โทรศัพท์สายมรณะ
“เอิงไปซื้อเหล้าให้พี่หน่อย”

เสียงตะโกนจากนอกบ้าน ดังเข้ามาถึงห้องนั่งเล่นที่เจ้าของชื่อกำลังนั่งเล่นเกมคอมพิวเตอร์อยู่ เด็กสาวนิ่วหน้าลงเล็กน้อยที่เสียงของพี่ชายขัดความสำราญของเธอ และยังคงเล่มเกมต่อไป โดยไม่สนใจเจ้าของเสียงที่เดินเข้ามาในบ้านเมื่อไม่เห็นน้องสาวโผล่หน้าออกไป

“เฮ้ย! เลิกได้แล้ว เล่นมันได้ทั้งวันทั้งคืนนะ ไม่มีอะไรทำแล้วหรือไง” จ้อนขยี้เรือนผมของน้องสาวจนยุ่งหัวฟู และได้รับเสียงร้องปนฉิวตอบกลับมา

“อะไรกันเฮีย ถ้าอยากกินก็ไปซื้อเองสิ เพื่อนเฮียมาทีไรต้องใช้เค้าไปซื้อเหล้าทุกที”

“หนอย! อีหนู เดี๋ยวนี้กล้าย้อนพี่ชายบังเกิดเกล้าหรือ” ชายหนุ่มเอื้อมแขนเข้าไปล็อคคอน้องสาวที่ทำท่าฮึดฮัดอย่างไม่สบอารมณ์

จ้อนเป็นหนุ่มจบใหม่ที่ไปได้ดีในอาชีพวิศวกรงานระบบ ตอนนี้เขาทำงานกับบริษัทผู้ควบคุมงานก่อสร้างเอกชนแห่งหนึ่ง ซึ่งกำลังมีโปรเจคสร้างคอนโดมิเนียมสูง 27 ชั้นย่านถนนสุขุมวิท และเขามักจะกลับบ้านดึกทุกวัน จนน้องสาวอย่างเอิงหาเวลาพบหน้าพี่ชายยาก จะมีวันอาทิตย์เท่านั้นที่ชายหนุ่มนอนแผ่อยู่กับบ้าน ไม่ออกไปไหนถ้าไม่มีทำโอที แต่บางอาทิตย์ที่เพื่อนเรียนมหาวิทยาลัยรุ่นเดียวกันจะมาหา และแน่นอนว่าจบท้ายด้วยการก๊งเหล้าตามประสาผู้ชาย

“บังเกิดเกล้าบ้านเฮียสิ มีพี่ชายที่ไหนบ้างอะใช้แรงงานเด็ก”

“อย่างหล่อนเนี่ยนะเด็ก คำนำหน้าเป็นนางสาวแล้วไม่ใช่หรือไง ยายตัวแสบ” คำพูดของน้องสาวยิ่งทำให้จ้อนหมั่นไส้ขึ้นไปอีก ชายหนุ่มยกร่างเล็กออกมาจากหน้าจอคอมพิวเตอร์ แล้วอุ้มพาดบ่าออกไปนอกบ้าน โดยไม่สนใจเสียงร้องโวยวายของคนถูกหิ้ว

“อ๊าย! ปล่อยนะ พี่ชายโรคจิต ทำอย่างนี้กับผู้หญิงได้ยังไง”

“บังเอิญว่าเฮียไม่เห็นหล่อนเป็นผู้หญิงสักนิด เลิกเล่นคอมได้แล้ว เสียสายตาหมด เอาเวลาว่างไปอ่านหนังสือสิ จะสอบอยู่แล้วไม่ใช่หรือไง” จ้อนพูดด้วยความเป็นห่วง เพราะดูท่าน้องสาวของเขาจะไม่ค่อยสนใจเรียนเท่าไรในช่วงนี้

“นั่นมันเรื่องของเขานะ” เอิงร้องปนฉิวที่พี่ชายมาก้าวก่ายเรื่องส่วนตัว พลางทุบหลังพี่ชายดังปักจนคนตัวสูงกว่าต้องทิ้งร่างเล็กบนบ่า ก่อนที่หลังตัวเองจะระบมเพราะน้องสาวพลังช้าง

“เออ เรื่องของเธอ แต่ถ้าสอบตกขึ้นมา จะหัวเราะให้กรามค้าง” ชายหนุ่มตบศีรษะน้องสาวจนหน้าคะมำ ร่างเล็กหันกลับมาจ้องพี่ชายตาเขียว พลางแยกเขี้ยวเตรียมตัวกระโจนเข้าใส่ แต่ต้องชะงักเมื่ออีกฝ่ายยื่นธนบัตรฉบับละหนึ่งพันบาท พร้อมข้อเสนอที่ทำให้ต้องชั่งใจ

“เดี๋ยวให้เงินไปซื้อของกินด้วยน่า ร้อยนึงเชียวนา ไม่สนเหรอ”

“จะเอาอะไรล่ะ” สุดท้ายคนเห็นแก่กินก็หลวมตัวให้พี่ชายที่รู้นิสัยน้องสาวดีจนได้ จ้อนฉีกยิ้มกว้างก่อนร่ายรายการของกินทันที

“เอาเรดกับโซดาสิบสองขวด แล้วกับแกล้มก็เอาเป็นไส้กรอกรมควัน แหนม ปีกไก่หน้าเซเว่น แล้วอะไรอีกดีวะ” พูดพลางหันไปถามความเห็นของเพื่อนที่ร่ายรายการกับแกล้มมายาวเหยียด จนคนรับหน้าที่ไปซื้อเหล้าเบ้ปาก แล้วนึกนินทาในใจว่าพี่ชายกับเพื่อนต้องมีหลุมดำอยู่ในท้องแน่

“เยอะขนาดนี้ จะให้ผู้หญิงตัวคนเดียวถือหมดเลยหรือไง” เอิงร้องโอดครวญ และแน่นอนว่าไม่มีความปราณีสำหรับพี่ชาย

“หรือจะไม่กิน”

“กิน!” เด็กสาวลงเสียงหนักแน่น ก่อนพี่ชายจะเปลี่ยนใจ เพราะยามพี่ชายกินเหล้ากับเพื่อนทีไร เธอมักจะได้กินกับแกล้มพวกนี้ บางครั้งก็มีเหล้าแถมให้ด้วยทุกที

จ้อนกลั้วหัวเราะในลำคอ ก่อนดีดหน้าผากน้องสาวดังป๊อกให้คนตัวเล็กกว่าถลึงตาใส่ “ถ้าอยากกินก็ต้องแบกมาให้หมด ไม่งั้นอด”

“อะไรว้า...ผู้ชายอะไรใจร้ายชะมัด ไม่เห็นใจผู้หญิงตัวเล็กบอบบางอย่างเราบ้าง” เอิงตีหน้ายุ่ง ก่อนเดินบ่นพึมพำให้กลุ่มของพี่ชายได้ยิน เรียกเสียงเฮฮาและคำโต้กลับให้คนตัวเล็กหันมาค้อนหน้าคว่ำ

“อย่างหล่อนน่ะนะบอบบาง เป็นสาวพลังช้าง กินทีอย่างกับพายุ ไม่ใช่ผู้หญิงแล้ว”

“ไอ้เฮียบ้า!!”

- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -


ครึ่งชั่วโมงให้หลัง เอิงกลับมาพร้อมกับถุงน้ำแข็ง เหล้า โซดาและกับแกล้มมากมายจนจ้อนตาถลน แม่น้องสาวตัวดีซื้อน้ำแข็งโซดาตามจำนวนที่เขาว่าไว้ แต่กับแกล้มกินเล่น คุณเธอเล่นซื้อมาอย่างกับจะเก็บไว้กินข้ามวัน แต่ชายหนุ่มรู้ดีว่าของแค่นี้ไม่คณามือเจ้าหล่อนแน่

“ซื้อของกินมาดองไว้หรือไงน่ะ”

“ก็เฮียบอกว่าซื้ออะไรก็ได้ไม่ใช่หรือไง” เอิงสะบัดเสียงตอบ พลางวางถุงน้ำแข็งและโซดาไว้บนโต๊ะหินที่พวกพี่ชายยกมาต่อกันเป็นแถวยาวตรงลานหน้าบ้าน

ลมเย็นตอนกลางคืนพัดผ่านมาเป็นระลอกให้คนที่ใส่เสื้อแขนกุดหดตัวลีบ เอิงมองดูอากาศยามดึกที่มีอากาศเย็นกว่าทุกวัน อีกทั้งคืนนี้ยังไร้เงาจันทร์ ชวนให้รู้สึกวังเวงอย่างไรพิกล แต่ดูเหมือนว่าบรรดาพี่ชายทั้งหลายจะไม่สนใจอะไรนอกจากเหล้าและกับแกล้มที่เริ่มเทใส่ลงจานที่เตรียมไว้

บ้านของเอิงกับจ้อนนั้นเป็นบ้านไม้สองชั้น ซึ่งแต่เดิมเป็นบ้านไม้ยกพื้นสูง เพิ่งมาต่อเติมชั้นล่างด้วยคอนกรีตเมื่อไม่กี่ปีที่ผ่านมา ส่วนหน้าบ้านเป็นลานกว้างที่มีทั้งชิงช้า ศาลาไม้และโต๊ะม้าหินตัวยาวสองชุดที่พวกเขาเอามาต่อนั่ง ด้านข้างเป็นเถาตำลึงปลูกติดกับรั้วไม้สูงขนาดอกตลอดแนวยาว

“เฮีย ทำไมวันนี้หมาข้างนอกมันมาอยู่หน้ารั้วบ้านเราเยอะจัง” เอิงสะกิดแขนพี่ชายที่เริ่มเปิดเหล้ารินใส่แก้วและผสมโซดาด้วยความผิดสังเกต

“มันก็มาอยู่บ้านเราทุกวันอยู่แล้วไม่ใช่หรือไง”

“ปกติมีแค่สองสามตัวเอง นี่สงสัยเล่นยกโขยงกันมาทั้งซอย” เด็กสาวต่อความกับพี่ชายอย่างไม่คลายความสงสัย

“ป้าพิณคงเอาเศษข้าววางไว้ข้างนอกมั้ง ปล่อยหมาพวกนั้นไปเถอะน่า พูดมากอยู่ได้จะกินหรือไม่กิน เดี๋ยวไล่เข้าบ้านเลยนี่” จ้อนทำเสียงทีเล่นทีจริง ทำเอาคนเห็นแก่กินต้องหุบปากเงียบ ก่อนที่จะอดกินของฟรีที่นานทีหนจะมี

จ้อนกับเพื่อนนั่งกินเหล้าผสมโซดาไป พลางคุยกันถึงเรื่องงานที่บริษัทที่ตัวเองทำ พวกเขาจบคณะวิศวกรรมศาสตร์มา ดังนั้นโดยส่วนใหญ่มักจะไม่พ้นเข้าบริษัทรับเหมาก่อสร้างหรือควบคุมงานก่อสร้าง บางคนโชคดีเจอเจ้านายที่มีหลักการในการทำงาน จึงทำงานได้อย่างสบายใจ แต่บางคนเจอเจ้านายที่มองข้ามหลักการก็ทำงานลำบาก จึงเอามาบ่นให้เพื่อนร่วมรุ่นฟัง และสลับกันเล่าประสบการณ์และเทคนิคการทำงานของแต่ละฝ่าย จนกระทั่งบทสนทนาขาดช่วงไป

“เฮ้ย! ไส้กรอกหายไปไหนหมดวะ” เก่งที่เริ่มมึนได้ที่เอื้อมมือจะไปหยิบไส้กรอกรมควันที่จำได้ว่ามีอยู่เต็มจาน แต่บัดนี้พร่องไปเกือบหมด แล้วสายตาทุกคู่ก็หันไปจับอยู่ที่ผู้หญิงคนเดียวในกลุ่มที่กำลังเคี้ยวของกลางอยู่เต็มปาก

“ไอ้เอิง! นั่นกินหรือยัดวะ” จ้อนร้องปนฉิวเมื่อเห็นว่ากับแกล้มที่ซื้อมามากมายจนคิดว่าจะกินไม่หมดพร่องลงไปเพราะฝีมือของน้องสาว

“ก็พวกเฮียไม่กินเองนี่ เขาก็จัดการกินให้สิ” เอิงพูดอย่างไม่ทุกข์ร้อน โดยไม่สนใจอาการแยกเขี้ยวของพี่ชายที่อยากจะบีบคอน้องสาวเต็มแก่

“ใครว่าไม่กิน พวกเฮียไม่ได้กินอย่างกับว่าชาตินี้จะไม่ได้กินนาเว้ย ไปซื้อไส้กรอกให้เฮียใหม่เลยไป”

“นี่มันสี่ทุ่มแล้วนะเฮีย จะไปให้โดนฉุดหรือไง”

จ้อนพ่นลมหายใจดังพรืด ก่อนคว้าน้องสาวที่นั่งข้างตัวมาขยี้ผมด้วยความหมั่นไส้ “อย่างหล่อนน่ะมีหน้าตาเป็นอาวุธไม่ใช่หรือไง ใครมันจะกล้าฉุด”

“ไอ้เฮียจ้อน!” เอิงร้องเสียงแหลมที่ถูกพี่ชายแหย่ เขาไม่เคยเห็นเธอเป็นผู้หญิงเสียด้วยซ้ำ นอกจากเด็กกะโปโลที่ชอบเดินตามพี่ชายต้อย ๆ ในสมัยเด็ก

“ถ้าไปซื้อไส้กรอกให้เฮีย จะให้ซื้ออะไรกลับเข้ามาอีกก็ได้นา สนหรือเปล่า” ชายหนุ่มเริ่มหาของกินมาล่อหลอก แต่คราวนี้คนเห็นแก่กินไม่สนใจข้อเสนอ

“ไม่ไป” เด็กสาวเชิดหน้าหันไปอีกทาง และพยายามดึงแขนพี่ชายที่กำลังล็อคคอออกไป

“อะไรว้า ไม่เห็นใจพี่ชายตาดำ ๆ เลยหรือไง”

“แล้วเฮียเคยเห็นใจเค้าบ้างไหมล่ะ ให้แบกของหนักงี้ หลอกเค้าให้ไปซื้อของงี้ อย่ามาพูดเลยดีกว่า” เอิงทำเสียงขึ้นจมูก โดยไม่วายหยิบของกินบนโต๊ะยัดใส่ปาก

“เฮ้ย! จะกินหรือจะพูด เอามันสักอย่างสิ” จ้อนพูดพลางกลั้วหัวเราะเมื่อแม่น้องสาวทำตัวน่าหยิก

“เค้าจะกิน แล้วก็ไม่ไปข้างนอกให้เฮียแล้ว” เด็กสาวเน้นคำหนัก และได้รับการบีบจมูกจากมือพี่ชายเป็นของตอบแทน

“ยัยอ้วน”

“เค้าไม่อ้วน แค่อวบ” คนอวบโต้กลับทันควัน

“อวบมันก็อาการแรกเริ่มของคนอ้วนแหละว้า”

“ไอ้เฮียจ้อน!!”

คำต่อล้อต่อเถียงของสองพี่น้อง เรียกเสียงหัวเราะจากคนดูกันครื้นเครง ส่วนใหญ่พวกเขามักมากินเหล้าที่บ้านของจ้อนก็เพราะต้องการดูตลกโรงเล็กของพี่น้องคู่นี้นี่ล่ะ แม้จ้อนจะทำตัวปากเสียชอบแหย่น้องเล็ก แต่ก็ทำเพราะความรักแกมหมั่นไส้ อีกทั้งยังมีอาการหวงเมื่อรู้ว่ามีผู้ชายมาติดพัน

และสุดท้ายเอิงก็ต้องออกไปซื้อของกินให้พี่ชายอีกจนได้

- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -


ท่ามกลางความเงียบของยามดึกสงัด และลมเย็นยะเยือกของฤดูหนาว ยังมีเสียงพูดคุยของคนกลุ่มหนึ่งดังแว่วมาให้ได้ยินเป็นระยะ จนกระทั่งนาฬิกาโบราณในบ้านตีบอกเวลาห้าทุ่มตรง พร้อมกับเสียงเห่ากรรโชกของสุนัขจรจัด ทุกคนจึงหันไปสนใจต้นเสียงที่ดูจะพร้อมใจเห่ากันทุกตัว

“ไอ้หมาบ้าพวกนั้นมันเห่าอะไรกันวะ” โหน่งบ่นพึมพำอย่างไม่ชอบเท่าไรนัก เพราะบรรยากาศวังเวงแบบนี้ชวนให้ขวัญผวาได้ไม่น้อย

“มันคงเห่าไปตามประสาหมานั่นแหละ เจอกูมันก็เห่า หรือไม่ก็เจอคนแปลกหน้า” จ้อนตอบพลางละเลียดดื่มเหล้าผสมโซดาไปตามอารมณ์คนเริ่มมึน แล้วประหวัดนึกไปถึงสมัยเรียนที่มีเหตุการณ์ทำนองเดียวกันนี้เกิดขึ้น

“มันจะเห่าอะไรก็เห่าไปเถอะ แต่อย่าให้หอนแล้วกัน ไม่งั้นเป็นเรื่อง”

“หอนแล้วเป็นเป็นไงล่ะเฮีย” เอิงถามขัดคอพี่ชายตามนิสัย แต่ส่วนหนึ่งเป็นไปด้วยความสงสัย

“หมาหอนก็แปลว่าเจอผีน่ะสิ” ชายหนุ่มกลั้วหัวเราะในลำคอ แม่น้องสาวของเขาไม่ค่อยมีสัมผัสทางด้านนี้เท่าไร จะว่าไปแล้วคนในบ้านล้วนแต่เคยเจอผีมาหมด ไม่ว่าจะเป็นในรูปแบบเงาผ่านวูบวาบ เสียงหลอนผ่านโสตประสาท หรือไม่ก็ถูกผีอำ แต่มีหล่อนเพียงคนเดียวที่ไม่เคยเจอเหตุการณ์แบบนี้เลย

“แล้วเฮียเคยเจอหรือไง”

“เคยสิ”

เอิงส่งสายตาวิบวับบอกอาการสนใจเต็มที่ ก่อนเข้าไปนั่งใกล้พี่ชาย แล้วลูบต้นแขนคนแก่กว่าให้เล่าประสบการณ์สยองขวัญด้วยท่าทางเหมือนแมวขี้อ้อน “เฮียเล่าให้เอิงฟังหน่อยสิ เรื่องมันเป็นยังไงเหรอ”

อาจเป็นเพราะเริ่มเมาเลยทำให้จ้อนไม่ได้หยอกกัดกับท่าทางเป็นลูกแมวตัวน้อยของน้องสาว ชายหนุ่มหัวเราะพลางขยี้เรือนผมคนตัวเล็กกว่าด้วยความเอ็นดู นานทีหนหรอกที่แม่ตัวดีของเขาจะอ้อนพี่ชายแบบนี้

“มันเป็นตอนสมัยเรียนน่ะ มีอยู่ช่วงหนึ่งที่เขาจะฮิตเรื่องโทรศัพท์ผีกันมาก เฮียกับเพื่อนก็ไปขวนขวายหามา เห็นเขาบอกว่าเบอร์พวกนี้เป็นของบ้านร้างที่เคยมีข่าวฆาตกรรมบ้าง เจ้าของบ้านตายไปแล้วบ้าง เคยมีคนโทรไปแล้วโทรติดเป็นเสียงผี พวกเฮียก็เลยอยากลองของบ้าง”

“แล้วเป็นไงต่อ” เอิงถามเสียงระริกระรี้ ดวงตาเป็นประกายเมื่อจะได้ฟังประสบการณ์สยองขวัญจากคนเคยเจอผี

“งั้นเฮียถามก่อน เอิงคิดว่าโทรศัพท์ของบ้านที่ไม่มีคนจะส่งสัญญาณแบบไหน”

เด็กสาวนิ่งคิดไปครู่หนึ่ง ก่อนตอบกลับอย่างฉับไว “ก็ต้องมีโอเปเรเตอร์ตอบกลับมาว่าชุมสายนี้ยังไม่เปิดใช้บริการ”

จ้อนหัวเราะเล็กน้อย ก่อนพูดต่อ “แต่ที่เฮียเจอน่ะจะเป็นเหมือนเสียงสายไม่ว่างตลอด”

ไม่มีใครรู้ว่าทุกอย่างรอบด้านเงียบสงัดไปหมด แม้แต่เสียงเห่าของสุนัขที่ได้ยินเมื่อครู่ยังเงียบไปโดยปริยาย คล้ายรอฟังเรื่องเล่าของชายหนุ่มว่าจะเป็นอย่างไรต่อไป

“ตอนนั้นเฮียไปค้างบ้านไอ้กานกับเพื่อนในกลุ่มอีกสี่คน แล้วไอ้กานมันได้เบอร์ผีมาพอดีเลยลองโทรไป มันเป็นสัญญาณสายไม่ว่างตลอด” เสียงของจ้อนดังแผ่วเบาท่ามกลางความเงียบสงัด ใบไม้เสียดสีไปมายามลมกลางคืนพัดผ่านชวนให้รู้สึกวังเวง

“ไอ้กานนั่นแหละทักว่าคงไม่สมจริงเลยเสนอให้ปิดไฟแล้วลองโทรใหม่ คราวนี้กลายเป็นสัญญาณคนไม่รับสายแทน” ขนแขนคนฟังเริ่มลุกชันขึ้นมา ไม่รู้ว่าเป็นเพราะเรื่องที่จ้อนกำลังเล่า หรือเพราะลมกลางคืนที่ลามไล้ผิวกาย

“สัญญาณเปลี่ยนไปแล้วมันแปลกตรงไหน” เอิงขัดขึ้นกลางปล้องอย่างสงสัย

“มันก็ไม่น่าแปลกหรอก ถ้าบังเอิญว่าบรรดาคุณหมาทั้งหลายไม่พร้อมใจกันหอน แล้วมีเสียงกริ๊กเหมือนมีคนรับสายน่ะ”

“เหอ...” เด็กสาวตาเบิกตากว้าง พลางหลุดเสียงครางออกมา

“พวกเฮียเลยกดปิดโทรศัพท์ แล้วเสียงหอนก็เงียบลง” จ้อนกลั้วหัวเราะในลำคอ ก่อนนึกถึงตอนที่ตัวเองและเพื่อนที่สลับกันมองตากัน คล้ายอยากจะถามว่ากำลังคิดอะไรที่เหมือนกันอยู่หรือไม่ “ตอนแรกก็ไม่อยากเชื่อหรอก เลยลองโทรไปใหม่อีกสามครั้ง และพวกหมาก็พร้อมใจกันหอนเป็นเสต็ปทั้งสามครั้ง”

“พูดง่าย ๆ ก็คือผีมาหลอนตามสายเลยน่ะสิ” เด็กสาวคนเดียวในกลุ่มแทรกขึ้นมาอีกครั้ง หัวใจเต้นตึกตักและนึกว่าพี่ชายอาจได้เจออะไรที่น่าตื่นเต้นเหมือนในหนัง “แล้วไงต่อล่ะ เฮีย ไม่มีใครพูดอะไรเลยหรือไง”

“เจอแค่นั้นก็สยองพออยู่แล้ว ขืนใครพูดแล้วเผื่อไอ้คุณผีมันโผล่มาจะทำยังไงล่ะ” ชายหนุ่มยิ้มบิดเบี้ยวเมื่อลองนึกดูว่าหากทำอย่างที่น้องสาวแล้วจะเป็นอย่างไร แต่ในตอนนั้นไม่มีใครกล้าพูดอะไรออกมาสักคำ พวกเขานั่งตัวแข็งฟังเสียงปลายสายที่มีคนรับโดยไม่มีเสียงคนพูด

ถ้าเป็นคนปกติ หากไม่มีเสียงปลายสายพูดคงนึกว่าเป็นโทรศัพท์ก่อกวนแล้ววางไป แต่เจ้าของเบอร์โทรศัพท์สายนี้กลับยกหูค้างไว้ คล้ายกับกำลังรอคนพูดจากอีกฝั่งด้วยความใจเย็น จ้อนกับเพื่อนเองก็ไม่ใช่คนใจแข็งนัก ยิ่งมีเสียงหอนประกอบเป็นแบ็คกราวน์ ความอยากลองของในตอนแรกก็มลายหายไป แล้วพากันกดปิดโทรศัพท์แทบไม่ทัน

“แค่เนี้ย” เอิงร้องอย่างหมดความตื่นเต้น เธอนึกว่าพี่ชายเจอเรื่องน่าตื่นเต้นมากกว่านี้

“อีหนู” จ้อนลากเสียงยาว ก่อนวางมือลงบนศีรษะเล็กแล้วขยี้ด้วยความหมั่นไส้ “ลองเจอกับตัวเองแล้วจะรู้สึก แต่เฮียกลัวว่าหล่อนจะสลบเหมือดไปก่อนนะสิ” ชายหนุ่มกลั้วหัวเราะ ก่อนดีดหน้าผากมนดังป๊อก

“โอ๊ย! เจ็บนะเฮีย” เด็กสาวลูบหน้าผากที่เป็นรอยแดงป้อย

“แค่นี้ไม่เจ็บหรอก หน้าหล่อนมันหนา”

“ไฮ้เฮียจ้อน!” เสียงเล็กแหลมร้องดังลั่น จนคนที่นั่งล้อมวงอยู่บนโต๊ะม้าหินรีบพากันอุดหนู แต่มันก็ทำเอาพวกเขาหูชากันไปเป็นแถบกับเสียงแปดหล่อนของเด็กสาวคนเดียวในกลุ่ม

- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -


เพื่อนร่วมรุ่นของจ้อนเริ่มพากันขี่มอเตอร์ไซค์กลับ เมื่อเห็นว่าเวลาบนหน้าปัดอยู่ที่เลขสิบสอง เอิงบ่นหงุงหงิงที่ตัวเองอยู่ร่วมวงกับกลุ่มพี่ชายจนดึกดื่น และนึกรำพึงว่าพรุ่งนี้ตัวเองต้องตื่นสายแน่ พลางนึกสาปส่งชายหนุ่มในใจที่ไม่ยอมเตือนให้รีบเข้านอน เด็กสาวเก็บกวาดขวดเบียร์ไปไว้โคนต้นมะม่วงหน้าบ้าน แต่เสียงโทรศัพท์ที่ดังขึ้นกลางดึก ทำให้เธอมองหน้าพี่ชายอย่างสงสัยว่าใครช่างเสียมารยาทโทรมาเสียดึกดื่น

“ไปรับโทรศัพท์ไป เดี๋ยวพี่จะเก็บของที่เหลือเอง”

ร่างเล็กบอบบางวิ่งตัวปลิวเข้าบ้านเพื่อรีบไปรับโทรศัพท์ และพอลับร่างแม่น้องสาวตัวแสบ จ้อนก็ต้องสะดุ้งโหยงเมื่อมือถือของตัวเองกรีดร้องขึ้นมาท่ามกลางความเงียบ ชายหนุ่มมองเบอร์บนหน้าจอ ก่อนฉีกยิ้มแป้น แล้วพึมพำกับตัวเอง

“ไอ้นี่มันตายยากเสียจริงพับผ่า เพิ่งนินทาอยู่หยก ๆ ก็โทรมาเชียวนะมึง” จ้อนพูดพลางกดรับสายเพื่อต่อว่าต่อขานเพื่อนที่ไม่ได้ติดต่อกันมานานด้วยความคิดถึง “เฮ้ย! ว่าไงวะไอ้กาน หายหน้าไปนานเชียวนะ”

ไม่มีเสียงจากปลายสายตอบกลับมา ชายหนุ่มขมวดคิ้วแล้วมองดูเบอร์โทรเข้าให้แน่ใจว่าเจ้าของเบอร์เป็นของเพื่อนเขา “เฮ้ย! ไอ้กาน มึงหรือเปล่าวะ”

“จ้อน...” เสียงของกานแหบแห้งเหมือนคนไม่สบายและดูเนือยจนคนฟังจับสังเกตได้

“เป็นอะไรวะมึง เสียงโหยเชียว”

เสียงปลายสายไม่ได้ตอบกลับมา จ้อนเฝ้ารอฟังอย่างใจเย็น พลางนึกถึงกานสมัยเรียนมัธยมด้วยกัน อีกฝ่ายเป็นคนมีนิสัยเฮฮา ชอบกวนอารมณ์เพื่อนในกลุ่มเสมอ แต่กานในตอนนี้กลับเหมือนคนแปลกหน้าที่ไม่ยอมพูดอะไร จนนึกสงสัยว่ามีอะไรเกิดขึ้นกับเพื่อน

“กาน”

“จ้อน กูไปหามึงได้หรือเปล่า” กานพูดเสียงเบาจนเกือบจะไม่ได้ยิน และทำให้จ้อนรู้สึกเป็นห่วงในน้ำเสียงที่แปลกไปของเพื่อน

“มาสิ แต่ว่ามึงเป็นอะไรไปวะ เฮ้ย! กาน”

“เฮีย!”

เจ้าของชื่อสะดุ้งตกใจเมื่อเอิงวิ่งผลุนผลันออกมานอกบ้านด้วยท่าทางเหมือนตกใจอะไรสักอย่าง เด็กสาวเบิกตากว้าง ริมฝีปากคู่บางสั่นระริกพูดอะไรไม่ออกไปครู่หนึ่ง ก่อนรวบรวมสติแล้วเอ่ยเรื่องที่เพิ่งรับรู้มาให้พี่ชายฟัง

“เมื่อกี้มีโทรศัพท์มาหาเฮีย แต่เอิงเห็นเฮียโทรศัพท์อยู่เลยรับแทน พี่ชายของพี่กานโทรมา”

“อ้าวเหรอ นี่เฮียก็กำลังคุยกับไอ้กานมันอยู่พอดีเลย มีเรื่องอะไรหรือเปล่า เฮียว่ากานมันดูแปลก ๆ ไปยังไงไม่รู้” ชายหนุ่มหัวเราะอย่างขบขันที่สองพี่น้องพร้อมใจกันโทรมาหาเขา

“เฮียว่าเฮียคุยกับใครนะ” เอิงสำลักน้ำลายตัวเอง แล้วมองพี่ชายที่โชว์เบอร์บนหน้าจอให้ดู

“ไอ้กานไง”

“เฮีย!” เด็กสาวร้องเสียงสูง รีบกดปิดสายที่พี่ชายคุยค้างไว้ทันที

“เฮ้ย! ทำอะไรวะ” จ้อนมองโทรศัพท์ที่ถูกตัดสายไปด้วยมือน้องสาวที่มีอาการตื่นตกใจด้วยความสงสัยกึ่งโมโห

“พี่กานตายแล้ว”

คำตอบของเอิงเล่นเอาคนฟังตาถลน จ้อนกลืนน้ำลายเหนียวเหนอะหนะลงคอ ก่อนมองโทรศัพท์ที่เพิ่งคุยกับใครบางคนไป ถ้าสิ่งที่แม่ตัวดีของเขาพูดเป็นความจริง แล้วคนที่เขาคุยด้วยเป็นใครกัน ในเมื่อเบอร์นั้นเป็นเบอร์ของคนที่น้องสาวของเขาบอกว่าตายไปแล้ว

“ไม่จริงน่า”

สุนัขที่เวียนวนอยู่หน้าบ้านตอนหัวค่ำและยังไม่ผละไปไหนเริ่มประสานเสียงหอนกันโดยไม่นัดหมาย สองพี่น้องหันขวับไปยังต้นเสียง แล้วหันมาสบตากันว่าสิ่งที่เกิดขึ้นเป็นความจริงหรือไม่ ก่อนหันไปมองสุดปลายถนนที่ปรากฏเงาร่างของใครบางคนกำลังเดินมา เด็กสาวโผเข้ากอดแขนพี่ชายแน่น หัวใจเต้นระทึกและเฝ้าภาวนาว่าขอให้สิ่งที่กำลังคิดอยู่ไม่เป็นความจริง



Create Date : 10 เมษายน 2550
Last Update : 26 ตุลาคม 2556 16:54:41 น.
Counter : 229 Pageviews.

4 comments
  
อ่านจบแล้วนะครับ มาขนลุกและตื่นเต้นในตอนหลัง เป็นเรื่องผีที่น่ากลัวใช้ได้เลยครับ เดี๋ยวต้องลองกลับไปเขียนเรื่องผีดูบ้างสะแล้ว

ว่าง ๆ แวะไปเยี่ยมที่บล็อคของผมบ้างนะครับ

อิอิ
โดย: อาคุงกล่อง (อาคุงกล่อง ) วันที่: 10 เมษายน 2550 เวลา:18:07:53 น.
  
น่ากลัวจัง
โดย: โสดในซอย วันที่: 10 เมษายน 2550 เวลา:22:26:31 น.
  
ได้อ่านจบแล้ว น่ากลัวจังนะ แล้วเขียนเรื่องสนุก ๆ ให้อ่านใหม่นะคะ
โดย: นัชชา IP: 58.181.145.220 วันที่: 16 พฤษภาคม 2550 เวลา:15:49:46 น.
  
เพิ่งเข้ามาอ่าน ขนลุกขนพองไปหมดแล้ว
โดย: น้อง IP: 124.121.190.111 วันที่: 26 มีนาคม 2551 เวลา:13:11:23 น.
ชื่อ :
Comment :
 *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

ฌา
Location :
  

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]



New Comments
All Blog