พิมพ์เสน่หา 6
ตอนที่ ๖ เงาโศก

เสียงหวีดร้องที่ดังมาจากรถไฟเหาะตีลังกาดึงสายตาเด็กหญิงสองคนให้หันไปมองด้วยความตื่นเต้นระคนเสียดายครั้งแล้วครั้งเล่า เพราะความที่ส่วนสูงไม่ได้มาตรฐานตามที่กำหนดทำให้ไอศวรากับพรพิมลต้องชวดเครื่องเล่นชิ้นนี้ไปเป็นอันดับแรก แล้วต้องมานั่งมองหน้ากันตาละห้อยอยู่ในรถม้า โดยมีอัษฎาวุธหัวเราะอย่างสนุกกับม้าโยกเยกสีขาวที่อยู่ด้านข้าง ซึ่งหากไม่มีเจ้าน้องชายคนนี้แล้ว บางทีพวกเธออาจจะได้เล่นเรือล่องแก่นซ้ำเป็นรอบที่สามแล้วก็ได้

ครั้นหมดรอบของม้าหมุน ไอศวรากับพรพิมลก็จูงมือกันเดินลงจากเครื่องเล่นที่ไม่ได้สร้างความสนุกกับพวกเธอเลยสักนิด พลางพยายามทำหูทวนลมกับคำขอร้องของเด็กชายคนเดียวในกลุ่มที่อยากจะนั่งเครื่องเล่นชนิดนี้อีกรอบ กรรมเลยตกอยู่ที่ศศินที่พยายามปลอบหลานคนเล็ก และหาเครื่องเล่นชิ้นอื่นมาล่อ แล้วเดินตามหลังเด็กหญิงที่เข้ากันได้ดีจนน่าตกใจ

ตอนแรกศศินกังวลจะเป็นจะตาย กลัวว่าเด็กหญิงสองคนที่เดินจูงมือราวกับเป็นเพื่อนสนิทที่รักใคร่กันมานานจะเข้ากันไม่ได้ เพราะนิสัยของพรพิมลออกจะแปลกเกินเด็กไปหน่อย หรือถ้าพูดให้เข้าใจได้ง่ายก็เรียกว่าโตเกินวัย ทำให้ไม่ค่อยมีเด็กวัยเดียวกันอยากคบหากับเธอเท่าไร

ส่วนไอศวราก็ใช่ย่อยเสียที่ไหน พอโดนพรพิมลใช้ดวงตาที่คมกริบเหมือนมีดโกนจดจ้องมา แทนที่จะหลบสายตาแบบคนทั่วไปก็เล่นจ้องกลับด้วยแววตาที่พร้อมจะหาเรื่องเต็มที่ แล้วเขาก็ไม่รู้ว่า เด็กหญิงสองคนนี้ไปทำความเข้าใจกันตอนไหนจึงเข้ากันได้เป็นปี่กับขลุ่ยอย่างที่เห็น เล่นเอาความกังวลของศศินดูไร้ค่าไปเลย

แล้วแม่ตัวดี ต้นเหตุความกังวลทั้งมวลของศศินก็พากันวิ่งไปเล่นเครื่องเล่นชิ้นต่อไป โดยไม่รอผู้ปกครองจำเป็นที่ต้องวิ่งตามไปเครื่องเล่นทางโน้นบ้าง ทางนี้บ้างจนเหนื่อยหอบ แต่เครื่องเล่นชิ้นไหนที่น้องชายคนเล็กเล่นได้ก็จะพาไปด้วย พอให้เขาได้พักหายใจหายคอได้บ้าง

“เหนื่อยแล้วหรือคะ” เสียงเล็กหวานที่เจือด้วยเสียงหัวเราะเล็กน้อยดังขึ้นข้างกายทันทีที่ศศินหาที่นั่งพักขาได้ ชายหนุ่มเหลือบมองไปทางเด็กหญิงขายพวงมาลัยที่เข้ามานั่งลงบนเก้าอี้ตัวเดียวกัน แล้วเอียงคอมองด้วยท่าทางน่าเอ็นดู

“แล้วเราล่ะ เหนื่อยแล้วหรือไง”

ไอศวราย่นจมูกใส่รอยยิ้มหยอกเย้าของชายหนุ่ม ก่อนสะบัดเสียงตอบ หลังจากโดนอีกฝ่ายเหมารวมว่าเป็นพวกเดียวกัน “หนูเปล่าเหนื่อยเสียหน่อย แค่จะมาดูคนแก่เหนื่อยง่ายต่างหาก”

สรรพนามแทนตัวที่เด็กหญิงใช้เรียกศศินทำเอาคนแก่กว่าหัวเราะไม่ค่อยออก คนตัวเล็กเลยฉีกยิ้มแป้น แล้วลุกขึ้นไปยืนอยู่เบื้องหน้าของชายหนุ่มที่เงยหน้าขึ้นมองเด็กหญิงที่ดูจะน่ารักมากกว่าทุกวัน

“เดี๋ยวหนูจะไปซื้อน้ำให้นะคะ คุณอยากกินน้ำอะไรเป็นพิเศษหรือเปล่า”

“ฉันอยากได้น้ำแร่สักขวด เอาของยี่ห้อออร่านะ” ศศินพูดพลางล้วงกระเป๋าเงินออกมาจากกระเป๋ากางเกง แต่มือเล็กที่ตะปบลงมาบนมือที่กำลังเปิดกระเป๋าทำให้ชายหนุ่มเงยหน้าขึ้นมองด้วยความสงสัย

“ไม่ต้อง หนูเลี้ยงเอง” ประโยคนี้ทำเอาคนฟังงุนงงไม่น้อย และอดประหลาดใจขึ้นมาไม่ได้

“พกเงินมาด้วยหรือเรา”

ไอศวราแยกเขี้ยวใส่คำถามที่เหมือนจะดูถูกเธออย่างไรพิกล แต่รอยยิ้มและแววตาอบอุ่นที่ส่งมาพอทำให้เธอเข้าใจได้ว่า เขาไม่ได้มีเจตนาอย่างที่เข้าใจ “เห็นหนูมาตัวเปล่าอย่างนี้ แต่หนูก็พกเงินมาเหมือนกันนะ”

“พกมาเท่าไรล่ะ” เป็นอีกครั้งที่ศศินอดจะหยอกแหย่คนตัวเล็กไม่ได้ ไอศวราจึงยืดอกตอบกลับไปด้วยท่าทางภาคภูมิใจเต็มที่

“พกมาหนึ่งร้อยบาท เป็นเงินเก็บของหนูล้วนๆ เลยนะ”

จำนวนเงินที่แม้จะดูน้อยนิดสำหรับศศิน แต่กลับมีค่ามากสำหรับไอศวรา ซึ่งเธอยอมแบ่งปันเงินเก็บของตัวเองส่วนหนึ่ง เพื่อเลี้ยงน้ำผู้ชายคนหนึ่งที่พาเธอมาเที่ยวตามสัญญา

“หนูอาจมีเงินไม่มากเท่าคุณ แต่หนูก็อยากจะเลี้ยงอะไรตอบแทนคุณบ้างนะ” เด็กหญิงเข้าใจสถานภาพระหว่างตัวเองกับศศินที่ไม่ต้องเดาก็รู้ว่า ชายหนุ่มคงรวยเอาการอยู่ เพราะอย่างน้อยเขาก็ขับรถมาหาเธอไม่ซ้ำกันเลยสักคัน

“ตอบแทนฉันเรื่องอะไรกัน”

“หนูรู้นะว่าคุณยังป่วยอยู่ แต่คุณก็ยังจะพาหนูมาเที่ยวตามสัญญา แล้วยังมีมาลัยที่หนูยังไม่ได้ให้คุณอีก มันเหี่ยวไปหลายพวงเลยนะ” ประโยคสุดท้ายนี้ ไอศวราอดจะบ่นหงุงหงิงด้วยน้ำเสียงตัดพ้อเล็กน้อยไม่ได้ ตอนแรกที่เขาไม่มาตามสัญญา เธอก็ด่าเขาไปมากมาย แต่พอได้รู้สาเหตุที่ทำให้เขามาไม่ได้ก็อดรู้สึกผิดที่หลงไปด่าเขาไว้ขึ้นมา

“ดังนั้น ให้หนูเลี้ยงน้ำคุณเถอะนะ”

เจอคำอธิบายแบบนี้เข้าไป มีหรือที่ศศินจะไม่ใจอ่อนกับความต้องการของเธอ ไอศวราเป็นเด็กผู้หญิงที่ทำให้ชายหนุ่มรู้สึกผิดคาดได้ตลอดเวลา ทั้งเรื่องมาลัยขอขมา หรือเลี้ยงน้ำตอบแทนคุณ

“เอาอย่างนั้นก็ได้ แต่ขอฉันหยิบเงินค่าน้ำของพิมลกับอัษฎาก่อนนะ”

“หนูจะเลี้ยงน้ำสองคนนั้นด้วย หนูถามพิมลกับอัษฎาแล้วว่า พวกเขาจะกินน้ำอะไร ดังนั้น คุณต้องนั่งรออยู่ตรงนี้นะ ห้ามลุกไปไหนล่ะ เดี๋ยวหนูมา” ไอศวราพูด พลางตัดบทด้วยการถอยห่าง แล้ววิ่งจากไป โดยไม่ลืมย้ำให้คนตัวโตนั่งอยู่กับที่ราวกับว่าอีกฝ่ายเป็นเพียงเด็กตัวเล็ก เรียกรอยยิ้มและเสียงหัวเราะจากชายหนุ่มที่มองร่างเล็กที่หายลับไปกับฝูงชน





ไอศวราใช้เวลาไม่นานในการไปซื้อน้ำตอบแทนคุณ เด็กหญิงวิ่งตรงมาหาศศินที่ยังนั่งรอตามคำสั่ง ก่อนส่งรอยยิ้มพิมพ์ใจให้ เมื่อเห็นสายตาของชายหนุ่มทอดมองมา สักพักเธอก็มาหยุดยืนอยู่ตรงหน้า พร้อมทั้งล้วงขวดน้ำแร่ออกมาจากถุง แล้วส่งให้

“นี่ค่ะ น้ำแร่เย็นเจี๊ยบเลย”

“ขอบใจจ้ะ”

“พิมลกับวุธยังไม่มาอีกหรือคะ” ไอศวรานั่งลงที่เดิม พลางล้วงเอาน้ำดื่มของตัวเองออกมาจากถุงบ้าง

“ฉันยังไม่เห็นพวกเขาเลย” ศศินพูดพลางดื่มน้ำดับกระหาย แล้วเหลือบสายตาไปยังร่างเล็กที่นั่งเคียงข้างที่หยิบกระป๋องน้ำเฉาก๊วยออกมาด้วยท่าทางที่เหมือนกับว่ากำลังได้กินของอร่อย

“เฉาก๊วย”

“ขา”

คำขานที่ดูหวานกว่าปกติทำเอาศศินสำลักน้ำลายตัวเองกับอาการของหัวใจที่กระตุกวาบขึ้นมา แต่ชายหนุ่มแกล้งทำเป็นเมินสิ่งที่ตัวเองเผลอแสดงออกไปเมื่อครู่ แล้วเอ่ยถามถึงสิ่งที่สนใจทันที “ทำไมถึงซื้อน้ำเฉาก๊วยมา ชอบกินหรือ”

“ถ้าไม่ชอบแล้วจะซื้อมากินทำไมล่ะ ยิ่งถ้าได้กินตอนเย็นๆ ในอากาศร้อนๆ แบบนี้นะ อร่อยที่สุดเลยล่ะ” พอได้พูดเรื่องของกิน เด็กหญิงก็ลืมเรื่องที่เพิ่งเกิดขึ้นไปทันที แถมยังโฆษณาน้ำดื่มของตัวเองราวกับไปรับค่านายหน้าจากเจ้าของน้ำกระป๋องเฉาก๊วยมาอย่างไรอย่างนั้น

“คุณรู้ไหม น้ำเฉาก๊วยช่วยแก้ร้อนในกับดับกระหายด้วยนะ น้ำแร่ของคุณสู้น้ำเฉาก๊วยของหนูไม่ได้หรอก ลองกินดูสิ” พูดไม่พูดเปล่า ไอศวราเอาหลอดที่ตัวเองเพิ่งดูดน้ำเฉาก๊วยไปได้อึกเดียวจ่อรอที่ริมฝีปากของศศิน ชายหนุ่มมองดวงตากลมโตที่กำลังทอแวววาดหวังว่า เขาจะชอบน้ำสีดำที่เจ้าตัวแบ่งปันมา ก่อนเหลือบมองหลอดดูดน้ำอย่างชั่งใจว่าจะลองชิมน้ำตามคำชวนของอีกฝ่ายดีหรือไม่

แต่พอได้เห็นดวงตาวิบวับของเด็กหญิงขายพวงมาลัยอีกรอบ ศศินจึงก้มลงจรดริมฝีปากกับหลอดพลาสติก แล้วลิ้มชิมน้ำหวานดับกระหายอย่างไม่เกรงใจ

“เป็นไง อร่อยไหม” เด็กหญิงฉีกยิ้มถาม เมื่อชายหนุ่มละจากหลอดกลมออกมา

“หวานเกินไปหน่อย”

ความหวานของน้ำเฉาก๊วยที่ละเลงอยู่บนลิ้น ยังหวานน้อยกว่ารอยยิ้มที่ประดับอยู่บนใบหน้าจิ้มลิ้มเสียอีก แต่ไอศวราคงเข้าใจผิดคิดว่าความหวานที่ชายหนุ่มพูดถึงคือ น้ำสุดโปรดของเธอ เจ้าของน้ำเฉาก๊วยจึงเบ้หน้าใส่คนแพ้ของหวาน

“ถ้าหวานนักก็ไม่ต้องกินแล้ว เสียดายชะมัด ไม่น่าแบ่งให้คุณกินเลย”

ศศินกลั้วหัวเราะในลำคอกับเสียงบ่นหงุงหงิงของเด็กหญิงขายพวงมาลัย ก่อนยกมือขึ้นขยี้เรือนผมนุ่มด้วยความหมั่นไส้ปนหมั่นเขี้ยว จนเจ้าตัวร้องฮื้อด้วยความไม่ชอบใจ แต่ก็ไม่ได้เบนศีรษะหนีออกจากมือใหญ่ที่ให้ความรู้สึกอบอุ่นเข้าไปถึงในใจ

“ขอบคุณนะคะ”

“หืม เมื่อกี้พูดว่าอะไรนะ ไอศวรา” ชายหนุ่มก้มหน้าลงมองร่างเล็กที่ก้มหน้างุดด้วยความสงสัย เมื่อจู่ๆ อีกฝ่ายพูดงึมงำอะไรบางอย่างที่ฟังไม่ค่อยถนัด

“หนูบอกว่าขอบคุณค่ะ” ไอศวราเพิ่มระดับเสียงขึ้นมาเล็กน้อย แล้วเงยหน้าขึ้นมองคนที่เข้ามาเปลี่ยนแปลงอะไรหลายอย่างในชีวิตเธอ

“ขอบคุณที่พามาเที่ยวค่ะ”

ยิ่งได้รู้จักกับไอศวรามากขึ้นเท่าไร ศศินก็ยิ่งพบว่าเด็กตรงหน้าเป็นเด็กดีไม่น้อย แต่เพราะสังคมและสิ่งแวดล้อมที่เธออยู่ได้ห่อหุ้มเนื้อแท้ของเธอไว้ จนชายหนุ่มรู้สึกเสียดาย หากเนื้อแท้อันดีงามจะถูกลบเลือนด้วยสภาพแร้นแค้นรอบกาย

“สัญญาไว้แล้วนี่ว่าจะพาไปเที่ยว อีกอย่างฉันก็ยังรอมาลัยจากเธออยู่นะ”

พอนึกถึงสัญญาอีกข้อที่ยังติดค้างอยู่กับศศิน เด็กหญิงก็มุ่ยหน้าขึ้นมาอย่างอดรู้สึกขัดเคืองไม่ได้ เพราะถึงจะรู้ว่าชายหนุ่มติดเหตุสุดวิสัย ทำให้มาตามสัญญาล่าช้า แต่ดอกมะลุลีที่ต้องเหี่ยวไปพวงแล้วพวงเล่า ทำให้เธอสูญเงินค่าขนมที่เก็บออมไว้ไปหลายบาททีเดียว

“หนูไม่ทำแล้ว” เด็กหญิงสะบัดเสียงใส่ แถมยังย่นจมูกให้เป็นของแถม เรียกเสียงร้องประท้วงจากคนที่กำลังจะถูกบิดพลิ้วสัญญา

“อย่าพูดอย่างนี้สิ เธอบอกเองว่าจะทำมาลัยขอขมาฉันไม่ใช่หรือ”

“หนูทำแล้วต่างหาก แต่คุณไม่ยอมมาเอาเสียที หนูไม่ทำแล้ว”

“ฉันมาแล้วไง อุตส่าห์ฝืนสังขารมาเอาเชียวนะ” ชายหนุ่มพูดตะล่อม พลางยื่นหน้าไปเด็กหญิงที่สะบัดหน้าหันหนีไปอีกทาง

“อย่าผิดสัญญาสิ ไอศวรา”

“ไม่รู้ไม่ชี้!”





กว่าศศินจะต้อนเด็กซนให้กลับบ้านได้ เวลาก็ล่วงเลยไปจนถึงช่วงสายัณห์ ซึ่งพอทุกคนได้ขึ้นรถปุ๊บก็พากันหลับเป็นตาย คล้ายกับคนที่เพิ่งผ่านการออกกำลังกายมาอย่างแสนสาหัส จะยกเว้นเพียงไอศวราที่มานั่งด้านหน้าคู่กับศศินที่พยายามถ่างตาตัวเองมาตลอดทาง แต่สุดท้ายก็พ่ายให้กับความอ่อนเพลีย เหมือนกับสองพี่น้องที่นั่งอยู่ด้านหลัง

ชายหนุ่มคอยเหลือบมองเด็กหญิงขายพวงมาลัยเป็นระยะ นับตั้งแต่ตอนที่อีกฝ่ายฝืนตัวเองจนสัปหงกเหมือนตุ๊กตาหน้ารถ ที่ส่ายหัวดุกดิกแข่งกับเด็กหญิง ครั้นพอหัวทุยๆ เอนไปพิงกระจกรถ หรือเปลี่ยนฝั่งมาซบเข้ากับท่อนแขนแข็งแรงก็จะเด้งพรวดกลับไปนั่งตัวตรง แล้วก็กลับมาสัปหงกใหม่ จนคนมองเกือบหลุดหัวเราะไปหลายรอบ ก่อนตัดสินใจกระซิบบอกให้ร่างเล็กหลับไปให้สบาย และสัญญาว่าจะรีบปลุกเธอทันทีที่ถึงบ้านทำให้เด็กหญิงคล้อยหลับลงไปในที่สุด

พอถึงตลาดโภคเจริญ ศศินก็หาที่จอดรถให้ใกล้กับชุมชนคนเข็ญใจก่อนดับเครื่องยนต์ พลางเหลือบมองหลานชายหญิงที่ยังหลับเป็นตายผ่านกระจกส่องหลัง แล้วปรายตาไปทางเด็กอีกคนที่หลับสบายอยู่ด้านข้าง

มือใหญ่เอื้อมไปลูบเรือนผมนุ่มคนข้างกายแผ่วเบา พลางระมัดระวังไม่ให้อีกฝ่ายสะดุ้งตื่นขึ้นมาก่อนที่เขาจะได้พิศเจ้าทรามวัยเต็มสายตา ส่วนในใจก็นึกสงสัยว่า ทำไมเขาจึงได้เอ็นดูแม่หนูน้อยคนนี้มากมายนัก แต่หากจะให้ศศินหาเหตุผลที่ตัวเองคอยดูแลเอาใจใส่อีกฝ่าย สาเหตุคงเป็นเพราะเขาหลงใหลดวงตากลมโตที่ทอแววกระจ่างใส และรอยยิ้มกระจ่างใจที่แม้จะเจอมรสุมผ่านเข้ามาในชีวิตมากมายเท่าไร เจ้าตัวก็จะคงรักษาแสงจรัสในกายไว้ไม่ให้ลบเลือนไป

“ไอศวรา” ชายหนุ่มสงเสียงปลุกอีกฝ่ายที่ยังนอนขี้เซาไม่เลิก พลางเขย่าร่างเล็กที่พลิกตัวหนีเสียงเรียกอย่างไม่ชอบใจ กับการที่ถูกขัดนิทรารมย์อันแสนสุข

“สาวน้อย ตื่นได้แล้ว ถึงบ้านแล้วนะ” พูดไม่พูดเปล่า นิ้วเรียวยังเกลี่ยไปตามแก้มนวลใสให้คนขี้เซารู้สึกรำคาญใจเล่น ก่อนบีบจมูกโด่งรั้นจนอีกฝ่ายลืมตาพรวดขึ้นมาเพราะหายใจไม่ออก

“ตื่นได้เสียทีนะ แม่คนขี้เซา”

ไอศวรากะพริบตามองเจ้าของรอยยิ้มนุ่มละมุนด้วยอาการเมาขี้ตา ครั้นพอตื่นเต็มที่และรับรู้ว่าใครเป็นคนปลุกเธอด้วยวิธีพิเรนทร์ เด็กหญิงก็ชักสายตาฉุนใส่ “คนนิสัยไม่ดี ชอบแกล้งคนอื่น”

“ฉันปลุกเธอด้วยวิธีธรรมดาแล้วเธอตื่นเสียที่ไหนล่ะ” ศศินพูดพลางกลั้วหัวเราะในลำคอ แล้วส่งสายตาพราวระยับให้คนแสนงอนที่ชอบจุดต่อมอาการอยากแกล้งคนของเขาให้ปะทุขึ้นมาบ่อยครั้ง

“วิธีปลุกอย่างอื่นก็มีตั้งเยอะตั้งแยะ ไม่เห็นต้องบีบจมูกหนูเลยนี่นา” เด็กหญิงบ่นหงุงหงิง ไม่กล้าจะส่งเสียงดังมากนัก เพราะกลัวว่าเสียงของตัวเองจะไปปลุกอีกสองคนที่ยังหลับสนิทให้ตื่นขึ้นมาเสียก่อน

ศศินไม่ได้โต้ความอะไรตอบกลับไป นอกจากหยัดยิ้มส่งให้ พลางช่วยถอดเข็มขัดนิรภัยให้เด็กหญิง “ฉันขับรถไปที่หน้าตลาดมา แต่ไม่เห็นแม่ของเธอแล้ว ฉันเลยพามาส่งหน้าทางเข้าบ้านเธอนะ”

ไอศวราพยักหน้ารับรู้ ทั้งที่ในใจอดนึกสงสัยไม่ได้ว่า ทำไมแม่จึงเก็บของไวกว่าทุกวัน แต่ความสงสัยนั้นถูกพับเก็บลงชั่วคราว เมื่อเด็กหญิงเงยหน้าขึ้นสบกับดวงตาคมวาวที่ทอแววอ่อนละมุนเสียจนคนถูกมองรู้สึกอบอุ่นเข้าไปถึงหัวใจ แล้วมือเล็กก็ยกขึ้นทำดอกอัญชลี ก่อนไหว้อีกฝ่ายด้วยท่าทางนอบน้อม

“ขอบคุณที่พามาเที่ยวนะคะ สวัสดีค่ะน้าซี”

ประโยคแรกของไอศวราทำให้คนฟังรู้สึกชุ่มชื้นขึ้นมา แต่พอเจอคำสรรพนามที่เด็กหญิงใช้เรียก ชายหนุ่มก็รู้สึกเหมือนกับได้เจอฝนแล้งขึ้นมากะทันหัน ครั้นจะแก้ความไม่ให้อีกฝ่ายเรียกเขาแบบแม่หลานสาวตัวแสบ เจ้าตัวก็ลงไปจากรถเสียแล้ว เขาจึงได้แต่ฟุบหน้าลงกับพวงมาลัยรถด้วยอาการห่อเหี่ยวราวต้นไม้ที่ขาดน้ำหล่อเลี้ยง

“ฉันอายุมากกว่าเธอแค่สิบกว่าปีเองนะ ไอศวรา อย่าเรียกฉันว่าน้าให้ฉันรู้สึกเหมือนตัวเองเป็นคนแก่อย่างนั้นสิ”

“ก็แก่จริงนี่นา” เสียงเล็กหวานที่ดังขึ้นพร้อมกับใบหน้าพริ้มเพราที่ชะโงกข้ามเบาะมา ทำเอาศศินสะดุ้งโหยง แล้วหันขวับไปมองแม่หลานสาวตัวแสบที่ส่งยิ้มมาให้

“ตื่นขึ้นมาตอนไหนน่ะ พิมล”

“หนูตื่นอยู่ตลอดนั่นแหละ” คำเฉลยของพรพิมลไม่ได้ ทำให้ศศินนึกอยากเชื่อถือเสียเท่าไร เพราะถ้าแม่ตัวดีตื่นอยู่ตลอดตามที่ว่าจริง ก็เป็นการแกล้งนอนที่สมจริงมากทีเดียว และดูท่าเด็กหญิงพอจะเดาความคิดของน้าชายออก เธอจึงรีบเฉลยเพื่อไขความกระจ่างให้อีกข้อ

“น้าซีน่าจะรู้นิสัยหนูดีนี่นา หนูเป็นเด็กขี้สงสัยนะ พอหนูเห็นน้าซีทำอะไรแปลกๆ ก็ต้องอยากเห็นว่า น้าซีซ่อนอะไรไว้ในกอไผ่ แล้วก็มีอะไรอยู่ในกอไผ่อย่างที่หนูคิดไว้เสียด้วย”

ศศินเสหลบสายตาจากการจับจ้องของหลานสาวที่ทำให้รู้สึกว่า อาจทำให้ไม่สบายได้ไปนอกหน้าต่าง พรพิมลวาดวงแขนคล้องคอน้าชาย พลางยกนิ้วขึ้นจิ้มแก้มคนโดนจับผิด พลางหัวเราะเสียงใส

“แหม ไม่อยากให้ไอศวราเรียกน้า เพราะจะกิ๊กกับเขาใช่ไหมล่ะ”

“กิ๊ก!?” คำนี้เล่นเอาศศินสำลักน้ำลายยกใหญ่ พลางมองดวงหน้าหลานสาวอย่างไม่อยากเชื่อว่า อีกฝ่ายจะหลุดคำนี้ออกมาให้ได้ยิน

“ไปเอาคำนี้มาจากไหนน่ะพิมล แก่แดดใหญ่แล้วนะเรา”

น้ำเสียงติติงของชายหนุ่ม ทำเอาพรพิมลเบ้ปากเบี้ยว ก่อนเอ่ยเสียงสะบัด “อย่าทำตัวเป็นตาแก่สิน้าซี เด็กสมัยนี้เขามีแฟนมีกิ๊กกันตั้งแต่อนุบาลแล้ว มลยังมีเลย”

“อะไรนะ!”

ท่าทางเบิกตากว้างของศศิน เรียกเสียงหัวเราะจากเด็กแก่แดดได้ดีนัก แต่พรพิมลไม่มีทางหลงกลน้าชายที่อยากเบี่ยงประเด็นไปเรื่องอื่นแน่ “อย่ามาทำเนียนเปลี่ยนเรื่องนะน้าซี เรายังคุยเรื่องไอศวราไม่จบเลย”

“น้าไม่ได้จะกิ๊กกับไอศวรา” ศศินตอบกลับเสียงอ่อน และไม่ได้ตั้งใจจะเปลี่ยนเรื่องตามที่พรพิมลว่า เพราะเขาตกใจกับคำตอบของแม่หลานสาวตัวดีไม่น้อยไปกว่าข้อหาที่กำลังถูกกล่าวหา

“แต่มลแอบเห็นนะว่า น้าซีทำตาหวานเสียจนมดจะขึ้นไต่อยู่แล้ว”

ชายหนุ่มอยากจะแยกเขี้ยวใส่เด็กแก่แดดนัก สรุปว่าเจ้าหล่อนแอบสังเกตพฤติกรรมเขาตลอดเลยสินะ ถึงรู้ด้วยว่าเขาทำสายตาแบบไหนกับไอศวรา ซึ่งเขาก็เพิ่งมารู้ตัวจากน้ำคำของแม่ตัวดีนี่ล่ะว่าดันไปเผลอทำตาหวานใส่เด็ก

“หนูก็พอเข้าใจอยู่หรอก เพราะไอศวราเขาน่ารัก ใครเห็นใครก็รักใครก็หลง แต่เอ...หนูต้องระวังน้าซีด้วยหรือเปล่า เพราะหนูก็เป็นเด็กน่ารักเหมือนกันนะ น้าซีจะแอบเผลอใจมากิ๊กหนูด้วยไหม”

ศศินกลอกตาขึ้นกับประโยคที่ชวนให้โดนข้อหาพรากผู้เยาว์ ก่อนผลักหัวทุยของแม่ตัวดีออกไปด้วยท่าทางหมั่นไส้ และไม่วายขยี้เรือนผมนุ่มจนรกยุ่งไม่เป็นทรง “ใครจะไปเอาเธอกัน หลงตัวเองไปหน่อยหรือเปล่า”

“ดูถูก” พรพิมลย่นจมูกใส่ แล้วเชิดหน้าใส่น้าชายที่ส่งเสียงหัวเราะในลำคอ

“รู้ไหมว่าหนูเป็นดาวโรงเรียนนะ มีรุ่นพี่รุ่นน้องมาจีบเพียบเลย”

“เด็กประถมนี่นะ” ชายหนุ่มส่งเสียงเย้าด้วยท่าทางไม่ใคร่เชื่อถือ แม้ใจจะยอมรับว่าหลานตัวเองก็อยู่ในจำพวกเดียวกับไอศวรา น่ารักและมีเสน่ห์เกินวัย ชอบปล่อยฟีโรโมนจนทำเอาคนอื่นเขาวุ่นวายกันไปทั่ว แต่ถ้าคนแรกจะสงบปากสงบคำลงเสียหน่อย คงน่ารักกว่านี้มากทีเดียว

“อีกไม่นานก็โตแล้ว”

จริงอย่างที่พรพิมลว่าไว้นั่นแหละ อีกไม่นานเจ้าทรามวัยก็จะกลายเป็นโฉมตรูให้เขารู้สึกวุ่นวายใจกว่าที่เป็นอยู่นี้แน่ แค่คิดก็ทำให้ชายหนุ่มถอนหายใจออกมาด้วยความหนักใจ

“น้าซี” พรพิมลเรียกน้าชายเสียงเบา เมื่อเห็นท่าทางเป็นจริงเป็นจังของเขา

“ชอบไอศวราจริงน่ะ”

คำถามของพรพิมล เรียกเสียงถอนหายใจจากศศินได้อีกเฮือก ชายหนุ่มขยี้เรือนผมของหลานสาวโดยไม่ตอบคำถามอะไร นอกจากโต้ตอบบทสนทนาในใจของตัวเองว่า ความรู้สึกที่ล้นพูนอยู่ในใจ ยามได้พบหน้าสบสายตากับไอศวราคืออะไรกันแน่

มันคือความชอบพอฉันหนุ่มสาวกระนั้นหรือ?

ไม่มีทางหรอก...ชายหนุ่มตอบปฏิเสธในใจ อีกฝ่ายยังเด็ก และเขายังเข็ดขยาดกับความรัก ไม่มีทางที่จะเขาจะคิดเกินเลยกับไอศวราได้

“ถ้าน้าซีชอบไอศวราจริง หนูก็ไม่คัดค้านอะไรหรอกนะ ความรักมันห้ามกันไม่ได้” คำพูดที่ดูจะเกินวัยไปหน่อย เรียกรอยยิ้มจากศศินที่พอจะคลายความหนักใจบางอย่างลงมาได้

“รู้จักความรักด้วยหรือเรา”

“จำมาจากละครที่ป้าแม่บ้านกับพี่เลี้ยงชอบดูตอนบ่ายน่ะ”

ศศินส่ายหน้าอย่างระอาใจกับท่าทีแข็งขัน ทำตัวราวกับปรมาจารย์ผู้เชี่ยวชาญความรัก ทั้งที่อายุเพิ่งสิบสอง ชายหนุ่มจึงขยี้เรือนผมนุ่มเป็นรางวัลแถมให้อีกยก “ไว้ให้โตกว่านี้ แล้วค่อยพูดเรื่องความรักกับน้านะ”

คนยังไม่โตพ่นลมใส่จมูกอย่างไม่ชอบใจที่ถูกกีดกันเรื่องราวความรัก ศศินคงไม่รู้หรอกว่า เด็กผู้หญิงโตไวแค่ไหน แม้เธอจะยังไม่รู้ซึ้งว่าความรักที่ชายหนุ่มพูดเป็นแบบใด แต่เธอเชื่อว่าอีกไม่กี่ปีนี้ล่ะที่เธอจะได้รับคำตอบอย่างไม่มีข้อโต้แย้งใดๆ จากน้าชาย

“อย่าลืมที่พูดแล้วกัน ถ้าหนูโตเมื่อไรหนูจะถามน้าซีคำเดิมนี่ล่ะ”





เสียงเปิดประตูที่แม้จะแผ่วเบาแค่ไหน แต่สำหรับบ้านไม้ที่ถูกปกคลุมด้วยความเงียบที่บางครั้งก็มีเสียงไอโขลกอย่างรุนแรงแทรกผ่าน ก็ทำให้คนที่คอยเฝ้าดูแลคนป่วยที่มีอาการกำเริบหนักให้หันไปมองร่างเล็กที่มีรอยยิ้มประดับเต็มใบหน้า

“กลับมาแล้วเหรอ ไอศวรา”

“ลุงผัน” ไอศวราเอ่ยทักชายเก็บของเก่าขายด้วยความงุนงงระคนสงสัย ก่อนหันไปมองแม่ที่มีสภาพซีดเซียวยิ่งกว่าเมื่อตอนเช้าอย่างน่าใจหาย

“แม่เป็นอะไรไปหรือจ๊ะ”

สุ้มเสียงตระหนกตกใจของไอศวรา และร่างเล็กที่ถลาเข้ามาคุกเข่าอยู่ข้างที่นอน พร้อมกับดึงมือไปกอบกุมไว้ ทำให้ปานแก้วที่อยู่ในอาการครึ่งหลับครึ่งตื่นปรือตาขึ้นมองใบหน้าจิ้มลิ้มของลูกสาว ก่อนแย้มยิ้มปลอบโยน เมื่อเห็นรอยตื่นตกใจในดวงตากลมโต

“กลับมาแล้วหรือจ๊ะไอศวรา เป็นยังไงบ้าง ไปเที่ยวสนุกไหม”

ไอศวราพยักหน้ารับไปตามแกน เพราะความสนุกหดหายไปนับตั้งแต่เห็นแม่ล้มหมอนนอนเสื่อ พลางเอ่ยปากถามคำถามเดิมซ้ำสอง เมื่อยังไม่ได้รับคำตอบจากแม่ “แม่เป็นอะไรหรือจ๊ะ”

“แม่เขาไม่สบายเท่านั้นเอง อย่าทำท่าตกอกตกใจเกินเหตุแบบนั้นเลยน่า” ผันเป็นคนตอบคำถามแทนปานแก้วที่ส่งสายตาของความช่วยเหลือมา แต่เขาน่าจะเป็นฝ่ายขอความช่วยเหลือไม่ให้ตัวเองต้องเผลอหลุดความจริงที่ไม่น่าพิสมัย ให้เด็กหญิงได้รับรู้มากกว่า

“แต่แม่ไม่เคยเป็นแบบนี้”

อย่างน้อยไอศวราก็เป็นเด็กฉลาด และมีประสาทสัมผัสไวพอที่จะจับสิ่งผิดปกติบางอย่างได้ แต่คนปากแข็งอย่างปานแก้วคงไม่หลุดคำพูดอะไรออกมา และคนที่จำต้องรักษาสัญญาที่ให้ไว้กับแม่ค้าขายพวงมาลัย หลังจากได้รับรู้ความจริงบางอย่างก็ทำเพียงปั้นหน้านิ่ง ทั้งที่เขาอยากจะร้องไห้ออกมาเสียด้วยซ้ำ

“ก็ป้าแมบอกว่าแค่ไม่สบายเท่านั้นนี่”

ป้าแมที่ว่าคือ หมอตำแยที่เคยมาทำคลอดให้ไอศวรา และยังเป็นคนต้มยาหม้อให้ปานแก้วยามไม่สบายอยู่บ่อยครั้ง ซึ่งชื่อนี้พอทำให้เด็กหญิงคลายความกังวลใจลงไปได้บ้าง แต่ก็ไม่หมดไปเสียทีเดียวนัก ผันเองก็เข้าใจความรู้สึกของแม่หนูน้อยดีจึงขยับกายเข้ามาโอบบ่าเล็กคล้ายอยากจะแบ่งปันกำลังใจให้

“อย่าห่วงไปเลย ไอศวรา เดี๋ยวคืนนี้ลุงจะอยู่เฝ้าแม่เป็นเพื่อนนะ รับรองว่าเราสองคนช่วยกันดูแล แม่แก้วจะต้องลุกขึ้นมาได้อีกแน่”

ทั้งที่ผันก็พูดปลอบไม่ให้ไอศวราเป็นกังวลไปตามประสา แต่เด็กหญิงกลับรู้สึกไม่ดีเอาเสียเลย แล้วในใจก็ไพล่นึกไปถึงศศินขึ้นมา หากชายหนุ่มมาอยู่ตรงนี้ เขาอาจจะช่วยเหลือปานแก้วได้บ้าง และคงไม่เฝ้ามองดูท่าทางทุรนทุรายของหญิงสาวโดยที่ทำอะไรไม่ได้แบบพวกเธอแน่





สุรางคนางค์กับปรีดีพร้อมใจกันเหลือบมองไปทางหน้าต่างห้องนั่งเล่น เมื่อเห็นรถยนต์สีคุ้นตาแล่นผ่านไป และเพียงไม่นาน คนที่พวกเขาเฝ้ารอก็ผ่านพ้นประตูบ้านเข้ามา

คนเข้ามาใหม่ชะงักกึกทันที เมื่อเห็นว่าในห้องนั่งเล่นไม่ได้มีเพียงพี่สาวและพี่เขยนั่งรออยู่เท่านั้น แต่ยังมีคุณดวงมาลย์ที่ส่งสายตาดุใส่ลูกชายตัวดีที่บังอาจหนีผู้ดูแลจนทำเอาคนอื่นวุ่นวายไปถ้วนทั่ว พอพรพิมลเห็นบรรยากาศเคร่งเครียดของผู้ใหญ่ ก็ปลีกตัวไปอย่างรู้งาน พลางส่งกำลังใจให้น้าชายที่ครางออกมาเสียงเบากับการลงมาตามล่าลูกชายคนเล็กของผู้เป็นยาย

“...คุณแม่”

“ยังจำได้ว่าฉันเป็นแม่ด้วยหรือยะ” คุณดวงมาลย์ชักน้ำเสียงใส่ลูกชายที่ทำหน้าจืดเจื่อนกับคำกระทบกระเทียบ พลางจับจ้องร่างสูงที่เข้ามานั่งลงบนพื้นข้างกายอย่างคนที่รู้ดีว่าตัวเองไปก่อคดีอะไรไว้

“ทำไมพูดอย่างนั้นล่ะครับ ผมจำได้เสมอว่าคุณแม่ผมเป็นใคร เว้นเสียแต่คุณแม่จะไม่อยากเป็นแม่ผม”

ถ้อยคำหยอกเอินของศศินที่ฟังดูผิวเผินแล้วไม่น่ามีอะไร แต่สำหรับคนที่รู้เรื่องราวบางอย่างอดจะรู้สึกไม่ได้ว่า แผลในใจของชายหนุ่มยังคงไม่ตกสะเก็ด แม้เวลาจะล่วงเลยมานานแล้วก็ตาม และคำพูดนี้เองที่ทำให้คุณดวงมาลย์คลายอาการขึ้งโกรธลง พลางลูบใบหน้าของลูกชายที่ส่งยิ้มละมุนละไมแกมโศก ไม่ใช่รอยยิ้มแจ่มกระจ่างเช่นก่อนหน้าที่ได้รู้อดีตที่ทุกคนพยายามปิดบังเขาไว้

“เด็กโง่ มีแม่ที่ไหนเขาจะไม่อยากเป็นแม่ของลูกบ้างล่ะ ที่แม่พูดอย่างนั้นก็เพราะแม่โกรธ ที่อยู่ๆ เราก็หนีคุณพุ่มพวงลงมา รู้ไหมว่าทำให้คนแก่เป็นห่วงจนเป็นลมน่ะ เป็นบาปนะ”

ศศินทำเพียงยิ้ม โดยไม่โต้ตอบอะไรกลับไป และหากเขายังคงนิ่งเงียบอยู่แบบนี้ คงทำให้คนในห้องนี้รู้สึกอึดอัดเป็นแน่ ปรีดีเลยหาทางออกด้วยการเปิดประเด็นใหม่ อันเป็นสาเหตุที่ทำให้คุณดวงมาลย์ต้องลงมาตามลูกชายคนเล็กด้วยตัวเองถึงกรุงเทพฯ

“คุณแม่เขาลงมา เพราะมีเรื่องอยากถามนายน่ะ เพื่อนนายที่เป็นเจ้าของโรงเรียนติดต่อไปทางคุณแม่ว่า พร้อมจะรับเด็กที่นายอุปถัมภ์เข้าเรียนกลางเทอม เรื่องมันเป็นยังไงกันแน่น่ะซี คนทางนี้งงไปหมดแล้วนะว่านายไปอุปถัมภ์เด็กตอนไหน”

“เธอเป็นรุ่นพี่ที่มหาลัยครับ” ชายหนุ่มแก้ความเข้าใจผิดให้ใหม่ แต่ไม่ว่าใครก็ดูออกว่า เจ้าตัวคิดจะเปลี่ยนเรื่อง จึงพากันขึงตาใส่คนที่ริจะมีความลับเก็บงำ

“ซี แม่อยากรู้ว่าลูกกำลังทำอะไรอยู่ การที่ลูกแอบลงมากรุงเทพฯ ก็เพราะเรื่องของเด็กที่ลูกอุปถัมภ์อยู่ด้วยใช่ไหม”

คุณดวงมาลย์เป็นคนที่คาดเดาอะไรได้ดีเสมอ และก่อนลงมาตามลูกชายคนเล็ก เธอก็คาดคั้นถามเพื่อนรุ่นพี่ของชายหนุ่มไปรอบหนึ่งแล้ว ซึ่งอีกฝ่ายก็ไม่ได้รู้ตื้นลึกหนาบางเกี่ยวกับคำขอร้องของรุ่นน้องคนนี้มากนัก นอกจากเรื่องที่อีกฝ่ายสอบถามมา

ศศินถอนหายใจออกมากับเรื่องราวที่ยังไม่พร้อมจะเปิดเผย เพราะชายหนุ่มยังไม่ได้ถามความยินยอมพร้อมใจของผู้ปกครองเด็กที่เขาคิดจะให้คุณดวงมาลย์รับไปอุปถัมภ์ แต่เมื่อเรื่องราวล่วงมาถึงเพียงนี้แล้ว เขาจึงยอมพูดถึงสิ่งที่ตัวเองจะกระทำ

“ที่ผมลงมากรุงเทพฯ เพราะเรื่องหาโรงเรียนให้เด็กคนนั้นด้วยครึ่งหนึ่งครับ” ส่วนอีกครึ่งก็เรื่องหนี้สัญญาที่ติดค้างไอศวราไว้นั่นแหละ “ความจริง ผมกะว่าจะคุยกับแม่ของเด็กคนนี้ก่อน แล้วค่อยบอกคุณแม่ เพราะผมอยากให้คุณแม่เป็นผู้อุปถัมภ์เขาน่ะครับ”

“เด็กคนนี้เป็นเด็กผู้หญิงหรือจ๊ะ” คำคาดคะเนของคุณดวงมาลย์ทำให้ศศินคลี่ยิ้มออกมา พลางพยักหน้าตอบกลับไป

“ครับ ผมคิดว่าคงไม่เหมาะเท่าไรที่จะให้ชายโสดอย่างผมรับอุปการะเลี้ยงดู แกเป็นเด็กดีครับแม่ ผมรู้สึกเสียดายที่เขาไม่ได้เรียนเหมือนเด็กคนอื่น และผมก็กลัวว่าสภาพสังคมรอบตัวของเขา จะทำให้เขาใช้ความฉลาดเฉลียวของตัวเองไปในทางที่ผิด”

“พูดอย่างนี้แสดงว่าเคยโดนเขาทำอะไรไม่ดีมาแล้วสินะ”

ศศินพยักหน้ารับอย่างไม่คิดปิดบัง พลางนึกถึงตอนที่ได้พบกับไอศวราครั้งแรก แล้วเอ่ยถึงวีรกรรมของเด็กหญิงขายพวงมาลัยให้มารดาฟัง “โดนแกใช้เล่ห์หลอกเอาเงินไปครับ”

“ตายจริง” คุณดวงมาลย์อุทานอย่างตกใจ และทำสายตาไถ่ถามลูกชายว่าคิดดีแน่แล้วหรือที่คิดจะรับอุปการะเด็กแบบนี้

“ไม่ต้องห่วงหรอกครับ ดูเหมือนพอแม่ของเขารู้ว่า ลูกสาวไปหลอกลวงตุ้มตุ๋นคนอื่นก็ทำโทษเจ้าตัวไปเรียบร้อยแล้ว แต่ที่ผมกลัวคือสภาพแวดล้อมรอบตัวของเขา จะทำให้เขาต้องหวนกลับมาทำเรื่องแบบเดิมอีก ผมเลยคิดว่าน่าจะมีหนทางไม่ให้เขาต้องกลับไปประพฤติผิดอีก”

“ซีเลยคิดจะให้แม่รับอุปถัมภ์เด็กคนนั้นสินะ” คุณดวงมาลย์พูดดักคอลูกชายคนเล็กที่กลั้วหัวเราะกับความรู้เท่าทันของมารดา

“ผมรับประกันว่าแกเป็นเด็กดีจริงๆ ครับ เธอมีค่าพอที่เราจะลงทุนลงแรงส่งเสริม”

“แต่แม่ไม่รู้จักเด็กคนนั้น แม่จะรู้ได้ยังไงว่าเขาเป็นเด็กดีตามที่ซีพูด อีกอย่างหนึ่งที่ซีคงทำลืมไปคือ เขามีประวัติไม่ดี เคยหลอกลวงต้มตุ๋นซีมาก่อน เราอาจจะให้เขาได้อยู่ในสิ่งแวดล้อมที่ดีได้ แต่หากจิตสำนึกของเขาไม่ใฝ่หาความดี เขาก็ยังคงย้อนกลับไปทำในสิ่งที่เขาเคยทำอยู่ดีนั่นแหละ”

“แม่จะไม่ให้โอกาสเขาเลยหรือครับ” คำอ้อนวอนปนตัดพ้อทำให้คุณดวงมาลย์รู้สึกใจอ่อน แต่ก็อดฉุนไม่ได้ที่ลูกชายคนโปรดเล่นไม้นี้กับเธอ คุณนายเลยตวัดสายตาค้อนส่งให้คนเจ้าเล่ห์ที่ใช้ภาพคนซื่อมาบังหน้าตบตาคน

“ไม่ใช่ว่าแม่ไม่ให้โอกาส แต่แม่ไม่รู้จักเด็กที่ซีจะให้แม่อุปถัมภ์นี่ ยังไงแม่ก็ต้องมองในแง่ร้ายไว้ก่อนล่ะ”

“ถ้าอย่างนั้น ผมจะพาสองแม่ลูกคู่นั้นมาพบคุณแม่นะครับ” ศศินส่งเสียงประจบเมื่อเห็นคุณดวงมาลย์เปิดทางให้ แต่ไม่วายที่จะโดนค้อนทางสายตาจากผู้สูงวัยกว่า

“พาคนแม่มาด้วย เพราะคิดจะให้แม่กล่อมเขาให้ยอมเราเรื่องรับลูกเขาไปอุปถัมภ์ใช่ไหมล่ะ” คุณดวงมาลย์สะบัดเสียงใส่ด้วยความรักแกมหมั่นไส้ แต่ในใจก็ยังอดห่วงไม่ได้อยู่ดี

“แต่แน่ใจแล้วหรือซี”

“มันน่าลองไม่ใช่หรือครับ ผมอยากเฝ้ามองการเติบโตของเธอว่าจะเป็นไปตามที่หวังไว้หรือเปล่า” ศศินคลี่ยิ้มตอบด้วยความมั่นใจ ซึ่งเขาก็ไม่ได้บอกทุกคนต่อไปว่า ตัวเองจะเป็นคนทำให้ไอศวราเติบโตไปตามที่หวัง

แต่เขาเองก็ไม่รู้ว่า ความคิดนี้จะกลายเป็นหมัน เมื่อชายหนุ่มย้อนกลับไปที่ตลาดโภคเจริญแล้วพบเพียงความว่างเปล่า ไม่มีเงาร่างของสองแม่ลูกขายพวงมาลัยอยู่ที่ไหนสักแห่ง ราวกับว่าพวกเธอไม่เคยอยู่ที่นี่มาตั้งแต่แรก!




Create Date : 29 เมษายน 2555
Last Update : 20 มกราคม 2557 16:18:55 น.
Counter : 312 Pageviews.

3 comments
  
สมกับที่รอ :)
ขอบคุณค่าาาา
โดย: พลอย IP: 71.56.232.26 วันที่: 6 พฤษภาคม 2555 เวลา:6:54:00 น.
  
จะมาต่อไหมค่ะ เพราะคราวที่แล้วก็เขียนจบที่ตอนนี้แล้วก็หายไปหลายปีก่อนจะเอามาลงใหม่ คนรอก็รอไป
โดย: em1979 IP: 124.122.98.24 วันที่: 1 มิถุนายน 2555 เวลา:23:51:28 น.
  
ยังรอตอนต่อไปอยู่นะค้า
โดย: พลอย IP: 220.255.1.112 วันที่: 28 สิงหาคม 2555 เวลา:17:22:17 น.
ชื่อ :
Comment :
 *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

ฌา
Location :
  

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]



New Comments
All Blog