พิษเสน่หา 26
๒๖ บุกคฤหาสน์พรหมเทวา

การได้พบคุณหนูพระจันทร์อย่างไม่คาดฝัน ทำให้เจ้าหลวงวิวัสวัตแปลกพระทัยไม่น้อย ราวกับว่าหนทางแห่งลิขิตได้เปิดให้พระองค์ได้พบกับเธอแล้ว แต่มันก็เหมือนกับชะตาเล่นตลก ที่พระองค์ไม่สามารถคิดเรื่องของเธอได้เต็มหทัย เมื่อตอนนี้ทรงมีเรื่องอื่นที่สำคัญยิ่งกว่า

หลังจากที่ทรงแยกกับบริมาสแล้ว เจ้าหลวงก็เสด็จไปสมทบกับสหายคู่พระทัยทั้งสาม ที่มาจากกูราด้วยกัน ซึ่งตอนนี้ผู้บัญชาการกองทหารรักษาพระองค์กำลังขมวดคิ้วมุ่น ทำท่าไม่ชอบใจในบางสิ่งบางอย่างที่อยู่ที่นี่ และพระองค์ก็ทรงรู้ดีว่าสิ่งนั้นคืออะไร

ย่านสลัมแห่งนี้ ดูจะมีทหารนอกเครื่องแบบเพิ่มจากเมื่อวานมากขึ้นหลายเท่า และจำนวนที่เพิ่มขึ้นอย่างผิดปกตินั้น มาจากกลุ่มของคุณหนูพระจันทร์ที่ดูท่าจะมีคนสำคัญอยู่ด้วย ซึ่งบางทีอาจเป็นลูกขุนนางหรือเชื้อพระวงศ์ หรือหากคิดให้เข้าข้างตัวเองเสียหน่อย ทหารเหล่านั้นก็คงมาเพื่อปกป้องบุตรีสีน้ำเงินที่อยู่ในกลุ่ม ซึ่งตอนนี้กลายเป็นหนึ่งในหมายสังหารของเจ้าหลวงแห่งทาลางทูรก็เป็นได้

“ปิดหูปิดตาไว้ อย่างน้อยคนพวกนั้นก็ไม่ใช่มือสังหารจากทาลางทูร” เจ้าหลวงวิวัสวัตตรัสเสียงเรียบ เมื่อผู้บัญชาการกองทหารรักษาพระองค์ ยังทำสายเขม่นใส่ทหารนอกเครื่องแบบพวกนั้น แล้วคราวนี้ท่านทูตหนุ่มก็ขมวดคิ้วตามเพื่อนเลือดร้อนไปด้วย

“ไม่ใช่มือสังหารจากทาลางทูรจริงพระเจ้าค่ะ แต่เป็นหน่วยพิฆาตของปามะห์ กระหม่อมจำหน้าบางคนได้”

สายตาทุกคู่หันไปหยุดที่ท่านทูตผู้ชอบอมพะนำ และเจ้าตัวก็หันมายิ้มหน้าซื่อให้เพื่อนที่ขมวดคิ้วยุ่งอย่างข้องใจ ว่าเขาไปห็นหน้าหน่วยพิฆาตของปามะห์ที่ไหน ส่วนเจ้าหลวงวิวัสวัตทำเพียงถอนปัสสาสะกับนิสัยชอบเก็บงำเรื่องสำคัญของคนตรงหน้า

“น่าจับไปอยู่หน่วยข่าวกรองมากกว่าอยู่ฝ่ายทูต”

ท่านทูตหนุ่มกลั้วหัวเราะเล็กน้อย พลางตอบปฏิเสธกลับไปด้วยท่าทางถ่อมตน “กระหม่อมไม่มีความสามารถพอที่จะย้ายไปอยู่หน่วยข่าวกรองหรอกพระเจ้าค่ะ แต่งานของเราต้องรู้เขารู้เรา รู้ทั้งฝ่ายทหาร รู้ทั้งจำนวนพลเรือน ส่วนเรื่องรูปหน้าค่าตาของหน่วยลับนี้ กระหม่อมได้มาจากทหารเก่าที่ยอมเสี่ยงตาย เพื่อสืบเรื่องของหน่วยนี้”

“ถึงขั้นเสี่ยงตายเชียวหรือ” ผู้บัญชาการกองทหารรักษาพระองค์ถามอย่างกังขา และก็ได้รับเสียงหัวเราะตอบกลับมา

“ใช่...เพราะหน่วยพิฆาตครึ่งหนึ่งของปามะห์ไม่ใช่ทหาร แต่เป็นมือสังหาร นักจารกรรม และอีกหลายอาชีพที่สามารถฆ่าคนได้โดยไม่ต้องรอคำสั่งจากเบื้องบน”

คำตอบของท่านทูตหนุ่มที่เพิ่งมาเปิดเผยทีละอย่าง ทำให้แต่ละคนเงียบงันไป แต่สำหรับเจ้าหลวงวิวัสวัตที่ทรงเคยเจออะไรที่ไม่คาดฝันมามากมาย ก็ทำเพียงครางอือในพระศอ

“ฝีมือเทียบเคียงกับคนของเราได้ไหม”

“ใกล้เคียงหรืออาจเหนือกว่าพระเจ้าค่ะ”

“แล้วจำนวนล่ะ”

“ไม่มีใครทราบแน่นอนพระเจ้าค่ะ แต่กระหม่อมอยากคาดเดาว่าน่าจะอยู่ในหลักร้อย”

“ทุกสิ่งที่เป็นความลับถูกเชื่อมโยงถึงกันไปหมด” เจ้าหลวงวิวัสวัตตรัสอย่างสังเกต พระองค์ทรงนับความลับตั้งแต่เรื่องของจิรัฐจินดา ที่มีชื่อไปพ้องกับประธานองคมนตรีแห่งปามะห์ ที่มีความเป็นมาลึกลับ อีกทั้งสองชื่อนี้ยังมีส่วนเกี่ยวข้องกับสีน้ำเงินอย่างแยกไม่ออก มันทำให้เจ้าหลวงอยากรู้นัก ว่าความลับทั้งหมดนี้ เจ้าหลวงแห่งปามะห์จะทรงรับรู้ด้วยหรือไม่

“ไม่ทรงถามตรง ๆ เลยล่ะพระเจ้าค่ะ” เสนาบดีหนุ่มเอ่ยราวกับล่วงรู้ถึงความคิดที่อยู่ในหทัยของเจ้าหลวงได้

“งานตอนสิ้นเดือนนี้น่ะหรือ” ท่านทูตย้อนกลับอย่างรู้ทัน และนั่นก็ทำให้เจ้าหลวงวิวัสวัตทรงนึกขึ้นได้ ว่าเมื่อหลายวันก่อนมีราชสาส์นจากปามะห์มายังกูรา เรื่องเชิญไปร่วมงานเทศกาลปราบพยศม้าที่ทุ่งทุงกุ ซึ่งจัดขึ้นเป็นปีแรก และราชสาส์นฉบับนั้นก็ถูกส่งไปทุกรัฐ

“เรื่องนั้นจะเป็นอีกเรื่องที่ข้าจะพิจารณา” เจ้าหลวงวิวัสวัตตรัสตอบด้วยน้ำเสียงราบเรียบ ก่อนปรายพระเนตรมองผู้ติดตาม ที่มาปรากฏตัวอยู่ในเมืองปามะห์โดยไม่ได้นัดหมาย “แล้วทำไมพวกเจ้าถึงมาอยู่ที่นี่ ข้าบอกว่าให้รอนอกเมืองไม่ใช่หรือ”

เสนาบดีหนุ่มแห่งกระทรวงกลาโหมคลี่ยิ้ม พลางก้มศีรษะลงเล็กน้อย “พวกเราก็อยากทำตามพระประสงค์อยู่หรอกพระเจ้าค่ะ แต่มันขัดกับหน้าที่ของพวกเรา ยิ่งตอนนี้ในปามะห์มีแต่งูเงี้ยวเขี้ยวขอวิ่งเต็มไปหมด เราจึงจำเป็นต้องมาอารักขา”

“คิดว่าข้าอ่อนหัดมากจนถึงกับจะถูกงูพวกนี้กัดได้ง่าย ๆ เชียวหรือ” เจ้าหลวงทรงกอดอุระ พลางส่งสายพระเนตรดุดันไปยังเสนาบดีหนุ่มที่ค้อมตัวรับพระอารมณ์ที่ส่อเค้าว่าจะมีพายุอย่างไม่สะทกสะท้าน

“มิได้พระเจ้าค่ะ แต่มันเป็นหน้าที่”

เจ้าหลวงวิวัสวัตถอนปัสสาสะออกมาแผ่วเบา พลางทอดพระเนตรด้วยดวงเนตรที่อ่อนลง “หยุดพักบ้างก็ดี ข้าเองก็กำลังพัก”

“หยุดพักจากการเป็นเจ้าหลวงไปเป็นขโมยหรือพระเจ้าค่ะ” เสนาบดีหนุ่มสวนกลับไปด้วยท่าทางขบขัน และก็ได้ดวงเนตรดุเป็นคำตอบกลับมา

“หัดเอาหูไปนา เอาตาไปไร่บ้างก็ดี แล้วก็ไปรอนอกเมือง ข้าอยู่ที่นี่แค่วันเดียวเท่านั้น”

ท่านทูตหนุ่มกับผู้บัญชาการกองทหารรักษาพระองค์ ที่เฝ้าฟังบทสนทนาระหว่างเสนาบดีกลาโหมกับเจ้าหลวงอดส่ายหน้าด้วยความเหนื่อยหน่ายใจไม่ได้ คนที่กล้าต่อปากต่อคำกับเจ้าชีวิต เห็นทีจะมีแต่เพื่อนสมัยเด็กของพระองค์ที่ถูกเลี้ยงดูให้เติบโตมาด้วยกัน แถมยังเป็นไม้ชั้นดี ที่คอยกันไม่ให้นายเหนือหัวเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับเรื่องที่เห็นว่าอันตรายเกินไป

“ถ้าพระองค์ตรัสว่าจะทรงอยู่ที่นี่แค่วันเดียว กระหม่อมก็สามารถรออยู่นอกเมืองได้อย่างเบาใจ เจอกันพรุ่งนี้เช้านะพระเจ้าค่ะ” พอเสนาบดีหนุ่มพูดจบก็ค้อมศีรษะลา แล้วลากเพื่อนอีกสองคนจากไปทันที ทิ้งให้เจ้าหลวงส่ายพักตร์ไปมากับความไปไวมาไวของอีกฝ่าย พระองค์ทรงทราบดีว่าอีกฝ่ายเพียงแค่ต้องการมาส่ง โดยให้แน่ใจว่าจะไม่มีอะไรเกิดขึ้นเท่านั้น แล้วพรุ่งนี้เช้า พระองค์ก็คงได้ทอดพระเนตรเห็นเสนาบดีหนุ่มมารอรับอยู่ที่ไหนสักแห่งที่ไม่ใช่นอกเมือง

- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -


คืนที่แสงจันทร์โผล่วับแวมให้เห็นผ่านริ้วลายเมฆ เหมาะที่จะให้ผู้ใช้ชีวิตอยู่ในความมืดทั้งหลายประกอบกิจตามอาชีพของตน เรือนบางเหย้าถูกงัดแงะเอาทรัพย์สินมีค่าออกไป โดยที่เจ้าของไม่ทันรู้ตัว แต่ก็มีสถานที่แห่งหนึ่งที่เหล่าโจรน้อยใหญ่ที่มีใจเหี้ยมหาญหรือใจปลาซิว ไม่คิดจะย่างกรายผ่านผ่านเข้าไป

สถานที่แห่งนั้นตั้งอยู่ทางทิศตะวันตกของตัวเมือง ซึ่งมีอาณาบริเวณรวมทั้งสิ้นห้าร้อยห้าสิบไร่ ภายในนั้นแบ่งพื้นที่ส่วนหนึ่ง ให้เป็นที่ทำกินของเหล่าคนรับใช้ที่อาศัยอยู่ในคฤหาสน์ อีกส่วนเป็นพื้นที่ของเจ้าของที่ดินที่มีตึกน้อยใหญ่นับสิบตึกสร้างรายรอบคฤหาสน์หินอ่อนสีขาว อันเป็นที่พำนักของเจ้าบ้าน และมันเป็นเป้าหมายของสองโจรที่ลอบสังเกตการณ์ความเคลื่อนไหวภายในมาตั้งแต่ราตรีกาลเข้าครอบครอง

“จุดที่มีการวางยามน้อยที่สุด คือประตูทางเข้าออกของคนรับใช้” เสียงหนึ่งดังขึ้นแผ่วเบา และเงียบลงอย่างรวดเร็วเมื่อได้ยินเสียงขู่คำรามของอารักษ์หน้าขน

“แต่ข้าเห็นว่ามันเป็นทางเข้าที่เข้าลำบากมากที่สุดเลยนะ” อีกเสียงหนึ่งดังขึ้นด้วยน้ำเสียงระดับเดียวกัน พลางใช้โสตนับเสียงขู่คำรามที่ได้ยิน ว่ามีผู้เฝ้าประตูอยู่กี่ตัว

“แต่เดิมประตูตรงนี้จะมีแค่มิตรสองกับสามนทีคอยเฝ้า พอเปลี่ยนแปลงมาตรการรักษาความปลอดภัยใหม่ ก็เล่นยกขโยงมาเฝ้าทั้งหมู่ คงกะจะให้คนในห้ามออกคนนอกห้ามเข้าเลยกระมัง” ในประโยคสุดท้ายนี้ เจ้าของเสียงแรกเอ่ยงึมงำอย่างไม่ชอบใจเท่าไรนัก

“มิตรสอง? สามนที?”

“หนึ่งในอารักษ์นพเก้า มีหน้าที่เฝ้าประตูทิศตะวันตก” คนที่คุ้นเคยกับอารักษ์ประจำประตู จนถึงขนาดได้เคยสัมผัสกับพวกมันอย่างใกล้ชิด ไขความข้องใจให้อีกฝ่ายหายสงสัย

“แต่ประตูมีแค่สี่ทิศก็ต้องมีแปดสิ”

“ตัวหัวหน้า...หนึ่งกล้าคอยเฝ้าอารักขานายมัน ฉลาดยิ่งกว่าหมา ดุยิ่งกว่าเสือ หวงเจ้านายยิ่งกว่าจงอางหวงไข่ อย่าไปเสียท่าโดนมันกัดแล้วกัน เนื้อหายไม่รู้ตัว”

เสียงหัวเราะขลุกขลักดังมาจากคนที่สอง ที่จับได้ว่าอีกฝ่ายคงเคยโดนหัวหน้าอารักษ์สี่ขาทำอะไรมาแล้วสักอย่าง น้ำเสียงที่เอ่ยถึงจึงมีรอยขุ่นเคืองแฝงอยู่ด้วย และเสียงหัวเราะนั้นก็ทำให้คนที่มีความแค้นส่วนตัวกับหัวหน้าอารักษ์ดุหันมาทำสายตาขุ่นเคืองใส่

“พร้อมที่จะบุกถิ่นหมาดุแล้วหรือยัง ข้าเป็นตัวล่อ ส่วนเจ้าก็บุกเข้าไปในคฤหาสน์เลยนะ”

“แน่ใจนะว่ารับมือไหว” เจ้าของเสียงที่สองเอ่ยถามอย่างห่วงใย และก็ได้รับรอยยิ้มที่แสดงความมั่นอกมั่นใจตอบกลับมา

“ข้าเคยวิ่งเล่นอยู่ในนั้นมานานหลายปี รู้ดีว่าควรหลบหรือซ่อนตัวที่ไหนไม่ให้ถูกจับได้ เจ้าสิควรระวังตัวไว้ให้ดี เพราะข้าไม่มั่นใจว่ายามรอบคฤหาสน์จะกรูเข้ามาจับข้าด้วยหรือไม่ ทางที่ดีถ้าเข้าไม่ได้ก็อย่าดันทุรังเข้าไป โอกาสหน้าเรายังมี”

ครั้นจันทราโผล่พ้นหลืบเมฆ และสาดแสงลงมายังพื้นพิภพ ก็ได้เห็นว่าเจ้าของเสียงที่สองยิ้มออกมาด้วยความลำบากพระทัย และเมื่อแสงจันทร์จับดวงหน้านั้นได้ถนัดชัด ก็พบว่าเจ้าของเสียงนี้คือเจ้าหลวงวิวัสวัต ฉะนั้นอีกฝ่ายจะเป็นใครไปไม่ได้นอกจากเจ้าชายชัยนเรนทร์ที่กำลังพันผ้าปิดดวงพักตร์

โอกาสหน้ายังมีงั้นหรือ...เจ้าหลวงวิวัสวัตได้แต่รำพึงในหทัย สำหรับพระสหายคงมีโอกาสหน้าตามที่ว่าไว้ แต่สำหรับพระองค์แล้ว โอกาสนี้คงเป็นโอกาสเดียวและโอกาสสุดท้ายที่ต้องกระทำตามเป้าหมายให้สำเร็จ พระองค์อยากรู้ให้กระจ่างชัดว่าคนที่จะเสด็จไปพบนั้น ใช่คนเดียวกับคนที่ทรงคาดเดาหรือไม่

หากใช่...ทางที่จะเลือกเดินก็เพิ่มขึ้นมาอีกหนึ่ง และบางทีเส้นทางนี้อาจเป็นทางเลือกที่ดีที่สุด ในบรรดาเส้นทางอื่นก็เป็นได้

“ขอให้ทุกอย่างผ่านไปได้ด้วยดีเถอะ เพื่อที่ข้าจะได้ไม่ต้องเลือกหนทางที่โหดร้าย”

- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -


เสียงพลิกหน้ากระดาษดังขึ้นแผ่วเบา พร้อมกับเสียงเก้าอี้โยกที่ดังเอี๊ยดอ๊าดไปมา โดยมีชายชรารูปร่างกำยำยืนตรงนิ่ง ราวกับรูปปั้นห่างจากจุดที่เจ้านายของตัวเองนั่งอยู่ไม่เท่าไร กลายเป็นภาพที่สาวใช้ในบ้านหลังนี้คุ้นตาไปเสียแล้ว ยามที่เอายามาให้เจ้าของบ้านในห้องหนังสือ และท่านจะนั่งอยู่ตรงนั้นจนค่อนดึก จึงจะเข้านอน ซึ่งคนสนิทของท่านก็จะกลับไปพักผ่อนที่ห้องพักของตัวเอง ซึ่งเขาเป็นคนเพียงคนเดียวที่ได้รับอภิสิทธิ์ให้พักอยู่ในคฤหาสน์หลังเดียวกับเจ้านาย

“ไปพักผ่อนเถอะ ข้าอยู่คนเดียวได้” ท่านจินดาเอ่ยขึ้นอย่างเชื่องช้า โดยสายตายังไม่ละจากตัวหนังสือที่อยู่ในมือ ซึ่งคนที่ยืนโดยไม่ขยับไปไหนเริ่มไหวตัวด้วยคำสั่งของเจ้านาย

“แต่ร่างกายของนายท่าน...”

“มันก็เป็น ๆ หาย ๆ อย่างนี้เสมอนั่นแหละ หมอยังบอกเลยว่าการบำบัดของข้าดีขึ้นมากแล้ว ขอแค่อย่าไปออกแรงแบบเมื่อก่อนอีก ร่างกายของข้าก็จะเหมือนกับคนปกติทั่วไป ไม่ต้องใช้เวลาส่วนใหญ่ขลุกอยู่บนเตียงแบบที่ป่วยช่วงแรก”

ถ้ามันเป็นแค่การเจ็บป่วยธรรมดาก็คงไม่น่าห่วงเท่าไร แต่อาการของประธานองคมนตรีแห่งปามะห์นั้นไม่ได้เกิดจากโรคภัยที่รุมเร้า มันเกิดจากรอยแผลมากมายที่เกือบคร่าชีวิต และฝังพิษเรื้อรังให้อาการกำเริบขึ้นทุกครั้งที่อากาศหนาวเย็นเช่นคืนนี้

“ถ้าอย่างนั้นคืนนี้นายท่านควรเข้านอนเร็วหน่อย”

ท่านจินดากลั้วหัวเราะแผ่วเบากับคำกล่าวของคนสนิท ที่พูดเหมือนกับว่าท่านเป็นเด็กตัวเล็ก ที่ดื้อไม่ยอมเข้านอนตามเวลา ท่านละสายตาจากตัวหนังสือในมือ แล้วเงยหน้าขึ้นมองเค้าร่างกำยำที่ถูกเงามืดพรางไว้ด้วยรอยยิ้มละมุนละไม

“อีกครึ่งชั่วยามแล้วกัน ขออ่านเล่มนี้ให้จบก่อน ส่วนเจ้าก็ไปเข้านอนเสียเถอะ...” ท่านจินดาชะงักคำพูดไว้ เมื่อนึกอีกอย่างขึ้นมาได้ “...ไม่สิ คืนนี้คงไปเฝ้าดูกัญญาฝึกซ้อมวิชาป้องกันตัวกับท่านมานัยอีกสินะ ฝีมือลูกสาวของข้าคนนี้เป็นอย่างไรบ้างล่ะ”

คนที่ซ่อนตัวอยู่ในเงามืดกระตุกยิ้มขึ้นมา เมื่อนึกถึงบุตรีคนที่สิบเก้าของเจ้านาย “ท่านกัญญาเรียนรู้ไวเหมือนท่านปลายมาศเลยขอรับ อย่างน้อยก็สามารถปกป้องตัวเองได้ในระดับหนึ่ง”

คำตอบของคนสนิททำให้ท่านจินดาถอนหายใจเฮือก พลางยิ้มด้วยความรู้สึกที่บอกไม่ถูกว่ามันควรเป็นเรื่องดีหรือไม่ดี “ถ้าข้ายังรักษาสัญญา เรื่องของลูกสาวตัวน้อยคงยังไม่หลุดไปถึงฝ่ายทาลางทูร แต่ให้นางฝึกวิชาป้องกันตัวไว้ก่อนดีกว่า ยังไงพอหลังจากที่ท่านมานัยพาปลายมาศออกแสวงบุญ เจ้าช่วยรับหน้าที่สอนนางต่อให้หน่อยแล้วกัน เผื่อมีเรื่องไม่คาดฝันเกิดขึ้น นางจะได้ปกป้องตัวเองได้”

“คิดว่าท่านแสงสุรีย์จะผิดสัญญาหรือขอรับ” คำถามที่หลุดออกมานั้นแฝงความหนักใจ จนท่านจินดาสัมผัสได้

“แสงสุรีย์ไม่เคยผิดสัญญา นางรักษาสัญญาข้อนั้นมาตลอดยี่สิบปี ข้อที่ห้ามข้าเข้าไปยุ่งกับกิจของนาง แลกกับข้อที่นางจะไม่แจ้งเรื่องสีน้ำเงินที่ซุกซ่อนอยู่ในคฤหาสน์ให้ทาลางทูรรู้ แต่ข้ากำลังจะทำลายมัน”

“ทำไมนายท่านถึงไม่ส่งนางกลับทาลางทูรเช่นภรรยาชาวทาลางทูรคนอื่นล่ะขอรับ”

คำถามที่แฝงด้วยความกังขาทำให้ท่านจินดาเผยอยิ้มขึ้น “สำหรับข้าก็แค่อยากอยู่กับคนที่ตัวเองรัก สำหรับแสงสุรีย์ นางหยิ่งทะนงในศักดิ์ศรี นางเป็นภรรยาเอกของประธานองคมนตรีแห่งปามะห์ ก็ต้องอยู่ในปามะห์กับสามีแทนที่จะเป็นทาลางทูร ส่วนภรรยาคนอื่นยังมีใจไม่เด็ดขาดพอที่จะตัดขาดกับบ้านเกิดเมืองนอน ข้าเคารพในการตัดสินใจของพวกนาง จึงได้ส่งพวกนางกลับไป”

“นายท่านกับท่านแสงสุรีย์มีนิสัยคล้ายกันนะขอรับ”

ท่านจินดากลั้วหัวเราะกับคำกล่าวของคนสนิท ก่อนปิดหนังสือในมือลง เมื่อรู้ว่าคงไม่ได้อ่านมันอีกต่อไป “เพราะอย่างนั้นถึงกินกันไม่ลงอย่างไรล่ะ ต่างฝ่ายต่างเฝ้าสังเกตพฤติกรรมของอีกฝ่ายว่าคิดจะทำการอะไร และนางคงโกรธมากทีเดียวที่ข้าสั่งเก็บสายลับของนางที่แอบลักลอบเข้าบ้านมาในตอนนั้น นางจึงหันไปลงโทษกัญญากับปลายมาศที่ไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไร” ท่านพูดพลางถอนหายใจเฮือก แล้วทำหน้าหมองลง

“ถ้าเป็นไปได้ ข้าก็ไม่อยากเป็นศัตรูกับแสงสุรีย์ หากนางเป็นแค่ลูกสาวชาวบ้าน ไม่ใช่น้องสาวของฑัญญะก็คงดีกว่านี้ เผื่อว่าบางทีนางอาจรักข้าขึ้นมาบ้างก็ได้”

“นายท่าน...”

“ช่างเถอะ เรื่องที่ข้าฆ่าพี่ชายของนางนั้นเป็นความจริง และการที่นางจะโกรธเกลียดศักตรูของพี่ชายก็คงไม่แปลก” ท่านจินดาระบายลมหายใจออกมาแผ่วเบา ก่อนปรายตามองเบื้องนอกที่มีเสียงเอะอะดังขึ้นเรื่อย ๆ

“แต่ข้าว่าตอนนี้เราไปดูกันหน่อยดีกว่าว่ารอบนี้ใครมาฝึกวิชาในบ้านเรา และหวังว่าเขาคงหนีออกไปได้ทันเวลาก่อนที่เราจะไปถึงนะ”

- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -


“ให้ตายเถอะ ตอนเป็นหมาธรรมดาก็ทำตัวน่ารักดีอยู่หรอก แต่ทำไมเวลาดุถึงสลัดคราบหมาน้อยน่ารักออกไปชนิดไม่เหลือเค้าเดิมให้เห็นเลยวะ คนสอนมันเป็นปีศาจหรือไงกัน!” เจ้าชายชัยนเรนทร์ตรัสบ่นยาวเหยียด หลังจากสลัดหลุดจากอารักษ์หน้าขนมาได้อย่างน่าเสียวไส้ ไม่ถูกคมเขี้ยวของอารักษ์ตัวใดที่วิ่งไล่งับพระเพลากัดจนเนื้อแหว่งเล่นไปเสียก่อน

แต่ยังไม่ทันได้พักให้หายเหนื่อย เจ้าชายก็ทรงได้ยินเสียงขู่คำรามดังกระชั้นเข้ามา พระองค์ทรงสบถอีกครั้งกับความช่างตื๊อของอารักษ์สี่ขา หากไม่ติดว่าต้องทำหน้าที่ดึงความสนใจมาจากอารักษ์ทุกตัวที่อยู่ในบ้าน ก็ทรงคิดจะกำราบสุนัขดุพวกนี้ให้รู้ฤทธิ์เสียบ้าง ว่าคนอย่างเจ้าชายชัยนเรนทร์ไม่ใช่ว่าจะขู่ให้กลัวได้ง่าย ๆ

ถึงกระนั้นความคิดก็คงเป็นได้แค่ความคิด เมื่อสิ่งที่เจ้าชายทรงอยากกระทำนักหนาไม่สามารถกระทำได้ ดังนั้นพระองค์จึงตั้งหน้าตั้งตาวิ่งหนีอารักษ์ดุต่อไปอีกครา ซึ่งท้ายที่สุดก็คงไม่พ้นไปหลบในที่ที่อารักษ์สี่ขาไม่สามารถเข้าไปได้ และเส้นทางที่สั้นที่สุดก็คือวิ่งลัดผ่านคฤหาสน์ใหญ่ อันเป็นสถานที่ที่พระองค์เพิ่งดึงความสนใจจากพวกมันมาได้เมื่อครู่ใหญ่

เจ้าชายชัยนเรนทร์ทรงกระโดดข้ามระเบียงอย่างไม่รอช้า และรอดพ้นคมเขี้ยวของอารักษ์หน้าขนมาได้อีกครั้ง พระองค์หันไปทำสายพระเนตรฝากฝังความแค้นกับพวกมันที่ได้แต่กระโดดเห่าอยู่เบื้องนอก ไมวิ่งตามเข้ามาเหมือนดังเช่นที่พระองค์ยังเล่นวิ่งไล่จับกับมันอยู่ข้างนอก มันทำให้เจ้าชายทรงฉุกคิดได้ว่าภายในตึกทุกตึกของคฤหาสน์พรหมเทวา คงเป็นสถานที่ที่ปลอดภัยจากสุนัขเฝ้ายามทั้งหมด แต่พระองค์ก็ยังประมาทไม่ได้ เพราะนอกจากสุนัขที่อยู่เบื้องนอกแล้ว ยังมียามรักษาความปลอดภัยที่ยังไม่มีวี่แววโผล่มาให้เห็นสักคน

ครั้นพอรอดพ้นจากการไล่ล่าของพลพรรคสี่ขา เจ้าชายชัยนเรนทร์ก็เพิ่งมีโอกาสชมสถาปัตยกรรมของคฤหาสน์หินอ่อนที่ได้ยินมาว่าเป็นศิลปะจากแคว้นตะวันออกที่ห่างไกล และมันก็ทำให้พระองค์นึกถึงองคมนตรีเฒ่า ผู้มีรอยยิ้มแสนซื่อประดับอยู่บนใบหน้าเป็นนิจ ซึ่งเมื่อไม่นานมานี้เองที่ทรงคิด ว่าแท้ที่จริงแล้วใต้รอยยิ้มแสนซื่อซุกซ่อนอะไรไว้บ้าง พระองค์เพิ่งมาสังเกตเห็นว่ารอบตัวท่านจินดามีแต่ความลับมากมาย ขนาดเสนาบดีรุ่นเก่าอย่างเสนาบดีมหาดไทย ยังไม่สามารถตอบได้ว่าท่านจินดาเป็นใครมาจากไหน ท่านรู้แค่เพียงว่าท่านจินดาเป็นคนที่เจ้าหลวงพามา

เจ้าชายชัยนเรนทร์สะบัดพักตร์ไล่ความคิดหนักอึ้งพวกนั้นออกไป สิ่งที่พระองค์ถนัดที่สุดคือการลงมือกระทำมากกว่าคิด เมื่อสงสัยก็ลงมือพิสูจน์หาความจริงเลยมากกว่า เพราะบางทีพระองค์ก็เป็นคนมองโลกในแง่ร้ายเกินไป หากท่านจินดาไม่ได้เป็นคนทรยศอย่างที่ใครต่อใครพาลสงสัย พระองค์คงรู้สึกละอายพระทัยที่ไปกล่าวหาว่าอีกฝ่ายเป็นคนไม่ดี แล้วโสตที่ถูกฝึกให้รับเสียงได้ดีกว่าปกติ ก็ได้ยินเสียงฝีเท้าแผ่วเบาของคนหนึ่งคนเดินมาทางเจ้าชาย

ไม่สิ...เจ้าชายทรงดำริในหทัย พลางตั้งใจฟังเสียงฝีเท้านั้นอีกครั้งว่ามีจำนวนเท่าไรกันแน่ แล้วพระองค์ก็ทรงได้ยินฝีเท้าอีกคู่หนึ่งที่เบาจนแทบไม่ได้ยิน และผู้มาใหม่ก็ไม่ปล่อยโอกาสให้พระองค์ได้คิดนานว่าใครกันที่ออกมาต้อนรับ เมื่อมีดบินเล่มหนึ่งพุ่งเข้ามาหาชนิดไม่ยอมให้ทรงตั้งตัวทัน

วรองค์สูงเบี่ยงหลบตามสัญชาตญาณ แต่ก็มีมีดอีกเล่มพุ่งเข้ามาราวกับล่วงรู้ความเคลื่อนไหวของเจ้าชาย และมีดเล่มนั้นก็ฝากรอยแผลถากไว้ที่ต้นพระพาหาข้างซ้าย ซึ่งพระองค์ก็ขมวดพระขนงอย่างไม่แน่พระทัยว่าเจ้าของมีดบินนี้เป็นของใคร ระหว่างท่านจินดาที่ยังคงทำท่าทางนิ่งเฉย กับคนสนิทของท่านที่ชักดาบประจำตัวออกมาเตรียมพร้อมเข้าปะทะ

“อย่าออมมือกับตาแก่คนนี้เชียวนะ เพราะหากท่านออมมือเมื่อไร จะเป็นฝ่ายท่านเองที่บาดเจ็บ” ท่านจินดาเอ่ยพลางยิ้มละมุน ซึ่งรอยยิ้มกับคำพูดนั้นช่างตรงกันข้ามโดยสิ้นเชิง แล้วการต่อสู้อันแปลกประหลาดก็เริ่มขึ้นทันทีที่ท่านพูดจบ เมื่อคนสนิทของท่านจินดารุกเข้ามาประชิด

เจ้าชายชัยนเรนทร์รับการรุกที่หนักหน่วงและดุดันแทบไม่ทัน พลางดำริในพระทัยอย่างไม่อยากเชื่อ ว่าการเคลื่อนไหวที่รวดเร็วราวคนหนุ่มเช่นนี้ จะเป็นของชายชราวัยหกสิบเศษ อีกทั้งรูปแบบการรุกรับของชายชราในชุดคนรับใช้ เหมือนกับว่าเคยทอดพระเนตรเห็นจากที่ไหนสักแห่ง จนกระทั่งภาพหนึ่งผุดวาบขึ้นมา ซึ่งมันเป็นตอนที่เจ้าหลวงพาโอรสองค์โปรดที่ยังทรงพระเยาว์ ไปชมการฝึกซ้อมของกองกำลังหน่วยหนึ่งอย่างไม่เป็นทางการ

“เจ้าเป็นคนของหน่วยพิฆาต!”

“ทรงพระปรีชาเหมือนเจ้าหลวง” ครูฝึกหน่วยพิฆาตคลี่ยิ้มอย่างชื่นชม แต่ก็ไม่ยอมผ่อนแรงโจมตีลงแต่อย่างใด อีกทั้งยังรุกไล่เจ้าชายให้ออกห่างจากท่านจินดา จนเจ้าชายทรงสังเกตเห็น

ความจริงเจ้าชายชัยนเรนทร์ไม่อยากใช้วิธีสกปรกเท่าไรนัก แต่กับคนของหน่วยพิฆาตที่กระทำได้ทุกอย่างเพื่อให้บรรลุตามคำสั่งหรือเป้าหมาย เจ้าชายก็ต้องพับศักดิ์ศรีเก็บลงชั่วคราว พระองค์ทรงใช้ช่องว่างที่อีกฝ่ายเผลอเพียงนิดหลบหลีกการจู่โจม แล้วพุ่งตรงไปยังท่านจินดาที่ยังยืนนิ่งอยู่ที่เดิม

“ระวัง!”

เสียงเตือนของคนสนิทท่านจินดาเรียกรั้งเจ้าชายชัยนเรทร์ให้หยุดชะงัก แต่ก็ไม่ทันคมมีดที่แหวกผ่านอากาศมาจากด้านหน้า ซึ่งสิ่งที่เจ้าชายทรงทำได้ในขณะนั้น คือการเบี่ยงองค์หลบ และใช้พระพาหาด้านขวากันคมมีดอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ แล้วความเจ็บปวดก็แล่นปลาบมาตามรอยแผล ก่อนด้านชาไร้ความรู้สึกไป

เจ้าชายชัยนเรนทร์เบิกเนตรมองประธานองคมนตรีแห่งปามะห์ ที่มีอาวุธเป็นเพียงแค่มีดสั้น อันเป็นชนิดเดียวกับมีดบิน ที่รุกไล่พระองค์จนได้แผลไปเมื่อครู่ พระองค์ไม่รู้ว่าท่านจินดาชักมีดออกมาเมื่อไร อีกทั้งตอนฟาดฟันมีดผ่านม่านอากาศ ก็ไม่มีจิตสังหารให้จับได้ จนเจ้าชายที่ไม่ทันระวังองค์ต้องได้รับบาดเจ็บด้วยความประมาท

“ข้าจำไม่เห็นได้ว่าท่านก็ถืออาวุธเป็นกับเขาด้วย” เจ้าชายชัยนเรนทร์ตรัสพลางเปลี่ยนดาบที่ถือหัตถ์ขวามาเป็นหัตถ์ซ้ายแทน

“ด้วยสภาพร่างกายตอนนี้ ก็ต้องบอกว่าถือดาบสู้รบกับใครเขาไม่ได้แล้ว แต่ถ้าเป็นแค่การป้องกันตัวเล็ก ๆ น้อย ๆ ก็ยังทำได้อยู่”

มีดเล่มเล็กคงเหมาะกับคำว่าป้องกันตัว แต่การโจมตีของท่านจินดาไม่ใช่การป้องกันตัวอย่างที่ท่านว่าไว้เสียแล้ว และจากสภาพของเจ้าชายในตอนนี้ ก็บอกได้ว่าไม่พร้อมที่รับมือกับอีกฝ่าย พระองค์ไม่รู้ว่าอีกฝ่ายจะซ่อนฝีมืออะไรไว้อีกบ้าง ดังนั้นการหนีจึงเป็นทางเลือกสุดท้าย เจ้าชายทรงกัดทนต์ด้วยความเจ็บพระทัย พลางมองประธานองคมนตรีแห่งปามะห์ที่มอบความอัปยศให้ ก่อนหมุนองค์กระโดดหนีลงไปทางระเบียงด้วยความรวดเร็ว

“ไม่ต้องตามไปหรอก” ท่านจินดาเอ่ยขึ้นแผ่วเบา เมื่อคนสนิททำท่าจะไล่ตามหัวขโมยที่ท่านรู้ดีว่าเป็นใคร พลางเก็บมีดสั้นที่ติดกายอย่างน้อยห้าเล่มไว้เสมอ หลังจากที่ร่างกายของท่านไม่สามารถใช้ดาบได้อีกต่อไป

“คงเสด็จไปหาปลายมาศเหมือนทุกครั้งนั่นแหละ” ท่านพูดได้แค่นั้นก็หลุดเสียงถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ “ปลายมาศใจดีเกินไป และความใจดีนั้นก็ชอบเผื่อแผ่ไปยังศัตรูด้วย ซึ่งมันจะนำภัยมาสู่เขาในภายหลัง ดังนั้นข้าจึงจำต้องใจร้าย เพื่อปกป้องเขาให้พ้นจากอันตราย”

- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -


เสียงเคาะหน้าต่างห้องนอน เรียกความสนใจจากปลายมาศที่กำลังผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้าให้หันไปมองต้นเสียงอย่างสงสัย ชายหนุ่มขมวดคิ้วเข้าหากันกับแขกที่มายามวิกาล ก่อนเดินไปเปิดหน้าต่างห้องนอน แล้วร่างของใครคนหนึ่ง ก็กระโจนข้ามกรอบหน้าต่างห้องนอนเข้ามา จนปะทะกับคนที่ไม่ระวังการจู่โจมชนิดนี้ให้ล้มหงายหลังไปด้วยกัน

“โทษที...” เสียงพึมพำของผู้บุกรุกดังขึ้นอย่างอ่อนระโหย

“ทรงบาดเจ็บ!” ปลายมาศเอ่ยขึ้นอย่างตกใจ เมื่อสายตาพลัดไปเห็นพระพาหาข้างขวาโชกไปด้วยเลือด

“อย่าเพิ่งถามอะไรเลย ช่วยทำแผลให้ข้าก่อนเถอะ เจ็บจะตายอยู่แล้ว…”

การบุกรุกคฤหาสน์พรหมเทวาในครั้งนี้ ทำให้เจ้าชายเสียทั้งแรงและเลือด อีกทั้งยังได้แผลใหญ่กลับไปเป็นของขวัญ เห็นทีพระองค์ต้องฌาปนกิจเรื่องของท่านจินดาโดยเร็วเสียแล้วว่าท่านเป็นใครกันแน่ ทำไมคนมีฝีมืออย่างท่านจึงซ่อนตัวอย่างเงียบเชียบอยู่ในปามะห์ได้หลายสิบปี แล้วยังมีคนของหน่วยพิฆาตเป็นคนรับใช้อีก

มันบอกว่าความลับนี้ไม่ธรรมดา!




Create Date : 20 กุมภาพันธ์ 2551
Last Update : 20 กุมภาพันธ์ 2551 19:29:58 น.
Counter : 393 Pageviews.

2 comments
  
โดย: นายแจม วันที่: 20 กุมภาพันธ์ 2551 เวลา:20:30:33 น.
  
ชอบอ่านเรื่องนี้มาก ติดงอมแงม
อ่านนิยายมามาก นึกชื่นชมคนเขียนนะคะ ว่าเขียนเรื่องได้ดี
ภาษาเขียนงดงามราวกับมืออาชีพ

แหะๆๆ แต่อยากให้มาอัพอีกบ่อยๆๆค่ะ
โดย: นุค่ะ IP: 77.97.142.74 วันที่: 21 กุมภาพันธ์ 2551 เวลา:5:16:55 น.
ชื่อ :
Comment :
 *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

ฌา
Location :
  

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]



New Comments
All Blog