พิษเสน่หา 47
๔๗ ฟ้าหลังฝน

พอผ่านพ้นสภาวะสงครามไปเพียงไม่กี่อึดใจ ทุกอย่างก็ดูเหมือนจะดำเนินไปตามปกติคล้ายไม่มีอะไรเกิดขึ้น หลักฐานเพียงอย่างเดียวที่ให้ผู้คนพากันจดจำ ว่าตัวเองได้ผ่านช่วงเวลาทุกข์ยากมา คือซากปรักหักพังของกลุ่มก่อจลาจล และก็มีอยู่คนหนึ่งที่ไม่ค่อยคุ้นกับสถานภาพใหม่ของตนเองเท่าไร

สิริกัญญามองดูนางกำนัลสามใบเถา ที่มาช่วยกันทำแผลบนท่อนแขนอย่างเหนื่อยหน่ายใจ ด้วยนับตั้งแต่ทั้งสามรู้ว่าเธอเป็นเจ้าหญิงสีน้ำเงิน ไม่ใช่ลูกสาวทาสของท่านจินดา หรือพระพี่เลี้ยงของเจ้าหญิงแสงอัปสรอีก นางกำนัลพวกนี้ก็แทบจะไม่ให้เธอได้แตะอะไรสักอย่าง สิ่งที่เคยทำมาในอดีตก็ถูกสั่งห้าม แม้แต่การทำแผลด้วยตัวเอง ซึ่งเธอมั่นใจว่าทำได้ดียิ่งกว่านางกำนัลสามใบเถาก็ยังถูกห้ามเช่นกัน

และที่น่าเจ็บใจที่สุดก็คือคุณหนูพระจันทร์ ที่ตอนนี้กำลังหวานแหววอยู่กับเจ้าหลวงพระอาทิตย์ ให้ความร่วมมือกับคุณผกาแก้ว พระนมของเจ้าหญิงแสงอัปสรที่เป็นตัวตั้งตัวตีในเรื่องนี้ทุกอย่าง!

“นี่...ข้าบอกแล้วว่าข้าทำเองได้ พวกเจ้าไปทำงานอื่นต่อเถอะ” ไม่รู้ว่าหญิงสาวพูดเป็นรอบที่เท่าไรแล้ว แต่นางกำนัลที่เธอทั้งรักทั้งชังก็ยังไม่ยอมไปทำงานอื่นเสียที ซ้ำยังพูดคำที่ชวนให้รู้สึกขนลุก จนเธอต้องเบ้ปากเบี้ยวอย่างไม่ชอบใจเท่าไร

“ไม่ได้เพคะ คุณนมสั่งไว้ว่าอย่าให้พระองค์หักโหมทำอะไรตอนนี้ ต้องทรงพักผ่อนมาก ๆ เพื่อให้พระพลามัยกลับมาแข็งแรงดังเดิม”

“ถ้าอย่างนั้นก็ขอร้องเถอะ หยุดพูดกับข้าด้วยคำราชาศัพท์พวกนั้นเสียที...”

เสียงกลั้วหัวเราะที่บอกอาการว่ากลั้นไว้ไม่อยู่ดังขึ้นตรงประตู เรียกสายตาคนในห้องให้หันไปมองผู้มาใหม่ ที่ยืนกอดอกพิงกรอบประตู พลางเอียงคอมองคนที่เข้ามายึดห้องพักชั่วคราวในตำหนักวิหคสุบรรณ ที่ทำหน้าอยากจะร้องไห้เต็มแก่ กับพฤติกรรมของนางกำนัลสามใบเถา ที่เคร่งครัดต่อคำสั่งของคุณผกาแก้วว่าให้ปฏิบัติตต่อเธอประดุจเจ้าหญิงทุกประการ

“เจ้าปาเยนทร์” สามใบเถาพากันย่อตัวให้ราเชนที่เลิกพิงกรอบประตู แล้วเดินเข้าไปในห้องของคนที่ส่งสายตาขอความช่วยเหลือมาเต็มที่

“จะเป็นไรไหม ถ้าข้าจะขอทำแผลให้สิริกัญญาตามลำพัง” ราเชนเอ่ยถามเสียงนุ่ม แต่ถ้อยคำสุดท้ายจงใจเน้นเสียงหนัก บอกถึงความประสงค์ของตัวเองอย่างไม่ปิดบัง

สามใบเถาพากันมองหน้าเลิ่กลั่ก ถ้าพวกเธอไม่ทำตามคำสั่งของคุณผกาแก้วก็กลัวว่าจะถูกทำโทษ แต่น้ำหนักความน่ากลัวยามขัดใจคนตรงหน้านั้นมีมากกว่า พวกเธอจึงเห็นพ้องต้องกันว่าปล่อยให้ทั้งคู่อยู่ตามลำพัง น่าจะปลอดภัยต่อสวัสดิภาพของตัวเองที่สุด ส่วนสิริกัญญาจะปลอดภัยด้วยหรือไม่นั้น พวกเธอขอไม่รับรู้คงเป็นการดีกว่า สามใบเถาจึงย่อตัวให้ราเชนอีกครั้ง

“งั้นพวกข้าขอตัวลาค่ะ”

ราเชนมองดูการจากลาของนางกำนัล ที่น่าจะเรียกว่าเผ่นหนีมากกว่าด้วยท่าทางขบขัน ก่อนหันไปมองสิริกัญญาที่ถอนหายใจเฮือกใหญ่กับการจากไปของพวกเธอ พลางนั่งลงบนเก้าอี้ชุดตัวยาวตัวเดียวกับร่างบอบบางที่ขยับตัวออกห่างตามความเคยชิน จนชายหนุ่มต้องเลิกคิ้วขึ้นด้วยความแปลกใจ

“หนีข้าทำไมน่ะ สิริกัญญา”

“ข้าเปล่าหนีนี่คะ แค่เว้นช่องว่างให้มีที่พอหายใจบ้างก็เท่านั้น” หญิงสาวตอบโดยไม่มองหน้าว่าที่คู่หมั้นที่ถูกเปลี่ยนเป็นว่าที่เจ้าบ่าว หลังจากที่มีประชุมลงมติให้ทั้งสามรัฐใช้วิธีแต่งงาน เพื่อเชื่อมสัมพันธไมตรี

“ตั้งแต่กลับมาปามะห์ เจ้าดูแปลกไปนะ”

มันจะไม่แปลกไปได้อย่างไร ในเมื่อหัวสมองของเธอตอนนี้เต็มไปด้วยภาพของตัวเองที่โผเข้ากอดราเชน อีกทั้งยังเป็นฝ่ายจูบเขาก่อนเสียด้วย รสสัมผัสในตอนนั้นมันยังติดตรึงอยู่บนริมฝีปากไม่คลาย ครั้นพอมองหน้าชายหนุ่มทีไร หน้าก็พาลจะแดงเห่อด้วยความอับอายทุกที ซึ่งเจ้าตัวไม่รู้หรอกว่าขณะนี้ใบหน้าของตัวเองกำลังแดงเสียยิ่งกว่าลูกตำลึงสุก ให้อีกฝ่ายจ้องมองด้วยความเอ็นดู

ราเชนไม่รู้หรอกว่าทำไมสิริกัญญาถึงได้กลายเป็นหญิงสาวขี้อายขึ้นมากะทันหัน แต่ที่เขารู้ก็คือหากเธอไม่รีบกลับไปเป็นปกติโดยเร็ว ความอดทนที่มีอยู่น้อยนิดก็อาจจะขาดผึงลงได้ง่าย และเขาคงทำให้อีกฝ่ายร้องไห้อีกครั้ง ด้วยแรงปรารถนาที่ยากจะหาทางระบาย แล้วดวงตาคมกริบก็ทอแววอ่อนลง เมื่อสายตาพลัดไปเห็นรอยแผลเต็มสองแขน

นิ้วเรียวลูบไล้ไปตามรอยแผลที่มีทั้งรอยตื้นและรอยลึก ที่น่าจะปลิดชีพเจ้าของไปนานนม ซึ่งมันทำให้ราเชนรู้สึกเหมือนหัวใจถูกช่วงชิงไป เมื่อนึกภาพที่สิริกัญญาปกป้องตัวเองยามจะถูกสิงหนาทข่มเหง ชายหนุ่มรู้สึกเจ็บใจตัวเอง ที่ปล่อยให้ชายอื่นมาแตะต้องผู้หญิงของตัวเอง ทั้งที่ริมฝีปากคู่นั้น และเรือนกายบอบบางนี้ควรจะมีแต่รอยสัมผัสของเขาเพียงผู้เดียว

“ยังเจ็บอยู่ไหม” ชายหนุ่มเอ่ยถามขึ้นแผ่วเบา พลางหยิบยาขึ้นมาทาต่อ

“ไม่เจ็บแล้วค่ะ” สิริกัญญาตอบกลับเสียงเบา ดวงตาก็จับจ้องนิ้วเรียวยาวที่หยิบจับอะไรคล่องแคล่ว ซ้ำสัมผัสของเขาก็แผ่วเบาเสียจนเธอไม่รู้สึกเจ็บเลยสักนิด

“น่าเสียดายแขนสวย ๆ ของเจ้า มันคงเป็นรอยแผลเป็นน่าเกลียดทีเดียว”

“ข้าไม่สนใจแผลเป็นพวกนี้หรอกค่ะ” น้ำเสียงของสิริกัญญาบอกให้รู้ว่าไม่สนใจรอยแผล ที่ตัวเองเป็นคนทำตามที่พูด และราเชนก็ไม่ค่อยชอบใจเท่าไรที่หญิงสาวไม่ดูแลตัวเอง เขาจึงต้องมาเป็นเดือดเป็นร้อนแทนให้

มือหนายกท่อนแขนเพรียวที่พันผ้าพันแผลเสร็จเรียบร้อยขึ้นพรมจูบแผ่วเบา ไล่ตั้งแต่เรียวนิ้วเล็กไปจนถึงข้อพับ ที่ทำให้ได้กลิ่นกายหอมหวานของหญิงสาวที่นั่งตัวเกร็ง กับช่องว่างที่หดสั้นลงเรื่อย ๆ แล้วความคิดหนึ่งก็แวบผ่านเข้าสมองของชายหนุ่มขึ้นมา เขาเริ่มนึกขึ้นได้ว่ามันจะเป็นอย่างไร หากกลิ่นหอมหวานนี้ถูกเปลี่ยนให้เป็นกลิ่นกายของเขาแทน

สิริกัญญาไม่กล้าส่งเสียง เมื่อเห็นดวงตาสีถ่านทอแววแปลกไป และแววตานั้นก็ทำให้เธอรู้สึกกลัวอย่างบอกไม่ถูก หญิงสาวพยายามดึงท่อนแขนของตัวเองออกจากอุ้งมือหนา พลางถอยตัวออกห่างจากร่างสูงใหญ่ที่ถูกดำกฤษณาเข้าครอบครอง แต่ยิ่งเธอทำแบบนี้ มันก็เหมือนกับว่าตัวเองเป็นแมลงตัวน้อยที่ดิ้นรนอยู่บนใยแมงมุมเหนียวนุ่ม ที่ยิ่งดิ้นก็ยิ่งมัดตรึงจนไปไหนไม่รอด

ราเชนไม่ได้จู่โจมสิริกัญญาอย่างจาบจ้วง ชายหนุ่มไล่นิ้วไปตามความยาวของท่อนแขนเพรียวบางจนถึงหัวไหล่กลมมน ก่อนโอบแผ่นหลังบอบบาง แล้วรั้งร่างเล็กเข้ามาหาอย่างเชื่องช้า ดวงตาคมกริบสะกดให้หญิงสาวรู้สึกเหมือนตัวเองถูกครอบงำด้วยมนตรา ลืมสิ้นว่าการขัดขืนนั้นเป็นอย่างไร

คราครั้งแรกที่ริมฝีปากได้สัมผัสกัน มันให้ความรู้สึกแผ่วเบาดุจสายลม แล้วมันก็แปรเปลี่ยนเป็นเปลวไฟดวงเล็กที่เต้นระริกไปตามสายลมที่พัดมาผะแผ่ว และดวงไฟนั้นก็ค่อยขยายใหญ่ตามแรงลมที่ก่อตัวมากขึ้น มันดูเร่งเร้าและรุนแรงจนหญิงสาวต้องขืนตัวถอยหนี ด้วยกลัวว่าตัวเองจะถูกแผดเผาด้วยไฟแห่งอารมณ์นั้น

“อย่า...รา...อุ”

ริมฝีปากจิ้มลิ้มถูกปิดลงอีกครั้ง และมันทำให้สิริกัญญาเพิ่งรู้ว่าแผ่นหลังสัมผัสกับเบาะนุ่มของเก้าอี้ยาว โดยมีร่างสูงใหญ่ทาบทับลงมาชนิดไม่เหลือช่องว่างให้เธอได้พลิกตัวหนี หญิงสาวพยายามผลักดันร่างแข็งแกร่ง เพื่อประท้วงการคุกคามที่เป็นไปอย่างเชื่องช้า แต่ยิ่งผลัก เธอก็รู้สึกเหมือนกับว่าตัวเองถูกดูดให้จมลึกอยู่ในวงแขนที่พันธนาการรอบกาย

ร่างบอบบางสะท้านเฮือกขึ้นมา เมื่อมือหนาปลดกระดุมหน้าอก จนสัมผัสได้ถึงลมเย็นที่เข้ามาห้ำหั่น แย่งชิงพื้นที่ไอร้อนที่โอบคลุมทั่วร่าง ริมฝีปากที่เคยปิดกลั้นเสียงประท้วง เริ่มสัมผัสไปตามดวงหน้าและซอกคอหอมกรุ่น ที่พอลิ้มลองดูแล้วก็ให้ความรู้สึกหวานนุ่มลิ้น

สิริกัญญากะพริบตาปริบอย่างไม่รู้ว่าตัวเองจะทำอย่างไรในสถานการณ์นี้ดี เธอควรจะร้องห้ามใช่ไหม แต่ตอนนี้เธอไม่รู้แล้วว่าการร้องห้ามนั้นเป็นอย่างไร ด้วยมีเสียงแปลก ๆ ที่เธอไม่รู้จักลอดผ่านริมฝีปากออกมา

“อือ...หยุด...หยุดเถอะ ราเชน! ข้าขอร้อง!”

มันไม่ดีแน่ หากจะปล่อยให้เรื่องดำเนินต่อไปแบบนี้ สิริกัญญาพยายามส่งเสียงร้องห้าม เพราะเธอไม่รู้ว่าควรจะวางมือไว้ที่ไหนดี เมื่อชุดของชายหนุ่มก็ดูจะเลื่อนออกด้วยมือของตัวเอง เหมือนกับว่าเธอเป็นคนถอดชุดของเขา เพื่อสัมผัสกับผิวกายที่เต็มไปด้วยกล้ามเนื้อแข็งแรง

สำนึกของสิริกัญญาถูกแบ่งออกเป็นสองฝ่าย มีฝ่ายดีที่คอยส่งเสียงให้เธอรีบร้องห้ามการกระทำของราเชน กับฝ่ายร้ายที่ยั่วยุให้เธอปล่อยตัวปล่อยใจไปตามอารมณ์ที่ถูกนำ และสองฝ่ายนี้ก็คอยตบตีกันจนหญิงสาวทำอะไรไม่ถูก ได้แต่สั่นสะท้านไปกับมือใหญ่ที่ไม่ได้ทำแค่ปัดผ่านทรวงอกให้ใจหายวาบอีกต่อไป และริมฝีปากนุ่มคู่นั้นก็ทำให้เธอรู้ว่ารัญจวนใจนั้นเป็นเช่นไร

“อึ...ขอร้อง...ล่ะ หยุดที”

ริมฝีปากเรียวบางพยายามกดเสียงรัญจวน ที่แทบจะทำให้เธออกระเบิดหากไม่ได้ระบายออกไป และบังคับให้มีแต่เสียงร้องห้าม ที่เริ่มไม่มั่นใจเสียแล้วว่าชายหนุ่มจะหยุดตามคำขอ แล้วหญิงสาวก็เริ่มร้องสะอื้นออกมา เมื่อรู้สึกถึงความผิดปกติของร่างกาย

ราเชนได้ยินเสียงร้องไห้ของสิริกัญญา ใจของเขาอยากหยุดตามคำขอร้องนั้น แต่ร่างกายมันไม่ยอมทำตามคำสั่ง ชายหนุ่มบดเบียดร่างกายกับร่างบอบบางจนแทบจะกลืนกินมันไป ความปรารถนาที่ถูกปลดปล่อยออกไปราวลูกธนู ไม่อาจเรียกให้หวนคืนมาได้ นอกจากพุ่งไปตามแรงยิง

“อย่าร้องไห้ สิริกัญญา” ชายหนุ่มพรมจูบไปตามเนียนแก้มที่เปรอะเปื้อนด้วยคราบน้ำตา พลางรั้งร่างบอบบางให้แนบชิดยิ่งขึ้น

“ไม่เอา...แบบนี้ ไม่เอา...หยุดเถอะ ราเชน...หยุดที”

มันหยุดไม่ได้แล้ว เขาห้ามใจไม่ให้แตะต้องเธอไม่ได้แล้ว...ราเชนร้องตอบออกไปในใจ พลางปิดริมฝีปากที่ส่งเสียงสะอื้น และกล่อมให้ร่างบอบบางคล้อยไปตามทางที่ชายหนุ่มชี้นำ

- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -


ภาพที่สะท้อนอยู่ในกระจก คือภาพของชายที่เข้าสู่วัยชราที่มีสีหน้าสับสน คล้ายคนหลงทางอยู่ในวงกตและหาทางออกไม่ได้ เบื้องหลังคือแสงอรุณที่กำลังสางเส้นผมสีขาวที่ยาวถึงสะโพกของบิดา ด้วยใบหน้าเรียบเฉย แล้วริมฝีปากที่ปิดสนิทมาตลอดก็หยักยกขึ้น เมื่อได้เห็นสีหน้าของคนเบื้องหน้า

“ยังมีเรื่องกลุ้มใจอะไรอีกหรือครับ” แสงอรุณเอ่ยขึ้นโดยไม่มองหน้าบิดาที่ส่งยิ้มให้บุตรชายทางกระจก

“สีหน้าพ่อคงเด่นชัดมากเลยสินะ”

“ก็ไม่ถึงขนาดนั้นหรอกครับ แค่ท่านพ่อทำท่าเหมือนกับว่าเลือกไม่ถูกว่าจะให้อะไรเป็นอะไร ทั้งที่ความจริงแล้ว หากท่านพ่อลองปล่อยวางมันลง ท่านพ่ออาจเห็นว่ามันจะดำเนินไปตามครรลองที่ควรเป็นก็ได้”

คำแนะนำของลูกชายทำให้คนสับสนคลี่ยิ้มอย่างคนที่ตัดปลงไม่หมด หรือบางทีแล้วท่านอาจจะเป็นพวกคิดมากเกินเหตุ จึงไม่ยอมวางมือจากเรื่องพวกนี้เสียที “ที่พ่อห่วงตอนนี้ก็คงเป็นเรื่องของปลายมาศ ทุกคนอาจคิดว่าคนที่พ่อพยายามปกปิดไม่ให้ใครรู้ฐานะที่แท้จริงคือสิริกัญญา ทั้งที่สิ่งที่พ่อทำมันตรงกันข้ามเสียด้วยซ้ำ”

แสงอรุณมองผู้ให้กำเนิดที่ยังรู้สึกผิดอยู่เต็มจิตใจ เมื่อความจริงอันโหดร้ายกำลังบอกว่าท่านใช้ลูกสาวของตัวเอง เป็นเหยื่อล่อเหล่าผู้หิวกระหายให้จดจ้องมายังเธอ เบี่ยงเบนความสนใจของผู้คนออกจากคนที่ถอดเค้ามาจากผู้ให้กำเนิด ชนิดที่มองแวบเดียวก็รู้ว่าเป็นใคร ซึ่งไม่รู้ว่ามันเป็นความโชคดีหรือไม่ ที่มีคนรู้จักผู้ให้กำเนิดของปลายมาศอยู่ไม่กี่คน

“ปลายมาศเป็นคนที่เข้าใจอะไรได้ง่าย เขาต้องรู้แน่ว่าทำไมท่านพ่อถึงทำแบบนี้”

“เจ้าว่าพ่อเป็นพวกยึดติดไหม” ท่านจินดาเอ่ยถามอย่างลังเล และท่านก็ได้รับคำตอบโดยไม่ต้องคิดจากบุตรชาย

“ยึดติดมากเลยครับ”

เสียงถอนหายใจดังออกมาเฮือกใหญ่จากประธานองคมนตรี ที่ขณะนี้เส้นผมสีขาวถูกซ่อนอยู่ใต้วิกผมสีดำแซมสีดอกเลาที่ยาวประบ่า ซึ่งแสงอรุณก็จัดการมัดรวบด้วยริบบิ้นไหมสีดำ ที่เริ่มเปื่อยยุ่ยไปตามกาลเวลา เช่นเดียวกับตัวเจ้าของ

“แล้วถ้าพ่อบอกว่าพ่อจะกลับกูราล่ะ” องคมนตรีเฒ่าเหลือบมองลูกชาย ที่ทำสีหน้าสงสัยมาทางกระจก ก่อนรีบเสริมในสิ่งที่ยังไม่ได้พูดต่อ “ไม่ได้กลับไปอยู่ถาวรหรอก แค่ไปช่วยวิวัสวัตจัดการทุกอย่างให้เข้าที่เข้าทาง แต่กว่ามันจะเรียบร้อยก็คงกินเวลาเป็นปี พ่อเลยห่วงที่นี่ที่ไม่มีคนดูแล”

แสงอรุณกระตุกยิ้มกับคำบอกเล่าของบิดาที่ทำเหมือนเด็กถูกจับผิด “ข้าคิดว่าท่านพ่อจัดการหาผู้ดูแลพรหมเทวาไปแล้วมากกว่า เพียงแต่ไม่มั่นใจเท่านั้น”

ท่านจินดาถอนหายใจออกมาอีกเฮือกกับความรู้เท่าทันของแสงอรุณ ซึ่งท่านวางใจว่าเขาคงจัดการเรื่องทุกอย่างแทนท่านเรียบร้อยแล้ว “งั้นที่น่าห่วงอย่างเดียวก็คงมีแต่ปัฐวิกรณ์ พ่อหวังว่าเจ้าคงหาทางทำให้เขาไม่ตามราวีพ่อไปถึงที่โน่นหรอกนะ”

แม้แต่ท่านจินดายังทำท่าไม่มั่นใจ ว่าบุตรชายจะขัดขวางการตามจองล้างจองผลาญของเจ้าแผ่นดินสีทองได้สำเร็จ แล้วคนที่ต้องอยู่รอรับลูกระเบิดอย่างแสงอรุณ มีความมั่นใจแค่ไหนกันที่จะหยุดยั้งการกระทำของเจ้าหลวงผู้นั้น ชายหนุ่มหัวเราะแผ่วเบาในลำคอ ก่อนโคลงศีรษะไปมา

“ก็แล้วแต่ฟ้าจะบันดาลเถอะครับ แต่ข้าเชื่ออยู่อย่างหนึ่งว่าฟ้ามักตามใจท่านพ่อเสมอ”

- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -


หากการถอนหายใจหนึ่งครั้งคือการถอนอายุของตัวเองหนึ่งวัน และหากคนเรามีอายุขัยสิ้นสุดที่หนึ่งร้อยปี ท่านจินดาก็คิดว่าท่านได้ถอนอายุของตัวเองไปหมดสิ้นแล้ว เมื่อขณะนี้ท่านถอนหายใจเอาช่วงเวลาที่เหลือออกมาในคราวเดียว ท่านมองบานทวารที่กั้นใครบางคนไว้ด้านหลัง ด้วยท่าทางลังเลเล็กน้อยว่าจะเข้าไปบอกความต้องการของตัวเองดีหรือไม่ แต่อย่างน้อยท่านต้องเข้าไปบอกความต้องการอันแรกสุด ซึ่งท่านไม่คิดจะให้เจ้าหลวงปฏิเสธเด็ดขาด

พอคิดได้ดังนั้น องคมนตรีเฒ่าก็เปิดบานทวารเข้าไป และท่านก็ได้พบว่าเจ้าหลวงทรงมีแขกอยู่ ซึ่งแขกที่ว่าก็ไม่ใช่ใครที่ไหน แต่เป็นเจ้าหลวงวิวัสวัตที่ท่านคิดจะไปพบ หลังจากบอกความประสงค์ของตัวเองกับเจ้าแผ่นดินสีทองพอดี

“โอ...สงสัยวันนี้คงเกิดจันทรคราสแน่ คนสำคัญของกูราแวะเวียนมาหาข้าพร้อมกันถึงสองคนแบบนี้”

ในสุรเสียงของเจ้าหลวงมีรอยประชดประชันแฝงอยู่ ซึ่งทำให้ท่านจินดาหันไปมองเจ้าหลวงวิวัสวัตที่แย้มโอษฐ์ออกมาเล็กน้อย ด้วยไม่ทราบว่าทรงตรัสอะไรให้อีกฝ่ายขุ่นข้องหมองพระทัย แต่จะว่าไป พระอารมณ์ของฟ้าที่อยู่เหนือแผ่นดินสีทอง ก็มืดครึ้มมาตั้งแต่วันที่ท่านจินดาประกาศตัวว่าตนเองเป็นใคร ต่อหน้าที่ประชุมแล้ว

“ทรงกริ้วเรื่องอะไร” ท่านจินดาเอ่ยถามอย่างไม่เข้าใจว่าตัวเองไปทำอะไรให้เจ้าแผ่นดินสีทองเกิดอาการเหม็นขี้หน้า จนไม่ยอมหันมาสบเนตรกับท่าน

“เปล่านี่” เจ้าหลวงตรัสตอบเสียงขุ่น ก่อนเท้าพระหนุ พลางทอดพระเนตรออกไปด้านนอก ซึ่งพระอาการแบบนี้บอกได้คำเดียวว่าควรง้อเท่านั้นถึงจะหายกริ้ว ซึ่งท่านจินดาก็ยังไม่รู้ต้นสายปลายเหตุว่าท่านไปทำอะไรให้กริ้ว

“วิวัสวัต ขอข้าคุยกับปัฐตามลำพังหน่อย แล้วก็อย่าเพิ่งไปไหนนะ ข้ามีธุระจะพูดด้วย”

เจ้าหลวงวิวัสวัตทรงลุกขึ้นโดยไม่ตรัสอะไร แต่ท่านจินดาก็เห็นว่าตรงมุมโอษฐ์หยักยกขึ้น คล้ายขบขันกับอาการแง่งอนของสองผู้อาวุโส ที่ทำตัวไม่สมอายุเอาเสียเลย ก่อนเสด็จออกจากห้องให้องคมนตรีเฒ่าได้อยู่ตามลำพังกับเจ้าแผ่นดินสีทอง

ครั้นลับร่างบุคคลที่สามไป ท่านจินดาก็หันไปมองเจ้าหลวงที่ยังทรงทำท่าทางแง่งอนไม่เลิก จึงระบายลมหายใจออกมาอย่างเชื่องช้า “ทั้งที่เจ้าเป็นคนบอกข้าเองแท้ ๆ ว่าเป็นคนแก่ ทำตัวงอนแบบเด็ก ๆ มันไม่ดี แต่เจ้าก็กลับมาทำตัวแบบนี้ โกรธเรื่องอะไรกัน”

“ข้าไม่ได้โกรธเจ้า” เจ้าหลวงตรัสพึมพำแผ่วเบา ก่อนถอนปัสสาสะออกมาเฮือกใหญ่ เมื่อทรงรู้สึกถึงการจับจ้องที่บอกว่าไม่เชื่อในสิ่งที่ทรงตรัส “ข้าโกรธตัวเองที่สุดท้ายแล้วก็ต้องให้เจ้าเข้ามาเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้จนได้ ทั้งที่สัญญาไว้แล้ว”

คำสัญญาเมื่อครั้งเยาว์วัยของเจ้าชายที่แทบไม่มีความสำคัญอะไรกับปามะห์ ที่เอ่ยกับเด็กน้อยแปลกหน้า ทำให้ท่านจินดาคลี่ยิ้มออกมา ท่านรู้ว่าคนตรงหน้าถือสัจจะจริงจัง และมีความฝันมากมายที่ทำให้ท่านนึกอยากให้ความฝันเหล่านั้นเป็นจริงให้ได้สักอย่าง ท่านเฝ้ามองเจ้าชายไร้ค่าที่ผงาดขึ้นเป็นเจ้าเหนือแผ่นดินมาตลอด จนรู้ว่าคนผู้นี้เป็นคนที่ควรค่าแก่การมอบชีวิตให้

“ข้าขอเข้าไปยุ่งเกี่ยวเองต่างหาก จะโกรธตัวเองไปทำไม”

“ก็เพราะข้าไม่ได้เรื่อง เจ้าถึงต้องยื่นมือเข้ามายุ่งไง” เจ้าหลวงตรัสเสียงฉิว ก่อนตวัดสายพระเนตรไปทางองคมนตรีเฒ่าที่เดินเข้ามานั่งบนเก้าอี้ชุดฝั่งตรงข้าม “แล้วเจ้าก็ต้องกลับไปกูรา กลับไปบ้านที่เจ้าไม่อยากอยู่ ทั้งที่ข้าอุตส่าห์พาเจ้าออกมาได้แล้ว”

ท่านจินดาไม่จำเป็นต้องพูดอะไร เจ้าหลวงก็ทรงเดาได้ว่าท่านจะทำอะไรต่อ “ไม่ได้ไปอยู่ถาวรเสียหน่อย ข้าแค่กลับไปทำให้ทุกอย่างเข้าที่เข้าทางเหมือนเดิม ก็สัญญาแล้วว่าจะอยู่ด้วยกัน จะคอยช่วยเหลือให้เจ้าปกครองแผ่นดินนี้จนกว่าฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดจะตายไป ไม่เชื่อใจข้าหรือไง”

“แล้วกว่าทุกอย่างจะเข้าที่เข้าทางต้องใช้เวลากี่ปีกัน เจ้าจะทนอยู่ในฐานะเทพราชาแห่งน่านฟ้ามืดไปได้นานเท่าไร”

ไม่มีคำตอบใดหลุดออกมาจากท่านจินดา นอกจากรอยยิ้มนุ่มละมุนที่ประดับอยู่บนใบหน้าเป็นนิจ เจ้าหลวงทำท่าฟึดฟัดอย่างขัดพระทัย แต่ทรงกระทำได้ไม่นานก็ต้องหยุด เมื่อองคมนตรีเฒ่ายังคงนั่งเฉย ไม่ปริปากง้อให้หายงอนอย่างที่แล้วมา

“เจ้าอยากได้อะไร”

ท่านจินดาเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย กับคำถามที่พุ่งตรงมาเสียจนตั้งตัวไม่ทัน “รู้ได้ยังไง หน้าข้ามันเขียนไว้หรือว่าอยากได้อะไร”

เจ้าหลวงแสยะโอษฐ์เบี้ยว ก่อนทิ้งเสียงหึลงพระศอ “เรารู้จักกันมากี่ปีแล้วจินดา ไอ้ยิ้มนุ่ม ๆ หวาน ๆ เหมือนขนมสายไหม กับสายตาของเจ้าที่เหมือนกับรอคำอนุญาตจากข้าน่ะ มันเป็นวิธีที่เจ้าใช้ยามอยากได้อะไรสักอย่างจากข้า” ทรงตรัสได้แค่นั้นก็พ่นลมผ่านนาสิก เพราะแต่ละเรื่องที่องมนตรีเฒ่าขอมา มักเป็นสิ่งที่พระองค์ไม่ค่อยเต็มพระทัยอยากให้เสียเท่าไร

“เจ้าอยากได้อะไร จินดา”

“ข้าอยากเป็นผู้ประหารแสงสุรีย์เอง”

คำตอบของท่านจินดาทำเอาเจ้าหลวงชะงักงัน พระองค์ทำพักตร์บิดเบี้ยวกับความต้องการที่หลุดออกมาจากคนที่ยังทำหน้าละมุนละไม ซึ่งมันผิดไปจากที่ทรงคาดไว้มาก เพราะทรงคิดว่าองคมนตรีเฒ่าจะต้องทำหน้าโศกเศร้า ยามเอ่ยถึงภรรยาเอกที่ตัวเองรักอย่างหัวปักหัวปำ

“คนที่จะประหารแสงสุรีย์ได้ต้องเป็นข้าเท่านั้น” ท่านจินดาเน้นย้ำอีกครั้ง เมื่อเห็นว่าเจ้าหลวงยังไม่ตรัสอนุญาต แล้วดวงตาสีฟ้าครามก็ทอแวววาบขึ้น “ใครก็ตามที่ทำให้ภรรยาของข้ามีริ้วรอย ข้าจะทำให้มันผู้นั้นต้องพบกับความทรมานเจียนตาย”

“จินดา...” เจ้าหลวงทรงกลืนพระเขฬะอย่างลำบาก เมื่อคนตรงหน้าไม่ใช่ประธานองคมนตรีแห่งปามะห์ แต่เป็นเทพคลั่งที่พร้อมจะมอบความวอดวายให้แก่ผู้ขัดขืน “...เจ้าจะฆ่าคนที่เจ้ารักที่สุดด้วยมือของเจ้าได้หรือ เจ้าที่ต้องทุกข์ระทมกับความตายของผู้คนเสมอมานี่นะ”

“ข้าตัดสินใจแล้ว”

มันเป็นคำตอบที่สั้นและชัดเจนที่สุดสำหรับท่านจินดา เจ้าหลวงสบเนตรกับองคมนตรีเฒ่าอย่างชั่งพระทัย ก่อนพยักพักตร์ตอบกลับไป “มันจะเป็นไปตามความต้องการของเจ้า จินดา”

- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -


ท่านจินดามองดูกลุ่มควันที่ม้วนตัวขึ้นสูงเหนือผิวน้ำสีชาแก่ ด้วยท่าทางครุ่นคิดถึงสิ่งที่ตัวเองได้ตัดสินใจทำไป ก่อนเงยหน้าขึ้นมองภรรยาเอกที่ยังนั่งนิ่ง ไม่ยอมพูดยอมจาอะไร นับตั้งแต่ท่านแวะมาเยี่ยมเยียน สถานที่ที่ใช้คุมขังเธอ มันเป็นสถานที่ใช้สำหรับกักขังเหล่าเชื้อพระวงศ์ที่คิดทำการก่อกบฎต่อแผ่นดินสีทอง อันเป็นความสะดวกสบายเพียงสิ่งเดียวที่เจ้าหลวงทรงมอบให้ได้

มือเรียวยกขึ้นสัมผัสเส้นผมสีแดง ที่ถูกปล่อยยาวให้กระจายอยู่เต็มแผ่นหลังอย่างเผลอไผล และแวบหนึ่งที่ท่านจินดาได้มองเสี้ยวหน้าด้านข้างของภรรยาเอก ท่านรู้สึกเหมือนกับว่าได้เจอหญิงสาวที่มีดวงตาหยิ่งทะนงคู่นั้นอีกครั้ง แววตาที่เต็มไปด้วยเปลวเพลิงอันร้อนแรงเหมือนกับท่าน ซึ่งท่านก็รู้ได้ไม่ยากว่าอีกฝ่ายกำลังถูกบางอย่างกัดกินจนแทบจะบ้าคลั่งไปเช่นเดียวกัน

ท่านจินดาไล่นิ้วไปตามลำคอระหง ที่ท่านต้องลงดาบด้วยมือของตนเองแผ่วเบา พลางนึกถึงบทสนทนาที่เอ่ยกับเจ้าหลวงวิวัสวัตก่อนมายังที่คุมขังของแสงสุรีย์ ท่านยังจำแววเนตรที่แสดงความตกพระทัยยามท่านเอ่ยถึงดาบแก้วกาฬได้ดี ซึ่งท่านได้แจ้งเจตจำนงค์จะให้ปลายมาศ ไปอัญเชิญดาบประจำตัวของเจ้าแห่งน่านฟ้ามืดมา เพื่อใช้ในการประหารภรรยาเอกโดยเฉพาะ

“เจ้ายังจำสัญญาระหว่างเราได้ไหม แสงสุรีย์” ท่านจินดาเอ่ยถามแผ่วเบา พลางละปลายนิ้วออกจากลำคอสวย

“ข้าไม่เคยลืมสัญญาทุกข้อที่เคยทำไว้กับท่าน” แสงสุรีย์ตอบกลับอย่างเชื่องช้า น้ำเสียงที่เอ่ยออกมานั้นดูราบเรียบไร้อารมณ์ ซึ่งมันได้ทำร้ายดวงใจของท่านจินดาเสมอมา

“ชีวิตต่อชีวิต...” องคมนตรีเฒ่าพึมพำด้วยท่าทางเลื่อนลอย มันเป็นคำสัญญาที่รู้กันระหว่างท่านและภรรยาเอก ที่ลงมือพรากเอาคนที่ท่านรักไปทีละคนตามจำนวนชีวิตของชาวสีน้ำเงินที่ท่านขอ

“คราวนี้ก็เหลือชีวิตสุดท้ายที่ยังไม่ได้ชดใช้”

แสงสุรีย์เงยหน้าขึ้นมองสามีที่เปลี่ยนมานั่งคุกเข่าอยู่ตรงหน้า ผู้ชายที่มีชะตากรรมอันทุกข์ตรมเช่นเดียวกับเธอ แต่เขาก็เลือกที่จะหนีมัน ซึ่งตรงข้ามกับเธอที่เลือกเผชิญหน้ากับความโหดร้ายนั้น ดิ้นรนหาทางรอดให้กับตัวเอง กรีดร้องกับความเจ็บช้ำในมุมหนึ่งของห้วงแห่งความเงียบ และอยู่อย่างเดียวดายเสมอมา

“เจ้าปกป้องชีวิตของสิริกัญญากับปลายมาศตามที่ข้าขอ และเจ้าก็ได้ขอชีวิตของข้าเป็นสิ่งแลกเปลี่ยน” ท่านจินดาเว้นช่วงคำพูดไว้ และกุมสองมือของภรรยาเอกขึ้นมาจุมพิตแผ่วเบา “หากเจ้าอยากให้ข้าตายตอนนี้ ข้าก็พร้อมที่จะตายด้วยมือเจ้า”

“ข้ายังไม่ให้ท่านตายตอนนี้” แสงสุรีย์เอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงแหบแห้งเหมือนคนขาดน้ำ พลางสบจ้องกับดวงตาสีฟ้าครามที่ทอแววรวดร้าวต่อความปรารถนาที่ไม่สมหวัง

“แล้วเวลานั้นจะมาถึงเมื่อไรล่ะ...เวลาตายของข้า”

“เมื่อถึงเวลาท่านจะรู้เอง”



Create Date : 02 เมษายน 2551
Last Update : 2 เมษายน 2551 20:04:30 น.
Counter : 378 Pageviews.

1 comments
  
สิงหนาทตายง่ายจัง
โดย: ตัวเล็ก IP: 125.26.21.238 วันที่: 6 เมษายน 2551 เวลา:12:41:18 น.
ชื่อ :
Comment :
 *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

ฌา
Location :
  

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]



New Comments
All Blog