ดั่งนกในกรง 2
ภาพทุกอย่างดูพร่าเลือนเสียจนนิชาภาต้องหลับตาลงอีกครั้งแล้วลืมตาขึ้นมาใหม่ เพื่อมองภาพตรงหน้าให้ถนัดตาขึ้น ภาพแรกที่เธอเห็นคือ ผ้าม่านที่พัดพลิ้วเหนือศีรษะ ครั้นพอเบือนหน้าไปด้านข้าง เธอจึงได้เห็นหญิงสาวที่มีใบหน้าเหมือนตัวเองในชุดสีสันสดใสกำลังส่งสายตาขุ่นเคืองมาให้

“เธอเป็นลม” นิชดาตวัดเสียงขึ้นสูง เมื่อเห็นดวงตาของพี่สาวส่งคำถามออกมาโดยไม่เอ่ยอะไร

“ลุงหมอบอกว่าประสาทเธอตึงเครียดเกินไป แต่แกคงกลัวว่าถ้าเธอตื่นขึ้นมาอีกคงลุกขึ้นทำโน่นทำนี่โดยไม่ยอมพักแน่ เลยฉีดยานอนหลับให้เธอหลับยาวถึงเช้า นี่ขึ้นวันใหม่แล้ว”

นิชาภาหลับตาลงอีกครั้ง เมื่ออาการปวดศีรษะแล่นจี๊ดไปรอบขมับ แล้วภาพก่อนหมดสติก็หวนกลับเข้ามาให้ขอบตาของหญิงสาวต้องร้อนผ่าวอีกครั้ง





หลังจากที่นายภานพหลุดคำพึมพำแล้วหลับไป ทุกคนก็เพิ่งมารู้ว่าการหลับครั้งนี้เป็นการหลับตลอดกาล เมื่อตอนที่นายแพทย์สูงวัยปรี่เข้าไปตรวจดูอาการของคนป่วยด้วยสังหรณ์ที่ไม่ค่อยดีเท่าไร แต่ละคนพากันมองดูนายแพทย์อย่างกังวล แล้วสิ่งที่พวกเขาไม่พึงปรารถนาก็หลุดออกมาจากปากของผู้อาวุโสที่ส่ายหน้าด้วยความหมดหวัง

“ขอโทษด้วยนะ หมอช่วยเขาไม่ได้”

คุณนายอรอุมาหลุดเสียงโฮออกมาอย่างไม่อายสายตาใครอีกต่อไป เธอฟุบหน้าลงบนมือผอมแห้งที่เริ่มเย็นชืด โดยมีเด็กฝาแฝดร้องผสมโรงอยู่ด้านข้าง นิชดาเองก็มีอาการไม่แตกต่างกันเท่าไร เธอสะอื้นไห้อยู่กับอกของสามีต่างชาติ และพยายามสะกดกลั้นน้ำตาเอาไว้ ส่วนนิชาภาได้แต่ยืนมองร่างขาวซีดของผู้เป็นบิดา ก่อนหันไปมองนายแพทย์สูงวัยที่มีน้ำตาเอ่อรื้นเต็มเบ้าอย่างเชื่องช้า

“คุณพ่อไม่...ไม่ได้ตายอย่างทรมานใช่ไหมคะ” เป็นเวลานานกว่าที่นิชาภาจะหาเสียงของตัวเองเจอ ครั้นพอจะพูด หญิงสาวก็ต้องพยายามกดก้อนสะอื้นที่มาจุกอยู่ในลำคอ ไม่ให้หลุดออกมาเหมือนคนอื่น

“ไม่...เขาไปอย่างสงบที่สุดแล้ว”

คำตอบของนายสุรชาติเป็นสิ่งสุดท้ายที่นิชาภาจำได้ หลังจากนั้นหญิงสาวก็ไม่รับรู้อะไรอีก เธอไม่รู้ว่าแต่ละคนพากันแตกตื่นมากแค่ไหนที่เห็นคนที่ควบคุมอารมณ์ได้ดีมาตลอดเป็นลมล้มตึงไป คุณนายอรอุมานั้นเรียกได้ว่าแทบจะสติแตกไปเลยทีเดียวที่มาเห็นสามีตายต่อหน้า อีกทั้งลูกสาวที่ตัวเองหวังพึ่งพิงก็มาหมดสภาพ

กว่าทุกอย่างจะสงบ เวลาก็ล่วงผ่านข้ามวันไปเรียบร้อย

“ฉันให้โยฮันจัดการเรื่องงานศพแทนแล้ว เดี๋ยวเย็นนี้เราจะมีรดน้ำศพให้พ่อ แล้วจะสวดศพกันที่บ้าน”

นิชาภาลืมตาขึ้นอย่างเชื่องช้า เมื่อถ้อยคำของแม่น้องสาวที่เกิดห่างกันไม่กี่นาทีช่วยดึงเธอออกมาจากเรื่องราวก่อนหมดสติ พอนิชดาเห็นท่าทางงุนงงสงสัยของพี่สาวจึงเอ่ยต่อด้วยท่าทางรู้ดีว่า อีกฝ่ายต้องการรายละเอียดที่เธอทำไปทั้งหมด

“ฉันไม่ได้เชิญใครมางานสวดเย็นนี้ เพราะทุกคนคงลืมพ่อเรากันหมดแล้ว”

“สวดแค่คืนเดียวแล้วเผาเลยได้ไหม ตอนนี้เงินของฉันคงมีพอจัดงานสวดศพให้คุณพ่อได้แค่วันเดียวเท่านั้น” นิชาภาพูดพลางเก็บความรู้สึกสมเพชตัวเองไว้ภายใน แม้แต่งานครั้งสุดท้ายของผู้เป็นบิดา หญิงสาวก็ไม่สามารถทำให้ได้เต็มที่

“โยฮันจะเป็นเจ้าภาพสวดศพตลอดเจ็ดวัน และห้ามเธอปฏิเสธ”

“ถึงฉันจะปฏิเสธ เธอก็ยังดันทุรังจะทำให้ได้ใช่ไหมล่ะ” หญิงสาวพูดพลางคลี่ยิ้มน้อยกับนิสัยของแฝดผู้น้องที่ชอบพุ่งเข้าชนทุกสิ่งจนทุกอย่างกระเจิดกระเจิงไป

“ฉันดูว่ามีเหตุผลมากพอที่จะทำหรือเปล่าต่างหาก” นิชดาสะบัดเสียงใส่อย่างไม่สบอารมณ์เท่าไร แล้วพิศมองใบหน้าของแฝดผู้พี่ที่ไม่ได้ซีดเซียวเหมือนศพอีกต่อไป ซึ่งเธอก็อดโทษตัวเองไม่ได้ที่เป็นหนึ่งในคนที่ทำให้อีกฝ่ายต้องเป็นเช่นนี้

ตั้งแต่จำความได้ นิชดาก็มีความเห็นขัดแย้งกับคุณนายอรอุมามาตลอด ทะเลาะเบาะแว้งกันทุกวี่ทุกวันเกี่ยวกับการดำเนินชีวิตที่ถูกจำกัดกรอบโดยมารดา แล้วนิชาภาก็มักจะเข้ามาคอยไกล่เกลี่ยให้เสมอ และสามารถกล่อมคุณนายให้ละความสนใจจากเธอไปได้ทุกครั้ง

หญิงสาวได้รับอิสระในการกระทำทุกสิ่งที่อยากจะทำ ตรงข้ามกับพี่สาวฝาแฝดที่ต้องอยู่ในกรอบของคุณนายอรอุมา โดยไม่ปริปากถึงสิ่งที่ตนปรารถนาอย่างแท้จริง เธอรู้ว่าแฝดผู้พี่ก็อยากออกไปเรียนรู้โลกภายนอกเช่นตัวเธอ แต่เธอไม่เคยกระตือรือร้นอยากช่วยเหลือพี่สาวให้ออกมาจากกรงของมารดา เพราะเธอกลัวว่าอิสระของตนเองจะถูกลิดรอนไป

นิชาภาถูกสั่งสอนให้เป็นกุลสตรีทุกกระเบียดนิ้ว สงบเสงี่ยมยามอยู่ต่อหน้าผู้คน และสงบคำจนกว่าจะมีคนขอความเห็น ส่วนนิชดาก็กลายเป็นหญิงสาวหัวสมัยใหม่ มีความคิดตามค่านิยมฝั่งตะวันตก ปราดเปรียวและมั่นอกมั่นใจในตัวเอง

แม้จะถูกเลี้ยงดูแตกต่างกัน นิชดาก็รู้ว่าพี่สาวหัวดื้อกว่าเธอเสียอีก คนที่นอนอยู่ตรงหน้ามีนิสัยโอนอ่อนตามผู้คนก็จริง กระนั้นก็ไม่เคยผ่อนตามใครเกินจำเป็น นิสัยนี้ของนิชาภาเหมือนกับนายภานพไม่มีผิด คุณนายอรอุมาจึงแพ้ทางลูกสาวที่คิดว่าจะชักนำได้อยู่ทุกครั้งไป

“ขมวดคิ้วยุ่งเชียว กำลังคิดเรื่องอะไรอยู่หรือ” คำถามของนิชาภาทำให้นิชดาหลุดออกมาจากภวังค์ความคิด หญิงสาวระบายลมหายใจแผ่วเบา ก่อนยกมือขึ้นกอดอกแล้วทิ้งหลังพิงพนักเก้าอี้

“คิดเรื่องเธอนั่นแหละ เกิดเรื่องขึ้นมากมายขนาดนี้ ทำไมถึงไม่ติดต่อฉัน” นิชดาเอ่ยด้วยน้ำเสียงหงุดหงิด และโทษตัวเองอีกรอบที่ไม่ค่อยได้ติดต่อคนในครอบครัวเท่าไร

“มีเรื่องเกิดขึ้นมากมายเกินไป และฉันก็หมกมุ่นกับเรื่องของพ่อจนไม่ได้ติดต่อเธอ” นิชาภาอธิบายอย่างใจเย็น แล้วยิ้มขอโทษแฝดน้องที่ขอบตาเริ่มแดงเรื่อขึ้นมา “ฉันคิดว่าคงจัดการปัญหานี้ด้วยเรี่ยวแรงของตัวเองได้ แต่ฉันก็ได้รู้แล้วว่า โลกภายนอกนั้นโหดร้ายกว่าที่ฉันคิดไว้ ผู้คนเต็มไปด้วยเล่ห์และการหลอกลวง ที่สำคัญคือ แม้จะรู้หน้าและคุ้นเคยอีกฝ่ายมากแค่ไหน แต่ก็ไม่สามารถรู้ใจที่ซ่อนอยู่ภายในได้เลย”

“เพราะอย่างนี้ ฉันถึงได้ต่อต้านแม่ไง ให้ลูกผู้หญิงหมกตัวอยู่แต่ในบ้านแบบนี้ มันจะไปทันข้างนอกที่พัฒนาไปถึงไหนต่อไหนแล้วได้ยังไง”

นิชาภาคลี่ยิ้มน้อย แล้วส่ายหน้ากับความคิดของแฝดน้อง “คุณแม่เขาแค่ติดธรรมเนียมเก่า และยังรับโลกที่เปลี่ยนแปลงก้าวหน้าไม่ได้”

“ก็เพราะไม่ยอมรับถึงเสียรู้เขา แล้วนี่ถ้าฉันไม่มา เธอจะทำยังไงล่ะ ต้องถูกกดดันจนต้องแต่งงานกับไอ้อ้วนนั่นหรือไง”

“ถึงฉันจะไม่เฉลียว ตามเล่ห์คนอื่นเขาไม่ทัน แต่ฉันก็มีคนที่ใช้เล่ห์เก่งไม่แพ้อีกฝ่ายนะ ไม่อย่างนั้น ฉันคงไม่นิ่งเฉยมาได้ถึงเพียงนี้หรอก” หญิงสาวตอบกลับด้วยท่าทางเรียบเรื่อย และล้มเลิกความคิดที่จะลุกขึ้นจากเตียง เพราะแม่น้องสาวคงคุมไม่ให้เธอทำได้แม้แต่กระดิกตัวแน่

“แต่ไอ้ที่ฉันได้ยินมา มันไม่ใช่แบบนั้นเลยนะ เพราะข่าวนั้นนั่นแหละถึงทำให้ฉันแล่นมาอยู่ที่นี่”

นิชาภากระตุกยิ้มกับข่าวลือที่ทำให้ใครต่อใครวิ่งวุ่นกันไปทั่ว ทั้งทนายประจำครอบครัวที่คงหาทางตอบแทนเล่ห์นี้อย่างสาสม หรือแม่น้องสาวที่คงจะอาฆาตพยาบาทนาน หรือแม้แต่ตัวเธอที่พยายามจะไม่คิดจองเวรอีกฝ่าย

“จำไม่ได้ว่าต้องแต่งงานชดใช้หนี้ เพราะทางโน้นเอาทรัพย์สมบัติของเราที่มีค่าเท่ากับหนี้ไปหมดแล้ว” และยังเอาไปมากกว่าหนี้ที่ติดเสียด้วย หญิงสาวต่อถ้อยคำสุดท้ายไว้ในใจ พลางนึกถึงบ้านหลังเล็กที่ถูกอีกฝ่ายซื้อตัดหน้า เพื่อให้เธอจนมุมทุกวิถีทาง

“มันทำเธอกับคุณพ่อไว้เจ็บนัก ฉันจะต้องเอาคืนมันแน่” นิชดาเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟันด้วยท่าทางเคืองแค้น

“เธอจะไปทำอะไรเขาหนูนิด ทางนั้นมีทั้งเงินและอิทธิพลมากมายนัก ฉันยอมรับว่าเกือบจะเอาตัวไม่รอดจากเงื้อมมือของเขาเสียหลายครั้ง” นิชาภาระบายลมหายใจออกมาด้วยท่าทางเหนื่อยอ่อน ซึ่งนิชดารู้สึกว่าตัวพี่สาวฝาแฝดดูเล็กลงถนัดตา และมีความกลัวแฝงอยู่ในแววตา หญิงสาวจึงก้มลงกอดร่างบอบบางบนเตียงกว้าง เพื่อถ่ายเทความเข้มแข็งของตัวเองให้

“ขอโทษนะที่ทิ้งเธอไว้ตามลำพัง แต่ต่อไปนี้ฉันจะปกป้องเธอเอง ไอ้อ้วนนั่นจะไม่มีวันได้ตัวเธอไปเด็ดขาด ฉันสัญญา”

นิชาภารู้ว่าแม่น้องสาวจะทำตามสัญญาที่ให้ไว้แน่ แต่หญิงสาวอยากรู้นักว่าอีกฝ่ายจะกันเธอออกจากอดีตเพื่อนสนิทของบิดาได้อย่างไร เพราะอิทธิพลของเขาในถิ่นนี้ช่างมีมากมายเหลือเกิน





งานสวดพระอภิธรรมศพของนายภานพผ่านไปอย่างราบรื่น และมีคนมาร่วมไว้อาลัยมากกว่าที่คิดไว้ โดยคนส่วนใหญ่มักจะเป็นคนที่นายภานพเคยช่วยเหลือไว้แทบทั้งสิ้น และอาสาเป็นเจ้าภาพผลัดกันไปจนนิชาภารู้สึกตื้นตันอย่างบอกไม่ถูก แต่ก็ใช่ว่าทุกอย่างจะราบรื่นไปเสียหมด

เรื่องแรกที่สร้างปัญหาให้กับนิชาภาคือ การมาของทนายแปลกหน้าคนหนึ่ง เขามาในนามของหม่อมราชวงศ์สิคาล ภิรมย์ภักดี พร้อมกับยื่นความจำนงค์ในการเป็นเจ้าภาพสวดพระอภิธรรมศพที่เหลืออีกสามวัน ทุกคนต่างพิศวงงงงวยว่านายภานพไปรู้จักกับคุณชายผู้นี้ตอนไหน แต่ก็คงไม่งุนงงเท่ากับครอบครัวของผู้ตายเป็นแน่

ใช่...ทุกอย่างคงจะดีกว่านี้หากนายพจน์ไม่แวะเวียนมาอีกทีหลังจบงานสวดที่ทำให้ใครต่อใครแตกตื่นกับการมาแต่ในนามของคุณชายปริศนาตอนเช้าตรู่ เขามาพร้อมกับของยุ่งยากที่ทำให้หญิงสาวต้องหนักใจในภายหลัง

นิชาภาจำได้ว่าตัวเองมองของสามสิ่งที่วางอยู่บนโต๊ะตรงหน้าด้วยความรู้สึกที่บอกไม่ถูก ผิดกับทนายสูงวัยที่นั่งอยู่อีกด้านของโต๊ะทำงานตัวใหญ่ที่ส่งสายตาหนักใจและร้อนรนต่อบางสิ่งบางอย่างให้คนอ่อนวัยกว่าที่ระบายลมหายใจออกมาอย่างเชื่องช้า

มือเรียวยื่นไปหยิบของยุ่งยากชิ้นแรกขึ้นมาอ่านทวนซ้ำอีกครั้ง มันคือจดหมายที่เขียนด้วยลายมือของนายภานพที่บอกเล่าเรื่องราวเกี่ยวกับของยุ่งยากชิ้นที่สอง นิชาภาเหลือบมองกล่องหนังสี่เหลี่ยมจัตุรัสสีดำที่ไม่อยากมองเท่าไรนัก ข้างในของกล่องนั้นบรรจุแหวนทองคำขาวประดับด้วยไพลินเม็ดเดี่ยวเม็ดเล็ก แล้วหญิงสาวก็หันไปมองของยุ่งยากชิ้นที่สาม มันคือการ์ดแสดงความเสียใจอย่างเป็นทางการของเจ้าของแหวนทองคำขาวที่อยู่ในจดหมายของบิดา

"หม่อมราชวงศ์สิคาล ภิรมย์ภักดี" นิชาภาเอ่ยขานชื่อที่พิมพ์อยู่ตรงส่วนล่างสุดของการ์ดแสดงความเสียใจ โดยมีลายเซ็นของเจ้าของชื่อกำกับอยู่ด้านบนตัวอักษรพิมพ์ดีด ก่อนเงยหน้าขึ้นมองทนายประจำครอบครัวที่ทำหน้าบิดเบี้ยวยิ่งกว่าตอนแรก

"ชาควรจะรู้ไหมคะว่าเขาเป็นใคร"

นายพจน์ถอนหายใจกับคำถามราบเรียบของคนที่ตนนับเป็นลูกเป็นหลาน พลางเหลือบมองจดหมายในมือของหญิงสาวตรงหน้าที่น่าจะบอกรายละเอียดความเป็นมาทั้งหมดจนกระจ่าง เพราะตัวเขาเองก็ไม่อยากเชื่อนักว่า เจ้าของชื่อที่หลุดออกมาจากปากของนิชาภาจะเป็นคนรู้จักของเพื่อนสนิทที่เพิ่งจากไป ทั้งที่นายภานพเคยเกริ่นด้วยท่าทางทีเล่นทีจริงถึงเรื่องราวของคนรู้จักผู้สูงศักดิ์ให้เขาฟังอยู่บ่อยครั้ง

"เท่าที่ลุงรู้มา นายภานพรู้จักกับคุณชายเมื่อตอนเกิดสงครามน่ะ รู้สึกจะเป็นบุญเป็นคุณกันด้วยเรื่องอะไรบางอย่าง พวกเขามีแนวคิดและความชอบหลายอย่างคล้ายกัน แล้วก็คุยถูกคอกันเลยถือเป็นเพื่อน และติดต่อหากันมาตลอด" นายพจน์ตอบ และนึกไม่ถึงว่านายภานพจะไม่ได้บอกเรื่องนี้กับใครอื่นนอกจากตัวเขา ซึ่งคิดได้ว่าคงเป็นเพราะตำแหน่งทนายประจำตัวของเพื่อนสนิทของตัวเองเป็นแน่ แต่เขาก็สะใจอยู่ไม่น้อยที่ชื่อของหม่อมราชวงศ์สิคาลทำให้นายขจรศักดิ์ต้องล่าถอยไปอย่างไม่เป็นท่า และไม่สามารถเข้ามาก่อความรำคาญในงานได้

อีกทั้งนายภานพยังทำตัวได้นิ่งมาก เมื่อได้พบเจอกับหม่อมราชวงศ์สิคาลในงานเลี้ยงรับเชิญต่าง ๆ ราวกับว่าพวกเขาไม่เคยได้คบหากันเป็นสหาย นายพจน์เลยไม่เคยใส่ใจกับคำเปรยทีเล่นทีจริงเกี่ยวกับผู้สูงศักดิ์รายนี้

"เพราะคุณพ่อไปมีบุญมีคุณกับเขาเลยได้รับแหวนมาเพื่อที่สักวันหนึ่งคุณพ่อจะนำแหวนวงนั้นไปขอความช่วยเหลือจากเขาบ้าง" หญิงสาวสรุปความที่เกิดขึ้นในอดีต โดยอ้างอิงตามจดหมายของผู้เป็นบิดาที่ไม่ได้บอกอะไรมากนัก นอกจากจะเพิ่มความสงสัยให้มากขึ้นไปอีกเท่าตัว "แต่คุณพ่อก็ไม่ได้ขอความช่วยเหลืออะไรจากเขา ยังคงสู้ด้วยกำลังของตัวเองตราบจนวันตาย..."

"คุณชา..."

นิชาภาคลี่ยิ้มออกมาเล็กน้อย เมื่อได้ยินน้ำเสียงห่วงใยของผู้สูงวัย "ชาไม่รู้ว่าควรดีใจหรือเสียใจกับการกระทำของคุณพ่อ จะว่าดีใจเพราะท่านทรนงในศักดิ์ศรีก็ใช่ จะว่าเสียใจเพราะต้องสูญเสียท่านไปก็ใช่" หญิงสาวระบายลมหายใจออกมา ก่อนพับจดหมายของผู้เป็นบิดาลงซองจดหมายสีเหลืองอ่อน แล้ววางลงบนโต๊ะตามเดิม

"คุณพ่อคงส่งมันมาให้ชาตัดสินใจเองสินะคะว่าจะขอพึ่งพิงเจ้าของแหวนหรือเปล่า"

"ลุงคงพูดอะไรมากไม่ได้ เพราะตอนลุงเปิดจดหมายของนายภานพที่ทนายของคุณชายนำมาให้ เขาบอกแค่ให้ลุงนำแหวนในกล่องนี้มาให้คุณชาพร้อมกับจดหมายอีกฉบับของเขาที่จ่าหน้าถึงคุณชาเท่านั้น"

นายพจน์เลือกที่จะไม่พูดถึงการ์ดแสดงความเสียใจของหม่อมราชวงศ์สิคาลกับจดหมายของเขาที่บอกวิธีการติดต่อผ่านทางทนาย ยามที่พวกเขาต้องการความช่วยเหลือจากผู้สูงศักดิ์ ซึ่งเขาเชื่อว่าคงไม่มีการติดต่อกลับไปจากหญิงสาวที่หัวดื้อและทรนงไม่แพ้บิดา

แต่สิ่งที่นายพจน์นึกหนักใจมากที่สุดคงเป็นนิสัยที่เอาแน่เอานอนไม่ได้ของคุณชายผู้นั้น เพราะพอถึงคราวดีก็ดีจนน่าใจหาย แต่พอถึงคราวร้ายขึ้นมา ไม่ว่าใครก็ห้ามไม่อยู่ ยิ่งนิสัยดื้อรั้น และเอาแต่ใจอย่างเหลือร้ายของเขาคงทำให้นิชาภาต้องวุ่นวายหัวหมุนแน่

"คุณลุงรู้ไหมคะว่าหากชารับความช่วยเหลือจากคุณชายท่านนั้น แหวนวงนี้จะผูกมัดตัวชาไว้ชนิดที่ดิ้นไม่หลุดเลยทีเดียว"

นิชาภาคลี่ยิ้มด้วยท่าทางราบเรียบ ซึ่งรอยยิ้มบนริมฝีปากไม่ได้ส่งไปถึงดวงตาเลยแม้แต่น้อย และนายพจน์ก็รู้ถึงความนัยที่แฝงอยู่ในถ้อยคำของหญิงสาว เพราะเขาเคยได้ยินเพื่อนบ่นทีเล่นทีจริงว่า น่าจะลองปรับทุกข์กับหม่อมราชวงศ์สิคาลเรื่องลูกสาวคนโตดูเสียหน่อย เผื่อตาดีตาร้ายจะได้ตัดปัญหาเรื่องคุณนายที่อยากหาคู่ตุนาหงันที่เพียบพร้อมให้ลูกสาวไปเลย

"ลุงกลัวใจของเจ้าภานพมันชะมัด แต่ก็กลัวใจของหม่อมราชวงศ์สิคาลมากกว่า"

คำบ่นพึมพำของทนายสูงวัยเรียกเสียงหัวเราะที่แทบจะนับครั้งได้จากนิชาภา หญิงสาวส่ายหน้า แล้วเอ่ยถึงสิ่งที่ทุกคนรู้ให้อีกฝ่ายฟัง "เขาคงยังไม่รู้กะมังคะว่าชามีลูกแล้ว คุณลุงน่าจะช่วยอนุเคราะห์ชา โดยการบอกเขาด้วยเรื่องนี้เสียหน่อย เดี๋ยวใจเขาก็เปลี่ยนไปเองค่ะ"

"ก็เพราะทุกคนรู้อย่างนั้นน่ะสิ คุณชาเลยต้องมาประสาทกินเพราะคุณนาย" นายพจน์ส่ายหน้าด้วยความเหนื่อยใจ ก่อนถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายยังแย้มยิ้มละมุนกับกรอบที่กักขังตัวเองไว้

"คุณแม่แค่ต้องการความมั่นคงในชีวิตของชา ท่านคิดว่าผู้หญิงไม่สามารถอยู่ตัวคนเดียวได้โดยไม่ต้องพึ่งใคร อย่าไปโทษท่านเลยค่ะ"

"ก็ไปบอกว่าจะไม่แต่งงาน เพราะมีแก้วกับจอมแล้วถึงได้วุ่นวายไง เฮ้อ...อยู่กับครอบครัวนี้เหมือนจะแก่ลงสักยี่สิบปี ให้ตาย!"





หลังจากที่นายพจน์บ่นถึงสิ่งที่อัดอั้นในใจอยู่หนึ่งชั่วโมงเต็ม ทนายสูงวัยก็ขอตัวกลับไปจัดการธุระที่คั่งค้าง ก่อนให้สัญญาว่าจะมางานสวดศพในตอนเย็นอีกครั้ง ความช่วยเหลือของเขาทำให้หญิงสาวซาบซึ้งใจ และเคารพเขาประดุจบิดาคนที่สองร่วมกับนายสุรชาติเลยทีเดียว

ส่วนเรื่องของหม่อมราชวงศ์สิคาล ภิรมย์ภักดี ยังคงเป็นปริศนาอยู่ในใจของนิชาภา แต่หญิงสาวไม่คิดจะสืบหาความเป็นมาหรือตัวตนของเขา นอกจากเรื่องที่บิดาเคยไปมีบุญคุณกับอีกฝ่ายมาเท่านั้น ซึ่งนายพจน์ก็ไม่ได้ให้ความกระจ่างเรื่องสหายผู้ลึกลับของผู้เป็นบิดาเสียเท่าไร นอกจากให้ระวังนิสัยที่เอาแน่เอานอนไม่ได้ของคุณชายปริศนาคนนี้เท่านั้น

นิชาภาเหลือบมองกล่องหนังที่วางอยู่บนโต๊ะทำงานอย่างไม่ใคร่สนใจเท่าไร พลางนึกถึงบทสนทนาสุดท้ายระหว่างทนายสูงวัยขึ้นมา หญิงสาวตัดสินใจคืนแหวนแทนตัวของหม่อมราชวงศ์สิคาลอย่างไม่ใยดี แต่อีกฝ่ายกลับปฏิเสธเสียงแข็งว่า เขายังไม่อยากทำสงครามประสาทสองทาง เพราะแค่ต้องรับมือกับนายขจรศักดิ์ เขาต้องหวุดหวิดจะเป็นโรคประสาทอยู่แล้ว ขืนต้องมาเจอกับทนายที่มีนิสัยแปลกไม่แพ้เจ้านายที่มีอารมณ์ไม่อยู่กับร่องกับรอยตามข่าวลือ เขาคงต้องเป็นบ้าไปก่อนแน่

ดังนั้น นิชาภาจึงต้องเก็บแหวนวงนี้ต่อไปอย่างไม่เต็มใจ

หญิงสาวเม้มริมฝีปากกับความจริงบางอย่างที่นายพจน์ไม่รู้ เธอไม่ได้บอกเขาว่าเคยเห็นแหวนวงนี้มาก่อน แหวนที่บิดาเคยเอาออกมาให้เธอดูในช่วงยังเป็นเด็กสาววัยกำดัด และบอกว่ามันอาจจะเป็นของเธอในอนาคต ในตอนนั้นนิชาภายังไม่เข้าใจถ้อยคำกำกวมบางอย่างที่บิดาเอ่ย จนมาถึงตอนที่ได้ยินคำพูดของนายพจน์ เธอก็เข้าใจแล้วว่าแหวนวงนี้เป็นแหวนที่หม่อมราชวงศ์สิคาลใช้หมั้นตัวเธอไว้นั่นเอง

"แหวนหมั้นอะไรกัน ชาไม่ต้องการหรอกค่ะ คุณพ่อ"

ปัญหาเรื่องแรกถูกพับเก็บลงชั่วคราว เมื่อนึกถึงปัญหาเรื่องที่สอง อาจเป็นเพราะนายขจรศักดิ์ยังผูกใจเจ็บเรื่องงานสวดพระอภิธรรมศพที่ผ่านพ้นไป เขาจึงส่งคนมาข่มขู่ทำท่าจะไล่ครอบครัวของพวกเธอออกจากบ้านอยู่เนืองนิจ มิหนำซ้ำยังคอยกีดกันไม่ให้น้องเขยที่มีอายุมากกว่าหาลู่ทางซื้อหรือเช่าบ้านจากใครได้

หลายคนเกรงอิทธิพลของอดีตเพื่อนนายภานพผู้นี้อยู่ไม่น้อย คนที่พอจะพึ่งพิงได้ก็มีแต่คุณชายปริศนาที่ไม่เคยมาร่วมงานศพเลยสักครั้ง นอกจากส่งทนายประจำตัวมาทำหน้าที่เป็นเจ้าภาพแทน เขาเคยเสนอหาบ้านให้กับครอบครัวที่กำลังตกทุกข์หนักของนิชาภา แต่หญิงสาวก็ทำใจแข็งปฏิเสธไปด้วยทิฐิของตนเอง จนกลายเป็นว่าความเครียดที่สั่งสมมาได้ออกฤทธิ์ให้เธอล้มลงอีกครั้ง และพลาดเรื่องที่ไม่ควรเข้า

ระหว่างที่นิชาภาเป็นลมหมดสติ หญิงสาวถูกช่วยเหลือโดยคนรู้จักที่ไม่ได้พบพานมานานหลายปี และทุกคนก็ประหลาดใจอยู่ไม่น้อยที่อดีตคนรับใช้ของนายภานพหวนคืนมาด้วยฐานะที่เหนือกว่า และไม่เกรงอิทธิพลของนายขจรศักดิ์เสียด้วย

เขาเสนอบ้านหลังหนึ่งให้เช่า โดยค่าเช่าอยู่ในราคาที่เรียกได้ว่าเกือบอยู่ฟรี นิชาภาไม่เห็นด้วยกับข้อเสนอที่เหมือนจะได้เปรียบนี้เลย แต่นิชดาก็รู้จักนิสัยของพี่สาวฝาแฝดดีเท่ากับคุณนายอรอุมาที่ไม่เคยควบคุมลูกสาวคนโตได้ ทั้งคู่จึงร่วมมือกันรวบรัดเซ็นสัญญาโดยไม่ถามความเห็นคนหัวดื้อ

แต่ปัญหาที่ไม่น่าจะมีก็ดันมีจนได้ เมื่อคุณนายอรอุมาไม่ยอมย้ายไปบ้านหลังใหม่ หลังจากรู้ว่าที่แห่งนั้นห่างไกลความเจริญ และความรุ่งโรจน์ที่เธอเคยคุ้น หลายคนพากันขู่แกมปลอบคุณนายที่ไม่ว่าจะตกอับอย่างไรก็ยังไม่ล้มเลิกแผนการที่จะให้ลูกสาวได้แต่งงานกับผู้ชายที่มีทั้งฐานะและชาติตระกูล ทำเอาคนเกือบถูกคลุมถุงชนไปหลายรอบต้องปวดศีรษะกับการรับมือมารดาที่ยากยิ่งกว่าการรับมือกับนายขจรศักดิ์

สุดท้าย นิชาภาจึงใช้วิธีที่ไม่จำเป็นก็ไม่อยากทำเท่าไร นั่นคือการวานโยฮันหลอกแม่ยายตัวเองว่า เพื่อนบ้านของบ้านหลังใหม่ที่ครอบครัวจะย้ายไปอยู่ มีฐานะและบรรดาศักดิ์ไม่น้อยหน้าเพื่อนบ้านแถบนี้ ซึ่งคำหลอกลวงนั้นทำให้คุณนายยอมย้ายไปด้วยท่าทางอิดออด

ครั้นพอทุกคนมาถึงบ้านหลังใหม่ก็ต้องมองบ้านยุโรปทรงเมดิเตอร์เรเนียนด้วยความแปลกใจไปตามกัน ด้วยสภาพของมันผิดคาดไปจากที่ได้ยินมาอยู่มากโข

บ้านยุโรปสีขาวที่พวกเขาเห็น อยู่ในสภาพเก่าโทรมตามอายุที่เกือบครบศตวรรษ ล้อมรอบด้วยสวนรกครึ้มที่ให้ความรู้สึกมืดมัว และพร้อมที่จะมีตัวอะไรโผล่ออกมาจากม่านไม้ได้ทุกโอกาส บรรดาหญิงสาวต่างวัยพากันขยับกายเข้าใกล้กันด้วยความหวาดปนขลาดต่อบรรยากาศหลอกหลอนของบ้านหลังนี้

“ที่นี่มันบ้านผีสิงหรือยังไงกัน ทำไมมันวังเวงแบบนี้” คุณนายอรอุมาบ่นอย่างอดไม่ได้กับสภาพเก่าโทรมที่ทำใจรับไม่ได้ อีกทั้งหน้าต่างบางบานยังเลื่อนหลุดออกจากกรอบทำให้คุณนายยิ่งเบ้ปากหนักขึ้นไปอีก

โยฮันหัวเราะแก้เก้อกับสภาพบ้านที่ผิดคาดไปมาก ภาพที่เขาเห็นนี่ นอกจากเก่าโทรมแล้ว เห็นทีคงต้องซ่อมบำรุงอีกบานตะไท

“ฉันไม่น่าเชื่อเธอเลย ให้ตายสิ!”

“ถ้าทำความสะอาดและซ่อมแซมส่วนที่เสียหน่อย เดี๋ยวก็น่าอยู่ขึ้นมาเองล่ะค่ะ” นิชาภาเอ่ยตัดบท เมื่อมารดายังคงบ่นไม่เลิก

“แต่ชาจ๊ะ บ้านเก่าซอมซ่อแบบนี้ เราจะเอาไปอวดใครได้” คุณนายอรอุมาเริ่มหาเหตุผลที่ทำให้หญิงสาวต้องถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่กับปณิธานอันแรงกล้าของมารดา

“แม่จะเอาไปอวดใครหรือคะ”

“ก็เพื่อนบ้านแถวนี้ไง เราต้องเข้าสังคมนะจ๊ะชาจ๋า”

“ผู้ดีพวกนั้นเขาไม่อยากคบค้าสมาคมกับเราหรอกค่ะ คุณแม่คงยังไม่ลืมนะคะว่าชามีลูกติดสองคน” หญิงสาวตอบกลับอย่างใจเย็น และย้ำในสิ่งที่คนทั่วไปรู้ให้มารดาฟังอีกครั้ง

“แต่พวกเขาเป็น...”

“คุณแม่คะ...” น้ำเสียงราบเรียบดังขัดขึ้นมาก่อนที่คุณนายจะทันได้พูดอะไรต่อ นางจึงได้แต่ทำท่าฮึดฮัดกับความดื้อที่ไม่สามารถกล่อมได้

“ไม่ว่าอย่างไร แก้วกับจอมก็เป็นลูกของชาแล้ว ถ้าคุณแม่อยากได้ผู้ชายที่ดีทั้งฐานะและชาติตระกูลมาเป็นลูกเขย เขาก็ต้องดีทั้งภายในภายนอก และต้องยอมรับลูกของชาเหมือนเป็นลูกของตัวเองให้ได้ด้วย”

“ผู้ชายดีๆ ที่ไหน เขาจะมาเอาผู้หญิงที่มีลูกแล้วหือ ยายชา” คุณนายอรอุมาเอ่ยอย่างอ่อนอกอ่อนใจ เมื่อสถานะของลูกสาวทำให้นางต้องพลาดลูกเขยดีๆ ไปหลายคน บางคนพอผ่านเกณฑ์ของเธอก็ยังต้องไปผจญกับเด็กแสบที่ถูกส่งมาวัดคุณค่าความเป็นพ่อเลี้ยงจนต้องหนีกระเจิดกระเจิงกันไปทุกราย

“ผู้ชายที่ดีแต่เปลือกไงคะ”

“ชา!!”

“คุณแม่ไปเลือกห้องและเก็บของเถอะค่ะ ชากะว่าจะเดินสำรวจบ้านใหม่เสียหน่อย จะได้รู้ว่ามีตรงไหนที่ต้องปรับปรุงบ้าง” นิชาภาตัดบทด้วยท่าทางเหนื่อยอ่อน แล้วปลีกตัวเดินจากไป โดยไม่ฟังคำทัดทานอะไรจากมารดาอีก



Create Date : 09 มิถุนายน 2554
Last Update : 20 มกราคม 2557 16:05:00 น.
Counter : 272 Pageviews.

0 comments
ชื่อ :
Comment :
 *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

ฌา
Location :
  

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]



New Comments
All Blog