShoesBaby Keds ShoesBaby Shoe StoresBaby Soccer ShoesBasketball FootwearBasketball Shoes ReviewsBass Exeter ShoesBass Shoes BootsBass Shoes ClogsBass Shoes LoafersBest Casual ShoesBest Online Shoe StoreBest Orthopedic ShoesBest Shoe StoresBest Shoes For BunionsBibi Kids ShoesBirkenstock Boston ShoesBirkenstock Discount ShoesBirkenstock Dress ShoesBirkenstock Kitchen ShoesBirkenstock Papillio SandalsBirkenstock SuedeBirkenstock TaboraBirkenstock ThongBirkenstock Women SandalsBirkenstock Womens SandalsBirkenstokBite Golf Shoe



หินปูนเกาะกระดูก



   ภาวะหินปูนเกาะกระดูก
จะเกิดขึ้นตามธรรมชาติเมื่อกระดูกมีความเสื่อม แตก หัก เสียหาย
โดยร่างกายจะดึงแคลเซียมไปซ่อมแซมในส่วนนั้นๆ
ส่วนใหญ่แล้วการซ่อมแซมโดยธรรมชาตินี้มักจะทำให้รูปร่างกระดูกบริเวณนั้นเสียรูปทรง
กลายเป็นแคลเซียมที่พอกพูนนูนผิดธรรมชาติ ซึ่งทางการแพทย์เรียกว่า Bony Spur หรือ
Osteophyte แปลตรงตัวได้ว่า กระดูกงอก
ซึ่งเป็นคนละอย่างกับหินปูนที่เกาะตามซอกฟันนะคะ



   src="//www.healthandcuisine.com/images/magazine/98/98-health-special.jpg"
align=right vspace=2 border=0>อันตรายจากภาวะกระดูกงอกที่อาจเกิดขึ้นได้ มีอาทิ
กระดูกงอกทิ่มกล้ามเนื้อ กระดูกงอกทับหรือทิ่มเส้นประสาท
ความรุนแรงขึ้นอยู่กับบริเวณที่เกิด ซึ่งอาจเกิดได้กับกระดูกทุกส่วนของร่างกาย
ตั้งแต่กะโหลกศีรษะ ลงมาถึงกระดูกแขน ขา ข้อต่อต่างๆ และซี่โครง เป็นต้น
แต่ที่พบมากคือกระดูกไหล่และกระดูกสันหลัง เมื่อเกิดภาวะนี้คุณอาจต้องเจ็บปวดทรมาน
เดินเหินหรือทำกิจกรรมต่างๆ ไม่สะดวก
หากไม่รักษาปล่อยทิ้งเรื้อรังอาจทำให้อวัยวะนั้นๆ ใช้การไม่ได้เหมือนปกติ
วิธีสังเกตความเสี่ยง นอกจากความเจ็บปวดที่อาจเป็นสัญญาณเตือนแล้ว
ให้ลองสัมผัสกระดูกส่วนต่างๆ ดูว่ามีการงอก ปูด โปนผิดปกติหรือไม่
หากสัมผัสพบความผิดปกติพร้อมความเจ็บปวด
ควรพบแพทย์เพื่อเอ็กซเรย์ดูให้แน่ชัดค่ะ



ใครคือกลุ่มเสี่ยง



   ร่างกายคนเราเริ่มมีการสะสมแคลเซียมตั้งแต่ครั้งเป็นตัวอ่อนในครรภ์
ถ้าไม่ได้รับปริมาณแคลเซียมที่เพียงพอตั้งแต่เด็กโดยเฉพาะในเพศหญิงเมื่อถึงวัยหลังหมดประจำเดือน
จะส่งผลกระทบโดยตรง เสี่ยงทั้งภาวะหินปูนเกาะกระดูก กระดูกพรุน และกระดูกเสื่อม
อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้



  
วิธีป้องกันที่ดีที่สุดเพื่อลดความเสี่ยงภาวะผิดปกติของกระดูกเมื่อถึงวัยสูงอายุ
คือ รับประทานอาหารที่มีแคลเซียมสูง ตรวจค่าความหนาแน่นมวลกระดูกเสมอ
และออกกำลังกายเป็นประจำ
เพราะการออกกำลังกายจะช่วยให้กระดูกเก็บแคลเซียมได้ดียิ่งขึ้นค่ะ



   แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าคนวัยอื่นๆ
จะไม่ต้องกังวลเรื่องความเสี่ยงโรคกระดูก
ยังมีอาการที่คล้ายกับหินปูนเกาะกระดูกเกิดขึ้นได้กับคนทั่วไป ไม่ว่าจะเป็น



   วัยเด็กและวัยรุ่น :
ในช่วงที่กระดูกเติบโตยังไม่เต็มที่หรือช่วงที่เด็กยังไม่หยุดสูง
กระดูกจะยังมีความยืดหยุ่น หากได้รับแรงกระแทกหรือแรงดึงบ่อยๆ
จากการออกกำลังกายอย่างหักโหม
จะทำให้กระดูกข้อต่องอกและยืดผิดรูปจนเกิดความเจ็บปวดหรือเคลื่อนไหวลำบาก
หากไม่รีบทำการรักษาจะทำให้โครงสร้างร่างกายส่วนนั้นๆ ผิดปกติได้



   วัยทำงาน : วัยที่ร่างกายแข็งแรง
กระดูกเติบโตเต็มที่ มักเกิดความเสี่ยงจากการทำงานมากกว่าสาเหตุอื่น
คือเป็นกลุ่มอาการออฟฟิศซินโดรม ที่คนทำงานหน้าคอมพิวเตอร์มักเป็นกัน
ทั้งอาการเจ็บตามไหล่ แขน ข้อมือ ซึ่งคนส่วนใหญ่คิดว่าเป็นความผิดปกติของกระดูก
แต่ความจริงแล้วเป็นอาการของกล้ามเนื้ออักเสบมากกว่า
แต่คนวัยนี้ก็มีเปอร์เซ็นต์การเกิดหินปูนเกาะกระดูกได้ (แม้จะน้อยมาก)
โดยเฉพาะผู้ที่ไม่ค่อยออกกำลังกายหรือขยับร่างกายน้อย



จะทำอย่างไรเมื่อหินปูนเกาะกระดูก



   มีวิธีรักษาภาวะหินปูนเกาะกระดูกอยู่ 3 ประเภทด้วยกัน คือ 1.
ผ่าตัด 2. ให้ยาต้านการอักเสบ และ 3. การทำกายภาพบำบัด
โดยหลักการรักษาจะเป็นแบบรักษาตามอาการ เมื่อเจ็บปวดจึงรักษา หมายความว่า
แม้จะเอ็กซเรย์พบว่ามีหินปูนงอกจากกระดูกจริง แต่หากผู้ป่วยไม่มีอาการเจ็บปวดทรมาน
ก็ไม่มีความจำเป็นต้องผ่าตัดหรือรักษา เพราะนั่นอาจจะให้เกิดความเสี่ยงอื่นตามมาได้
และนอกจากจะรักษาตามอาการแล้ว ต้องพิจารณาว่าอาการนั้นเกิดขึ้นกับกระดูกส่วนไหน
ส่งผลต่อร่างกายมากน้อยเพียงใด เพื่อประเมินความเหมาะสมในการรักษาต่อไป



   ส่วนเรื่องระยะเวลานั้น
บางรายอาจรักษาด้วยการกินยาเพียงสัปดาห์เดียวก็หาย ในขณะที่บางคนต้องผ่าตัด
บางรายอาจแค่ทำกายภาพบำบัด หรือบางคนอาจเจอแจ๊คพอตรักษาทั้ง 3 วิธี
ขึ้นอยู่กับอาการและวิจารณญาณของแพทย์
แต่ที่มีการโฆษณาออนไลน์ว่ามีตัวยาช่วยละลายหินปูนเกาะกระดูกได้นั้น
เป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ ขออย่าหลงเชื่อและหามาใช้ผิดๆ
เพราะอาจเกิดผลเสียมากกว่าผลดี



แหล่ง “แคลเซียม” จากอาหาร



   แคลเซียมมีบทบาทสำคัญมาก
เพราะเป็นสารอาหารประเภทเกลือแร่ที่จำเป็นต่อการดำรงชีวิต
พบในร่างกายมนุษย์ผู้ใหญ่มากถึง 1.5-2 เปอร์เซ็นต์ของน้ำหนักตัว และ 99
เปอร์เซ็นต์ปรากฎอยู่ในรูปของกระดูกและฟัน
หลังจากร่างกายดูดซึมแคลเซียมแล้วจะลำเลียงไปเก็บที่กระดูก
และเมื่อใดที่แคลเซียมในเลือดต่ำ ทั้งไม่ได้รับเพิ่มเติมอย่างเพียงพอจากอาหาร
แคลเซียมในกระดูกจะถูกดึงออกมาใช้ทดแทน เป็นจุดเริ่มต้นของโรคกระดูกมากมายตามมา



   อาหารไทยโดยส่วนใหญ่แม้จะมีปริมาณแคลเซียมที่ค่อนข้างสูง
แต่ก็ไม่ถึงขั้นเพียงพอต่อความต้องการ
(อ่านปริมาณแคลเซียมที่ต้องการในแต่ละวัยได้ในเล่ม)
ผู้บริโภคต้องได้รับแคลเซียมจากแหล่งอื่นเพิ่มเติม โดยเฉพาะนม หรือผลิตภัณฑ์จากนม
การดื่มนมวันละ 2 แก้ว แก้วละ 200 มิลลิลิตร
จะให้ปริมาณแคลเซียมที่เพียงพอต่อความต้องการในหนึ่งวันค่ะ



   นอกจากนมแล้ว ยังมีแหล่งแคลเซียมที่ดีอีกมากมาย
เหมาะสำหรับผู้ที่แพ้หรือดื่มนมวัวไม่ได้ เพราะขาดเอนไซม์ย่อยน้ำนม
อาหารจึงเป็นหนทางสำคัญในการนำแคลเซียมสู่ร่างกาย
(ดูตารางอาหารที่ให้แคลเซียมได้ในเล่ม)



   สิ่งสำคัญที่ไม่ควรลืมคือ
การบริโภคแคลเซียมจะได้ผลดีที่สุดก่อนอายุ 30 ปี
หลังจากนั้นแคลเซียมที่ได้รับเข้าสู่ร่างกายจะมีผลเพียงแค่ซ่อมแซม
ไม่ใช่สร้างเสริมอีกต่อไป อย่ารอให้กระดูกเสื่อมเสียก่อนแล้วค่อยมารักษา
เรื่องแบบนี้กันไว้ย่อมดีกว่าแก้แน่นอนค่ะ




 



อ่านเพิ่มเติมในคอลัมน์ Health นิตยสาร Health & Cuisine ปีที่ : 9 ฉบับที่ : 98 เดือน
: มีนาคม 2552






From: //healthandcuisine.com/health.aspx?cId=7&aId=1296




 

Create Date : 13 มกราคม 2553    
Last Update : 13 มกราคม 2553 9:47:24 น.
Counter : 644 Pageviews.  

ร้อยพันปัญหาเส้นผมบาง ศีรษะล้าน

loadaraiTrail Hiking ShoesTraining ShoeUk ShoesUmi Kids ShoesUsed Golf ShoesVasque Hiking ShoesVegan Earth ShoesVeggie ShoesVintage Athletic ShoesWalking Shoe StoresWalking Tennis ShoesWaterproof Athletic ShoesWhite Casual ShoesWide ClogsWide Shoes For KidsWide Walking ShoesWide Width ClogsWide Width Ladies ShoesWide Width ShoeWide Width SneakersWingtip Golf ShoesWoman Athletic ShoesWoman Golf ShoesWoman Tennis ShoesWomans Athletic ShoesWomans Casual ShoesWomen Narrow ShoesWomen Soccer CleatsWomen Sport ShoesWomen Waterproof ShoesWomens CasualWomens Clearance ShoesWomens Deck ShoesWomens Dress Shoes Size 11Women Ecco ShoesWomen Extra Wide ShoesWomens Golf AccessoriesWomen Golf PantsWomens Golf ShirtWomens Golf ShortsWomen KedsWomen New Balance 574Womens New Balance 574Womens Shoes CheapWomens Shoes On SaleWomen Soccer ShoesWomen Tennis ClothingWomen Teva SandalsWomens Teva SandalsWomens Wide


ร้อยพันปัญหาเส้นผมบาง ศีรษะล้าน



   นพ.บุญชัย ทวีรัตนศิลป์ แพทย์ที่ปรึกษาสาขาศัลยกรรมตกแต่ง โรงพยาบาลสมิติเวช ให้ความกระจ่างเรื่องความแตกต่างของการรักษาด้วยยาและการผ่าตัดปลูกถ่ายเส้นผมว่า “การรักษาด้วยยา ทั้งยากินและยาใช้ภายนอก จะเป็นตัวยาที่มีชื่อทางการแพทย์ว่า minoxidil และ finasteride แต่การรักษาแบบนี้ให้ผลไม่ถาวร ช่วงที่รับยาอาจสังเกตว่ามีผมใหม่งอกขึ้นมาบ้าง แต่เมื่อไรที่หยุดยา ทุกอย่างก็จะกลับเป็นเหมือนเดิม ทั้งยังอาจเจอผลข้างเคียง ไม่ว่าจะเป็นปวดศีรษะ ความดันต่ำ กระตุ้นการเกิดขนบริเวณที่ไม่ต้องการ รวมทั้งเสื่อมสมรรถภาพทางเพศ” 



   “ส่วนการผ่าตัดปลูกถ่ายเส้นผม เป็นวิธีที่ให้ผลดีและได้รับการยอมรับมากที่สุดในปัจจุบัน หลักการคือ แบ่งเส้นผมจากบริเวณที่ปกติไปปลูกถ่ายในตำแหน่งศีรษะล้าน ส่วนใหญ่หมอจะเลือกใช้รากผมจากบริเวณท้ายทอย เพราะมีเส้นผมที่แข็งแรงที่สุด ไปปลูกถ่ายลงในบริเวณที่ล้านทีละเส้น การผ่าตัดแบบนี้อาจกินเวลาตั้งแต่ 3-10 ชั่วโมง ค่าใช้จ่ายอยู่ราวๆ หลักหมื่นจนถึงหลักแสนบาท ขึ้นอยู่กับความกว้างของพื้นที่ปลูกถ่าย” 



   “วิธีนี้จะทำให้เส้นผมงอกขึ้นใหม่อย่างเป็นธรรมชาติ ไม่กระจุกตัวหรือฟูเป็นก้อนอย่างผมตุ๊กตา และอยู่ถาวร ไม่หลุดร่วงง่ายๆ ส่วนวิธีการสังเกตว่าศีรษะเราเริ่มมีผมน้อยหรือยัง ควรพบแพทย์หรือไม่ ดูได้จากไรผมบนหน้าผาก ว่าหนาแน่นดีอยู่ไหม เมื่อแหวกผมตรงกลางกระหม่อมแล้วเห็นหนังศีรษะชัดเจนไหม หรือดูที่พื้น แม้กระทั่งบนหมอน ถ้าหากว่ามีเส้นผมร่วงหล่นเกินวันละ 100 เส้น แสดงว่ามีโอกาสหัวล้านได้ในอนาคต” 



   “การรักษาทั้งการใช้ยาและการผ่าตัดนั้น จะได้ผลลัพธ์ที่ดีกว่ามากในระยะที่เพิ่งเริ่มต้นเข้าสู่ภาวะผมบางหรือศีรษะล้าน ดังนั้น ควรรีบปรึกษาแพทย์ เพราะหากปล่อยไว้นานเกินไป จะแก้ไขได้ยาก”



ตาเอก ตาเข ตาเหล่ ตาส่อน



   ทั้งหมดคืออาการเดียวกัน เป็นภาวะผิดปกติของกล้ามเนื้อตาที่ทำงานไม่สมดุล ทำให้ตาดำไม่ขนานตรงกันทั้งสองข้าง อาจเกิดได้ทั้งเขเข้าและเขออก พบได้ในเด็กและผู้ใหญ่ แต่ในเด็กจะต่างจากผู้ใหญ่ตรงที่หากปล่อยทิ้งไว้จะเป็น “ตาขี้เกียจ” ซึ่งเกิดจากภาวะที่สมองสั่งกดไม่ให้ตาข้างที่เขทำงาน เด็กจะใช้ตาข้างปกติในการมองเพียงข้างเดียว หากปล่อยไว้นานจะมองเห็นได้ไม่ดีจนอาจถึงขั้นตาบอดได้ การรักษาทำได้ด้วยการฝึกใช้ตาข้างที่ผิดปกติร่วมกับการรักษาที่ต้นเหตุ การรักษาจะได้ผลดีหากอายุยังน้อยและภาวะตาขี้เกียจยังไม่รุนแรง แต่หากทิ้งไว้จนเด็กมีการพัฒนาการการมองเห็นเติบโตเต็มที่แล้ว การรักษามักจะได้ผลไม่ดีนัก



   สังเกตได้อย่างไรว่าตาเข? นอกจากการมองด้วยตาเปล่าแล้ว ในรายที่เขน้อยจะต้องให้แพทย์ทำการทดสอบ นอกจากนี้ตาเข ยังอาจเป็นผลกระทบจากอุบัติเหตุที่ทำให้กล้ามเนื้อตาผิดปกติ ผู้ป่วยอาจจะมีอาการ มองเห็นเป็นภาพซ้อน ในการรักษาอาจจะต้องใช้วิธีผ่าตัดดึงกล้ามเนื้อตาให้ตรง



   การผ่าตัดดึงกล้ามเนื้อตาเพื่อรักษาตาเข เป็นการผ่าตัดนอกลูกตา ใช้เวลาเพียงประมาณ 1 ชั่วโมงก็เสร็จเรียบร้อย แค่เปิดแผลเล็กๆ ตรงร่องตาก่อนใช้อุปกรณ์เกี่ยวกล้ามเนื้อตาให้อยู่ในระดับปกติ ระดับความเจ็บปวดพอทนได้ ค่าใช้จ่ายอยู่ที่ราวๆ 15,000-30,000 บาท แต่ในบางรายที่เป็นน้อย อาจใช้เพียงแค่แว่นตาหรือฝึกการใช้สายตา โดยที่ไม่ต้องผ่าตัดเลยก็ได้



ฟันไม่เข้า = ฟันเหยิน



   ทพ.พรศักดิ์ ตันตาปกุล และทพญ.วิไลวรรณ ปัญญา-วรชาติ จากศูนย์ทันตกรรม BIDC แทคทีมกันมาไขข้อข้องใจทุกเรื่องเกี่ยวกับฟันเหยินค่ะ “... การเหยิน แบ่งได้ 3 ระดับ คือ ถ้าฟันบนที่คร่อมอยู่นูนออกมา 2-4 มิลลิเมตร จัดว่าเหยินเล็กน้อย ไม่จำเป็นต้องแก้ไข หากความนูนเขยิบขึ้นมาเป็น 8 มิลลิเมตร เรียกว่าเหยินกลางๆ แต่เมื่อใดที่ฟันยื่นนูนเกิน 8 มิลลิเมตร จัดว่าเหยินมาก ต้องจัดฟันหรือผ่าขากรรไกร แล้วแต่กรณี” 



   “ส่วนรูปแบบฟันเหยินนั้น แบ่งได้เป็น 3 ลักษณะ แบบแรกยิ้มแล้วเห็นฟันและเหงือกเยอะเหมือนแก้วหน้าม้า เกิดจากความผิดปกติของโครงสร้างใบหน้า ที่ขากรรไกรบนเติบโตมากเกินไปจนยื่นล้ำออกมา แก้ไขได้ด้วยการผ่าตัดขากรรไกรร่วมกับการจัดฟัน แบบที่สองมีฟันหน้าบนยื่น แต่ขากรรไกรปกติ ไม่ยื่นล้ำออกมาทั้งบนและล่าง แบบนี้รักษาง่ายที่สุดด้วยการจัดฟันธรรมดา และแบบสุดท้าย คือ ฟันล่างเหยิน ที่คนเอเชียรวมถึงคนไทยเป็นกันมาก เนื่องจากขากรรไกรล่างเติบโตมากเกินไป” 



   “การสังเกตว่าคนๆ หนึ่งโตมาจะฟันเหยินหรือไม่ ต้องดูแนวโน้มฟันตั้งแต่เด็ก การพบทันตแพทย์เป็นประจำแต่เนิ่นๆ จะช่วยได้ในระดับหนึ่ง ช้าสุดที่เด็กควรไปพบหมอฟัน คือ เมื่ออายุ 8-10 ปี แต่อาการเหยินหรือไม่เหยินจะเห็นชัดเจนในช่วงเข้าสู่วัยรุ่น ถ้ารีบแก้ไขตั้งแต่ช่วงวัยนี้จะง่ายและได้ผลที่ดีกว่า ในกรณีที่เด็กมีฟันเหยินแบบที่ 1 และ 3 โครงสร้างใบหน้ามีโอกาสเข้ารูปมากกว่า แต่หากมาจัดฟันเอาตอนที่ร่างกายเติบโตเต็มที่แล้ว จะจัดได้ผลดีแค่แบบที่สอง คือจัดเฉพาะฟัน ส่วนถ้าจะจัดจากกรรไกรคงต้องใช้การผ่าตัดร่วมด้วย “คำถามที่คนไข้มักถามหมอบ่อยๆ คือ จัดฟันแล้วหน้าจะเปลี่ยนไหม แก้มตอบไหม หมอขอตอบเลยว่าเปลี่ยนเล็กน้อยเฉพาะช่วงที่ใส่เครื่องมือ ซึ่งอาจจะเจ็บปวด รำคาญ จนพานไม่อยากอาหาร ทำให้หน้าตอบลง ดูผอมกว่าปกติได้ แต่ไม่ใช่อย่างที่เชื่อกันว่าการจัดฟันทำให้โครงหน้าเปลี่ยน เมื่อถอดเครื่องมือออกแล้วกินสะดวกขึ้น ก็จะกลับมาแก้มป่องได้เหมือนเดิม”



   สำหรับคนที่ต้องการความรวดเร็ว และมีรูปฟันเหยินไม่มาก แนะนำให้ใช้ทันตกรรมตกแต่งหรือการครอบฟัน ซึ่งจะใช้เวลาราวๆ 2 สัปดาห์ ค่าใช้จ่ายแล้วแต่วัสดุที่เลือก ทั้งโลหะผสมทอง หรือเซรามิก เฉลี่ยอยู่ที่ซี่ละ 7,500-15,000 บาท โดยปกติจะครอบเฉพาะฟันหน้าบน 6 ซี่



เรื่องสิว ที่ไม่สิว



   หลักการรักษาสิว จะรักษาตามประเภทของสิวเป็นสำคัญ เช่น สิวอักเสบ แพทย์จะให้ยาปฏิชีวนะ พวกเตตระไซคลินหรืออะม็อกซิซิลิน แบบกินหรือทาบนผิวหนัง แต่ชนิดทาจะให้ผลช้ากว่า หากเป็นสิวอักเสบจำนวนมากและไม่ตอบสนองต่อการรักษาด้วยยาปฏิชีวนะ อาจพิจารณาให้ใช้โรแอคคิวเทน ที่เป็นอนุพันธ์ของวิตามินเอเข้าไปยับยั้งการทำงานของต่อมไขมัน ลดการเกิดสิวใหม่ การใช้ยาตัวนี้อาจเกิดผลข้างเคียงได้แต่ถ้าใช้ภายใต้การควบคุมของแพทย์ก็มั่นใจได้ว่าปลอดภัย



   อีกวิธีที่สะดวกและเป็นที่นิยมคือการใช้เลเซอร์ เหมาะสำหรับผู้ที่มีข้อจำกัดในการใช้ยา เลเซอร์รักษาสิวมีหลายแบบ ทั้ง Smooth Beam ซึ่งไปออกฤทธิ์ที่ต่อมไขมันโดยตรง ช่วยลดความมันที่ผิวหนัง เลเซอร์ฆ่าเชื้อสิว ที่ไปทำลายเชื้อแบคทีเรียทำให้เกิดสิวอักเสบโดยตรงเหมือนยาปฏิชีวนะ แต่ให้ผลช้ากว่า และเลเซอร์ที่ไปทำให้สิวอุดตันหลุดล่อนออก วิธีนี้ไวกว่าการใช้ยาทาละลายหัวสิวหรือกดสิว ค่าใช้จ่ายในการรักษาสิวไม่สูงมากนั้น ขึ้นอยู่กับว่าเป็นมากหรือน้อยและวิธีการรักษา โดยเฉลี่ยอยู่ที่หลักร้อยถึงหลักพันบาท




 



อ่านเพิ่มเติมในคอลัมน์ Health นิตยสาร Health & Cuisine ปีที่ : 9 ฉบับที่ : 99 เดือน
: เมษายน 2552






From: //healthandcuisine.com/health.aspx?cId=7&aId=1311




 

Create Date : 13 มกราคม 2553    
Last Update : 13 มกราคม 2553 9:40:38 น.
Counter : 482 Pageviews.  

ไขรหัสพันธุกรรมเลือด ทาลัสซีเมีย

loadaraiSaucony Walking ShoesSaucony Womens ShoesShoe HeelShoe SandalsShoes BunionsShoes FeetShoes For LadiesShoes For Sale OnlineShoes HeelShoes On ClearanceShoes PropetShoes SoftspotsShoes TrottersShoes VanShoes VelcroShox Basketball ShoesSidi Bullet 2Sidi ZetaSilver Tennis ShoesSkate Shoe SaleSkate Shop OnlineSkate Tennis ShoesSkechers Bikers StraightawaySkechers FootwearSkechers On SaleSkechers Shoe StoreSkechers Shoes On SaleSoccer BasketballSoccer BootSoccer PremierSoccer Shoes On SaleSoccer Shoes WideSoccer TravelSperry FigawiSperry Gold Cup ShoesSperry Shoes On SaleSperry Top Sider Boat ShoeSperry Topsider SaleSperrys Boat ShoesSport FootwearSport Shoe StoresSport Shoes StoresSprings ShoesSteel Toe Dr MartensSteel Toed Work ShoesT Mac Basketball ShoesTennis Shoes On SaleTeva Women SandalsToddlers Dress ShoesTracy Mcgrady Basketball Shoes


ไขรหัสพันธุกรรมเลือด ทาลัสซีเมีย



  โรคนี้เกิดจากความผิดปกติของรหัสพันธุกรรมหรือยีนที่มีหน้าที่สร้างฮีโมโกลบินในเม็ดเลือดแดง ฮีโมโกลบินนั้นประกอบไปด้วยกลุ่มโปรตีน 2 ชนิด คือ อัลฟ่าโกลบินซึ่งถูกกำหนดโดยโครโมโซมคู่ที่ 16 และเบต้าโกลบิล ที่ถูกกำหนดโดยโครโมโซมคู่ที่ 11 เมื่อใดที่เกิดความผิดปกติของยีนตัวใดตัวหนึ่งหรือคู่ใดคู่หนึ่ง ก็จะทำให้เกิดความผิดปกติต่อการสร้างฮีโมโกลบินทั้งในแง่ปริมาณและลักษณะ เรียกว่าภาวะทาลัสซีเมีย ความผิดปกติที่ยีนตัวเดียว ทำให้เกิดภาวะแฝงทาลัสซีเมียหรือเป็นพาหะ แต่ถ้าเกิดความผิดปกติขึ้นกับยีนคู่ใดคู่หนึ่ง เรียกได้ว่าเป็นโรคโลหิตจางทาลัสซีเมีย ซึ่งแบ่งได้ 2 ชนิด ดังนี้



1. อัลฟ่าทาลัสซีเมีย คือผู้ที่ร่างกายสร้างอัลฟ่า โกลบิน โปรตีนลดน้อยลงกว่าปกติ ในเมืองไทยเองมีผู้เป็นพาหะชนิดนี้ 15-20 เปอร์เซ็นต์ ของคนทั้งประเทศ ผู้มีพาหะอัลฟ่าทาลัสซีเมีย จากการขาดหายไปของยีนอัลฟ่าเพียง 1 ตัวนั้นเรียกว่าอัลฟ่าทาลัสซีเมีย-2 ซึ่งเป็นชนิดไม่แสดงอาการและไม่มีผลต่อสุขภาพใดๆ



การตรวจเลือดทั่วไปอาจหาค่าความผิดปกตินี้ไม่ได้ ต้องใช้วิธีตรวจ DNA เท่านั้น ส่วนผู้ที่มีพาหะอีกชนิดหนึ่งซึ่งเกิดจากการขาดหายไปของยีนอัลฟ่าถึง 2 ตัว จะทำให้มีขนาดเม็ดเลือดแดงเล็กลงและมีภาวะซีดเล็กน้อย แต่ไม่ส่งผลกระทบต่อสุขภาพ เรียกว่าเป็น อัลฟ่าธาลัสซีเมีย-1 ซึ่งมักถูกเข้าใจผิดว่าเป็นโรคโลหิตจางจากการขาดธาตุเหล็ก ส่วนความเสี่ยงการส่งต่อโรคสู่รุ่นลูก เป็นดังนี้ 1) ทั้งพ่อและแม่เป็นพาหะอัลฟ่าทาลัสซีเมีย-2 = ลูกเป็นโรค 100 เปอร์เซ็นต์ 2) พ่อเป็นพาหะอัลฟ่าธาลัสซีเมีย-2 แต่แม่เป็นอัลฟ่าทาลัสซีเมีย-1 = ลูกเสี่ยงเป็นโรค 25 เปอร์เซ็นต์ มีโอกาสปกติ 25 เปอร์เซ็นต์ และเสี่ยงเป็นพาหะแบบพ่อหรือแม่อย่างละ 25 เปอร์เซ็นต์ 3) ทั้งพ่อและแม่เป็นพาหะอัลฟ่าทาลัสซีเมีย-1 = ลูกเสี่ยงเป็นโรคขั้นรุนแรง 25 เปอร์เซ็นต์ มีโอกาสปกติ 25 เปอร์เซ็นต์ และมีโอกาสเป็นพาหะอีก 50 เปอร์เซ็นต์



2. เบต้าทาลัสซีเมีย คือคนที่ไม่สามารถสร้างสายเบต้าโกลบินได้เพียงพอ พบมากในชาวอิตาเลียน กรีซ ตะวันออกกลาง อิหร่าน ตะวันออกเฉียงใต้ของอัฟริกา และชาวจีนตอนใต้ ส่วนชาวไทยพบว่ามีตัวเลขอยู่ที่ 3-5 เปอร์เซ็นต์ เช่นกันกับอัลฟ่าทาลัสซีเมีย เบต้าทาลัสซีเมียไม่ส่งผลกระทบใดๆ ต่อสุขภาพ เพียงแต่จะมีภาวะซีดเล็กน้อย รวมถึงการเข้าใจผิดว่าเป็นเลือดจางเพราะขาดธาตุเหล็ก เมื่อหญิงชายที่มีพาหะเบต้าทาลัสซีเมียมาแต่งงานกัน โอกาสที่ลูกจะป่วยเป็นโรคเบต้าธาลัสซีเมียมีถึง 25 เปอร์เซ็นต์ นอกจากนี้ยังมีความผิดปกติของฮีโมโกลบินอีกชนิด เรียกว่า ฮีโมโกลบินอี ทาลัสซีเมีย ที่พบพาหะในทั่วทุกภาคของประเทศ เมื่อผู้มีพาหะชนิดนี้แต่งงานกับผู้มีพาหะเบต้าทาลัสซีเมีย ลูกที่เกิดมาจะมีโอกาสเป็นโรคเบต้าทาลัสซีเมีย ฮีโมโกลบินอีขั้นรุนแรง ได้ถึง 25 เปอร์เซ็นต์



รับมืออย่างไรเมื่อเป็นพาหะ



   สังเกตง่ายๆ ว่าคุณมีแนวโน้มเป็นพาหะทาลัสซีเมียหรือไม่ โดยดูจากผลตรวจเลือดของการตรวจร่างกายประจำปี ถ้าแพทย์ระบุเพิ่มเติมว่ามีความผิดปกติของเม็ดเลือด ควรไปตรวจคัดกรองเพิ่มเติมเพื่อความมั่นใจตามโรงพยาบาลทั่วไป เมื่อทราบว่าคุณเป็นพาหะทาลัสซีเมีย ต้องทำความเข้าใจว่าคุณไม่ได้เป็นโรค แต่เป็นเพียงผู้ที่จะส่งผ่านโรคไปสู่ลูกหลานรุ่นต่อไป จึงไม่มีโอกาสป่วยและไม่กระทบต่อความสมบูรณ์ของร่างกายเลย ทั้งยังไม่จำเป็นต้องได้รับยาหรืออาหารเสริมแต่อย่างใด เพราะผู้ที่จะได้รับยาบำรุงเลือดที่เป็นธาตุเหล็กนั้น ต้องเป็นผู้ที่ถูกประเมินว่ามีภาวะขาดธาตุเหล็กร่วมด้วย ซึ่งตรวจได้โดยใช้วิธีวัดระดับเหล็กในร่างกาย หรือซีรั่มเฟอไรติน



   สิ่งเดียวที่ผู้เป็นพาหะทาลัสซีเมียทุกประเภทต้องใส่ใจ คือ การเลือกคู่ เพราะนั่นหมายถึงโอกาสเพิ่มความเสี่ยงการเกิดโรคสู่รุ่นลูก ซึ่งเมื่อเกิดโรคแล้วต้องประคับประคองอาการหรือรักษาตลอดชีวิตด้วยการถ่ายเลือดเป็นประจำทุกเดือน พร้อมขับเหล็กอีกวันละกว่า 10 ชั่วโมง เฉพาะค่ายาและค่าเลือดก็ตกราวๆ หลักหมื่นต่อเดือนไม่รวมค่ารักษาพยาบาลอื่น



   ส่วนอีกทางเลือกในการรักษาที่ช่วยให้หายเร็วกว่าแต่ก็มีความเสี่ยงสูงและราคาแพงมาก คือ การเปลี่ยนถ่ายไขกระดูก แต่ใช่ว่าผู้ป่วยทาลัสซีเมียทุกรายจะรักษาด้วยวิธีนี้ได้ เพราะโอกาสที่จะหาไขกระดูกจากผู้บริจาคได้ตรงกับของผู้ป่วยนับว่ายากมาก แต่ที่สำคัญคือกระบวนการรักษายังไม่ปลอดภัยร้อยเปอร์เซ็นต์ โอกาสติดเชื้อหรือร่างกายไม่รับไขกระดูกใหม่ก็มีสูง ความเสี่ยงที่ผู้ป่วยและญาติๆ ต้องทำใจนั้นจึงหมายถึงชีวิต แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นไม่มีข้อกำหนดสำหรับผู้ที่มีพาหะชนิดเดียวกัน ว่าห้ามแต่งงานมีลูกแต่อย่างใด แต่ควรวางแผนก่อนและระหว่างตั้งครรภ์ด้วยการปรึกษาแพทย์ เพื่อหาความเสี่ยงการเกิดโรคในเด็ก ไม่ว่าจะด้วยการวินิจฉัยครรภ์อ่อนไม่เกิน 20 สัปดาห์ ด้วยการเจาะน้ำคร่ำหรือตัดชิ้นเนื้อจากรกเพื่อตรวจในห้องปฏิบัติการ หรือหากทารกในครรภ์เป็นโรคแล้วยิ่งต้องได้รับคำปรึกษาทางพันธุกรรมอย่างต่อเนื่อง



อาหารต้านทาลัสซีเมีย


   อาหารที่เหมาะสมสำหรับผู้ป่วยทาลัสซีเมีย คือ อาหารคุณภาพดีที่ให้โปรตีนสูง และผักใบเขียวที่มีโฟเลท ซึ่งจำเป็นต่อการสร้างเม็ดเลือด ส่วนอาหารที่ควรหลีกเลี่ยง คือ อาหารที่มีธาตุเหล็กสูง ไม่ว่าจะเป็นเครื่องในสัตว์ โดยเฉพาะตับและเลือด กุ้ง หอยแมลงภู่ หอยนางรม และสาหร่ายทะเล ที่มีธาตุเหล็กสูงกว่าเนื้อสัตว์ 3-8 เท่า แต่หากมีการรับประทานอาหารที่เหล็กสูงเข้าไป อาจดื่มเครื่องดื่มประเภทชาและนมถั่วเหลือง เพื่อไปช่วยลดการดูดซึมธาตุเหล็กได้ ที่สำคัญ ไม่ควรซื้อวิตามิน แร่ธาตุหรือผลิตภัณฑ์เสริมอาหารมารับประทานเองโดยไม่ปรึกษาแพทย์



 



อ่านเพิ่มเติมในคอลัมน์ Health นิตยสาร Health & Cuisine ปีที่ : 9 ฉบับที่ : 100 เดือน
: พฤษภาคม 2552






From: //healthandcuisine.com/health.aspx?cId=7&aId=1377




 

Create Date : 13 มกราคม 2553    
Last Update : 13 มกราคม 2553 9:33:53 น.
Counter : 560 Pageviews.  

“คอเลสเตอรอล” ไขมันแห่งชีวิต

loadaraiNew Balance 1004New Balance 659New Balance 856New Balance Athletic ShoeNew Balance Baseball ShoesNew Balance CasualNew Balance Football ShoesNew Balance For KidsNew Balance Men 574New Balance Mens SneakersNew Balance Mens Tennis ShoesNew Balance Motion ControlNew Balance Mw926New Balance Training ShoesNew Balance Water ShoesOakley Mens ShoesOakley ShoeOld Basketball ShoesOnline Golf ShopsOnline Shoe ShopsOnline Shoes StoresOrange Running ShoesOrthopaedic ShoesOrthopedic Dress ShoesOrthopedic Shoes For KidsPlaid Converse ShoesPronation ShoesPropet Walking ShoePropet Womens ShoesRed Dress Shoes For WomenRed Soccer CleatsRetro New Balance ShoesRunning OrthoticsRunning Shoes ApparelRunning Shoes ClearanceRunning Shoes Flat FeetRunning Shoes StabilityRunning TrainersSafety Work BootsSale On ShoesSamba Soccer ShoesSandal BootSandal FootwearSandal Golf ShoesSandals Flip FlopsSaucony Grid ShadowSaucony GuideSaucony Hurricane Running ShoesSaucony Tennis ShoesSaucony Trail Running Shoes


“คอเลสเตอรอล” ไขมันแห่งชีวิต



   คอเลสเตอรอล คือ ไขมันประเภทหนึ่ง มีลักษณะกึ่งแข็งกึ่งเหลว พบได้ในเซลล์ของอวัยวะทั่วไปในร่างกาย จินตนาการง่ายๆ ว่าส่วนประกอบที่เป็นของเหลวในตัวเรา ล้วนมีคอเลสเตอรอลแทรกซึมเป็นเจ้าถิ่นอยู่ทุกอณู ไม่เว้นแม้แต่ส่วนสำคัญที่สุดอย่างก้อนไขมันทรงประสิทธิภาพที่เรียกว่า สมอง



   คอเลสเตอรอลมีบทบาทสำคัญหลายประการอย่างที่เราคาดไม่ถึง ทั้งเป็นส่วนประกอบของเยื่อหุ้มเซลล์ ช่วยในการส่งผ่านสารละลายต่างๆ เข้าออกเซลล์ หรือรับส่งสัญญาณมาสู่เซลล์ และยังเป็นสารตั้งต้นการสร้างน้ำดีสำหรับย่อยไขมันที่เรากินเข้าไป รวมทั้งมีส่วนสำคัญในการผลิตสารจำพวกสเตียรอยด์ฮอร์โมน เช่น ฮอร์โมนเพศ ฮอร์โมนที่ไปควบคุมระบบเกลือแร่และการทำงานของไต เป็นต้น



   ถ้าคุณคิดว่าคอเลสเตอรอลส่วนใหญ่มาจากอาหารแล้วล่ะก็ เปลี่ยนความคิดใหม่ได้เลย เพราะส่วนใหญ่แล้วตับของคุณสร้างคอเลสเตอรอลขึ้นมาเอง และเพราะคอเลสเตอรอลเป็นไขมันชนิดไม่ละลายในน้ำ ก่อนร่างกายนำไปใช้จึงต้องมีการรวมตัวเข้ากับโปรตีนชนิดหนึ่งที่ชื่อ อะโพโปรตีน (apoprotein) เพื่อเปลี่ยนรูปเป็นไลโพโปรตีน (lipoprotein) หน้าตาคล้ายไข่แดงที่ถูกหุ้มด้วยไข่ขาว หลังเสร็จสิ้นการเปลี่ยนรูปร่าง คอเลสเตอรอลในรูปแบบไลโพโปรตีนจะถูกดูดซึมเข้าสู่ร่างกายผ่านทางกระแสเลือด เพื่อให้ร่างกายนำไปใช้ประโยชน์ต่อไป



คอเลสเตอรอลหายไปไหน



   นายแพทย์เจริญลาภ อุทานปทุมรส แพทย์ผู้เชี่ยวชาญโรคหัวใจ โรงพยาบาลพญาไท 3 อธิบายว่า “คอเลสเตอรอลส่วนหนึ่งจะถูกนำไปสร้างเป็นน้ำดีหรือน้ำย่อย และอีกส่วนนำไปสร้างไลโพโปรตีนชนิดหนึ่งที่ชื่อ วีแอลดีแอล (VLDL: Very Low-Density Lipoprotein) ซึ่งประกอบไปด้วยไขมันไตรกลีเซอร์ไรด์เป็นส่วนใหญ่ มีคอเลสเตอรอลอยู่เล็กน้อยพร้อมโปรตีนที่ช่วยให้มันละลายอยู่ในเลือดได้ ระหว่างทางที่วีแอลดีแอลเดินทางในเส้นเลือด จะมีเอนไซม์ที่ย่อยเอาไตรกลีเซอร์ไรด์ไปใช้ ซึ่งไตรกลีเซอร์ไรด์นี้ให้พลังงานมากกว่าคาร์โบไฮเดรตและโปรตีนถึง 2 เท่า ช่วยในการสร้างน้ำนม เป็นแหล่งพลังงานสำคัญของกล้ามเนื้อและหัวใจ



   ไตรกลีเซอร์ไรด์ที่ใช้ไม่หมดจะถูกนำไปเก็บไว้ในไขมัน เพื่อเป็นแหล่งพลังงานสำรอง เมื่อไตรกลีเซอร์ไรด์ถูกดึงออกไปจากวีแอลดีแอลหมดแล้วจะเหลือเป็นโมเลกุลขนาดเล็กที่สุด ในชื่อ แอลดีแอล (LDL: Low-Density Lipoprotein) หรือคอเลสเตอรอลชนิดไม่ดี แต่ยังมีประโยชน์คือ เมื่อผ่านไปถึงอวัยวะไหน ก็จะถูกดึงคอเลสเตอรอลไปใช้งานได้ทันที เมื่อวนครบทุกส่วนแล้วหากแอลดีแอลยังถูกใช้ไม่หมด ก็จะถูกลำเลียงเข้าสถานีสุดท้ายคือตับ ซึ่งตับก็จะนำแอลดีแอลที่เหลือนี้ไปสร้างเป็นวีแอลดีแอลอีกครั้ง เป็นวัฏจักรอย่างนี้เรื่อยไป



แอลดีแอล VS เอชดีแอล กำเนิดไขมันตัวร้าย ตัวดี



   จริงๆแล้วทั้งแอลดีแอลและเอชดีแอลมีที่มาเหมือนกัน คือเป็นคอเลสเตอรอลในรูปไลโพโปรตีน แต่แตกต่างกันที่น้ำหนักของโมเลกุล มวลที่มีโมเลกุลคอเลสเตอรอลมากกว่า เรียกว่า แอลดีแอล หรือไขมันตัวร้ายร้าย ที่แม้จะมีข้อดีอยู่บ้างแต่ข้อร้ายที่ปรากฎคือ นำไขมันและไตรกลีเซอร์ไรด์ออกจากตับไปสะสมไว้ตามหลอดเลือด สร้างปัญหาให้แก่หลอดเลือด



   คนที่กินอาหารที่อุดมไปด้วยไขมันและคอเลสเตอรอล เมื่อรวมกับที่ร่างกายผลิตคอเลสเตอรอลออกมาตามปกติ จะทำให้วัฏจักรคอเลสเตอรอลในร่างกายไม่สมดุล คือมีมากจนเกินพอดี เหลือใช้ ตับทำลายไม่ทัน บางส่วนจึงเหลือรอดออกไปสะสมตามผนังหลอดเลือดแดง ทำให้หลอดเลือดแดงบริเวณนั้นสูญเสียการทำงาน ทั้งตีบ ตัน หรือแตก เป็นเหตุให้เกิดโรคร้ายต่างๆ ตามมา



   ส่วนมวลที่มีโมเลกุลของคอเลสเตอรอลน้อยกว่า เรียกว่า เอชดีแอล (HDL: High density Lipoprotein) อุดมไปด้วยฟอสโฟลิพิด มีหน้าที่ทำความสะอาดหลอดเลือด เก็บคราบไขมันที่แอลดีแอลทิ้งไว้กลับคืนมาที่ตับ แล้วขับออกทางน้ำดี ส่วนหนึ่งจะถูกไฟเบอร์ในอาหารจับและขับออกทางอุจจาระ จะเปรียบเอชดีแอลว่าเป็นผู้พิทักษ์ความสะอาดก็คงไม่ผิดนัก



   นอกจากนี้ยังมีอีกหนึ่งไขมันร้าย คอยเสริมการทำงานของแอลดีแอล นั่นคือ ไตรกลีเซอร์ไรด์ (Triglyceride) ที่คอยขัดขวางการทำงานของเอชดีแอล และเมื่อใดที่ร่างกายเรามีโรคอย่างความดันโลหิตสูงหรือเบาหวาน เจ้าไตรกลีเซอร์ไรด์และแอลดีแอล ก็พร้อมปฏิบัติการขั้นสุดยอด ทำให้อาการของโรครุนแรงขึ้น จนอาจถึงขั้นพิการหรือเสียชีวิตได้



อันตรายจากไขมันร้าย แอลดีแอล



   นพ.ธีระพร ไทยจินดา อายุรแพทย์สาขาประสาทวิทยา โรงพยาบาลสมิติเวช สุขุมวิท เล่าว่าในคนปกติ ที่ไม่มีความเสี่ยงของโรคความดันโลหิตสูงหรือเบาหวาน แม้ผลตรวจร่างกายจะบอกว่าคุณมีปริมาณแอลดีแอลและไตรกลีเซอร์ไรด์ในเลือดสูง ทั้งยังมีค่าเอชดีแอลที่ต่ำ ก็ไม่น่าเป็นห่วงอะไร เพราะเจ้าไขมันวายร้าย 2 ชนิดนี้ จะออกฤทธิ์วาดลวดลายได้ก็ต่อเมื่อร่างกายเรามีอาการของโรคสองชนิดข้างต้นเท่านั้น ถ้าเรายังแข็งแรงดีวายร้ายก็จะไม่มีพิษสงอะไรเลย แต่ถ้าคุณมีอาการของโรคใดโรคหนึ่ง หรือทั้งสองโรค กอปรกับอายุที่มากขึ้น แอลดีแอลก็จะได้ใจพร้อมทำร้ายอวัยวะสำคัญๆ อย่างหัวใจ สมอง และตับ ไต ได้อย่างน่ากลัว




  • คอเลสเตอรอลกับหัวใจ จากการวิจัยของต่างประเทศพบว่า คอเลสเตอรอลเริ่มสะสมตามหลอดเลือดหัวใจได้ตั้งแต่อายุ 15 ปี และจะอันตรายยิ่งขึ้นสำหรับผู้ที่มีความเสี่ยงทางพันธุกรรมเป็นโรคเบาหวานหรือความดันโลหิตสูง โดยเฉพาะโรคทางพันธุกรรมที่ทำให้ตับสร้างคอเลสเตอรอลมากกว่าปกติ หากพบว่ามีความเสี่ยงดังกล่าวและผลตรวจร่างกายชี้ชัดว่ามีปริมาณคอเลสเตอรอลสูง ควรรีบไปพบแพทย์

  • คอเลสเตอรอลกับสมอง เมื่อคอเลสเตอรอลเข้าไปสะสมในเส้นเลือดที่ไปเลี้ยงสมองไม่ว่าจะบริเวณใดก็ตาม จะก่อให้เกิดความผิดปกติบริเวณนั้นๆ เช่น หากเส้นเลือดบริเวณสมองส่วนควบคุมการทรงตัวเกิดตีบ ตัน หรือแตก ร่างกายก็สูญเสียการควบคุมการทรงตัว กลายเป็นอัมพฤกษ์ อัมพาตหรือพาร์คินสัน หากเกิดกับเส้นเลือดสมองส่วนควบคุมการรับรู้ อาจทำให้ความจำเสื่อม เป็นอัลไซเมอร์ เป็นต้น แต่ก่อนที่อาการผิดปกติของเส้นเลือดจะส่งผลถึงสมอง มักจะเกิดขึ้นกับหัวใจก่อนเสมอ

  • คอเลสเตอรอลกับตับและไต หากเส้นเลือดที่ไปเลี้ยงตับหรือไตเกิดอาการตีบ แตกหรือตัน ก็อาจทำให้ตับหรือไตสูญเสียการทำงาน ถึงขั้นตับวายหรือไตวายจนเสียชีวิตได้

   สรุปแล้ว คอเลสเตอรอลจะทำร้ายเราได้ต่อเมื่อเราเป็นโรคหรือเสี่ยงกับโรคอย่างที่ได้กล่าวมาแล้ว และโดยธรรมชาติ คอเลสเตอรอลจะไปฝังตัวเป็นคราบอยู่ตามเส้นเลือดแดงหลักที่ไปเลี้ยงอวัยวะต่างๆ การที่จะเกิดอันตรายใดๆ หรือรุนแรงแค่ไหน จึงขึ้นอยู่กับว่าเส้นเลือดที่มีปัญหานั้นอยู่บริเวณไหนและโดนทำลายไปมากเพียงใด คำเตือนที่เห็นได้ชัดเจนที่สุดว่าถึงเวลาลดคอเลสเตอรอลหรือยัง จะอยู่ในสมุดรายงานการตรวจร่างกายประจำปีของคุณ นอกจากนี้ วิธีการป้องกันที่สุดคือ การออกกำลังกาย อย่างน้อยวันละครึ่งชั่วโมง สัปดาห์ละ 3 วัน จะช่วยเพิ่มปริมาณเอชดีแอล เพื่อต่อกรกับแอลดีแอลและไตรกลีเซอร์ไรด์อย่างได้ผล



   ส่วนการควบคุมอาหารและรับประทานอาหารที่ให้แอลดีแอลต่ำก็เป็นทางเลือกที่ดี แต่ยังให้ผลน้อยกว่าการออกกำลังกายค่ะ




 



อ่านเพิ่มเติมในคอลัมน์ Health นิตยสาร Health & Cuisine ปีที่ : 9 ฉบับที่ : 101 เดือน
: มิถุนายน 2552






From: //healthandcuisine.com/health.aspx?cId=7&aId=1398




 

Create Date : 13 มกราคม 2553    
Last Update : 13 มกราคม 2553 9:27:08 น.
Counter : 395 Pageviews.  

Pandemic Flu มหันตภัยไข้หวัดใหญ่กลายพันธุ์

loadaraiMens Beach SandalsMens Blue ShoesMens Boat ShoeMens Boot ShoesMens Bostonian ShoesMens Casual ShoeMens Clog ShoesMen Dress ShoeMens Fila ShoesMens Flip FlopMens Geox ShoesMen Narrow ShoesMens Narrow Width ShoesMens New Balance 992Mens Orthopedic ShoesMens Outdoor ShoesMens SandelsMens Shoe SaleMens Silver ShoesMens Skateboard ShoesMen Soccer CleatsMen Soccer ShoesMen Suede ShoesMens Training ShoesMens Walking ShoeMens Yellow ShoesMephisto BattlerMephisto DiscountMephisto Dress ShoesMephisto GaetanMephisto Golf ShoesMephisto HeidiMephisto HurrikanMephisto Ladies ShoesMephisto MenMephisto MensMephisto MobilsMephisto SharkMephisto WarriorMephisto WomensMerrill FootwearMetatarsal Work BootsMontrail Hiking ShoesMunro Women ShoesNaot ShoeNarrow FeetNaturalizer Dress ShoesNaturalizer Mary JaneNevados Hiking ShoesNew Balance 1000


Pandemic Flu มหันตภัยไข้หวัดใหญ่กลายพันธุ์



   24 เมษายน ที่ผ่านมา โลกรู้จักไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ประจำปี 2009 เป็นครั้งแรก ในรหัสเอ เอช1เอ็น1 (A H1N1) จุดเริ่มต้นอยู่ที่ประเทศเม็กซิโก ก่อนจะลามเข้าสู่ตอนใต้ของสหรัฐอเมริกา ใช้เวลาไม่นานก็แพร่ไปทั่วทุกมุมโลก นับถึงวันนี้มีประเทศที่ระบุว่าพบผู้ติดเชื้ออย่างป็นทางการแล้วราวๆ 60 ประเทศ มีจำนวนผู้ป่วยราว 17,500 คน และเสียชีวิตไปแล้วกว่า 100 ราย โดย 3 อันดับประเทศที่มีผู้ติดเชื้อมากที่สุด ได้แก่ สหรัฐอเมริกา เม็กซิโก และแคนาดา ส่วนในทวีปเอเชีย ประเทศญี่ปุ่นครองแชมป์อันดับหนึ่ง (ตัวเลขจากจดหมายข่าวองค์การอนามัยโลก ฉบับที่ 42/ 1 มิ.ย. 2552)



   เอ เอช1เอ็น1 เป็นไข้หวัดใหญ่ชนิดแพร่จากคนสู่คน เกิดจากการแลกเปลี่ยนสารพันธุกรรมของไวรัสไข้หวัดใหญ่ทั้งจากคน สัตว์ปีกและหมู ได้แก่ ไข้หวัดหมูสายพันธุ์อเมริกาเหนือ ไข้หวัดหมูสายพันธุ์เอเชียและยุโรป ไข้หวัดใหญ่ในคน และไข้หวัดนกชนิดไม่ใช่เอช5 รหัสพันธุกรรมไวรัสทั้งสี่จะประกอบร่างสร้างตัวขึ้นมาได้อย่างไรไม่มีใครทราบ แต่มันก็ถูกเรียกว่าไข้หวัดหมูอยู่พักใหญ่ ก่อนจะกลายมาเป็นไข้หวัดเม็กซิโก และสุดท้ายลงตัวกับชื่อเป็นทางการว่า “ไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ 2009 ชนิดเอ เอช1เอ็น1”



   จริงๆแล้ว ไข้หวัดใหญ่ชนิดนี้แทบไม่แตกต่างกับไข้หวัดใหญ่ตามฤดูกาลเลย ทั้งในแง่อาการและอันตราย แถมยังรักษาหายขาดได้ด้วยยาต้านไวรัสตัวเดียวกัน คือ โอเซลทามิเวียร์(oseltamivir)และซานามิเวียร์(zanamivir) เพียงแค่ยังไม่มีวัคซีนป้องกัน เพราะเป็นเชื้อตัวใหม่เท่านั้น ยิ่งถ้าจะเปรียบเทียบกับไข้หวัดนกแล้ว เชื้อไข้หวัดนกนั้นมีอันตรายร้ายแรงกว่าไข้หวัดใหญ่ชนิดใหม่นี้หลายขุม จึงไม่ควรตระหนกตกใจมากจนเกินไป



   ยาต้านไวรัสโอเซลทามิเวียร์ เป็นยาชนิดกิน ส่วนซานามิเวียร์ เป็นยาชนิดพ่น ยาทั้ง 2 ชนิดนี้รักษาอาการติดเชื้อไข้หวัดสายพันธุ์ใหม่อย่างได้ผล ส่วนยาต้านไวรัสที่เคยนิยมใช้ในอดีตอย่างอแมนทาดีน (amantadine) และไรแมนทาดีน(rimantadine) มีรายงานว่าใช้ไม่ได้ผลแล้วเพราะเชื้อโรคดื้อยา อย่างไรก็ตาม โอเซลทามิเวียร์ จะให้ผลรักษาได้ดีที่สุดถ้าผู้ป่วยได้รับยาเร็วภายใน 2 วันนับตั้งแต่เริ่มมีไข้ ในประเทศไทย กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข ได้สำรองยานี้ไว้หลายล้านแคปซูล ซึ่งเพียงพอหากเกิดการระบาดใหญ่ในบ้านเรา



   โอเซลทามิเวียร์ เป็นยาควบคุมพิเศษที่ใช้ได้ตามคำสั่งของแพทย์เพื่อรักษาโรคเป็นหลัก หากท่านใดมีความจำเป็นต้องเดินทางไปยังพื้นที่ระบาด ไม่ควรกินยาเพื่อป้องกันเพราะอาจเกิดผลข้างเคียง เช่น คลื่นไส้ อาเจียน เวียนศีรษะ ปวดศรีษะ บางรายอาจพบอาการทางจิตเห็นภาพหลอนได้ กรณีเป็นหญิงตั้งครรภ์ให้ปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญก่อนใช้



   อย่างไรก็ดี วัคซีนไข้หวัดใหญ่ตามฤดูกาลนั้นไม่มีหลักฐานว่าช่วยป้องกันไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่นี้ได้ ส่วนวัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่โดยเฉพาะนั้นยังไม่มี แต่องค์การอนามัยโลกได้ร่วมมือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องและบริษัทผู้ผลิต เร่งการผลิตวัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่ดังกล่าว ซึ่งต้องใช้เวลาหลายเดือนในการผลิตคาดว่าปลายปีนี้น่าจะมีข่าวดีค่ะ



   จากการที่พบผู้ติดเชื้อไข้หวัดสายพันธุ์ใหม่นี้ในประเทศไทย แม้ทุกรายจะหายดี แต่ก็นิ่งนอนใจไม่ได้ เพราะเชื้ออาจจะระบาดขึ้นได้อีก ดังนั้นนอกจากการดูแลร่างกายให้แข็งแรงมีภูมิต้านทานอยู่เสมอแล้ว การป้องกันไม่ให้ติดเชื้อและไม่ให้แพร่เชื้อก็สำคัญ ลองทำตามคำแนะนำของสำนักติดต่อโรคอุบัติใหม่ดังนี้ค่ะ




  • ลดการติดเชื้อ : ไม่คลุกคลีกับผู้ป่วยไข้หวัดใหญ่ หากต้องดูแลผู้ป่วยควรสวมหน้ากากอนามัย เสร็จแล้วล้างมือให้สะอาดด้วยน้ำและสบู่ ไม่ใช้แก้ว ช้อน หลอดดูด ผ้าเช็ดมือ ผ้าเช็ดหน้าร่วมกับผู้ป่วย ดูแลสุขภาพโดยการกินอาหารที่มีประโยชน์ พักผ่อนให้เพียงพอและออกกำลังกายเสมอ

  • หยุดส่งต่อเชื้อ : หากป่วยเป็นไข้หวัดใหญ่ ควรลางาน หยุดเรียนหรืองดการอยู่ในที่สาธารณะ 3-7 วัน เพื่อลดการแพร่เชื้อ หากหลีกเลี่ยงไม่ได้ควรแสดงความรับผิดชอบต่อสังคม ด้วยการสวมหน้ากากอนามัย และล้างมือให้สะอาดก่อนหยิบจับของใช้ร่วมกับผู้อื่น

   มนุษย์เราหลีกเลี่ยงการเผชิญหน้ากับสิ่งมีชีวิตขนาดจิ๋วที่เรียกว่าไวรัสไม่ได้ แต่ด้วยวิธีง่ายๆ เพียงแค่นี้เราก็อยู่ร่วมกับ “ไวรัสไข้หวัดใหญ่” ทุกสายพันธุ์ได้อย่างปลอดภัยในระดับหนึ่งแล้วค่ะ




 



อ่านเพิ่มเติมในคอลัมน์ Health นิตยสาร Health & Cuisine ปีที่ : 9 ฉบับที่ : 102 เดือน
: กรกฎาคม 2552






From: //healthandcuisine.com/health.aspx?cId=7&aId=1415




 

Create Date : 13 มกราคม 2553    
Last Update : 13 มกราคม 2553 9:20:23 น.
Counter : 584 Pageviews.  

1  2  3  4  5  6  7  8  9  10  11  12  13  14  15  16  17  18  19  20  21  22  23  24  25  26  27  28  29  30  31  32  33  34  35  36  37  38  39  40  41  42  43  44  45  46  47  48  49  50  

Loveaddicted8
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




Friends' blogs
[Add Loveaddicted8's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.