ดั่งนกในกรง 1

ความโศกเศร้าที่แผ่กำจายไปทั่วห้อง ดูจะเป็นสิ่งที่นิชาภาคาดเดาได้ว่าจะต้องเกิดขึ้น หลังจากที่นายแพทย์ประจำครอบครัวบอกถึงอาการของหัวหน้าครอบครัวที่ไม่สามารถพยุงชีวิตได้อีกต่อไป แต่ถึงจะคาดเดาและรู้ว่า จะต้องมีเสียงร้องไห้โฮของสมาชิกที่บัดนี้สามารถนับจำนวนคนได้ หญิงสาวก็ไม่รู้ว่าจะรับมือกับสิ่งที่เกิดขึ้นตรงหน้าอย่างไรดี

นิชาภามองนายแพทย์สูงวัยที่เดินเข้ามายืนสมทบตรงมุมห้องด้านหนึ่งโดยไม่พูดอะไร ซึ่งความจริงแล้ว ดวงตาของเขาบอกอะไรได้มากมายเกินกว่าที่เธอจะคาดหวัง หญิงสาวเบือนสายตาจากนายแพทย์ผู้ชรา แล้วหันไปมองมารดาที่ร้องไห้ฟูมฟายอยู่ข้างกายสามีที่รับรู้สภาพรอบตัวน้อยลง แต่บางครั้งเธอก็เห็นผู้เป็นบิดาพยายามขยับมือที่ไร้เรี่ยวแรง เพื่อลูบปลอบบ่าที่สั่นสะท้านของคู่ชีวิต

ข้างกายของคุณนายอรอุมามีเด็กฝาแฝดชายหญิงที่ร้องไห้สะอึกสะอื้นแข่งกับนาง โดยที่นิชาภาไม่อาจรู้ได้ว่า เด็กสองคนนั้นเข้าใจความหมายของความตายหรือไม่ แต่พวกเขาคงรู้ว่า หลังจากนี้คงไม่ได้เล่นกับคุณตาที่ทั้งดุและใจดีอีกแล้ว จึงแสดงความเสียใจไม่ผิดแปลกไปจากคุณนาย

แต่สำหรับนิชาภา ไม่มีน้ำตาที่จะแสดงการไว้อาลัยแบบคนทั้งสาม เธอไม่รู้ว่าตัวเองรู้สึกเสียใจกับการใกล้จะจากไปของผู้เป็นบิดาหรือไม่ เพราะเธอยังมีเรื่องที่ต้องให้จัดการมากมาย ทั้งเรื่องในอนาคตที่ไร้ผู้นำครอบครัว หรือเงินทองที่แทบไม่มีเหลือหลังจากชดใช้หนี้ไปก้อนใหญ่ หรือแม้แต่ที่อยู่อาศัยในขณะนี้ที่กำลังจะถูกยึดอยู่รอมร่อ ซึ่งเธอยังไม่รู้เลยว่าจะพาครอบครัวไปพักอาศัยอยู่ที่ไหน

“จะพักสักนิดไหม คุณชา” นายสุรชาติ นายแพทย์สูงวัยเอ่ยทักเสียงเบา เมื่อเห็นหญิงสาวข้างกายมีสีหน้าซีดเซียวคล้ายจะเป็นลม ยิ่งเธอสวมใส่เสื้อผ้าสีดำทั้งชุดก็ทำให้เขาสังเกตเห็นว่า เธอขาวซีดจนเหมือนกับจะละลายหายไปในอากาศเสียให้ได้

นิชาภาพสูดลมหายใจลึก แล้วหันไปมองนายแพทย์สูงวัยที่ทอดสายตามองมาด้วยความห่วงใย เขาเป็นหนึ่งในไม่กี่คนที่เหลืออยู่ หลังจากที่ครอบครัวของเธอกลายเป็นบุคคลล้มละลายจากการประกอบกิจการผิดพลาด “ไม่ว่ายังไงคุณพ่อก็ไม่ไหวแล้วหรือคะ” หญิงสาวพยายามเอ่ยถามออกไปด้วยน้ำเสียงที่ราบเรียบที่สุด แต่ในหางเสียงก็ยังมีรอยสั่นเครือให้ผู้สูงวัยกว่าจับได้

“ขอโทษด้วยนะคุณชา” คำตอบของนายแพทย์ ทำให้นิชาภาพต้องพยักหน้ารับด้วยท่าทางที่ไม่อาจหลีกหนีความจริงได้อีกต่อไป ทั้งที่ตอนแรกเธอไม่ก็เคยคาดหวังเลยว่า ผู้เป็นบิดาจะอยู่มาได้นานถึงหกเดือนเต็มเช่นนี้

“ไม่เป็นไรค่ะ ทั้งคุณพ่อและคุณลุงต่างพยายามกันแล้ว”

“ภานพรักพวกคุณมากนะ เขาไม่เคยคิดอยากให้เรื่องกลายเป็นแบบนี้เลย”

ถ้อยคำของนายแพทย์สูงวัย ทำให้นิชาภาพแสบจมูกขึ้นมากะทันหัน หญิงสาวเบือนหน้าหนีจากการสบจ้องดวงตาฝ้าฟางของอีกฝ่าย แล้วเงยหน้าขึ้นเล็กน้อย เพื่อไม่ให้น้ำตาที่หล่อรื้นเต็มเบ้ารินไหลออกมา

“ชาขอออกไปพักสักครู่นะคะ” หญิงสาวเอ่ยเสียงแหบพร่า และรีบเดินจากไปโดยไม่รอว่าอีกฝ่ายจะตอบอะไรกลับมา นายสุรชาติถอนหายใจออกมาอีกครั้ง แล้วส่ายหน้ากับความอาภัพของหญิงสาวผู้อ่อนวัยกว่าที่ต้องรับภาระมาตั้งแต่เด็ก

“พักผ่อนให้เต็มที่เถอะคุณชา เพราะพรุ่งนี้คุณต้องเจอเรื่องหนักหนาสาหัสยิ่งกว่านี้หลายเท่านัก”



บรรยากาศภายนอกที่ปลอดโปร่งโล่งสบาย ดูจะแตกต่างจากบรรยากาศภายในห้องนอนของนายภานพ ที่นิชาภาออกมาอย่างเห็นได้ชัด หญิงสาวยืนพิงประตูที่เพิ่งออกมา พลางสงบสติที่กำลังหวั่นไหวไปตามอารมณ์อย่างหนัก แต่สายลมที่พัดผ่านดวงหน้าขาวพริ้มไปผะแผ่ว ก็ทำให้เจ้าตัวเพิ่งรู้สึกถึงคราบน้ำตาที่รินไหลออกมาทางหางตา

นิชาภารีบปาดน้ำตาออกก่อนที่จะมีใครมาเห็น เพราะอารมณ์อ่อนไหวของเธอจะทำให้ทุกคนในบ้านรู้สึกถึงความไม่มั่นคง หญิงสาวสูดลมหายใจลึก แล้วตัดสินใจเดินลงไปชั้นล่าง เพื่อตรวจดูความเรียบร้อยภายในบ้านที่แทบจะไม่มีเครื่องเรือนใดๆ เหลืออยู่ แม้แต่คนรับใช้ที่เคยมีนับสิบก็เหลือเพียงป้าแม้นกับนายทิดที่อยู่กับพวกเธอมาก่อนที่ครอบครัวจะรุ่งเรือง

“คุณชา”

ป้าแม้น หญิงรับใช้คนเดียวที่เหลืออยู่ส่งเสียงเรียกลูกสาวเจ้านายที่หันมาตามต้นเสียง และหยุดรอให้เธอเดินไปหา เธอมองดูคนอ่อนวัยกว่าด้วยสายตาเป็นห่วง เพราะเธอได้ยินเสียงประสานร้องไห้ดังลงมาถึงชั้นล่าง ซึ่งเธอสังเกตเห็นว่า ตรงขอบตาของอีกฝ่ายมีรอยแดงช้ำที่ผ่านการร้องไห้อยู่เล็กน้อย

“มีอะไรหรือจ๊ะ ป้าแม้น” นิชาภาเอ่ยถามเสียงนุ่ม เมื่อเห็นป้าแม่บ้านยังคงจ้องหน้าเธอนิ่ง โดยไม่พูดอะไรออกมา

“เอ่อ...คุณผู้ชายเป็นอย่างไรบ้างคะ” ป้าแม้นเอ่ยถามด้วยท่าทางอ้ำอึ้ง พลางเหลือบมองไปทางชั้นบนที่มีบรรยากาศโศกเศร้าปกคลุมไปทั่วทั้งชั้น

ดวงตาสีดำอมโศกของคนอ่อนวัยกว่า ทอแววหมองลงเล็กน้อย ป้าแม้นนึกอยากตบปากตัวเองนักที่หลุดคำถามนั้นออกไป ทั้งที่สิ่งที่เธออยากพูดมากที่สุดคือ การปลอบโยนหญิงสาวตรงหน้าว่า ยังมีเธอกับสามีคอยช่วยเหลือ แต่เพราะท่าทางที่ดูเข้มแข็ง ไม่เผยความอ่อนแอและความเสียใจออกมาให้ใครเห็น ทำให้เธอเอ่ยปลอบอีกฝ่ายไม่ออก

“คุณพ่ออาจอยู่ไม่ถึงคืนนี้จ้ะ ป้าแม้นกับลุงทิดก็ขึ้นไปดูท่านครั้งสุดท้ายเถอะ” นิชาภาเอ่ยด้วยน้ำเสียงราบเรียบ แต่ป้าแม้นก็จับรอยแหบพร่าที่ปะปนอยู่ในน้ำเสียงของคนอ่อนวัยกว่าได้เล็กน้อย แต่แล้วเหมือนหญิงสาวจะจับสิ่งเดียวกันนี้ได้ จึงรีบเสปลี่ยนเรื่องไปทันที

“แล้วว่าแต่ทางป้าแม้นกับลุงทิดล่ะคะ เก็บข้าวของเสร็จหรือยัง”

“ป้ากับตาทิดย้ายของที่เหลือออกไปเรียบร้อยแล้วค่ะ ตอนนี้เหลือแต่ตัวที่จะย้ายตามของ ต้องขอบคุณคุณทนายที่ช่วยเหลือเราหลายอย่างนะคะ ให้ยืมทั้งที่เก็บของ แล้วยังช่วยรักษามรดกสำคัญของคุณผู้ชายไม่ให้ถูกฮุบไปด้วยนะคะ”

นิชาภาคลี่ยิ้มออกมาเล็กน้อย เมื่อป้าแม่บ้านเอ่ยถึงชายสูงวัยคนสุดท้ายที่ยังอยู่กับครอบครัวของเธอ โดยไม่จากไปไหนเหมือนคนอื่น เขาคอยช่วยเหลือด้านกฎหมาย และยอกย้อนเกมโกงที่เธอไม่มีวันตามทันให้ชนิดที่ฝ่ายตรงข้ามต้องกระอักเลือดด้วยความเจ็บใจไม่แพ้ฝ่ายของเธอ

“แหม...คุณทนายนี่ตายยากตายเย็นเสียจริงเทียว พอพูดปุ๊บก็มาปั๊บเลย”

หญิงสาวหันไปทางประตูเข้าบ้านที่มีร่างสูงใหญ่ของชายสูงวัยที่ดูจะเหมาะกับการเป็นทหาร มากกว่าการเป็นนักกฎหมายเดินเข้ามาด้วยสีหน้าราบเรียบ จะยกเว้นก็แต่หัวคิ้วที่ขมวดซ้อนกันหลายปม ซึ่งเดาได้ว่าสาเหตุของปมยุ่งเหยิงบนคิ้วของคนแก่วัยกว่า คงมาจากครอบครัวของเธออย่างไม่ต้องสงสัย

“คุณลุง...”

“ขอลุงพูดก่อนนะ คุณชา” ทนายสูงวัยยกมือห้ามหญิงสาวที่กำลังเอ่ยทักทายตามมารยาท ก่อนเอ่ยต่อด้วยน้ำเสียงรัวเร็วถึงเรื่องที่ตนเพิ่งได้รับรู้มา “ลุงเพิ่งได้ข่าวเงื่อนไขบางอย่างเกี่ยวกับบ้านหลังนี้จากไอ้อ้วนขจรศักดิ์ มันเป็นความจริงหรือคุณชา”

ป้าแม้นมองทนายประจำครอบครัวสลับกับนิชาภาที่ยังมีรอยยิ้มละมุนติดหน้า ตรงข้ามกับอีกฝ่ายที่เริ่มจะแยกเขี้ยวออกมากับท่าทางที่ไม่อินังขังขอบของผู้อ่อนวัยกว่าที่ไม่พูดอะไรตอบกลับมา อันเป็นการบอกให้รู้ว่า ความคิดของเขาไม่พลาดไปจากที่คาดไว้

“มันยื่นข้อเสนอมาตอนไหน ทำไมคุณชาถึงไม่บอกลุง”

“ต้องเรียกว่าไม่มีโอกาสบอกมากกว่าค่ะ” นิชาภาตอบกลับด้วยน้ำเสียงราบเรียบอย่างคนที่ควบคุมความรู้สึกของตัวเองได้ ซึ่งป้าแม้นก็ปลีกตัวจากมา เมื่อเห็นว่าสิ่งที่คนทั้งสองกำลังสนทนากัน เป็นเรื่องที่ตนไม่สมควรฟัง

“ชายอมรับว่าฝ่ายโน้นเขาฉลาด และชอบฉวยโอกาสอยู่เสมอ เขามาตอนที่คุณลุงไปว่าความต่างจังหวัด และตอนที่ชาไม่อยู่บ้าน แอบเข้ามาข่มขู่คุณแม่ว่าจะไล่ครอบครัวของเราออกไป คุณแม่ที่เสียขวัญเรื่องของคุณพ่อเลยทำอะไรไม่ถูก ต้องยอมตกลงทำตามเงื่อนไขที่ฝ่ายโน้นมีแต่ได้”

นายพจน์ตอบหน้าผากเสียงดัง เขารู้สึกว่าตัวเองแก่ขึ้นอีกยี่สิบปีทีเดียว หลังจากได้ยินคำอธิบายของคนอ่อนวัยกว่า “ตาย...ลุงอุตส่าห์ย้ำแล้วย้ำอีกว่าจะทำอะไรก็ให้บอกกันก่อน อย่างนี้ก็เท่ากับว่าเงินที่เราได้มาจากการประมูลขายของเก่าในบ้านก็ถูกพวกนั้นเอาไปหมดเลยสินะ”

“ยังไงเงินนั่นก็เป็นเงินของพวกนั้นอยู่แล้ว ชาไม่เสียดายหรอกค่ะ”

คิ้วของทนายสูงวัยเลิกสูงขึ้น และแสดงสีหน้าสงสัยออกมาอย่างไม่ปิดบัง นิชาภาจึงอธิบายในส่วนที่อีกฝ่ายไม่รู้ออกไปด้วยท่าทางสงบผิดกับคนฟัง

“เขาซื้อของของเราที่เทออกขายทอดตลาดในงานประมูลไปหมดทุกชิ้น สิ่งที่เขาทำทุกอย่างนั้น ก็เพื่อล่อชาออกไป เขาทำเพื่อยื่นเงื่อนไขอย่างที่สองที่ครอบครัวของเราจะยังอยู่ที่นี่ได้ต่อไป”

“คุณชา...คุณชาอย่าบอกนะว่า...” นายพจน์เอ่ยถามด้วยน้ำเสียงตะกุกตะกัก เขาไม่อยากหวังให้ความคิดของตัวเองถูกต้องเสียเท่าไรนัก

“อย่างที่คุณลุงคิดนั่นแหละค่ะ ถ้าชาตกลงยอมแต่งงานกับคุณขจรศักดิ์ เราจะได้ของทุกอย่างกลับคืน ทั้งบ้านและทรัพย์สมบัติที่ถูกยึด แต่ยกเว้นชีวิตของพ่อ” เสียงของนิชาภาแหบพร่าลง เมื่อเอ่ยถึงประโยคสุดท้าย ก่อนส่งรอยยิ้มเฉยเมยออกมา

“ระยำ!”

“ส่วนคุณแม่บอกว่าต่ำทรามค่ะ” หญิงสาวเอ่ยติดตลก เมื่อได้ยินคำสบถของทนายสูงวัย แต่ก็ได้รับการถลึงตาตอบกลับมา

“ลุงไม่ขำด้วยเลยนะ แล้วนี่คุณชาคงไม่ได้บ้าจี้เซ็นสัญญาที่ผูกมัดอะไรกับตัวเองไว้หรอกนะ”

นิชาภาคลี่ยิ้ม พลางนึกถึงตอนที่นายขจรศักดิ์พยายามโอ้โลมตัวเธอให้ได้ “ชาแค่ไปเสียค่าเช่าบ้านเท่านั้นค่ะ หรือถ้าพูดให้ถูกคือ เอาเงินของคุณขจรศักดิ์ไปคืนเสียมากกว่า”

“อย่าพูดเหมือนกับว่าเงินค่าเช่าบ้านมันถูกแสนถูกอย่างนั้นสิ” คนแก่วัยกว่าเอ่ยด้วยท่าทางอ่อนใจ แต่กระนั้นก็อดทึ่งในความเยือกเย็นยิ่งกว่าน้ำแข็งของอีกฝ่ายไม่ได้

“ชาพอจะมีเงินส่วนตัวเหลือเก็บอยู่บ้างค่ะ เลยเอามาโปะส่วนที่ขาด”

“แล้วเดือนถัดไปจะทำยังไงล่ะ คุณชาจะไปเอาเงินค่าเช่าบ้านมาจากไหน เจ้าขจรศักดิ์มันคิดไล่ต้อนพวกเราชัดๆ”

หญิงสาวมองดูท่าทางเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟันของทนายสูงวัยด้วยรอยยิ้มเล็กน้อย ก่อนหลุดความสงสัยที่ติดอยู่ในใจออกมาเป็นคำพูด “ชามีอะไรน่าใคร่งั้นหรือคะ”

“หา!?”

“ชาแค่สงสัยว่าตัวเองมีอะไรน่าใคร่ คุณขจรศักดิ์จึงได้ทำทุกอย่างเพื่อให้ได้ตัวชา”

หลังจากเจอคำถามที่ชวนให้คนฟังจุกหน้าอก นักกฎหมายผู้เก่งกาจด้านการว่าความ ก็ดูจะอ้ำอึ้งและบ้าใบ้อยู่เป็นนาน ด้วยไม่รู้ว่าจะตอบคำถามของคนอ่อนวัยกว่าอย่างไรดี

ในความคิดของนายพจน์ นิชาภาเปรียบดั่งนกน้อยที่อยู่ในกรง ซึ่งเขานึกทึ่งในตัวของแม่นกน้อยคนนี้มาตลอด เพราะอีกฝ่ายยอมเดินเข้าไปอยู่ในกรงและยอมถูกกักขัง โดยไม่มีท่าทางหรือความคิดที่จะปริปากบ่นถึงอิสรภาพที่สูญสิ้น

อีกทั้ง เขายังเห็นนิชาภาเป็นเหมือนลูกเหมือนหลานคนหนึ่ง ไม่เคยมีความคิดต่ำทรามหรือความคิดฉันชู้สาว ดังเช่นนายขจรศักดิ์ที่ต้องพูดว่า เคยเป็นเพื่อนเก่าเพื่อนแก่กับนายภานพ ดังนั้น เขาจึงบอกไม่ได้ว่า อีกฝ่ายน่าใคร่ตรงไหน

ท่าทางของคนแก่วัยกว่าที่ไม่รู้จะหาคำใดมาตอบคำถาม ทำให้นิชาภาคลี่ยิ้มออกมา “ไม่ต้องคิดจริงจังมากนักหรอกค่ะ” หญิงสาวพูดพลางระบายลมหายใจออกมาแผ่วเบา ก่อนเหลือบสายตามองไปชั้นบนที่ไม่มีเสียงร้องไห้แว่วมาให้ได้ยินอีก

“แต่คุณลุงมาที่นี่ด้วยเรื่องนี้เรื่องเดียวหรือคะ”

คำถามของนิชาภา ทำให้นายพจน์นึกขึ้นได้ว่า กิจของตัวเองไม่ได้มีแค่การมาเค้นหาความจริงในสิ่งที่ตนเพิ่งทราบ แต่ยังมาเพื่อเยี่ยมเยียนคนที่เป็นทั้งเพื่อนและนายจ้างที่ต้องตรอมใจ เพราะถูกเพื่อนอีกคนที่เจ้าตัวเคยไว้วางใจหักหลังอย่างเลือดเย็น

“ก็...ลุงมาด้วยเรื่องของคุณชากับภานพนั่นแหละ”

“เหมือนมีสิ่งศักดิ์สิทธิ์มาดลใจเลยนะคะ ทุกคนที่ชาอยากให้มาอยู่ที่นี่ในตอนนี้ ต่างพากันมาโดยไม่ได้นัดหมาย” นิชาภาเปรยขึ้นเสียงเบา เมื่อเห็นว่ามีร่างของสองหนุ่มสาวที่ดูคุ้นตา เดินผ่านประตูเข้าบ้านมาด้วยท่าทางเร่งรีบ นายพจน์หันไปมองตามสายตาของหญิงสาว แล้วเบิกตากว้างกับภาพของหญิงสาวผู้มาใหม่ ที่มีรูปร่างหน้าตาเหมือนกับคนที่ยืนอยู่ข้างเขาเป็นพิมพ์เดียวกัน

“หนูนิด!!”

“ชา!!”

สองเสียงของทนายสูงวัยกับหญิงสาวผู้มาใหม่ดังขึ้นพร้อมกัน ทำให้คนทั้งคู่ชะงักไปครู่หนึ่ง แล้วคนอ่อนวัยกว่าก็หันไปไหว้ผู้อาวุโสด้วยท่วงท่าสวยงาม แต่ก็รวดเร็วฉับไวเสียจนอีกฝ่ายรับไหว้แทบไม่ทัน

“สวัสดีค่ะ ลุงพจน์”

“สวัสดีจ้ะ หนูนิด” ทนายสูงวัยที่ยังปรับตัวไม่ทันกับการปรากฏตัวของหญิงสาวผู้มาใหม่ เอ่ยทักตอบด้วยท่าทางมึนงง เพราะคนตรงหน้าที่มีทุกอย่างเหมือนนิชาภา ดูจะปราดเปรียวและทำอะไรคล่องแคล่วว่องไวไปเสียหมด ทั้งการพูดและการกระทำ ซึ่งแตกต่างกับอีกคนราวไฟกับน้ำแข็ง

“หนูควรเดาไหมคะว่า ทำไมลุงพจน์ถึงมาอยู่ที่นี่ได้” คำถามของนิชดาดูเหมือนจะไม่ต้องการคำตอบจากอีกฝ่ายเท่าไรนัก เพราะทันทีที่เธอพูดจบก็เบนสายตาไปยังคนที่ยิ้มได้ทุกสถานการณ์ จนคนมองอดรู้สึกหงุดหงิดไม่ได้

“มาได้ยังไงน่ะนิด”

นิชดาไม่ตอบคำถามของพี่สาวฝาแฝด นอกจากกวาดตามองโถงด้านหน้า ที่ตอนนี้กลายเป็นห้องโล่งกว้าง ไม่มีเครื่องเรือน ไม่มีเครื่องประดับแสดงความโอ่อ่าดังเช่นความทรงจำที่เคยคุ้น ซึ่งสภาพของมันตอบคำถามที่แทบจะคับอกตาย แต่ไม่สามารถเอ่ยถามอีกฝ่ายออกมาได้ เพราะรู้ดีว่าคนตรงหน้าคงหาเรื่องเบี่ยงประเด็นที่จะทำให้เธอยิ่งควบคุมอารมณ์ไม่ได้ หรือไม่ก็คงกลายเป็นยางรถยนต์ที่ถูกปล่อยลมจนฟีบแบน

“ฉันไปหาพ่อนะ” ยังไม่ทันที่นิชาภาจะตอบอะไรกลับไป นิชดาก็เดินลิ่วขึ้นชั้นบนไปด้วยความรวดเร็ว จนคนเป็นพี่ได้แต่ส่ายหน้ากับความไปไวมาไวของน้องสาวตัวเอง

“ยังเหมือนลมกับไฟไม่เปลี่ยน”

คำพึมพำของนิชาภาเรียกเสียงหัวเราะจากผู้มาใหม่อีกคนที่มีความเห็นตรงกัน เขาเป็นหนุ่มลูกครึ่งไทยเยอรมัน ที่มีผมและตาสีดำเหมือนผู้เป็นแม่ที่เป็นคนไทย นอกนั้นก็ดูจะได้รับจากพ่อมาเสียหมด จนแทบไม่รู้เลยว่า อีกฝ่ายมีสายเลือดครึ่งหนึ่งเป็นพี่น้องชาติเดียวกับเธอ

“ขอโทษที่ไม่ได้ทักทายนะคะ โยฮัน” หญิงสาวหันไปทักทายยักษ์ตัวโตที่ส่งยิ้มสดใสร่าเริงเหมือนเด็กมาให้ ซึ่งรอยยิ้มของเขาก็ทำให้ความหนักอึ้งที่อยู่ในใจของคนมองเบาลงชั่วขณะ

“ผมรู้ว่าคุณชากำลังยุ่งอยู่นะครับ” โยฮันตอบกลับเป็นภาษาไทยที่แม้จะฟังดูไม่ค่อยชัดเท่าไร แต่ก็ยังดีกว่าครั้งแรกที่พวกเขาพบกัน เพราะในตอนนั้นชายหนุ่มพูดภาษาไทยไม่ได้เลยสักคำ จนได้หญิงสาวตรงหน้านี่ล่ะที่คอยช่วยสอนภาษาไทยให้ โดยมีภรรยาเป็นลูกมือช่วยอีกทอดหนึ่ง

“แต่เดี๋ยวคงยุ่งมากขึ้น เพราะตอนนี้มีแม่เสืออยู่ในบ้านนี้สองตัว”

แววสดใสในดวงตาของหนุ่มลูกครึ่งเลือนหายไป ก่อนแปรเป็นเคร่งเครียดจริงจัง อันผิดกับบุคลิกขี้เล่นของเขา “เรายังมาทันใช่ไหมครับ” ชายหนุ่มพูดพลางมองขึ้นไปชั้นบนที่มีภรรยาล่วงหน้าขึ้นไปก่อน

“มาทันพอดีเลยค่ะ เราขึ้นไปชั้นบน...ไปลาคุณพ่อกันเถอะค่ะ” นิชาภาพยายามเค้นเสียงออกจากลำคอที่ตีบตัน ก่อนเดินนำหน้าไปพร้อมกับทนายสูงวัยที่หันมาเลิกคิ้วกับท่าทางลังเลของชายหนุ่มผู้อ่อนวัยกว่า

“ผมรอข้างล่างดีกว่า เวลานี้เป็นเวลาของครอบครัว ผมเป็นแค่คนนอก”

นิชาภายิ้มให้กับท่าทางกระอักกระอ่วนของอีกฝ่าย โยฮันคงยังกังวลกับท่าทีของแม่ยายที่ไม่ชอบเขยต่างชาติ อีกทั้งน้องสาวของเธอก็แทบจะตัดขาดกับคนบ้านนี้ เพราะต้องการเลือกอิสระให้กับตัวเอง เลือกชีวิตที่ต้องเดิน และคนที่ตัวเองรัก

“คุณเป็นคนในครอบครัวของเรา ตั้งแต่แต่งงานกับหนูนิดค่ะ ทุกคนชอบคุณ” ...จะยกเว้นก็แต่คุณนายอรอุมาที่มีอคติต่อคนต่างชาติอย่างร้ายกาจ ซึ่งนิชาภาต่อประโยคนี้ในใจ โดยที่เธอก็รู้ว่า อีกฝ่ายคงคิดแบบเดียวกัน

โยฮันส่งรอยยิ้มซาบซึ้งใจให้พี่สาวของภรรยาที่แม้จะมีใบหน้าเหมือนกัน แต่เธอก็ช่างตรงกันข้ามกับคนที่เขารักทุกอย่าง ผู้หญิงคนนี้คอยให้ความช่วยเหลือเขามาซ้ำแล้วซ้ำเล่า ถึงกระนั้นเขาก็ยังไม่มีโอกาสได้ตอบแทนบุญคุณของเธอเลยสักครั้ง

ฉะนั้น เมื่อถึงคราวที่จะได้ตอบแทนบุญคุณ เขาจะไม่ยอมพลาดโอกาสไปอีก แม้ว่าตัวเองอาจต้องพบเจอกับเรื่องเลยร้ายในภายหลังก็ตาม!



มันคงเป็นการทะเลาะวิวาทที่เบาที่สุดเท่าที่นิชาภาเคยเห็น เมื่อหญิงสาว พร้อมด้วยนายพจน์ ทนายประจำครอบครัวและโยฮันเข้ามาในห้องนอนของนายภานพ แล้วพบกับการโต้เถียงที่พยายามพูดให้เบาที่สุด เพื่อไม่ให้เสียงของตัวเองไปรบกวนคนที่กำลังนอนซม และเริ่มไม่รับรู้สภาพรอบกาย

“ฉันกับภานพไม่มีลูกสาวนอกคอกอย่างเธอ!”

“หนูก็ไม่นึกไม่ฝันว่าจะมีแม่ช่างบังคับ ใจแคบ อ่อนต่อโลก และเห็นแก่ตัวอย่างร้ายกาจแบบนี้”

“นี่เธอกล้าว่าฉันเรอะ! ฉันเป็นแม่เธอนะ!”

“ไหนบอกว่าไม่เคยมีลูกสาวอย่างหนูไงคะ”

“นิชดา!”

นิชาภาระบายลมหายใจออกมาอย่างเหนื่อยหน่ายใจ เมื่อสองแม่ลูกคู่นี้ชอบโต้เถียงกันทุกครั้งที่ได้พบหน้าสบตากัน ซึ่งสาเหตุของการทะเลาะวิวาท ก็เป็นเรื่องที่ทุกคนในครอบครัวต่างรู้กันดีว่า คุณนายอรอุมาต้องการลูกสาวที่ทำตัวเหมือนคุณหนูลูกผู้ดี เพื่อพาออกสังคมให้สมกับฐานะเศรษฐีใหม่ แล้วบางทีคุณนายคงหวังอยากเกี่ยวดองกับพวกผู้ดีของแท้ เพื่อยกระดับฐานะของตัวเองขึ้นไปอีก

ส่วนนิชดา เธอเป็นสาวหัวก้าวหน้า จึงทำใจยอมรับการกระทำของมารดาไม่ได้ เธอไม่ชอบการถูกบังคับและการคลุมถุงชน ไม่ชอบขนบธรรมเนียมเก่าแก่ที่ต้องเก็บผู้หญิงไว้แต่ในเรือน ซึ่งตรงกันข้ามกับนิชาภาที่ทำตามคำสั่งของมารดาทุกอย่าง พากเพียรร่ำเรียนวิชากุลสตรีและสมบัติลูกผู้ดี จนกลายเป็นที่คาดหวังของคุณนายว่า ลูกรักคนนี้จะทำให้ระดับฐานะครอบครัวสูงขึ้น

แต่น่าเสียดายที่นิชาภาไม่ได้ทำตามความคาดหวังของมารดา ด้วยการแต่งงานกับชายหนุ่มที่สืบเชื้อสายมาจากขุนนางเก่า ที่ต้องรีบหนีไม่เป็นท่า เมื่อรู้ว่าหญิงสาวมีลูกติดถึงสองคน

“เวลาแบบนี้ คุณแม่กับหนูนิดยังมีเวลามาทะเลาะกันอีกหรือคะ” น้ำเสียงราบเรียบติดแววดุของนิชาภา ทำให้แม่เสือสองตัวที่แยกเขี้ยวขู่กันอยู่เมื่อครู่ แทบจะเก็บเขี้ยวกันไม่ทัน แต่ละฝ่ายดูจะแพ้ทางหญิงสาวที่ควบคุมอารมณ์ได้นิ่ง แม้จะอยู่ในสถานการณ์ที่ต้องสูญเสียผู้นำครอบครัวไปด้วยกันทั้งคู่ และดูจะหืออีกฝ่ายไม่ขึ้นทุกกรณีเสียด้วย

“หนูนิดพาโยฮันไปทักทายคุณพ่อสิ”

คนถูกกล่าวถึงทำท่าเก้ๆ กังๆ เมื่อสายตาเหลือบไปเห็นแม่ยายที่ชักสายตาด้วยความไม่พอใจที่เห็นเขาเข้ามา แต่คุณนายดูจะไม่กล้าพูดอะไรต่อหน้าลูกสาวคนโตที่มีท่าทางแข็งกว่ามากนัก แล้วนิชดาก็พาสามีต่างชาติเข้าไปหาผู้เป็นบิดา ที่ตอนนี้ดูซูบผอมเสียจนหนังติดกระดูก ซึ่งภาพนี้ทำให้หญิงสาวกลั้นน้ำตาไว้แทบไม่อยู่ ได้แต่ยื่นมือไปสัมผัสท่อนแขนผอมแห้งที่แนบข้างลำตัวแผ่วเบา

“คุณพ่อคะ หนูนิดมาแล้วค่ะ พาโยฮันมาไหว้คุณพ่อด้วย” ถ้อยคำแผ่วเบาที่ดูเหมือนจะพึมพำกับตัวเองมากกว่า แต่กลับเรียกสติคนป่วยให้ลืมตาขึ้นมองบุตรสาวที่แทบจะไม่ได้พบกัน หลังจากที่อีกฝ่ายออกเรือนไป

“หนู...นิ...ด”

น้ำเสียงแหบแห้งของเจ้าของบ้าน ทำให้ทุกคนรุดมายืนรอบเตียงคนป่วยด้วยอาการใจหาย ราวกับว่านี่จะเป็นการตื่นขึ้นมาครั้งสุดท้ายของนายภานพ

“คุณ...คะ” คุณนายอรอุมาเรียกขานสามีด้วยน้ำเสียงแหบเครือ พลางยื่นมือไปกุมมือคู่ชีวิตที่ไม่อาจอยู่ด้วยกันจนตายไปพร้อมกันได้

“ขอโทษ...ที่ทำให้ทุกคนลำบาก” นายภานพเอ่ยทั้งน้ำตา พลางระบายลมหายใจออกมาอย่างเชื่องช้า แล้วไล่มองหน้าแต่ละคนด้วยแววตาขอโทษ ก่อนจบลงที่เขยต่างชาติที่ยืนอยู่เบื้องหลังลูกสาวคนเล็ก

“โยฮัน...” เสียงเรียกขานของพ่อตา ทำให้ชายหนุ่มขยับตัวเข้าไปใกล้ แล้ววางมือลงบนมือผอมแห้งที่พยายามยกขึ้นมา “ขอโทษกับเรื่องราวที่ผ่านมาด้วยนะ ทั้งที่ฉันเองก็อยากคุยอะไรหลายอย่างกับเธอ แต่ก็ไม่มีโอกาสเสียที”

“ผมเข้าใจท่านครับ ผมเองก็อยากจะขอโทษท่านเรื่องที่พานิชดาหนีออกจากบ้าน”

นายภานพพยายามส่ายหน้า แต่ก็ทำได้เพียงขยับศีรษะเล็กน้อย เขาจึงส่งยิ้มอ่อนแรงตอบกลับไป “หนูนิดใจร้อนไปหน่อย ไม่อย่างนั้นคงไม่เกิดเรื่องนั้น ทั้งที่ฉันตั้งใจจะยกลูกสาวให้เธออยู่แล้วแท้ๆ”

“คุณพ่อกับชาต่างหากที่ใจเย็นเกินไป” ไม่วายที่คนถูกเอ่ยถึงจะบ่นงึมงำออกมา เรียกเสียงหัวเราะในลำคอจากคนป่วยที่มีอาการดีขึ้น จนหลายคนพากันใจชื้น แต่นายแพทย์ดูจะไม่ไว้วางใจอาการนี้เอาเสียเลย

“อย่างไรเสีย บ้านเราก็มีแต่ผู้หญิง ฉันขอฝากทุกคนไว้กับเธอด้วยนะ โยฮัน”

หนุ่มต่างชาติบีบมือผอมแห้ง พลางส่งคำมั่นสัญญาว่าจะปกป้องดูแลคนในครอบครัวนี้ผ่านทางดวงตา เรียกรอยยิ้มจากคนสูงวัยกว่าที่หันไปมองหญิงสาวที่อยู่ในความวิตกของเขาเสมอมา

“...ชา”

นิชาภาขยับกายเข้ามายืนอีกด้านของน้องสาวฝาแฝด พลางส่งยิ้มละมุนละไมที่มีรอยหมองเศร้ามากกว่าทุกวันให้ผู้เป็นบิดา

“พ่อ...ขอโทษ” ไม่มีใครรู้ว่านายภานพขอโทษนิชาภาเรื่องอะไร แต่ดูเหมือนหญิงสาวจะรับรู้ถึงสิ่งที่บิดาสื่อออกมา จึงยิ้มรับคำนั้นด้วยท่าทางไม่ถือโกรธ

“ชามีความสุขกับสิ่งที่ตัวเองเลือกเสมอค่ะ อย่าห่วงอะไรอีกเลย” ถ้อยคำของหญิงสาวทำให้สีหน้าของนายภานพผ่อนคลายจากความโศกเศร้ามากขึ้น

“ลูกมีความปรารถนาของตัวเองใช่ไหม”

คำถามของบิดา ทำให้นิชาภายิ้มตอบและพยักหน้ารับ “มีค่ะ”

นายภานพยิ้มอย่างเบาใจ เมื่อรู้ว่าตัวเองไม่จำเป็นต้องห่วงกังวลอะไรอีก เขาหลับตาลงอย่างเชื่องช้าแล้วหลุดคำพึมพำที่ดูเหมือนจะลอยมาจากที่ห่างไกลแผ่วเบา

“แค่นี้ก็สบายใจแล้ว ฉันรักเธอมากนะ...อรอุมา”



Create Date : 09 มิถุนายน 2554
Last Update : 20 มกราคม 2557 16:04:52 น.
Counter : 270 Pageviews.

4 comments
  
แปะโป้งไว้ก่อนค่ะ เดี๋ยวจะมาอ่าน ไม่ว่ายังไงก็ยังประทับใจเรื่องพิษเสน่หามากกกกกกกก ชอบเรื่องนี้ค่ะ แม้ว่าพี่จะหายไปนาน แต่ก็ไม่เคยลืมนะคะ
โดย: น้องค่ะ (หนึ่งมณี ) วันที่: 23 มิถุนายน 2554 เวลา:16:20:15 น.
  
ขอบคุณ คุณหนึ่งมณีที่ยังติดตามอยู่นะคะ ยอมรับเลยว่า หายไปนานทีเดียว พอกลับมาจับปากกาอีกทีก็รู้สึกว่าติดขัดพิกล เลยเขียนช้าไปบ้าง

อย่างไรก็คงจะเข้ามาเรื่อย ๆ จะคงเริ่มต้นเขียนนิยายใหม่อีกครั้งค่ะ

ฝากนิยายเรื่องนี้ไว้อีกเรื่องด้วยนะคะ
โดย: ฌา วันที่: 24 มิถุนายน 2554 เวลา:14:07:17 น.
  
เป็นกำลังใจให้นะคะ คุณฌาต้องเขียนออกมาได้ดีไม่แพ้พิษเสน่หาแน่นอนค่ะ สู้ๆ นะคะ
โดย: tipfany IP: 124.121.48.224 วันที่: 10 กรกฎาคม 2554 เวลา:16:16:34 น.
  
ขอบคุณคุณ tipfany นะคะ ^^
โดย: ฌา วันที่: 14 กรกฎาคม 2554 เวลา:17:39:08 น.
ชื่อ :
Comment :
 *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

ฌา
Location :
  

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]



New Comments
All Blog