พิษเสน่หา 34
๓๔ งานรวมญาติ

ผลจากคำสั่งของเจ้าหลวง และการเข้ามาจัดการของหน่วยพิฆาต ทำให้รู้ว่าหนูที่กล้ากระตุกหนวดเสือในงานเทศกาลจับม้าพยศ มีจำนวนทั้งสิ้นหนึ่งร้อยแปดคน โดยแยกเป็นคนที่ขัดขืนจนถูกสังหารเสียยี่สิบแปด ปลิดชีพตนเองไปเก้า บาดเจ็บสาหัสอีกสี่สิบสอง และที่พอมีสภาพให้เจ้าหลวงทรงเข้ามาไต่ความได้ ก็มีอยู่เพียงยี่สิบเก้าคน

เจ้าชายชัยนเรนทร์เสด็จตามเจ้าหลวงไปยังกลุ่มโจรที่เข้ามาลอบปลงพระชนม์ ซึ่งถูกควบคุมตัวไว้โดยหน่วยพิฆาตที่ปกปิดหน้าตาไว้ไม่ให้ใครเห็น และพอหน่วยนี้ออกมาเคลื่อนไหว ความวุ่นวายที่เกิดขึ้นก็สงบลงอย่างรวดเร็วจนไม่น่าเชื่อ

เจ้าหลวงทรงหยุดอยู่หน้าโจรคนหนึ่ง ที่เงยหน้าขึ้นมองตอบด้วยสายตาเย่อหยิ่ง หัตถ์ใหญ่กระชากเอาผ้าปิดหน้าออก แล้วพระขนงที่ขมวดมุ่นอยู่แล้วก็ยิ่งขมวดปมหนักขึ้น เมื่อเค้าโครงหน้าที่ปรากฏไม่ใช่ชาวแคว้นปัญปุระ อีกทั้งสีผิวที่ขาวจัดนี้เป็นส่วนหนึ่งที่บ่งบอกได้ถึงความเป็นคนต่างถิ่น เพราะชาวปัญจปุระมักมีผิวขาวอมขมิ้นไปจนถึงผิวสีน้ำผึ้ง

“มาจากที่ไหน” เจ้าหลวงทรงเก็บอาการกริ้วไว้ภายใน ก่อนตรัสถามด้วยสุรเสียงห้าวห้วน แต่จำเลยตรงหน้าพระพักตร์กลับเชิดหน้าตอบ โดยไม่พูดอะไร พระองค์จึงประทานหัตถ์บนใบหน้าถือดีนั้นเต็มแรง จนร่างที่ถูกมัดมืดไขว้หลังล้มลงตามแรงตบ

“ดี! อวดเก่งให้ได้ตลอดนะ อย่าบอกออกมาทีหลังล่ะว่ามาจากที่ไหน” เจ้าหลวงทรงเค้นเสียงเหี้ยม ก่อนตวัดสายพระเนตรไปยังร่างโปร่งระหงที่ยุรยาตรเข้ามา คล้ายกับจะรู้ว่าพระองค์ต้องการอะไร

แสงสุรีย์ถวายบังคมอย่างแช่มช้า พลางปรายสายตามองไปทางเหล่านักโทษด้วยสายตาประดุจงูพิษ “หม่อมฉันคิดว่าพระองค์ต้องการความช่วยเหลือ”

“เจ้ารู้ได้ไง” สุรเสียงดุติดห้าวห้วน คล้ายไม่อยากยอมรับเท่าไรว่าอีกฝ่ายพูดถูก

เจ้าของเสียงนุ่มหลุดหัวเราะออกมา แล้วดวงตาสีแดงทอประกายวาววาบด้วยความรู้สึกที่ไม่มีใครเดาได้ “เพราะคนพวกนี้เป็นสาเหตุที่ทำให้ท่านจินดาบาดเจ็บ” คำพูดที่เอ่ยออกมาแทงเข้ากลางดวงหทัยชนิดฝังลึก “ทรงไม่ต้องการให้คนพวกนี้ได้อยู่ดีนัก จะอยู่ก็ทรมาน จะตายก็ตายไม่ได้ หม่อมฉันเดาถูกไหมเพคะ”

ไม่มีคำโต้ตอบใดจากเจ้าหลวง แสงสุรีย์จึงแสร้งถอนหายใจเฮือก “หรือทรงไม่ต้องการหม่อมก็ฉันไม่ว่า แค่เข้ามาเสนอทางเลือก” ริมฝีปากสีแดงสดกรีดยิ้มหวาน ก่อนถวายบังคมเพื่อจากลา

“เดี๋ยว!” เจ้าหลวงทรงเรียกรั้งไว้ในนาทีสุดท้าย ก่อนผินพักตร์ไปสบเนตรกับดวงตาสีแดงที่เต็มไปด้วยเพลิงแห่งการทำลายล้าง “ส่งพวกมันไปที่ห้องลงทัณฑ์ของเจ้า แต่ต้องให้ทหารของข้าคุม”

“น้อมรับด้วยเกล้าเพคะ”

- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -


บานทวารที่เปิดเข้ามาดึงสายตาของคนที่อยู่ในห้องให้หันไปมองผู้เข้ามาใหม่อย่างพร้อมเพรียง และพวกเขาก็ได้เห็นเจ้าฟ้าชายอารยมัน ที่ส่งรอยแย้มสรวลให้ทุกคนที่อยู่ด้านใน ก่อนหันไปจับพระเนตรที่ผู้ครอบครองดวงตาสีน้ำเงิน ที่จับจ้องพระองค์ตอบกลับมาเช่นกัน

“ไม่ทราบว่ารบกวนหรือไม่พระเจ้าค่ะ” คำถามนี้ส่งไปยังเจ้าหลวงวิวัสวัตที่มีบริมาสคอยทำแผลให้แทนหมอหลวง ที่วุ่นอยู่กับการตรวจอาการท่านจินดา พร้อมทั้งหาวิธีการทำให้ท่านฟื้น ก่อนที่เจ้าหลวงจะเสด็จมา

“เชิญตามสบายเถอะ”

คำอนุญาตนั้นทำให้เจ้าฟ้าชายแย้มโอษฐ์กว้าง ก่อนหาที่ประทับนั่งบนเก้าอี้ที่ใกล้กับเจ้าหลวงแห่งกูรามากที่สุด “ก่อนมาที่นี่ แม่ของกระหม่อมบอกไว้ว่าอาจจะเจอคนที่มีดวงตาสีเดียวกันกับเรา ตอนแรกกระหม่อมก็ไม่เชื่อหรอกว่าจะเจอคนที่มีดวงตาสีน้ำเงินได้ง่ายนัก แต่นี่กลับเจอถึงสองคน เลยทำให้รู้สึกดีใจที่รู้ว่ายังมีญาติของแม่เหลืออยู่”

สิริกัญญาหันไปทางเจ้าหลวงหนุ่มอย่างเชื่องช้า โดยไม่รู้สึกตกใจหรือแปลกใจอะไรนัก ด้วยระแคะระคายอยู่แล้ว ว่าคนที่มีดวงตาสีเดียวกันอาจเป็นญาติของเธอ แต่ที่ไม่น่าเชื่อก็คือญาติของเธอคนหนึ่งเป็นถึงเจ้าหลวงแห่งกูรา อีกคนก็เป็นเจ้าฟ้าชายแห่งทาลางทูร

“เสด็จมานี่ เสด็จพ่อรู้หรือไม่” เจ้าหลวงตรัสถามแผ่วเบา ติดจะห่วงใยด้วยเล็กน้อย

เจ้าฟ้าชายส่ายพักตร์ด้วยความรู้สึกลำบากพระทัย เพราะรู้ถึงปัญหาขัดแย้งบางอย่างระหว่างกูรากับทาลางทูร “ถ้าบอกคงกริ้ว และไม่ให้มาหา แต่กระหม่อมอยากมา”

เจ้าหลวงทรงแย้มโอษฐ์เล็กน้อย ก่อนผินพักตร์ไปทางสิริกัญญาที่เฝ้าฟังบทสนทนาอย่างใจจดใจจ่อ “ส่วนเจ้าก็ดูจะไม่ตกใจอะไรเลยนะ ที่รู้ว่าพวกเราเป็นญาติกัน”

สิริกัญญาคลี่ยิ้มตอบ พลางมองดวงพักตร์ของเจ้าหลวงและเจ้าฟ้าชายที่ได้ชื่อว่าเป็นญาติ “คนที่มีดวงตาสีน้ำเงินในแคว้นปัญจปุระมีน้อยเสียยิ่งกว่าน้อย พอเจอคนที่มีดวงตาสีเดียวกัน ก็ต้องเดาเอาไว้ก่อนว่าอาจเป็นญาติ และหม่อมฉันก็เดาถูกเสียด้วยเพคะ”

ที่เดาไม่ถูกก็เห็นจะมีแต่คุณหนูพระจันทร์ ที่จนป่านนี้ก็ไม่กล้าบอกเพื่อน ว่าเจ้าหลวงที่ประทับอยู่ตรงหน้านี้ เป็นคนเดียวกับท่านพระอาทิตย์ของเธอ

“แต่ว่าน้องเราสองคนไม่มีดวงตาสีน้ำเงินนะ ทั้งคู่มีดวงตาสีทองแดง”

คำตรัสของเจ้าฟ้าชายอารยมันเป็นเหมือนลางบอก ให้เจ้าหลวงวิวัสวัตทรงทราบอยู่ในที ว่าตำนานสีน้ำเงินใกล้จบลงแล้ว เชื้อสายเทพที่สืบทอดกันมาหลายร้อยปีกำลังจบลงที่รุ่นของพระองค์ ซึ่งตรงกับคำกล่าวของท่านจินดาที่ว่าไว้ ว่าได้เวลาที่เทพจะกลับคืนสู่พิภพสวรรค์ เพื่อให้มนุษย์ได้สร้างประวัติศาสตร์ของตนเอง

“แม้สีตาจะต่างกัน แต่ทั้งคู่ก็ยังมีสายเลือดของกูราครึ่งหนึ่งไม่เปลี่ยนแปลง” เจ้าหลวงตรัสด้วยสุรเสียงอ่อนละมุน ก่อนทอดพระเนตรไปยังพระราชนัดดาทั้งสองด้วยความยินดี “ข้าเชื่อว่าสักวันเครือญาติที่กระจัดกระจายไปจะกลับมารวมกันอีกครั้ง และเราจะได้ทำความรู้จักกันมากขึ้น”

บานทวารเปิดขึ้นมาอีกครั้ง พร้อมกับการเสด็จมาถึงของเจ้าหลวงปัฐวิกรณ์ และเจ้าชายชัยนเรนทร์ ทั้งสองพระองค์ชะงักกึกเล็กน้อย เมื่อทอดพระเนตรเห็นว่าเจ้าฟ้าชายแห่งทาลางทูรก็ประทับอยู่ที่นี่ด้วย แต่ทั้งสองพระองค์ก็ไม่แปลกพระทัยอะไรนัก ด้วยทรงทราบว่าเจ้าฟ้าชายก็รู้ถึงความเป็นมาของสายเลือดอีกครึ่งที่อยู่ในวรกาย

“ข้ามาขัดจังหวะอะไรหรือเปล่า” เจ้าหลวงตรัสถามด้วยสุรเสียงราบเรียบ ไม่มีแววขี้เล่นเช่นที่เคยเป็น

“ไม่พระเจ้าค่ะ” เจ้าหลวงวิวัสวัตค้อมพระเศียรให้เล็กน้อย ครั้นพอสิ้นคำตอบของพระองค์ เจ้าหลวงปัฐวิกรณ์ก็เสด็จผ่านเข้าไปยังห้องด้านในที่มีท่านจินดานอนอยู่ ซึ่งไม่นานหลังจากนั้นหมอหลวงก็รีบเผ่นออกมาทันที ที่รายงานอาการขององคมนตรีเฒ่าเสร็จ

เจ้าชายชัยนเรนทร์เสด็จเข้ามาสมทบกับคนอื่น โดยไม่ตามพระบิดาเข้าไปด้านใน ก่อนถอนปัสสาสะด้วยความเหนื่อยพระทัย ความวุ่นวายครั้งนี้ดูจะไม่เหมือนครั้งที่ผ่านมา ด้วยผู้ก่อเหตุเป็นคนจากต่างแคว้นที่ไม่มีสายข่าวจากที่ไหนบอกได้ว่าเป็นคนจากแคว้นใด ที่สำคัญคือไม่มีหลักฐานบอกได้ว่าทาลางทูรเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์นี้

“เจ้าฟ้าชายอารยมันเสด็จมาที่นี่ เสด็จพ่อทรงรู้หรือเปล่า” คำถามของเจ้าชายชัยนเรนทร์เรียกรอยแย้มสรวลจากเจ้าฟ้าชายที่ถูกถามเป็นรอบที่สอง

“ถ้ามหาดเล็กที่กระหม่อมจับขังเอาไว้หลุดออกมาเมื่อไร เสด็จพ่อก็คงรู้พระเจ้าค่ะ”

เจ้าชายเลิกพระขนงขึ้น ก่อนแย้มโอษฐ์กว้างอย่างถูกพระทัย “เอาเรื่องเหมือนกันนี่เรา แล้วนี่ทำความรู้จักญาติของตัวเองไปถึงไหนแล้ว รีบ ๆ ทักทายกันเสียเถอะ เดี๋ยวจะถูกขัดจังหวะจนไม่เป็นอันทำอะไรกัน”

“ถ้าอย่างนั้นข้าขอตัวก่อนแล้วกัน” ราเชนลุกขึ้นอย่างเชื่องช้า ท่ามกลางความแปลกใจของทุกคนว่าเกิดอะไรขึ้น แต่ชายหนุ่มก็ไม่ได้พูดอะไรออกมา นอกจากเดินออกไป โดยไม่เหลียวมองใครสักคน แม้แต่สิริกัญญาที่มองตามแผ่นหลังกว้างที่แผ่ความเย็นชาออกมาอย่างไม่เข้าใจ

“ราเชนมันเป็นอะไรน่ะ” เจ้าชายชัยนเรนทร์ตรัสพึมพำกับองค์เอง แล้วผินพระพักตร์ไปยังบริมาสที่ลุกขึ้นยืนบ้าง

“หม่อมฉันก็ขอตัวด้วยดีกว่าเพคะ” หญิงสาวพูดพลางถวายบังคมให้ทั้งสามพระองค์ ก่อนเดินออกไปเป็นคนที่สอง คราวนี้เจ้าชายถึงกับเบิกเนตรด้วยความตกพระทัย เนื่องจากตอนนี้เหลือพระองค์ ที่เป็นส่วนเกินของงานรวมญาติเฉพาะกิจเพียงลำพัง

“ให้ตายเถอะ ทิ้งข้าให้อยู่คนเดียวแบบนี้ ใครจะหน้าด้านอยู่ ข้าไปด้วยก็ได้” เจ้าชายทำเสียงฟึดฟัดอย่างขัดพระทัยที่อดอยู่ดูเรื่องสนุก และเสด็จตามสองคนที่เหลือออกไป จนในที่สุดก็เหลือเฉพาะเครือญาติที่ต้องทำความรู้จักกกันใหม่อีกครั้ง

“เมื่อทางเปิด เราก็ควรคุยเสียตั้งแต่ตอนนี้ ก่อนที่จะไม่มีโอกาสได้คุยกันอีก ว่าอย่างนั้นไหม” เจ้าหลวงวิวัสวัตทรงตรัสขึ้น ก่อนกวาดสายพระเนตรมองพระราชนัดดาทั้งสองที่แสดงท่าทีเห็นด้วย “เราคงต้องเริ่มกันตั้งแต่การก่อกบฎของนายพลสิงหนาท เมื่อยี่สิบเจ็ดปีก่อน เพื่อให้สิริกัญญาที่ยังไม่รู้อะไร ได้รู้ถึงความเป็นมาของโศกนาฏกรรมสายเลือดของเรา”

- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -


โศกนาฏกรรมของสีน้ำเงินถูกเล่าออกมาเป็นฉาก จนคนฟังเห็นภาพตามการบอกเล่าได้ชัดเจน เจ้าฟ้าชายอารยมันที่ได้สดับฟังรายละเอียดทั้งหมด ก็อดโทมนัสไปกับการกระทำของพระอัยกา ที่ทรงต้องการสตรีเพียงนางเดียว ก็ถึงกับวางแผนทำลายคนกลุ่มหนึ่งอย่างโหดเหี้ยม และที่น่าละอายที่สุดก็คงเป็นเรื่องที่สตรีนางนั้นก็มีคู่ครองอยู่แล้วด้วย

“ข้าไม่ได้ต้องการให้เจ้าโกรธเกลียดสายเลือดอีกครึ่งหนึ่งที่อยู่ในกายหรอกนะ อารยมัน” เจ้าหลวงตรัสขึ้นแผ่วเบา หลังจากเล่าเรื่องทั้งหมดเสร็จสิ้น “ความโกรธเกลียดไม่ได้ช่วยให้อะไรดีขึ้นมา นอกจากจะเป็นการทำลายตนเองให้พินาศ ดังนั้นสิ่งที่เราควรทำมากที่สุดก็คือจะทำอย่างไร เพื่อให้เรื่องเหล่านั้นจบลงด้วยดี”

“กระหม่อมรู้มาว่าเสด็จพ่อส่งราชสาส์นไปกูรา” เจ้าฟ้าชายตรัสอ้อมแอ้ม ซึ่งในสุรเสียงนั้นบอกให้รู้ว่าทรงทราบถึงเนื้อหาที่อยู่ในนั้นด้วย

“เรื่องนั้นเดี๋ยวไว้คุยทีหลัง ข้าอยากคุยกับพวกเจ้าในฐานะน้าหลานก่อน เพราะไม่รู้ว่าเราจะได้คุยกันแบบนี้อีกเมื่อไร” เจ้าหลวงทรงตรัสพลางพินิจดวงพักตร์ของเจ้าฟ้าชาย ที่แย้มโอษฐ์ตอบกลับมาอย่างโล่งพระทัย “เจ้าถอดแบบมาจากองค์โสมเลยนะ ส่วนสิริกัญญานี่ก็เหมือนพี่สร้อยแสงจันทร์มาก จนข้านึกว่าทั้งสองพระองค์เสด็จกลับมาหาข้าอีกครั้ง”

สิริกัญญาขยับตัวเข้าหาด้วยความตื่นเต้น เมื่อได้ยินเรื่องของมารดาที่แทบจะจำไม่ได้แล้ว ว่าผู้ให้กำเนิดมีดวงหน้าเช่นไร ที่เธอนึกออกก็มีเพียงรอยยิ้มละมุนละไม และอ้อมแขนอันอบอุ่น ที่สวมกอดเธอยามเข้าสู่นิทรา กับเสียงเพลงหวานปนเศร้าที่พูดถึงการจากบ้าน ที่ไม่รู้ว่าจะได้หวนกลับไปเมื่อไร

“แม่ของหม่อมฉันเป็นคนอย่างไรหรือเพคะ”

ดวงเนตรสีน้ำเงินทอแววอ่อนลงกับคำถามของหญิงสาว พระองค์ทรงทราบมาจากพระสหายว่าพระองค์เจ้าสร้อยแสงจันทร์ ทรงสิ้นพระชนม์ไปได้สิบกว่าปีแล้ว ทิ้งให้พระธิดาอยู่ท่ามกลางพี่น้องที่ชอบกดขี่ข่มเหงน้องสาวที่มีฐานะทาสตามลำพัง

“เสด็จพี่ทรงงามสง่า เยือกเย็นดุจสายธารา และมีรอยแย้มสรวลที่ทำให้ผู้มองรู้สึกอบอุ่น”

เมื่อได้ยินคนอื่นมาพูดเรื่องของมารดาให้ฟัง หญิงสาวก็รู้สึกเต็มตื้นขึ้นมา หยาดน้ำตาเอ่อคลอเต็มเบ้า ก่อนปล่อยให้มันรินไหล เพื่อระบายความคิดถึงที่เต็มอยู่ในจิตออกไป เจ้าหลวงวิวัสวัตทรงทอดพระเนตรด้วยพระทัยสงสาร แม้ภายนอกของสิริกัญญาจะดูเข้มแข็งเพียงใด แต่ภายในของเธอก็ดูเปราะบางยิ่งนัก

“อยากกลับบ้านไหม สิริกัญญา” เจ้าหลวงทอดเสียงตรัสถามแผ่วเบา “กลับไปบ้านอีกหลังของเจ้า สรวงสวรรค์ของชาวสีน้ำเงิน”

สิริกัญญาเงยหน้าขึ้นมองดวงพักตร์ที่แสดงความจริงจังออกมา แล้วหญิงสาวก็เกิดอาการลังเล เธอเคยอธิษฐานทุกขณะจิตว่าอยากมีบ้านอีกหลัง เพื่อไปให้พ้นจากการถูกทรมาน แต่พอมีขึ้นมาจริง ๆ เธอก็กลัวที่จะจากไป ด้วยที่นี่มีทั้งพ่อ มีทั้งพี่ชาย มีทั้งคนที่เธอผูกพันอยู่มากมาย ซึ่งหากเธอทิ้งพวกเขาไป ใครกันแน่ที่จะเสียใจต่อการแยกจากครั้งนี้

เธอหรือพวกเขา?

ท่าทางของสิริกัญญาพอทำให้เจ้าหลวงวิวัสวัตเดาได้ ว่าอีกฝ่ายคงไม่อยากจากสถานที่ที่มีสายสัมพันธ์เกี่ยวข้องกับตัวเองไปเท่าไรนัก “ไม่ต้องรีบร้อนตอบหรอก เพราะบ้านก็ไม่ได้หนีไปไหน เพียงแต่ข้าจะดีใจมาก หากเจ้าหรืออารยมัน รวมถึงพี่น้องคนอื่นจะกลับมาเยี่ยมเยียนบ้านของพวกเขาบ้างก็เท่านั้น”

“ขอประทานอภัยเพคะ” ไม่รู้ว่าสิริกัญญาเอ่ยขอโทษเรื่องอะไร แต่พอได้เห็นดวงพักตร์หมองเศร้าก็อดที่จะเอ่ยคำนี้ออกไปไม่ได้

เจ้าหลวงวิวัสวัตส่ายพักตร์ ก่อนถอนปัสสาสะออกมาเฮือกใหญ่ “เจ้าไม่ได้ผิดอะไรหรอก แค่เวลากับโอกาสไม่อำนวย และข้าก็ไม่ได้อยากให้เจ้ากลับไปเยี่ยมบ้านในฐานะพระราชนัดดาของข้า”

เจ้าฟ้าชายอารยมันไหวองค์ขึ้นมาทันทีที่ได้ยินคำตรัส พลางผินพักตร์ไปยังหญิงสาวที่ยังไม่รู้ฐานะทางสายเลือดของตัวเอง ที่อาจใกล้ชิดบัลลังก์สีน้ำเงินยิ่งกว่าใครในที่นี้ และหากสิ่งที่พระองค์คิดนั้นถูกต้อง ความกังวลและความรู้สึกผิดทั้งมวลที่พระมารดาของพระองค์ทรงแบกรักไว้คงทุเลาลง

“ธรรมเนียมของกูราน่ะ มักจะให้ผู้ที่มีสายเลือดชิดใกล้เชื้อสายเทพมากที่สุดครองบัลลังก์ ข้าเป็นสายเลือดลำดับที่สิบสอง ไม่มีแม้แต่สิทธิ์ที่จะครองบัลลังก์นี้ตั้งแต่แรก” เจ้าหลวงวิวัสวัตระบายรอยแย้มสรวลด้วยท่าทางอมเศร้า “ส่วนองค์โสมก็เป็นลำดับที่เจ็ด ซึ่งใกล้ชิดเชื้อสายเทพมากกว่าข้า แต่ที่ใกล้ชิดมากที่สุดก็คือพี่สร้อยแสงจันทร์ ที่เป็นเชื้อสายลำดับที่สาม หากเสด็จพี่สิ้นพระชนม์ไปโดยไม่มีรัชทายาท ผู้ที่รับช่วงต่อก็เป็นองค์โสมอย่างไม่ต้องสงสัย”

สิริกัญญาเบิกตามองด้วยความตกใจ หญิงสาวแปลความหมายที่เจ้าหลวงต้องการสื่อมาออก พระองค์เจ้าสร้อยแสงจันทร์ทรงสิ้นพระชนม์ไป โดยทิ้งเชื้อสายที่ใกล้ชิดกับบัลลังก์เทพไว้ ดังนั้นสิทธิทั้งมวลที่พระองค์จะได้รับจึงตกทอดมาสู่รัชทายาท นั่นก็คือตัวเธอนั่นเอง!

“ถ้าเป็นไปได้ ข้าก็อยากให้เจ้ากลับไปกูราในฐานะเจ้าผู้ครองนคร ข้าจะประทานยศ และทำพิธีแต่งตั้ง เพื่อให้เจ้าขึ้นสู่บัลลังก์อย่างเหมาะสมที่สุด”

หญิงสาวปิดเปลือกตาลงอย่างเชื่องช้า เรื่องที่เธอได้ยินทำเอาตั้งตัวไม่ถูก และมันก็ใหญ่เกินกว่าที่ผู้หญิงตัวเล็ก ๆ อย่างเธอจะแบกรับไว้ได้ “หม่อมฉัน...” คำพูดที่ออกมาจากเรียวปากบางถูกสะกัดกั้นด้วยเสียงถอนหายใจ

“หม่อมฉันเป็นแค่ผู้หญิงตัวเล็ก ๆ คนหนึ่งเท่านั้น” สิริกัญญายิ้มน้อย พลางนึกไปถึงคนของปลายมาศ ที่จนป่านนี้เธอก็ยังคิดไม่ออก ว่าจะทำอย่างไรให้พวกเขานับถือเธอเหมือนพี่ชาย “หม่อมฉันไม่มีอะไรเลยสักอย่าง ไม่มีแม้แต่สิ่งที่ทำให้ผู้คนศรัทธา หากพระองค์อยากให้หม่อมฉันกลับกูรา หม่อมฉันก็อยากกลับไปในฐานะประชาชนกูราที่มีอยู่ในกายครึ่งหนึ่งมากกว่าเพคะ”

ความรู้สึกลังเลที่เกิดขึ้นเมื่อครู่เลือนหายไป เมื่อหญิงสาวรู้แล้วว่าตัวเองต้องการอะไร “แต่หากต้องกลับไปเป็นตุ๊กตาบนบัลลังก์ หม่อมฉันก็ไม่อยากกลับ ตลอดสิบปีที่ผ่านมา หม่อมฉันถูกบังคับให้เป็นตุ๊กตามานเกินพอแล้ว หม่อมฉันไม่อยากกลับไปกูรา เพื่อเป็นตุ๊กตาให้ใครอีก”

เจ้าหลวงวิวัสวัตถอนปัสสาสะกับคำตอบที่ได้รับ แม้สิริกัญญาจะไม่ได้เติบโตมาในฐานะของสีน้ำเงิน แต่เธอก็รับลักษณะเด่นของสตรีสีน้ำเงินมาหมด เหมือนกับเหล่าภคินีของพระองค์ที่ล้วนแต่เข้มแข็ง และพระองค์ก็ทรงภาคภูมิพระทัยในตัวของสตรีสีน้ำเงินทุกคน

“ขอประทานอภัยด้วยนะเพคะที่หม่อมฉันเห็นแก่ตัว ทั้งที่บางทีแล้วมันอาจเป็นหนทางที่ทำให้ทุกอย่างจบลงด้วยดี” สิริกัญญาเอ่ยขอโทษอย่างสำนึกผิด แต่เธอก็ไม่อยากกลับไปเพื่อเจอสภาพแบบเดิม ที่เธอพยายามหนีมาตลอด

“อย่าคิดมากเลย” เจ้าหลวงวิวัสวัตแย้มโอษฐ์ออกมาเล็กน้อย เพื่อปลอบท่าทางกังวลใจของพระราชนัดดา “คำตอบมีเพียงหนึ่ง และข้าก็เดาได้ตั้งแต่รู้ว่าพี่ฑิคัมพรทำผิดกฎเกณฑ์ของราชวงศ์ ซึ่งหากเสด็จพี่แหกกฎเพียงพระองค์เดียวก็คงจะดี” พอตรัสได้แค่นั้นก็ต้องส่ายพักตร์ไปมาด้วยความเหนื่อยหน่ายพระทัย

“แต่นี่ทุกคนดันพร้อมใจกันทำผิดกฎ แล้วจะให้ข้าดึงดันยึดถือกฎราชประเพณีไปคนเดียวทำไมล่ะ ที่ทำได้ก็มีแต่ทำตามเสียงส่วนใหญ่เท่านั้น”

“ทุกคน?” สิริกัญญาเอ่ยขึ้นพร้อมกับเจ้าฟ้าชายอารยมัน คำตรัสของเจ้าหลวงวิวัสวัตเหมือนกับจะบอกว่าทรงพบเชื้อสายสีน้ำเงินที่กระจัดกระจายไปแล้ว

“ตอนนี้ข้ายังบอกอะไรไม่ได้ แต่...” เจ้าหลวงทรงทิ้งคำไว้ด้วยพระทัยหวัง “ถ้าทุกอย่างจบลงด้วยดี ข้าจะพาพวกเจ้าไปหาทุกคน...พี่น้องสีน้ำเงินของเรา”

แม้ไม่รู้ว่าอนาคตข้างหน้าจะดีหรือร้าย แต่สิริกัญญากับเจ้าฟ้าชายอารยมัน ก็อยากคาดหวังว่าทุกอย่างจะจบลงด้วยดีตามคำตรัสของเจ้าหลวงวิวัสวัต เพื่อที่พวกเขาจะได้พบกับพี่น้องที่สาบสูญ และได้อยู่กันพร้อมหน้า หลังจากที่พลัดพรากกันมานาน

- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -


เจ้าชายอารยมันขอเสด็จกลับที่ประทับ หลังจากทอดพระเนตรเห็นว่าเวลาล่วงเลยมานานมากแล้ว และก็ทรงหวาดว่ามหาดเล็กจอมจุ้นจะหอบพายุลูกใหญ่ จนอาจเกิดเรื่องที่จะมองหน้ากันไม่ติดอีก ส่วนเจ้าหลวงวิวัสวัตก็ไม่อยากอยู่รบกวนคนเจ็บด้านใน จึงขอเสด็จออกมาเป็นคนที่สอง จนเหลือแต่สิริกัญญาที่ทำใจกล้าเข้าไปด้านใน ที่ตอนนี้มีแต่เจ้าหลวงประทับนั่งอยู่ริมเตียงด้วยสีพระพักตร์เคร่งเครียด สายพระเนตรยังคงจับจ้องท่านจินดา โดยไม่ปรายมองร่างบอบบางที่เข้ามายืนด้านข้างเลยสักนิด

“ขอโทษด้วยนะ”

“เพคะ?” สิริกัญญาเอียงคอมองเจ้าหลวงที่ตรัสขึ้นมาลอย ๆ ด้วยความสงสัย ว่าทรงขอโทษเธอเรื่องอะไร

“เรื่องฐานะของเจ้าที่ถูกปกปิดมาตลอดน่ะ” เจ้าหลวงตรัสอย่างช้าชัด ซึ่งบอกได้ว่าทรงรู้เรื่องที่เกิดขึ้นในห้องด้านข้างทั้งหมด “จินดาไม่ต้องการให้เจ้าเป็นสีน้ำเงิน เขาอยากให้บุตรีของตัวเองเป็นเพียงคนธรรมดา ไม่ต้องเข้าไปยุ่งวุ่นวายกับการแก่งแย่งที่นำพามาแต่การสูญเสีย จินดาหวาดกลัวที่จะสูญเสียอีก จึงกักขังเจ้าไว้ในคฤหาสน์”

“หม่อมฉันไม่เคยโกรธพ่อ”

“มันเป็นเรื่องดีที่เจ้าไม่โกรธจินดา และข้าก็ต้องขอบคุณเจ้า”

“ขอบคุณ? ขอบคุณเรื่องอะไรเพคะ” หญิงสาวเอ่ยถามด้วยความสงสัยเป็นรอบที่สอง

“ขอบคุณที่เจ้าไม่ทิ้งจินดาไป ทั้งที่ข้าพยายามผลักดันให้เจ้ากลับกูรา”

สิริกัญญาคลี่ยิ้มน้อย ก่อนนั่งคุกเข่าลง และยื่นมือออกไปแตะหัตถ์ใหญ่ที่บีบกำแน่น “หม่อมฉันต้องขอบคุณฝ่าบาทสิเพคะ มันถึงจะถูก”

“ขอบคุณข้างั้นหรือ” เจ้าหลวงผินพระพักตร์จากดวงหน้าขาวซีดของคนเจ็บ ไปยังดวงหน้าที่มีส่วนละม้ายคล้ายคนบนเตียงเล็กน้อย

“พระองค์ทรงอยู่เคียงข้างท่านพ่อมาตลอด ไม่เคยทอดทิ้งท่านเหมือนคนอื่น ขนาดตัวหม่อมฉันยังเคยคิดจะหนีท่านไปเลยนะคะ แต่เพราะถูกพี่ชายกับท่านแม่เดือนฟ้ายับยั้ง เลยไม่เคยหนีไปเสียที”

เจ้าหลวงทรงแย้มโอษฐ์บางเบา ก่อนลูบเรือนผมนุ่มของสตรีด้านข้างด้วยความเอ็นดู “เจ้านี่พูดเหมือนแม่ สร้อยแสงจันทร์เป็นสตรีที่ยอดเยี่ยม แม้จะถูกข่มเหงหนัก ก็ไม่เคยแสดงอาการระทดท้อออกมาให้เห็น ยังคงยิ้มแย้มและอยู่ข้างจินดาจนถึงวันสุดท้ายของตนเอง” พอตรัสได้แค่นั้นก็ทรงข่มพระทนต์แน่น

“ข้าน่าจะดูแลพวกเจ้าสองแม่ลูกให้ดีกว่านี้ น่าจะรับมาอยู่ในวังให้สมเกียรติ ในฐานะของสตรีสีน้ำเงิน”

หญิงสาวส่ายหน้าอย่างไม่เห็นด้วย เธอเข้าใจความคิดของมารดาว่าทำไมจึงยังทนอยู่ในบ้านหลังนั้นได้ ทั้งที่ถูกข่มเหง เพราะที่นั่นมีคนที่มารดาของเธอรัก จึงไม่ยอมจากไปไหน “ใจและกายของเราเป็นของพรหมเทวาเพคะ ดังนั้นพวกเราจึงควรอยู่ที่พรหมเทวามากกว่าที่อื่นใด หม่อมฉันพอใจในสภาพความเป็นอยู่ของตัวเองตอนนี้”

ความเคร่งเครียดบรรเทาลง หลังจากที่เจ้าหลวงได้สดับฟังคำตอบ พระองค์ส่งเสียงสรวล ก่อนตบหัตถ์ลงบนแผ่นหลังบอบบาง “จินดานี่โชคดีนะที่มีเมียและลูกที่เข้มแข็งแบบนี้ ข้าภูมิใจแทนพ่อของเจ้า แต่ข้าก็ยังยืนยันความคิดของข้าเหมือนเดิมนะ หากเจ้าขึ้นสู่บัลลังก์สีน้ำเงิน ทาลางทูรจะหมดสิทธิ์ร้องขอครอบครองบัลลังก์นั้น และที่สำคัญก็เพื่อความปลอดภัยในชีวิตของเจ้าเองด้วย”

มือสังหารที่เข้ามาในปามะห์ล้วนมีแผนการ ที่จะสังหารสายเลือดสีน้ำเงินที่ชิดใกล้บัลลังก์เทพเจ้า ยิ่งกว่ามเหสีแห่งทาลางทูร ตอนนี้สิริกัญญาเป็นเป้าสังหารที่ชัดเจนที่สุด จึงไม่ต้องบอกเลยว่าเธอกำลังตกอยู่ในอันตรายเพียงใด

“แต่หม่อมฉันกลับคิดไปอีกทางหนึ่ง” สิริกัญญาแย้มยิ้มออกมาอย่างมั่นใจ ว่ามันอาจไม่ใช่เรื่องร้ายเกินไป ที่เธอปรากฏตัวให้ใครต่อใครเห็นในฐานะของสตรีสีน้ำเงิน “เมื่อหม่อมฉันเปิดเผยตัว มันเป็นการยากที่มือสังหารจะทำร้ายหม่อมฉันได้ เพราะผู้ต้องสงสัยจะตกไปอยู่ที่ทาลางทูรทันที ทางนั้นต้องหาข้อแก้ตัว หรือไม่ก็หลักฐานยืนยันว่าตนไม่เกี่ยวข้องกับแผนสังหารหม่อมฉัน ซึ่งน่าเสียดายที่ทางนั้นเผยเจตจำนงออกมาให้ทุกคนรู้ตั้งแต่แรก”

“ฉลาด!” เจ้าหลวงตรัสอย่างชื่นชม

“แต่ที่น่ากังวลก็เห็นจะเป็นมือที่สาม” สิริกัญญาเอ่ยถึงสิ่งที่กังวลออกมา “เป้าหมายของมือที่สามอยู่ที่พระองค์ ซึ่งเราไม่รู้เลยว่าเกี่ยวข้องกับทาลางทูรหรือเปล่า แต่อย่างน้อยเป้าหมายของมือที่สามก็เข้าทางทาลางทูรพอดี”

เจ้าหลวงทรงทอดถอนปัสสาสะด้วยความเสียดาย ที่หญิงสาวที่อยู่หน้าพระพักตร์ไม่เกิดมาเป็นผู้ชายเสียให้รู้แล้วรู้รอด ไม่อย่างนั้นเรื่องราวคงง่ายดายกว่านี้ “สิรีเอ๊ย...” ชื่อของเด็กหนุ่มบ้านป่าหลุดออกมาแผ่วเบา พร้อมกับการส่ายพักตร์ไปมา “ข้าไม่รู้ว่าจะดีใจหรือเสียใจดี ที่ตอนนั้นยุให้เจ้าสนใจการเมือง และปลายมาศก็สอนเจ้ามาดีเกินไป”

เสียงหวานหลุดหัวเราะออกมา พลางจดจ้องเจ้าชีวิตด้วยสายตากระตือรือร้น “ดีสิเพคะ หม่อมฉันจะได้ช่วยบรรเทางานของท่านพ่อ งานของพี่ปลายมาศ แล้วก็งานของพระองค์”

“ทำไมข้าถึงอยู่รายสุดท้ายล่ะ” เจ้าหลวงตรัสอย่างน้อยพระทัย เมื่อสิริกัญญาเอ่ยถึงพระองค์เป็นคนสุดท้าย

“ก็แล้วทำไมไม่ทรงคิดเสียว่าทรงเป็นหนึ่งในสามคนแรกที่หม่อมฉันคิดถึงล่ะเพคะ”

เจ้าหลวงส่งเสียงสรวลดังลั่น และหากไม่ติดว่าอีกฝ่ายเป็นหญิงสาวสวย ก็คงจะดึงมากอดให้หายหมั่นไส้ต่อวาจาฉะฉานนั้น “ข้าคงเสียดายแย่ หากปล่อยเจ้าให้กลับกูราไป เดี๋ยวจะมีคนมาร้องไห้ฟูมฟายต่อว่าข้าว่าใจร้ายที่พรากพ่อพรากลูกไปอีก เอาเป็นว่าอยู่ที่ปามะห์ต่อไปแล้วกัน แล้วข้าจะหาคนมาปกป้องเจ้าตลอดชีวิตให้นะ” พระองค์ทรงขยิบเนตรตบท้าย และต้องทรงพระสรวลเมื่อร่างบอบบางสะดุ้งโหยงกับคำตรัสสุดท้าย ก่อนหน้าขึ้นสีแดงระเรื่อด้วยความอายต่อการถูกหยอกเย้า

หากสิริกัญญาตอบกลับไปว่าไม่ต้องการคนปกป้อง เจ้าหลวงจะทรงทำอย่างไร ตามใจเธอหรือบังคับแบบราเชน



Create Date : 05 มีนาคม 2551
Last Update : 5 มีนาคม 2551 20:20:08 น.
Counter : 327 Pageviews.

0 comments
ชื่อ :
Comment :
 *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

ฌา
Location :
  

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]



New Comments
All Blog