พิมพ์เสน่หา 2
ตอนที่ ๒ คู่เวรกรรมสมัคร หรือคู่บุญสวรรค์สร้าง

ในตอนนี้พ่อค้าแม่ขายตลาดโภคเจริญ รับรู้กันถ้วนหน้าแล้วว่า ไอศวรายุติการหาเงินด้วยการพุ่งเข้าชนรถราคาแพงเพื่อเรียกค่าทำขวัญ ทุกคนพากันโล่งใจที่เด็กหญิงเลิกไปเสียได้ เพราะพวกเขาหวั่นกลัวเหมือนกับปานแก้วว่า เวรกรรมจะตามแม่หนูน้อยน่าเอ็นดูคนนี้เข้าสักวัน

ไอศวรามองดูท้องฟ้าที่เริ่มอ่อนแสงลงทีละน้อยสลับกับพวงมาลัยที่ยังขายในถาดที่เร่ขาย แม้ปานแก้วจะบอกว่า ให้เหลือพวงมาลัยกลับมาได้ แต่เธอคิดว่าการขายให้หมดเป็นเรื่องที่ดีกว่า แม่หนูน้อยจึงคิดไม่ตกว่า จะทำอย่างไรกับพวงมาลัยที่เหลือดี แล้วสายตาก็เหลือบไปเห็นรถยนต์คันหรูสีน้ำทะเลที่กำลังแล่นผ่านเข้ามาในตลาดโภคเจริญด้วยความเร็วระดับปกติ และช่วยไม่ได้เลยที่ความเคยชินจะทำให้เด็กหญิงคิดเรื่องไม่ดีขึ้นมา

ไอศวราส่ายหน้ายิกเพื่อไล่ความคิดที่ผุดวาบขึ้นมา เด็กหญิงสัญญากับปานแก้วแล้วว่าจะไม่ทำเรื่องไม่ดีอีก แต่จำนวนพวงมาลัยที่เหลือ และรถยนต์ที่กำลังจะแล่นผ่านเข้ามาในเส้นทางทำให้เธอเริ่มลังเล

ตาชั่งแห่งความดีและความเลวกำลังโอนเอนไปมา ซึ่งจิตใจของไอศวราเริ่มเอนเอียงไปยังเส้นทางสีดำที่มีเหตุจูงใจเย้ายวนที่ชวนให้คล้อยตาม

ขอแค่ครั้งนี้ครั้งเดียวเท่านั้นแหละ อย่างไรเสียวันข้างหน้าก็คงไม่ได้ทำอีก พวงมาลัยก็เหลืออยู่สิบกว่าพวงเอง ไอศวราเริ่มคิดเข้าข้างฝ่ายไม่ดี แต่ก็ยังมีฝ่ายดีคอยยื้อยุดฉุดดึงไม่ให้เธอถลำเข้าสู่การทำบาป กระนั้นฝ่ายดีก็ถูกปัดกระเด็นไปไกล เมื่อรถคันนั้นแล่นเข้ามาใกล้จนได้ระยะที่เด็กหญิงต้องรีบกระโดดเข้าขวาง

เอี๊ยดด!!

คนขับรถเหยียบเบรกจนตัวโก่ง เมื่อร่างเล็กของเด็กหญิงคนหนึ่งตัดผ่านหน้ารถไป และเขาก็มั่นใจว่าไม่ได้ชนเด็กคนนั้นแน่ แต่เขาก็รีบเปิดประตูออกไปหาเด็กผู้หญิงที่เฝ้าตามหามาตลอดหนึ่งอาทิตย์ ในใจก็บ่นพึมพำกับตัวเองว่า พอเปลี่ยนรถปุ๊บก็เจอคู่กรณีปั๊บ รู้งี้เขาน่าจะเปลี่ยนรถเสียตั้งแต่วันแรกที่ตามหา ไม่อย่างนั้นคงได้เจออีกฝ่ายเร็วกว่านี้

ศศินหยุดยืนอยู่เบื้องหลังคู่กรณีที่กำลังปัดคราบฝุ่นที่ติดอยู่ตามตัวโดยไม่คิดเข้าไปช่วยเหลือ ชายหนุ่มยืนกอดอก พลางมองเรือนผมสีดำยาวสลวยที่หลุดออกมาจากมวยกลางศีรษะ จนระบายอยู่เต็มแผ่นหลังเล็กบอบบาง ปลายผมด้านล่างก็กำลังคลุกฝุ่นโดยที่เจ้าตัวไม่รู้ จนเขานึกอยากจับมันมาปัดให้สะอาดดังเดิม

ไอศวราขมวดคิ้วด้วยความแปลกใจที่ไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้น ไม่มีเจ้าของรถที่ต้องรีบลงมาถามไถ่อาการบาดเจ็บด้วยความตื่นตระหนก เด็กหญิงจึงแอบเหลือบแลหาคนที่น่าจะลงมาจากรถ จนดวงตาไปปะเข้ากับชายหนุ่มหน้าคมขำที่กำลังยืนกอดอก พลางแย้มยิ้มและมองดูเด็กหญิงขายพวงมาลัยด้วยท่าทางเอ็นดู ซึ่งเขาก็หัวเราะออกมาอย่างขบขันที่เห็นดวงตากลมโตเบิกกว้างขึ้นทันทีที่ได้เห็นเขา

“เจอกันอีกแล้วนะ สาวน้อย”

ไอศวราอ้าปากพะงาบ เมื่อคู่กรณีกลับกลายเป็นอดีตเหยื่อของตัวเอง เด็กหญิงไม่พูดพร่ำทำเพลงมากนัก นอกจากรีบกวาดพวงมาลัยเข้ากระจาด แล้วรีบลุกเผ่นไปให้ไกลจากชายหนุ่มคนนี้ แต่อีกฝ่ายคงรั้งรอท่าทีนี้อยู่แล้ว จึงก้าวพรวดเข้ามาคว้าท่อนแขนเล็กไว้ทันที

“เดี๋ยวก่อนสิ เรามีเรื่องต้องคุยกันก่อนนะ”

“วี้ด!! กรี๊ด!! ช่วยด้วยค่า...ช่วยด้วย”

มันเป็นความโชคร้าย หรือถึงเวลาที่ไอศวราต้องชดใช้กรรมกับศศินหรืออย่างไรก็ไม่อาจทราบได้ เพราะที่แห่งนี้ดันร้างผู้คนขึ้นมาเสียอย่างนั้น ทำให้เด็กหญิงร้องเสียงดังมากแค่ไหนก็ไม่มีใครมาช่วยเหลือ

“เดี๋ยวก่อนสิ ฉันไม่ได้คิดจะทำอะไรเธอนะ” ศศินรีบอุทธรณ์ต่อข้อกล่าวหาที่เด็กหญิงมอบให้ แต่อีกฝ่ายคงไม่มีกะจิตกะใจมาฟัง นอกจากดิ้นเร่าและสะบัดแขนให้พ้นจากการยึดจับ

“น้องครับ!”

“วี้ด!!”

ไอศวราทวีเสียงร้องมากขึ้นจนศศินตกใจ ชายหนุ่มเหลียวซ้ายแลขวาว่าจะมีใครได้ยินเสียงนี้หรือไม่ มันคงไม่ดีแน่หากจะมีคนมาได้ยิน หรือเห็นภาพที่เหมือนกับว่า เขากำลังทำมิดีมิร้ายกับเด็กผู้หญิงคนนี้ มือใหญ่จึงรีบปิดปากที่กำลังตะเบ็งร้อง แต่เขาก็ร้องอุทานออกมา เมื่อฟันของคนตัวเล็กงับลงมาบนง่ามมือเต็มแรง

เด็กหญิงรู้สึกมือใหญ่ที่คลายการยึดจับจึงรีบสะบัดแขนให้หลุดจากการเกาะกุม ก่อนเร่งฝีเท้าหนีทันทีที่ตัวเองเป็นอิสระ แต่เหมือนกับว่ากรรมที่ต้องชดใช้ยังไม่หมดสิ้น เมื่ออารามรีบร้อนทำให้เธอเสียหลักจนขาพลิก และพาร่างล้มลงกับพื้นโครมใหญ่ หลังจากที่วิ่งไปได้ไม่กี่ก้าว

“โอ๊ะ!...โอย”

ศศินรีบวิ่งมาดูอาการของไอศวราด้วยความตกใจ ชายหนุ่มจับร่างเล็กที่ล้มทับข้อเท้าของตัวเองให้นั่งยืดขา แล้วมองบาดแผลบนท่อนขาเพรียวที่ครูดไถลไปกับพื้นจนเลือดไหลโชก ส่วนข้อเท้าที่ถูกทับดูจะย่ำแย่อยู่ไม่น้อย เมื่อมันเริ่มขึ้นรอยช้ำ มือหนาจับข้อเท้าเล็กขยับไปมา เรียกอาการสะดุ้งโหยงจากเด็กหญิงที่ทำเพียงครางซี๊ด ไม่ได้ร้องไห้แบบเด็กทั่วไป

“เจ็บไหม” ชายหนุ่มเอ่ยถาม พลางเงยหน้าขึ้นมองอีกฝ่ายที่เม้มริมฝีปากเพื่อกล้ำกลืนความเจ็บปวดลงลำคอ แต่ดวงตากลมโตที่หยาดรื้นด้วยน้ำตาก็บ่งบอกถึงความเจ็บได้ดีกว่าสิ่งใด

“นี่ล่ะ ผลของความรีบร้อน ฉันบอกแล้วว่าไม่ได้ทำอะไร จะวิ่งหนีทำไมก็ไม่รู้”

ดวงตาคู่สวยส่งค้อนคว่ำให้อีกฝ่ายที่พูดออกมาโดยไม่ดูสถานะของเธอเอาเสียเลย เธอเคยหลอกเอาเงินเขาด้วยการวิ่งตัดหน้ารถ อีกทั้งยังมาทำคดีเดิมซ้ำสอง มีหรือที่ชายหนุ่มจะไม่รู้ว่าเธอจงใจ เมื่อเป็นอย่างนั้นจะให้เธออยู่รอเขาสะสางหนี้หรือ

“ข้อเท้าบวมแบบนี้ สงสัยต้องไปหาหมอแล้วล่ะ”

“หนูไม่เป็นอะไรมากหรอก ไม่ต้องไปหาหมอก็ได้”

“เรารู้ได้ยังไงว่าไม่เป็นอะไร เป็นหมอหรือ” ศศินส่งสายตาดุ พลางส่ายหน้าอย่างไม่เห็นด้วย ชายหนุ่มกวาดพวงมาลัยที่ตกหล่นบนพื้นใส่กระจาดอีกครั้ง ก่อนถือด้วยมือข้างหนึ่ง ส่วนอีกข้างก็รวบร่างเล็กขึ้นอุ้มไว้ในวงแขน จนคนถูกอุ้มด้วยท่อนแขนเพียงข้างเดียวร้องอุทานออกมาด้วยความตกใจ

“คุณจะทำอะไรน่ะ!!”

“ไปหาหมอน่ะสิ ถามได้” ชายหนุ่มตอบอย่างไม่อินังขังขอบ พลางเดินตรงไปยังรถคันใหม่ที่ทำให้เขาได้พบกับคู่กรณีอีกครั้ง

“ไม่เอา! หนูไม่ไป!!” ไอศวราร้องเสียงหลง และดิ้นเร่าอยู่ในวงแขนแข็งแรงที่กระชับท่อนแขนแน่นขึ้น

“นี่! ไม่ได้ยินหรือไง หนูไม่ไปหาหมอนะ” เด็กหญิงเขย่าบ่ากว้าง และทุบรัวไปมาเพื่อประท้วง แต่อีกฝ่ายไม่รู้สึกสะทกสะท้านเลยสักนิด เธอจึงสูดลมเข้าปอด แล้วร้องตะโกนใส่หูเจ้าของร่างสูง

“คุณ!!”

เสียงตะโกนของไอศวราทำให้ศศินหูอื้อไม่น้อย เขาถอยใบหน้าให้ห่างจากร่างเล็กในวงแขนที่ส่งสายตาปั้นปึ่งมาให้ พลางวางกระจาดลงบนหลังคารถ แล้วเปิดประตูฝั่งคนขับอย่างเชื่องช้า

“อย่าไปพูดข้างหูหรือตะโกนใส่คนอื่นแบบนี้นะ”

“คุณจะทำไมล่ะ”

“เพราะมันไม่ดีน่ะสิ” ชายหนุ่มตอบไปแค่นั้น โดยไม่พูดถึงสิ่งที่ใจคิด

ใช่...มันคงไม่ดีแน่ หากคนอื่นที่ว่าไม่มีความอดทนต่อท่าทางก้าวร้าวของเด็กหญิงคนนี้ โดยเฉพาะเรื่องที่อีกฝ่ายจงใจวิ่งตัดผ่านหน้ารถนี่อีก และคงไม่มีใครใจเย็นเท่าศศินที่แม้จะรู้ตัวว่าถูกหลอก ก็ยังไม่มีทีท่าโกรธเคืองแบบคนทั่วไป





“หนูบอกแล้วว่าไม่ไปหาหมอ...ไม่ไปหาหมอ!” ไอศวราตะโกนใส่คนที่ยังทำหน้านิ่ง ขับรถไปโรงพยาบาลด้วยท่าทางไม่รู้ร้อน และเมื่อเห็นว่าไม้นี้ใช้ไม่ได้ผล เด็กหญิงก็เริ่มหันไปใช้ไม้อื่นแทน

“หนูไม่อยากไปหาหมอ หนูอยากกลับบ้าน” ว่าแล้วแม่หนูน้อยก็ร้องไห้กระซิกทำเอาศศินสะดุ้งโหยง แล้วหันไปมองด้วยความตกใจกับท่าทีที่เปลี่ยนไปของเด็กหญิง แต่ชายหนุ่มก็ไม่มั่นใจนักว่าเสียงร้องไห้โยเยของอีกฝ่ายจะเป็นของจริง เพราะเขามีบทเรียนจากการพบกันเมื่อครั้งก่อนที่ทำเอาเจ็บใจอยู่ไม่น้อย

“ถึงโรงพยาบาลแล้ว” ศศินพูดพลางหักพวงมาลัยรถเลี้ยวเข้าโรงพยาบาลอย่างไม่ใส่ใจอาการร้องไห้ฟูมฟายของไอศวรา ซึ่งเขาก็รู้ทันทีว่าเด็กหญิงเสแสร้งแกล้งทำ เมื่อร่างเล็กหยุดร้องไห้แล้วหันมาร้องวี้ดอีกรอบ

“ไม่เอา! หนูไม่ไปหาหมอ หนูจะกลับบ้าน”

“สายไปแล้วสาวน้อย” ชายหนุ่มคลี่ยิ้มอย่างระอากับมารยาร้อยเล่มเกวียนของแม่หนูน้อย เขาเวียนหาที่จอดรถ และดับเครื่องยนต์ทันทีที่พารถเข้าคอก ก่อนหันไปมองร่างเล็กที่ยังส่งสายตาขัดเคืองมาให้

“หนูไม่อยากไปหาหมอ”

“กลัวหมอหรือไง” คำหยอกเย้าของศศิน เรียกสายตาค้อนคว่ำจากดวงตากลมโตทำให้เขาหัวเราะกับคำพูดที่แทงใจดำอีกฝ่ายเข้าอย่างจัง

“เปล่านะ” เสียงปฏิเสธอย่างร้อนตัวไม่ได้ทำให้ศศินนึกอยากเชื่อถือเลยแม้แต่น้อย

“หมอไม่จับเราฉีดยาหรอกน่า”

คำพูดแทงใจครั้งที่สองทำให้ศศินได้รับสายตาค้อนคว่ำมาอีกแปดตลบ และท่าทางนั้นก็ดูน่าเอ็นดูเสียจนชายหนุ่มนึกอยากบีบจมูกโด่งรั้นให้หายหมั่นเขี้ยว แต่ขืนทะเล่อทะล่ายื่นมือเข้าไป เขาอาจโดนตะปบตอบกลับมาก็ได้

“หนู...ไม่กลัวเข็มฉีดยา”

ศศินร้องอะฮ้ากับตัวเอง เมื่อจับได้ว่าแม่หนูน้อยกลัวทั้งหมอและเข็มฉีดยา ดวงตาที่ทอแววอ่อนละมุนเริ่มพราวระยับขึ้นมา จนไอศวรานึกหวั่นขึ้นมาเล็กน้อย เด็กหญิงมองดูร่างสูงที่ลงจากรถแล้วเดินมาทางที่นั่งข้างคนขับ ก่อนเปิดประตูด้านที่เธอนั่งอยู่ พลางทรุดนั่งลงให้สายตาอยู่ในระดับเดียวกัน

“ได้เวลาไปหาหมอแล้วครับ ลงมาเถอะ”

มือเล็กยึดเบาะที่ตัวเองนั่งไว้แน่น อันเป็นคำตอบบอกให้ศศินรู้ว่า เด็กหญิงคงไม่ยอมลงมาแต่โดยดีแน่ ชายหนุ่มถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ และคิดว่าเห็นทีคงต้องใช้กำลังพาอีกฝ่ายเข้าไปหาหมอให้ได้เสียแล้ว เพราะยิ่งเวลาผ่านไปนานเท่าไร ข้อเท้าของแม่หนูน้อยก็ดูจะบวมมากขึ้นจนน่ากังวล

“วี้ด! ปล่อยหนูนะ!” ไอศวราหวีดร้องเสียงดังกับมือใหญ่ที่รวบตัวเธอเข้าไปหา สองมือเล็กทุบรัวบนบ่ากว้าง แต่คนถูกทุบก็ไม่รู้สึกสะทกสะท้านต่อแรงนี้เลยแม้แต่น้อย

“อย่าดื้อสิ ยิ่งดื้อก็ยิ่งได้กลับบ้านช้านะ ไม่กลัวแม่เป็นห่วงหรือไง” เจอคำพูดนี้ของศศินเข้าไป ร่างเล็กที่ดิ้นขลุกขลักไปมาอยู่ในวงแขนที่กอดรัดก็หยุดอาการต่อต้าน แล้วทำหน้ามุ่ยใส่ชายหนุ่มที่กลั้วหัวเราะในลำคอกับการเดาสุ่มที่ทายถูกเผง

ดังนั้น เขาจึงไม่ได้ใช้กำลังบังคับแม่หนูน้อยให้เข้าไปหาหมอมากอย่างที่หวั่นกลัว





“คุณปล่อยหนูลงนะ หนูเดินเองได้”

เสียงของไอศวราที่แม้จะไม่ดังมากนัก แต่ก็ทำให้ใครหลายคนที่อยู่ใกล้หันไปมองชายหนุ่มร่างสูงคนหนึ่งที่ยิ้มอย่างระอากับพฤติกรรมไม่ยอมอยู่นิ่งของเด็กหญิงที่ถูกอุ้มอยู่ในวงแขน คนมองรู้สึกเอ็นดูกับภาพที่เห็น ด้วยพวกเขาคิดว่า มันเป็นภาพของน้องน้อยที่กำลังดื้อดึงต่อพี่ใหญ่ที่ทั้งรักทั้งหวง จนไม่อยากปล่อยวางสายตาให้คลาดไปไหน

“เราเดินได้เสียที่ไหน ขาบวมออกปานนี้” ศศินเหลือบมองเด็กหญิงที่ยังพยศไม่เลิกด้วยสายตาดุ แล้วเว้นจังหวะไว้ ก่อนใช้มือข้างที่ไม่ได้โอบอุ้มร่างเล็กจับกุมข้อเท้าเรียวบางที่บวมช้ำ มือที่ทั้งทุบและผลักบ่ากว้าง เพื่อให้ตัวเองหลุดพ้นจากอ้อมแขนของเขาก็เปลี่ยนมาเป็นยึดจับไว้แน่นด้วยความเจ็บระคนปวดทันที

“แล้วก็เจ็บมากเสียด้วย”

แม้ไอศวราจะไม่ยอมร้องไห้บอกถึงความเจ็บปวดที่รุมเร้าอยู่บริเวณข้อเท้า แต่เธอก็ยังเป็นแค่เด็กผู้หญิงตัวเล็กๆ ที่ควบคุมความรู้สึกของตัวเองได้ไม่ดีเท่าผู้ใหญ่ น้ำตาที่บอกเล่าถึงความเจ็บได้ดีกว่าสุ้มเสียงเอ่อคลอออกมาทางหางตา และหยดรินมาตามเนียนแก้มสีแดงระเรื่อ

“เจ็บมากหรือ” ชายหนุ่มถามเสียงละมุน พลางใช้นิ้วเกลี่ยเม็ดน้ำตาออกจากดวงตากลมโต

“หนูไม่เจ็บเสียหน่อย”

ศศินกลั้วหัวเราะกับคำตอบที่ได้รับ ก่อนบีบจมูกโด่งรั้นด้วยความหมั่นไส้อย่างอดห้ามใจไม่อยู่ “เด็กปากแข็ง เจ็บจนร้องไห้ออกมาแบบนี้ยังบอกว่าไม่เจ็บอีก” ชายหนุ่มพูดพลางหยุดยืนอยู่หน้าเคานเตอร์ประชาสัมพันธ์ที่มีนางพยาบาลในชุดขาวคอยต้อนรับด้วยรอยยิ้มหวาน

“พาน้องมาตรวจอะไรคะ”

“เด็กหกล้มทับข้อเท้าตัวเองน่ะครับ แล้วข้อเท้าก็บวมมาก”

พยาบาลสาวพยักหน้ารับ พลางตวัดสายตาไปยังข้อเท้าของคนไข้ที่มีรอยช้ำให้เห็น ก่อยหยิบกระดาษแผ่นหนึ่งขึ้นมา และเอ่ยถามกลับด้วยน้ำเสียงนุ่มละมุน “เคยมารักษาที่นี่แล้วหรือยังคะ”

คำถามของนางพยาบาลทำให้ศศินหันไปมองเด็กหญิงที่เม้มปากแน่น ชายหนุ่มเดาว่าแม่หนูน้อยยังคงดื้อไม่เลิกเป็นแน่ ชายหนุ่มจึงยื่นหน้าเข้าไปใกล้ พลางกระซิบด้วยเสียงที่ได้ยินเพียงเขากับเด็กดื้อ

“ไม่รีบตอบคำถามของนางพยาบาลจะกลับบ้านช้าเอานะ ดีหรือ”

ไอศวราหันไปตวัดสายตาขุ่นใส่ชายหนุ่มที่รู้จุดอ่อนของเธอเข้าโดยบังเอิญ และตบท้ายด้วยค้อนวงโตที่เรียกเสียงหัวเราะจากคนที่รู้สึกเอ็นดูมากกว่าจะเกิดความขัดเคือง

“ยังค่ะ”

“งั้นขอทราบชื่อน้องหน่อยค่ะ”

“ไอศวราค่ะ” เด็กหญิงไม่ค่อยอยากเอ่ยชื่อของตัวเองออกไป เพราะนั่นเท่ากับว่าชายหนุ่มที่เธอดันไปก่อบาปไว้จะต้องรู้ชื่อของเธอไปด้วย

“ขอทราบนามสกุล และที่อยู่ของน้องไอหน่อยนะคะ” น้ำเสียงของนางพยาบาลดูใจดี แต่เจ้าของชื่อที่ถูกย่อนามของตัวเองจนเหลือพยางค์เดียวกลับขมวดคิ้วมุ่นด้วยความไม่ชอบใจ เพราะปานแก้วได้มอบความภาคภูมิใจในชื่อของไอศวราไว้ เด็กหญิงจึงยอมรับไม่ได้ที่ชื่อตัวเองถูกย่อหรือถูกเรียกให้เพี้ยนไปจากเดิม

“หนูชื่อไอศวรา”

“คะ?” พยาบาลสาวทำหน้างุนงงกับคำพูดที่เด็กหญิงต้องการสื่อ

“หนูชื่อไอศวรา ไม่ได้ชื่อไอเฉยๆ” เสียงแข็งๆ ของไอศวราดังพอให้พยาบาลคนอื่นที่อยู่ใกล้หันมามองด้วยความสงสัยว่าเกิดอะไรขึ้น พยาบาลสาวมีสีหน้าเจื่อนลงไปเล็กน้อย พวงแก้มทั้งสองข้างแดงระเรื่อขึ้นด้วยความอับอาย อีกทั้งยังพานให้เธอทำอะไรไม่ถูกเลยทีเดียว

“อย่าเสียมารยาทกับพี่เขานะ ไอศวรา” น้ำเสียงติติงของศศินทำให้บรรยากาศชวนกระอักกระอ่วนผ่อนคลายลง “ขอโทษแทนเด็กคนนี้ด้วยนะครับ แกดูดื้อไปหน่อย แต่ก็มีส่วนน่ารักอยู่บ้าง ได้โปรดอย่าถือสาเด็ก”

“อา...ไม่เป็นไรค่ะ” รอยยิ้มของศศินทำให้พยาบาลคู่กรณีทำอะไรไม่ถูก เพราะรอยยิ้มของเขาดูนุ่มละมุนเสียจนทำให้ดวงใจของหญิงสาวพาลจะสั่นเอาได้

“แกชื่อไอศวรา หัตถ์หิรันย์ครับ” ศศินเลือกที่จะยัดนามสกุลของตัวเองให้เด็กหญิง เพื่อตัดเรื่องยุ่งยากที่อาจจะตามมาจากคนที่ภาคภูมิใจในชื่อของตัวเอง แล้วบอกที่อยู่ของเขาออกไปแทน “พวกเราอยู่เชียงใหม่ แต่พอดีมีธุระเลยลงมากรุงเทพฯ และก็เกิดอุบัติเหตุขึ้น”

พยาบาลพยักหน้ารับและกรอกรายละเอียดจำเป็นต่างๆ ลงไปในแผ่นกระดาษอย่างรวดเร็ว เมื่อหญิงสาวจดข้อมูลทุกอย่างครบ เธอก็เงยหน้าขึ้นพลางแย้มยิ้มหวานอีกรอบ “กรุณานั่งรอที่เก้าอี้สักครู่นะคะ เดี๋ยวจะมีพยาบาลมาเรียกให้ไปทำแผลค่ะ”

“ขอบคุณมากครับ”

อย่างน้อยเรื่องก็ผ่านไปได้ดี โดยที่ไอศวรายอมปิดปากเงียบ ไม่โต้เถียงถึงข้อมูลที่ศศินยัดใส่ให้ ชายหนุ่มได้แต่เหลือบมองด้วยความอ่อนใจ เขาว่าใจผู้หญิงเดายากแล้ว แต่ใจเด็กคนนี้สุดจะหยั่งถึงจริงๆ หรืออาจเป็นเพราะเขาเพิ่งเจอเธอเป็นครั้งที่สอง ซึ่งหากเขาได้มีโอกาสทำความรู้จักกับเธอมากขึ้นก็คงจะรู้ได้กระมังว่า แท้จริงแล้วแม่หนูน้อยเป็นคนอย่างไร





หลังจากที่ไอศวราแสดงอารมณ์ร้ายออกมา เด็กหญิงก็ทำหน้าบึ้งใส่ศศินตลอด กระทั่งแม่หนูน้อยเจอเข็มฉีดยาของหมอที่ต้องการบรรเทาอาการปวดจากกล้ามเนื้ออักเสบตรงข้อเท้า ทีท่าที่พร้อมจะงับหัวชายหนุ่มได้ตลอดเวลาก็เปลี่ยนมาเป็นร้องไห้จ้า แล้ววิ่งขาเดียวหนีไปรอบห้องจนหลายฝ่ายวุ่นวายไปตามกัน

กว่าจะรวบตัวคนเจ็บที่ไม่รู้ว่าใช้วิชาอะไรจึงหนีได้รวดเร็วปานนั้นก็พาเอาเหนื่อยทั้งผู้ปกครองจำเป็นและหมอ ศศินทั้งปลอบปนขู่อยู่นาน ไอศวราจึงยอมอยู่เฉยให้นางพยาบาลฉีดยาได้ แต่แม่หนูน้อยก็หลับตาปี๋ และกอดชายหนุ่มไว้แน่นเสียจนคนถูกกอดนึกอยากหัวเราะออกมา แต่ก็ไม่กล้า เพราะกลัวอีกฝ่ายจะโกรธเอา

ดังนั้น พอหมดธุระกับคนใจร้ายในโรงพยาบาลที่บังอาจเอาเข็มฉีดยามาจิ้มเนื้อไอศวรา เด็กหญิงก็เร่งเร้าให้ศศินรีบพาเธอกลับบ้าน ชายหนุ่มต้องรั้งร่างเล็กไม่ให้รีบออกไปด้านนอก เพราะเขาต้องรอยากับชำระเงินค่ารักษาให้เด็กหญิงซุกซนเสียก่อน เล่นเอาคนไม่ชอบโรงพยาบาลหน้าง้ำไปตลอดรายการเลยทีเดียว

“เธองอนฉันหรือ” ศศินเอ่ยถามขึ้นท่ามกลางความเงียบ พลางมองดูท่าทีของอีกฝ่ายที่สะบัดหน้าหันไปอีกทาง

“งอนฉันเรื่องอะไรกัน” ชายหนุ่มยังคงรุกถามต่อ ก่อนเลิกคิ้วขึ้น เมื่อนึกถึงเรื่องที่พอเดาได้

“หรือว่างอนเรื่องที่โดนฉีดยา”

คนโดนจี้ใจดำเบ้ปากเบี้ยวทันที แล้วเบือนหน้าหันกลับไปมองเจ้ากรรมนายเวรที่มาตามจองล้างจองผลาญเข้าแล้วด้วยสายตาขัดเคือง ผู้ชายท่าทางใจดีที่ยังไม่รู้จักแม้แต่ชื่อหัวเราะเยาะใส่อย่างไม่เกรงใจเด็กหญิงเอาเสียเลย ถึงเธอจะไม่ได้รู้สึกโกรธอะไร แต่อดไม่ได้ที่จะส่งค้อนให้อีกฝ่ายหัวเราะหนักขึ้น เพราะภาพที่ร่างเล็กวิ่งหนีไปรอบห้องพยาบาลยังคงติดตาอยู่ทั้งสองฝ่าย

“คุณโกหกหนู”

“ฉันโกหกเธอเรื่องอะไร” ศศินส่งยิ้มหยอกเย้าให้เด็กหญิงที่กำลังกล่าวหาเขาอย่างไม่เป็นธรรม

“ก็ไหนคุณบอกว่าจะไม่โดนฉีดยาไง” ไอศวราส่งเสียงพาลหาเรื่อง และนึกอยากจะประทุษร้ายชายหนุ่มแปลกหน้าขึ้นมา เมื่อได้เห็นรอยยิ้มที่ไปสะกิดต่อมความรู้สึกบางอย่าง

“ฉันไม่ได้โกหกนี่”

“คุณโกหก!” ไอศวราร้องฮื้ออย่างไม่สบอารมณ์ที่อีกฝ่ายไม่ยอมรับความผิดของตนเอง

“ฉันโกหกตรงไหน ก็คนจับเธอฉีดยาไม่ใช่หมอเสียหน่อย”

ดวงตากลมโตเบิกกว้างขึ้นกับคำตอบที่ได้รับ เพราะคนที่จับเธอฉีดยาเป็นพยาบาลในชุดขาวที่มีรอยยิ้มประดุจนางฟ้า ไม่ใช่แพทย์หนุ่มหน้าซื่อที่ทำหน้าเลิ่กลั่ก ตอนเห็นคนไข้ของตัวเองวิ่งหนีเข็มฉีดยาไปรอบห้อง

ศศินกลั้วหัวเราะด้วยท่าทางเป็นต่อ พลางหันมาเลิกคิ้วใส่เด็กหญิงที่นอกจากจะเบิกตาโตแล้ว ยังอ้าปากพะงาบคล้ายอยากจะพูดอะไรบางอย่าง แต่ก็ไม่รู้จะหาคำใดมาโต้ตอบกลับไปดี “ว่าไง ฉันโกหกเธอตรงไหน”

ถ้อยคำของศศินทำให้ไอศวรานึกอยากหวีดร้องใส่ข้างหูคนหน้าเป็น ชายหนุ่มท่าทางใจดีและใสซื่อที่โดนเธอหลอกเอาเงินไปเมื่อครั้งที่แล้วมลายหายไปโดยสิ้นเชิง เหลือเพียงผู้ชายท่าทางน้ำนิ่งไหลลึกที่ไม่รู้เลยว่าจะพูดจริงหรือพูดเล่นตอนไหน

ริมฝีปากสีชมพูระเรื่อปิดเม้มเข้าหากัน ก่อนสะบัดหน้าหันหนีไปโดยไม่ตอบอะไร เรียกเสียงหัวเราะจากศศินที่ส่ายหน้าไปมากับการหนีไปดื้อๆ ของเด็กหญิงที่นั่งอยู่ด้านข้าง แต่เขาไม่ยอมปล่อยให้เธอหันหน้าหนีไปแบบนั้นตลอดทางหรอก ในเมื่อเขามีเรื่องจะพูดกับแม่หนูน้อยมากมาย

“อย่าหันหน้าหนีแบบนี้สิ แม่ไม่สอนหรือว่าทำแบบนี้มันเสียมารยาทกับผู้ใหญ่”

อย่างน้อยศศินก็จับทางได้ว่า ไอศวราจะมีปฏิกิริยายามที่แม่ของตัวเองถูกพาดพิงถึง เด็กหญิงหันขวับกลับมาทันที แล้วจ้องคู่กรณีของตัวเองเขม็ง ผิดกับอีกฝ่ายที่ยังทำท่าสบาย พลางทอดสายตาไปตามเส้นทางเบื้องหน้าที่กำลังถูกความมืดปกคลุมทีละเล็กทีละน้อย

“ฉันมีเรื่องอยากพูดกับเธอมากมายเลยทีเดียว ทั้งเรื่องวันนี้และเมื่ออาทิตย์ที่แล้ว”

ใบหน้าของไอศวราซีดลงไปเล็กน้อย เมื่อนึกถึงสถานะของอีกฝ่ายได้ว่าเป็นอะไรสำหรับเธอ ชายหนุ่มเป็นเจ้ากรรมนายเวรที่เด็กหญิงต้องชดใช้หนี้บาปที่ก่อไว้กับเขา และเธอก็จำคำบอกเล่าของแม่ได้ว่า หนี้ที่ต้องชดใช้นั้นหนักหนากว่าตอนกระทำมากนัก

“คุณจะเอาเงินคืนหรือ”

ริมฝีปากได้รูปกระตุกยิ้มขึ้นเล็กน้อยกับคำถามที่เจือด้วยน้ำเสียงเอื่อยอ่อย “เรื่องเงินไม่เป็นปัญหาสำหรับฉันหรอก ถึงฉันจะให้เธอมากกว่านี้ ฉันก็ไม่คิดจะเอาคืน”

คำตอบนั้นพอทำให้ไอศวราเบาใจลงไปได้บ้าง เพราะเงินส่วนที่ได้มาจากศศิน ปานแก้วเอามันไปบริจาคให้กับทางวัดหมดแล้ว ซึ่งเด็กหญิงนึกเสียดายอยู่ไม่น้อย

“แต่คนที่จะมีปัญหาคือเธอต่างหาก” ศศินเหลือบมองไอศวราที่เอียงคอมองตอบกลับมา พลางระบายลมหายใจอย่างเชื่องช้า ชายหนุ่มไม่ได้ถือโทษโกรธเคืองพฤติกรรมหลอกลวงของเด็กหญิงขายพวงมาลัย นอกจากอยากจะตักเตือนว่าอย่ากระทำอีก เพราะเขาคิดว่าคงไม่มีใครอยู่เฉยได้เมื่อรู้ว่าตัวเองถูกหลอกเช่นนี้

“เธอเคยคิดบ้างไหมว่าจะเกิดอะไรขึ้น หากมีคนรู้ว่าเรื่องที่เธอแกล้งหกล้มตัดหน้ารถ เพื่อเรียกค่าทำขวัญเป็นเรื่องโกหก”

ไม่ใช่ว่าไอศวราจะไม่เคยคิดถึงตรงจุดนี้ ครั้งแรกที่เด็กหญิงเริ่มต้มตุ๋นคนอื่น เธอหวาดกลัวในสิ่งที่ศศินพูด ดังนั้น เวลาที่เธอคิดจะก่อบาปกับใครก็มักจะเลือกเหยื่ออย่างระมัดระวัง โดยการสังเกตสีรถ ยี่ห้อและเลขทะเบียนว่า เคยเป็นเหยื่อของเด็กหญิงขายพวงมาลัยมาก่อนหรือไม่ และเธอก็ไม่เคยเจอเหยื่อซ้ำหน้า นอกจากรายของศศินนี่ล่ะ

“ฉันไม่คิดว่าบนโลกนี้จะมีคนใจดีมากมายหรอกนะ”

เรื่องนี้เป็นสิ่งที่ไอศวราเห็นด้วยเลยทีเดียว เพราะเธอได้ประสบการณ์มาจากเหยื่อของตัวเอง บางรายไม่ได้ห่วงเลยว่าคนที่ตัวเองขับชนมีอาการเช่นไร จะห่วงก็แต่รถว่ามีรอยขีดข่วนหรือไม่ หากมีก็เข้ามาด่าซ้ำว่าเธอเดินไม่ดูตาม้าตาเรือบ้าง ซึ่งคนอย่างนี้มักจะต้องสูญเงินให้มากกว่าเหยื่อทั่วไปหลายเท่า โดยมีพ่อค้าแม่ขายในตลาดโภคเจริญนี่ล่ะที่ให้ความช่วยเหลือด้วยดีมาตลอด

“เป็นไปได้ก็เลิกเสียเถอะ ก่อนที่จะเกิดเรื่องเลวร้ายขึ้น”

“หนูเลิกมาได้หนึ่งอาทิตย์แล้ว” ไอศวราโต้กลับไปอย่างอดไม่ได้ เด็กหญิงทำตามสัญญาที่ให้ไว้กับปานแก้วมาได้ดีตลอด จะมีก็วันนี้นี่ล่ะที่ไม่รู้ว่าอะไรมาดลใจให้เธอต้องผิดคำพูดที่ให้ไว้ และสิ่งที่ทำให้ไอศวราคิดว่าเหตุใดตัวเองต้องมาประสบพบเจอกับเรื่องราวเหล่านี้ก็เห็นจะมีอยู่เพียงคำตอบเดียว

นั่นคือถึงเวลาที่เธอต้องชดใช้กรรมแล้ว!

“เลิกแล้ว?” น้ำเสียงของศศินไม่ได้มีรอยเชื่อถือเลยสักนิด

“ครั้งสุดท้ายที่หนูทำคือกับคุณ”

นี่อาจเป็นอีกคำตอบที่บอกได้ว่า ทำไมศศินจึงไม่เจอไอศวรามาตลอดหนึ่งอาทิตย์ แม้ว่าจะใช้วิธีซุ่มรอ เพื่อดักจับเด็กหญิงขายพวงมาลัยที่อาจหากินกับเหยื่อคนอื่น และถ้าเป็นอย่างนั้นจริง อะไรล่ะที่เป็นสาเหตุให้แม่หนูน้อยกลับมาหากินด้วยวิธีเดิม

“ความจริงหนูสัญญากับแม่ไว้ว่าจะไม่ทำเรื่องแบบนี้อีก” ไอศวราเน้นเสียงหนัก เมื่อเห็นท่าทางไม่ค่อยเชื่อถือของศศิน “แต่วันนี้พวงมาลัยขายได้น้อยมาก แล้วหนูก็ไม่อยากให้พวงมาลัยของแม่เหลือ ตอนแรกก็กะว่าจะกลับแล้ว ถ้ารถคุณไม่เข้ามาในตลาดเสียก่อน ขาหนูเลยขยับไปอัตโนมัติ”

ศศินครางอือกับคำสารภาพรัวเร็วของไอศวรา ในตอนท้าย เด็กหญิงก็ร้องครวญในลำคออย่างสำนึกผิดกับสิ่งที่ตัวเองได้กระทำ “แล้วหนูก็ไม่คิดว่าจะเจอคุณอีกด้วย ใครมันจะไปรู้ล่ะว่าคุณเปลี่ยนรถ หนูอุตส่าห์ดูแล้วเชียวว่าเลขทะเบียนไม่คุ้น” ประโยคนี้เรียกเสียงเข่นเขี้ยวจากศศินที่เกือบจะเห็นใจเด็กหญิงไปเสียแล้ว

“หนูต้องมาเป็นคู่เวรคู่กรรม เพื่อชดใช้หนี้ที่ทำกับคุณใช่ไหมเนี่ย”

คำครวญนั้นเรียกรอยยิ้มนุ่มละมุนจากคนที่บังเอิญได้พบกันอีกครั้ง หากศศินไม่เปลี่ยนรถคันใหม่ เพราะคันเก่าถึงเวลาตรวจเช็คสภาพ และหากไอศวราไม่ถูกบางสิ่งบางอย่างดลใจให้บิดพลิ้วคำสัญญาที่ให้ไว้กับแม่ บางทีพวกเขาอาจจะไม่ได้พบกันอีกเลยก็ได้

“แล้วทำไมถึงไม่คิดว่าเราเป็นคู่บุญคู่กรรมกันบ้างล่ะ แบบนั้นมันดูดีกว่ากันเยอะเลยนะ ว่าไหม” ศศินพูดพลางหันไปส่งรอยยิ้มที่ยังประดับอยู่บนใบหน้าให้เด็กหญิงที่เงยหน้าขึ้นมาสบตาตอบพอดี คำพูดกับรอยยิ้มนั้นก็ทำเอาเธอหน้าแดงแปร๊ดอย่างไม่ทราบสาเหตุ





Create Date : 04 มีนาคม 2555
Last Update : 20 มกราคม 2557 16:11:57 น.
Counter : 215 Pageviews.

2 comments
  
เย้ มาแล้ว ขอบคุณค่า
จะคอยติดตามนะคะ
โดย: พลอย IP: 71.56.232.26 วันที่: 6 มีนาคม 2555 เวลา:4:15:12 น.
  
ขอบคุณ คุณพลอยที่เข้ามาติดตามนะคะ ^^
จะพยายามเข็นออกมาให้ได้อาทิตย์ละตอนค่ะ
โดย: ฌา วันที่: 7 มีนาคม 2555 เวลา:20:19:59 น.
ชื่อ :
Comment :
 *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

ฌา
Location :
  

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]



New Comments
All Blog