ราชญี 3
๓ ชายผู้อยู่กับทะเล

เจ้าของโรงแรมจันทร์เพ็ญอยู่คุยกับแขกพิเศษที่มักจะแวะเวียนมาครั้งละหนึ่งปีไม่นานนัก พอทักทายราชาสามัญชน กับแปลงโฉมเจ้าหญิงชคันมาตรีที่ปลอมองค์เป็นเด็กชายหน้ามอม ให้กลายเป็นเด็กหญิงที่มีดวงหน้าพริ้มเพราเสร็จ หญิงชราก็กลับไปประจำที่เดิมและปะทะฝีปากกับพวกขี้เมา จนเป็นที่ครื้นเครงของคนดูทั่วไป

แต่ความครื้นเครงเหล่านั้น ต้องยกเว้นโต๊ะของแขกพิเศษที่ดูจะมืดมนไป เพราะคำตรัสของเจ้าหญิงชคันมาตรี

พระผ่านฟ้าทอดพระเนตรพระธิดาที่นับวันจะทอประกายสดใสน้อยลงไปทุกที และมันทำให้พระองค์ขมวดพระขนงยุ่ง กับต้นเหตุที่ทำให้แก้วตาดวงใจของพระองค์ต้องซึมเศร้า ซึ่งส่วนหนึ่งของเหตุอันนั้นก็มีพระองค์เกี่ยวข้องด้วยอย่างแยกไม่ออก

ในความจริงแล้ว พระผ่านฟ้าทรงไม่อยากให้เจ้าหญิงชคันมาตรี ต้องแบกรับภาระที่หนักเกินตัวไวนัก ทรงอยากให้มันค่อยเป็นค่อยไป และโปรดให้พระธิดาเข้าพระทัยถึงหน้าที่ที่ต้องแบกฟ้าและค้ำจุนแผ่นดินอย่างถ่องแท้เสียก่อน แต่เวลาแห่งความโหดร้ายไม่คิดจะรีรอ ให้เจ้าหญิงองค์น้อยมีความพร้อมที่จะรับมือเรื่องราวเหล่านี้เลย

หนำซ้ำก็เหมือนกับผีซ้ำด้ำพลอย นอกจากภาระของเจ้าฟ้าเจ้าแผ่นดินที่เจ้าหญิงชคันมาตรีจะต้องเรียนรู้ ฝ่ายเจ้าหญิงในพระบรมวงศานุวงศ์ยังเข้ามาเพิ่มภาระ ให้เจ้าหญิงต้องคิดถึงคู่ครองในอนาคต ทั้งที่ยังไม่ถึงวัยอีก และคู่ครองที่เหล่าเจ้าหญิงในพระบรมวงศานุวงศ์พามา ส่วนหนึ่งเคยเป็นคู่แข่งของพระราชาธิบดีมาแทบทั้งนั้น บ้างก็เป็นทายาทที่สืบทอดเจตนารมย์ของบิดาตนมาชนิดไม่ขาดตกบกพร่องเลยทีเดียว

เพราะเหตุนั้น เมื่อสามปีก่อน พระผ่านฟ้าจึงพาพระธิดาออกมาผจญภัยในโลกภายนอก ทิ้งเรื่องราวหนักอกไว้เบื้องหลัง เป็นเพียงเด็กน้อยหน้าตามอมแมม ที่มีดวงตาสดใสและสนใจใคร่รู้กับสิ่งต่าง ๆ ที่ผ่านมา ซึ่งนั่นทำให้พระองค์ยังคงรักษาแสงสกาวในดวงเนตรของพระธิดาให้ยืดยาวออกไป แม้จะรู้ดีว่าอีกไม่นานนี้พระองค์จะเป็นคนดับแสงนั้นด้วยองค์เองก็ตาม

“ชคันมาตรี” พระผ่านทรงดำริว่าจะยังไม่สนพระทัยในเรื่องที่ยังมาไม่ถึง พลางส่งรอยแย้มสรวลที่เจ้าหญิงทรงจำได้ว่ามันมักจะมาตอนที่พระบิดาตรัสถามถึงบทเรียนนอกตำรา

“คะ” เจ้าหญิงน้อยขานรับตามความเคยชินทันที ซึ่งศัพท์สามัญแบบนี้จะทรงใช้ยามอยู่กับพระบิดาและพระมารดาเท่านั้น

“เรามาทบทวนบทเรียนกันหน่อยดีกว่าว่าวันนี้เราได้อะไรกันมาบ้าง” พระราชาสามัญชนทรงพระสรวลเล็กน้อย เมื่อนึกถึงตอนที่เจ้าหญิงใช้วิชานอกตำรา ต้อนพระองค์ให้ยื่นเงื่อนไขว่าจะพาหนีเที่ยวต่ออีกสักระยะ เพื่อแลกกับการช่วยปิดปากหัวหน้ากองทหารรักษาพระองค์ และใช้อีกครั้งตอนถูกป้อนคำถามที่ชวนให้ปวดเศียร

“แต่เท่าที่ดูมา ลูกเอามาใช้ได้เก่งกว่าพ่ออีก” พอตรัสจบ พระผ่านฟ้าก็แสร้งถอนปัสสาสะออกมาเฮือกใหญ่ ก่อนขยิบเนตรให้พระธิดาที่เริ่มพระสรวลออกมาแผ่วเบากับประโยคถัดไป “ถ้าเป็นพ่อคงทำหน้านิ่งแบบนั้นไม่ได้แน่ พ่อถนัดกับการยิ้มแย้มให้คนอื่นมากกว่า”

“แต่เท่าที่ลูกเห็น ไม่มีใครชอบรอยยิ้มของท่านพ่อสักคน ขนาดท่านแม่ยังทั้งรักทั้งชังรอยยิ้มนี้เลย”

พระผ่านฟ้าแยกพระทนต์ใส่เจ้าหญิงชคันมาตรีด้วยความขัดเคืองเล็กน้อย ซึ่งพหุรัตน์อดเห็นด้วยกับคำตรัสของเจ้าหญิงไม่ได้ เพราะเขาก็ชังรอยแย้มสรวลของกษัตริย์ไม่ด้อยไปกว่าใคร แต่เพราะความภักดีที่เต็มล้น และความนับถือในความสามารถของราชา ที่ประจักษ์ผ่านสายตามาหลายต่อหลายครั้ง ชายหนุ่มจึงไม่เคยมีความเกลียดอยู่ในจิตใจ

“พ่อออกจะยิ้มอย่างบริสุทธิ์ใจ” พระผ่านฟ้าตรัสงึมงำให้คนร่วมโต๊ะได้ยินด้วย และปฏิกิริยาของคนสองคนที่มีคล้ายกัน คืออยากจะพูดอะไรบางอย่าง แต่ตัดสินใจไม่พูดเสียดีกว่า เพื่อที่จะให้คนที่จงใจส่งรอยยิ้มบริสุทธิ์ใจมีอาการขัดเคืองไปมากกว่านี้

“อยากพูดอะไรหรือเปล่า” พระราชาธิบดีทรงเป็นคนช่างเฉลียวพอที่จะรู้ถึงท่าทางแฝงความนัยของพระธิดา กับหัวหน้ากองทหารรักษาพระองค์ แต่คนถูกถามก็พร้อมใจกันส่ายหน้าหวืด ทำให้ดวงเนตรสีประหลาดหรี่ลงเล็กน้อย แล้วท้ายที่สุดพระองค์ก็ทรงปล่อยให้มันผ่านเลยไป ด้วยรู้ดีว่าสองคนตรงหน้าพระพักตร์ล้วนปากแข็งชนิดเอาดาบมาง้างก็ง้างไม่ออก

“เอาเถอะ กลับมาเข้าเรื่องบทเรียนของชคันมาตรีต่อดีกว่า ลูกได้อะไรกับบทเรียนครั้งนี้บ้าง”

ดวงเนตรสีฟ้าครามทอประกายวาววับขึ้นมาครู่หนึ่ง เมื่อนึกถึงบทเรียนของพระบิดาที่สอนให้รู้ว่าควรรีบหนีให้เร็วที่สุดก่อนเกิดเรื่อง ไม่อย่างนั้นจะได้รู้ซึ้งว่าการอยู่ในวงล้อมของคนที่ถูกหลอก และคิดจะเอาเรื่องคืนนั้นน่าหวั่นแค่ไหน แต่ถึงในหทัยจะทรงคิดเรื่องการต้องวิ่งหนีจนลิ้นห้อย กระนั้นก็ทรงตรัสตอบไปตรงกันข้ามกับที่คิดไว้

“การเมืองก็เหมือนเกมพนัน หากเราแสดงสีหน้าท่าทางให้อีกฝ่ายรู้ถึงสิ่งที่อยู่ในใจ หนทางแพ้ย่อมปรากฎให้เห็น และสิ่งที่สมควรได้ก็อาจหลุดลอยไปอย่างไม่น่าอภัย” เจ้าหญิงชคันมาตรีตรัสตอบเสียงเบา พลางนึกถึงหนุ่มนักพนันที่พ่ายเกมวัดใจ จนต้องสูญเงินที่ลงไปทั้งหมด ซึ่งพอเปลี่ยนภาพของหนุ่มนักพนันคนนั้นให้กลายเป็นภาพของพระมารดากับพระบิดา พระองค์ก็ทรงรู้ว่าทั้งสองต่างใช้อาณาจักเป็นเดิมพัน ในการให้แผ่นดินนี้สืบทอดมาถึงพระองค์อย่างปลอดภัย

“การเมืองคล้ายเกมพนัน” พระผ่านฟ้าตรัสขัดความคิดของเจ้าหญิง พลางทาบหัตถ์เหนือดวงหทัย ก่อนแย้มสรวลออกมาเล็กน้อย “คล้ายกันตรงที่ใจของเราต้องหนักแน่นและมั่นคง แต่ที่ไม่คล้ายคือเรามีความจริงใจต่อแผ่นดินและปวงชน ฉะนั้นอย่าเห็นมันเป็นเพียงเกม...ชคันมาตรี เพราะเกมมีทั้งแพ้และชนะ ซึ่งสองคำนี้ไม่มีอยู่ในพจนานุกรมของผู้ปกครอง”

“ลูกเห็นทุกคนล้วนแต่แก่งแย่งชิงดี และกระหายหาสิ่งที่เรียกว่าอำนาจ ซึ่งอำนาจนั้นเป็นของท่านแม่” เจ้าหญิงชคันมาตรีย้อนถามอย่างไม่เข้าพระทัย เพราะพระองค์เคยได้ยินพระบรมวงศานุวงศ์บางพระองค์ตรัสว่านี่เป็นเกมการแข่งขัน หากใครถือไพ่ตาดีก็ชนะไป แต่หากจับได้ตาร้ายก็มีแต่ถูกเหยียบให้จมธรณี

พระผ่านฟ้าพอจะรู้ว่าพระธิดาอยากตรัสถามถึงสิ่งใด จึงแย้มโอษฐ์ละมุน “เพราะทุกคนเห็นมันเป็นเกม จึงไม่มีใครได้อำนาจมาอย่างถาวรเหมือนท่านแม่ของลูกอย่างไรล่ะ หรือหากได้มาก็ต้องคอยระแวงระวังและประคับประคองอำนาจนั้นไว้ให้ดี ไม่อย่างนั้นคงถูกแย่งไปจากมือ เป็นกงกำกงเกวียนอย่างนี้ไปเรื่อย ๆ ตราบจนกว่าพวกเขาจะสำนึกว่าแท้จริงแล้วอำนาจคืออะไร”

“แล้วอำนาจคืออะไรคะ”

“อำนาจคือสิ่งที่จะให้ใครทำอะไรก็ได้ ตามแต่เราต้องการไงล่ะ คุณหนู”

เสียงห้าวห้วนของใครบางคนดังขึ้นเบื้องหลัง ก่อนที่พระผ่านฟ้าจะได้ตรัสอะไร ทำให้เจ้าหญิงชคันมาตรีสะดุ้งโหยง พระหนุถูกมือใหญ่เชิดรั้งจนพระศอตั้ง และได้สบกับดวงตาสีดำราวถ่านที่มีรอยดุดันชวนคร้ามเกรง แต่มือนั้นก็อยู่ได้ไม่นาน เมื่อพหุรัตน์ตวัดดาบผ่านหน้าเจ้าของมือจาบจ้วง ให้อีกฝ่ายผงะถอยไป

ผู้มาใหม่ส่งเสียงจุ๊ในปาก พลางส่ายหน้าด้วยความขบขัน ต่ออาการหวงเจ้านายของหัวหน้ากองทหารรักษาพระองค์ ก่อนยกมือให้คนที่ส่งเสียงงึมงำต่อภาพที่ชินชาเงียบเสียงลง แต่ก็มีบางคนยังพูดพึมพำและลงพนันว่ารอบนี้จะมีเหตุการณ์เลือดตกยางออกให้เห็นหรือไม่

“สุนัขของเจ้ายังดุ และก็ว่องไวเหมือนเดิมเลยนะ ฟ้า”

พหุรัตน์ถลึงตาใส่หัวหน้ากองโจรแห่งท้องทะเลสีน้ำเงิน ที่ไม่มีตัวเลขบ่งบอกว่ามีเรืออยู่ใต้อาณัติทั้งสิ้นกี่ลำ ซึ่งอีกฝ่ายก็สบตาตอบกลับมาอย่างไม่คร้ามเกรงต่อสายตาของหัวหน้ากองทหารรักษาพระองค์ และติดจะมีรอยข่มขวัญให้คนถูกจ้องขนคอลุกชันเล่น

แต่ก่อนที่ทุกคนจะอึดอัดตาย กับการเข่นฆ่าทางสายตาของหัวหน้ากองทหารรักษาพระองค์ และหัวหน้าโจรสลัด พระผ่านก็ทรงส่งเสียงกระแอมขัดจังหวะ บรรยากาศเคร่งเครียดที่แผ่กระจายไปโดยรอบจึงสลายหายไปอย่างรวดเร็ว

“พหุรัตน์เป็นผู้อารักขาที่ข้าภาคภูมิใจนะ อย่าว่าเขาเสีย ๆ หาย ๆ แบบนั้นสิ พิษณุ”

จะว่าไปพระผ่านฟ้าก็พอรู้เรื่องกินแหนงแคลงใจของคนทั้งคู่อยู่บ้าง เพราะก่อนที่พหุรัตน์จะมาเป็นหัวหน้ากองทหารรักษาพระองค์ ชายหนุ่มก็เคยเป็นนายทหารเรือที่ประจำอยู่ในกรารูวาแห่งนี้ ในตอนนั้นเขาเป็นเพียงพลทหารธรรมดา แต่หากพูดถึงฝีไม้ลายมือแล้วก็สร้างชื่อไว้มากมาย กระนั้นเขาก็ไม่ค่อยมีดวงเรื่องเจ้านายเท่าไร เพราะผลงานที่เขาทำได้ถูกฮุบให้กลายเป็นของผู้บังคับบัญชาไปจนหมดสิ้น

...แต่ฟ้าก็ยังเข้าข้างคนดีที่ถูกกรรมบังเสมอ

หนึ่งในผลงานสร้างชื่อเสียงที่พหุรัตน์กระทำไว้ มีอยู่ผลงานหนึ่งที่ตัวผลงานออกมาทวงความเป็นธรรมให้กับเจ้าของ ผลงานชิ้นที่ว่าคือการดักจับสินค้าหนีภาษี และของเถื่อนที่พิษณุเป็นคนคุมอยู่ไปได้หลายครั้งหลายครา แต่ละครั้งมักจะมีการดวลตัวต่อตัว จนแต่ละฝ่ายต่างต้องล่าถอยไปอย่างที่ไม่เคยเอาชนะคะคานกันได้เสียที

และที่พิษณุนึกนับถือในตัวพหุรัตน์ จนถึงกับออกโรงมาปกป้องผลงานของเขา คือแม้จะโดนพวกพ้องทอดทิ้ง ให้อยู่รับมือกับกลุ่มโจรอย่างเดียวดาย ชายหนุ่มก็ยังคงสู้กับฝ่ายที่มีพวกมากกว่าอย่างไม่หวั่นกลัว

ดังนั้น เมื่อพิษณุรู้ว่าผลงานของพหุรัตน์กลายเป็นของคนอื่น เขาจึงออกมาโวยวายและไม่ยอมรับว่าผู้บังคับบัญชาคนนั้นเป็นคนปราบเขา ซึ่งการกระทำของหัวหน้ากองโจรแห่งท้องทะเลสีน้ำเงินเป็นการเสี่ยงมาก เพราะเหมือนกับปรากฎตัวออกไปให้ทางการจับกุม

แต่คนอย่างพิษณุก็ไม่ใช่หมูที่คิดจะกินก็กินได้ง่าย อีกทั้งเขายังมีอิทธิพลอยู่ในกรารูวาเกือบครึ่งค่อนเมือง และเสียงของเขาก็ดังไปถึงบูกิต จนพระผ่านฟ้าต้องเสด็จมาดูเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นด้วยองค์เอง

พระราชาสามัญชนถูกพระทัยในตัวพหุรัตน์นับตั้งแต่แรกเห็น นายทหารเรือผู้นี้ไม่เกรงกลัวอิทธิพลของพิษณุเลยสักนิด เพราะใครต่อใครต่างรู้ดีว่าโจรสลัดชื่อก้องคับทะเลนามพิษณุนั้น ขึ้นชื่อด้านความโหดเหี้ยมในการกำจัดผู้ขัดขวางกิจของเขา และทั้งที่รู้ถึงจุดจบที่ไม่สวยเท่าไรของผู้ขัดขวาง เขาก็ยังกล้าเข้าไปปะทะด้วย ทั้งที่ไม่ค่อยมีใครกล้าทำเท่าไร แต่สิ่งที่ขาดไม่ได้เลยคือการข่าวที่ดีเยี่ยม เพราะหากขาดสิ่งนี้ไป พหุรัตน์จะไม่มีวันสืบรู้ได้เลยว่าขบวนสินค้าของหนีภาษี และของเถื่อนของพิษณุเป็นขบวนไหน

เมื่อหัวหน้ากองโจรถูกใจนายทหารเรือชั้นประทวน และพระราชาธิบดีก็ถูกพระทัยในความสามารถ ที่ดูจะติดขัดตรงนิสัยเถรตรง ไม่รู้จักการหลบหลีก จนโดนสองพี่น้องร่วมน้ำนมเดียวกันกลั่นแกล้งให้ปวดประสาทบ่อยครั้ง พหุรัตน์จึงถูกเลื่อนขั้นชนิดคนถูกพาขึ้นที่สูงอย่างไม่ทันตั้งตัว กลัวจะตกลงมาคอหักตายเข้าสักวัน

ครั้นคนตาดุหันไปปะทะกับคนหน้าซื่อแสนสุภาพ หัวหน้ากองโจรก็เกิดอาการอย่างเดียวกันเหมือนคนอื่นที่ได้พบเห็นรอยยิ้มบริสุทธิ์ใจ นั่นคือรู้สึกตะหงิดใจอย่างบอกไม่

“ข้าได้ยินมาว่าเจ้าไปก่อเรื่องที่บ่อนของปาวี” พิษณุเปลี่ยนเรื่องไปทันที เมื่อเจ้านายของสุนัขอารักขาที่เขาชอบหยอกแหย่ ออกโรงปกป้องลูกน้องแล้ว

“ข้าไปก่อเรื่องตรงไหน” พระผ่านฟ้าเลิกพระขนงขึ้น สีพระพักตร์แสร้งทำเป็นไม่เข้าพระทัยเสียเต็มประดา แต่ดวงเนตรที่ทอแวววิบวับนั่นไม่ได้รอดพ้นไปจากดวงตาคมดุที่จับจ้องอย่างสังเกตได้เลย

“มันบอกว่าเจ้าไปโกงไพ่”

“โกงให้แพ้นี่นะ”

คนที่อยู่ในเหตุการณ์อย่างพหุรัตน์ถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ กับบทโต้เถียงของผู้มีบุญหนักศักดิ์ใหญ่ ชายหนุ่มไม่จำเป็นต้องไปเค้นถามพระผ่านฟ้าแบบพิษณุ เขาก็พอจะรู้สาเหตุที่พระราชาริโกงไพ่ เพราะถ้าคนของทางฝ่ายนั้นไม่คิดโกงมาก่อน พระองค์ก็คงไม่คิดวิธีการดัดหลังเซียนพนันพวกนั้นชนิดแสบทรวง ซึ่งเขาต้องเข้าไปร่วมวงพลอยเดือดร้อนด้วยอย่างช่วยไม่ได้

พิษณุพ่นลมหายใจดังพรืด และเพราะรู้นิสัยของน้องชายร่วมน้ำนมแบบจาระไนนิสัยเหล่านั้นได้หลายสิบข้อ จึงคร้านที่จะต่อความ อีกทั้งวันนี้ยังเป็นวันดีที่สุดของปี เขาจึงไม่อยากมีเรื่องขุ่นข้องหมองใจอันใดทั้งสิ้น

“ข้าไม่อยากให้ค่ำคืนนี้ผ่านไปอย่างไร้ค่าหรอกนะ ฟ้า”

พระผ่านฟ้าทรงพระสรวลแผ่วเบา พลางลุกขึ้นจากเก้าอี้แล้วตรงเข้าไปกอดพี่ชายร่วมน้ำนมที่อ้าแขนตอบรับ และด้วยความที่กษัตริย์ทรงผอมบางกว่าอีกฝ่ายมาก พระองค์จึงแทบจะจมหายไปเข้าในอ้อมแขนแข็งแรงที่ตวัดกอดด้วยความคิดถึงแน่น

“ยินดีต้อนรับกลับบ้าน ฟ้า”

“สุขสันต์วันเกิด พิษณุ ขอให้อายุยืน แล้วก็อย่าถูกใครฆ่าตายไปก่อนนะ”

หัวหน้ากองโจรผู้ยิ่งยงหัวเราะเสียงดัง พลางตบแผ่นปฤษฎางค์ของคนในอ้อมแขนเต็มแรง ส่วนสายตาก็เหลือบมองไปทางเจ้าหญิงชคันมาตรี ที่จับจ้องเขาอยู่ไม่วางตา เขาไม่รู้ว่าใต้ดวงเนตรที่มีสีเหมือนกับท้องฟ้ายามกลางวันนั้นคิดอะไรอยู่บ้าง ซึ่งน่าแปลกนักที่เด็กวัยสิบขวบ สามารถปกปิดความคิดจากผู้ใหญ่ที่เจนโลกอย่างเขาได้

แต่อย่างน้อยเขาก็รู้ล่ะว่าเจ้าหญิงชคันมาตรีมีเป้าหมายบางอย่าง เกี่ยวข้องกับหัวหน้ากองโจรแห่งท้องทะเลสีน้ำเงิน!

- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -


ความมืดเข้ามาเยือนเมืองท่าอย่างเชื่องช้า ดวงอาทิตย์คล้ายกับจงใจจมหายไปในทะเลช้าลง และสาดแสงอัสดงสีส้มอมชมพูไปตลอดน่านฟ้าบนชายฝั่ง แต่ความชักช้าของธรรมชาติก็มิได้ทำให้การทำงานของผู้คนที่เดินขวักไขว่บนท่าเรือช้าลงเลยสักนิด ทุกคนพากันรีบเร่งตกแต่งท่าเรือที่เต็มไปด้วยกล่องบรรจุสินค้า ให้กลายเป็นลานฉลองวันเกิดคล้ายวันเกิดของโจรสลัดผู้ยิ่งยง

ส่วนตัวเจ้าของงานนั้น หลังจากเข้าไปทักทายเจ้าของโรงแรมจันทร์เพ็ญ ที่เป็นทั้งผู้ให้กำเนิดและอดีตหัวหน้าโจรสลัดหญิง ที่เคยสร้างความครั่นคร้ามมาแล้วไม่แพ้รุ่นลูก เขาก็หายตัวไปพร้อมกับน้องชายร่วมน้ำนม และผู้อารักขาที่ไม่เคยปล่อยเจ้านายให้คลาดไปจากสายตา แล้วทิ้งให้เจ้าหญิงชคันมาตรีอยู่ตามลำพังในห้องพัก พร้อมกับเสื้อผ้ามากมายที่พิษณุส่งมาให้พระองค์เลือกสวมใส่ในงานเลี้ยงค่ำคืนนี้

แต่เจ้าหญิงก็มิได้สนพระทัยกับเสื้อผ้าชุดสวยพวกนี้เท่าไร ทรงทำเพียงเลือกชุดที่สะดุดสายพระเนตร ซึ่งเป็นชุดกระโปรงยาวสีขาวล้วน ตรงชายกระโปรงปักด้วยดิ้นทองลวดลายแปลกตา ที่พอทอดพระเนตรดูแล้วก็เหมือนกับหลงเข้าไปอยู่ในพงไพรที่ออกใบเป็นสีทอง

เจ้าหญิงชคันมารีรีบเปลี่ยนฉลองพระองค์จากชุดเด็กชาย เป็นชุดกระโปรงยาวอย่างรวดเร็ว โดยไม่สนใจเครื่องประดับอื่นใดที่พากันทอประกายแวววาวอยู่ในหีบขนาดเล็กที่วางเรียงรายอยู่บนเตียงกว้างหลายใบ พระองค์ทรงสยายพระเกศาสีดำที่หยักเป็นลอนคลื่น จนมันระบายอยู่เต็มพระปฤษฎางค์ และยาวเลยปิดพระโสภี ก่อนใช้หวีสางพระเกศาให้เรียบร้อยพอเป็นพิธี ซึ่งภาพที่สะท้อนอยู่ในเงากระจกทำให้เจ้าหญิงอดทอดถอนพระทัยออกมาไม่ได้

ทั้งที่เจ้าหญิงมีดวงพักตร์ที่แทบจะถอดแบบมาจากพระมารดาเกือบทั้งหมด แต่พระองค์ก็ไม่มีความสามารถเหมือนจอมนางแห่งมาแกเซมบีลัน

พระราชินีปารวตีทรงเป็นยอดสตรีโดยแท้ ด้วยทรงเก่งกล้าทั้งเชิงบุ๋นและบู๊จนทุกคนต่างยกย่องและหวั่นเกรงไปพร้อมกัน ซึ่งตรงข้ามกับเจ้าหญิงชคันมาตรีที่เป็นเพียงเจ้าหญิงธรรมดา ไม่มีความสามารถอะไรที่ดูโดดเด่นเลยสักอย่าง ความรู้เชิงบุ๋นก็พอจะทรงเอาตัวรอดอยู่ได้บ้าง แต่ความรู้เชิงบู๊นั้นเรียกได้ว่ามีค่าประสบการณ์เป็นศูนย์ ซึ่งมันเป็นข้อด้อยเพียงข้อเดียวที่เจ้าหญิงต้องหาทางลบมันออกไปให้ได้

และวิธีลบข้อด้อยของเจ้าหญิงชคันมาตรี ก็ไม่ใช่การร่ำเรียนวิชาบู๊เพื่อรบรากับกลุ่มผู้มีอำนาจในราชสำนัก เพราะทรงรู้ดีว่าพระองค์ไม่มีแม้แต่พรแสวงที่จะเอาดีทางด้านนี้เหมือนกับพระมารดา ซึ่งสิ่งที่เจ้าหญิงทรงคิดจะกระทำ คือคำนิยามที่พระผ่านฟ้าเคยให้ไว้ว่าเป็นการกระทำที่บ้าบิ่น

ความบ้าบิ่นที่ว่านั่น คือการหาขั้วอำนาจใหม่มาหักล้างกับอำนาจเก่าที่มีอยู่ในราชสำนัก!

เจ้าหญิงชคันมาตรีทรงทราบว่าวิธีลบข้อด้อยของพระองค์นั้นมีอันตรายแฝงอยู่ เพราะดีไม่ดีกลุ่มขั้วอำนาจใหม่อาจหันศรที่แหลมคมมาทางเจ้าหญิง เพื่อยึดพระราชอำนาจของพระองค์ หลังจากที่กำจัดอำนาจเก่าลงจนราบคาบไปแล้วก็ได้ หรือหากคิดในทางที่ร้ายที่สุด สองขั้วอำนาจอาจผนึกกำลังทำลายเจ้าของอำนาจที่แท้จริง ซึ่งหนทางเลวร้ายที่ทรงคิดเผื่อไปไกล ทำให้เจ้าหญิงเฟ้นหากลุ่มอำนาจสายใหม่เป็นพิเศษ

กลุ่มจอมโจรแห่งท้องทะเลสีน้ำเงิน เป็นหนึ่งในตัวเลือกที่เจ้าหญิงชคันมาตรีทรงคัดสรรให้อยู่ในอันดับต้น และยังเป็นกลุ่มอำนาจที่ทรงยังไม่รู้เลย ว่าจะให้พวกเขาปกป้องมาแกเซมบีลันของพระองค์ ให้พ้นจากผู้มีอำนาจกลุ่มอื่นได้อย่างไร

และเมื่อนึกถึงกลุ่มโจรสลัดที่ไม่ทราบจำนวนกองเรือแล้ว เจ้าหญิงชคันมาตรีจึงเพิ่งนึกขึ้นได้ว่าถูกสามบุรุษทอดทิ้งให้อยู่ตามลำพังด้วยเหตุอันใด พระองค์รีบวางหวีลงบนโต๊ะเครื่องแป้ง และเสด็จออกไปนอกห้อง เพื่อตามหาหนึ่งกษัตริย์ หนึ่งจอมโจรและหนึ่งนายหทาร ที่ป่านนี้คงกำลังประชุมเครียดเรื่องกลุ่มอำนาจใหม่ทางทะเล ที่คิดอยากได้มาแกเซมบีลันให้อยู่ใต้อาณัติอย่างไม่ต้องสงสัย

- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -


โรงแรมจันทร์เพ็ญเป็นอาคารก่ออิฐสูงสามชั้น ที่ชั้นล่างทำเป็นร้านอาหารและโรงเหล้า สำหรับกะลาสีที่อยากมาพักผ่อนหย่อนใจบนฝั่ง หลังจากที่ต้องอยู่บนเรือกลางทะเลมานานนับเดือน และที่นี่เองที่เจ้าหญิงชคันมาตรีได้ทอดพระเนตรเห็นคนหลากหลายอาชีพ ทั้งโสเภณี พ่อค้า นักร้องและผู้ฟ้อนรำ ที่ใช้สิ่งที่ตัวเองมีเอามาหากิน เพื่อความอยู่รอด

ส่วนชั้นสองและชั้นสามนั้น จัดทำเป็นที่พักสำหรับนักเดินทางที่ใช้กรารูวาเป็นทางผ่านเมือง ซึ่งจะว่ากันตามตรงแล้ว ก็มีหลายคนทีเดียวที่รู้ว่าโรงแรมจันทร์เพ็ญไม่ได้เป็นแค่ที่พักสำหรับนักเดินทาง และร้านเหล้าเพียงอย่างเดียว โรงแรมแห่งนี้ยังเป็นแหล่งขายข่าวที่มาจากทะเล อีกทั้งยังเป็นจุดลักลอบขนของหนีภาษีที่มีหัวโจกเป็นถึงโจรสลัดชื่อดังอย่างพิษณุ

แต่นอกเหนือจากข้อมูลที่ทุกคนรู้กันอย่างลับ ๆ ทั่วเมือง ยังมีอีกสิ่งหนึ่งที่ทุกคนยังไม่รู้ นั่นคือโครงสร้างของโรงแรมจันทร์เพ็ญ มิได้เป็นอาคารก่ออิฐสามชั้น มันยังมีชั้นที่สี่ที่ต้องอาศัยทางลับขึ้นไปชั้นบน ซึ่งมีเพียงคนไม่กี่คนเท่านั้นที่รู้เรื่องนี้

เหล่าคนที่รู้เรื่องทางลับขึ้นชั้นที่สี่ของโรงแรมจันทร์เพ็ญ มีเพียงแม่เฒ่าเจ้าของโรงแรม ลูกชายต่างสายเลือดทั้งสอง ที่คนหนึ่งเป็นผู้ปกครองแผ่นดิน ส่วนอีกคนเป็นผู้ปกครองผืนน้ำ หัวหน้ากองทหารรักษาพระองค์ อันเป็นทั้งที่รักปนชังของผู้ปกครองทั้งสอง และเจ้าหญิงชคันมาตรีที่รู้ทางลับนี้ด้วยความบังเอิญ

เจ้าหญิงชคันมาตรีเหลือบเนตรไปทางซ้ายทีขวาที เพื่อสำรวจดูว่ามีใครอยู่ในบริเวณนี้หรือไม่ หลังจากที่เสด็จมาถึงทางลับขึ้นชั้นสี่ และเมื่อเห็นว่าไม่มีใคร พระองค์ก็รีบเผ่นแผล็วไปกดกรอบรูปใส่ภาพเหมือนของคู่สามีภรรยาที่เป็นเจ้าของโรงแรมรุ่นก่อน ซึ่งมันได้พาให้เจ้าหญิงผลุบหายเข้าไปในผนังอย่างรวดเร็ว

แต่น่าเสียดายนักที่การกระทำทั้งหมดของพระองค์ตก อยู่ใต้การเฝ้ามองจากเจ้าของดวงตาคมกริบคู่หนึ่ง ที่เห็นพระองค์มาทำตัวลับ ๆ ล่อ ๆ อยู่บริเวณเชิงบันไดระหว่างชั้นสองกับชั้นสาม ก่อนผลุบหายเข้าไปในทางลับขึ้นสู่ชั้นสี่ ดังนั้นพระองค์จึงไม่รู้เลยว่าผู้จับจ้องได้ใช้วิธีการเดียวกันเข้าสู่ทางลับตามติดมา

“ตอนนี้พวกฟินิเซียกำลังจดจ้องมาทางมาแกเซมบีลันอย่างหมาล่าเนื้อ” เสียงของใครคนหนึ่งดังขึ้น หลังจากที่เจ้าหญิงชคันมาตรีขึ้นบันไดหินจนมาถึงชั้นบน และทันทีที่ทรงได้ยินเสียงนั้น ก็รีบหาที่ซ่อนประจำที่พระองค์เคยใช้ยามมาแอบฟังคนทั้งสามสนทนาลับดังเช่นทุกครั้ง

“ไม่ใช่แต่ฟินิเซียแห่งทศบุรีเท่านั้นหรอก แต่ยังมียูเดีย เพอเรียและอามาริเธียแห่งทศบุรีรวมอยู่ในกลุ่มนั้นด้วย” เสียงนี้เป็นของพหุรัตน์ที่ต่อบทสนทนาของหัวหน้ากองโจร และในน้ำเสียงของเขาก็มีรอยเคร่งเครียดผสมอยู่ด้วย

เจ้าหญิงชคันมาตรีชะโงกเศียรผ่านที่ซ่อนลับ แล้วทอดพระเนตรเข้าไปด้านใน ซึ่งถูกกั้นด้วยฉากกั้นฉุกระดาษเนื้อบาง ที่เนื้อที่ภายในนั้นถูกจัดให้เป็นเหมือนห้องพักผ่อน ที่มีเตียงนอนขนาดกลางตั้งติดริมผนัง

ดวงเนตรสีฟ้าครามเห็นพระผ่านฟ้ากำลังประทับอยู่บนโต๊ะไม้ขนาดใหญ่ ที่ด้านหนึ่งถูกยึดครองด้วยหัวหน้าโจรสลัด ส่วนอีกด้านที่อยู่ตรงข้ามพระราชาธิบดี คือหัวหน้ากองทหารรักษาพระองค์ ที่เฝ้าจับตามองกษัตริย์ ที่กำลังเคลื่อนย้ายกองเรือสีต่าง ๆ ไปมาอยู่บนแผนที่

กองเรือสีน้ำเงินถูกวางเรียงตลอดแนวชายฝั่งมาแกเซมบีลัน ส่วนกองเรือสีดำถูกวางกระจัดกระจายไปทั่วมหาสมุทร ซึ่งเรือสีดำแต่ละลำมักจะจับคู่กับกองเรือสีอื่นที่ไม่ใช่สีน้ำเงิน อันเดาได้ว่ากองเรือสีดำเหล่านั้นเป็นเหมือนกองระวังหน้า ที่หัวหน้ากองทหารรักษาพระองค์ยังคงเบาใจได้ว่าตราบที่พิษณุยังมีชีวิตอยู่ มาแกเซมบีลันจะยังไม่มีปัญหาเรื่องผู้บุกรุกทางทะเลให้มาขบคิด

ส่วนที่น่าหนักใจยิ่งกว่าผู้รุกรานทางทะเล เห็นจะเป็นกองกำลังหลากสีที่อยู่บนแผ่นดิน อาณาจักรอื่นต่างรู้แล้วว่าภายในราชสำนักสีน้ำเงินมีความขัดแย้งที่นับวันจะเริ่มรุนแรงขึ้นทุกที และผู้มีอำนาจบางฝ่ายยังกระทำการที่เป็นเหมือนชักศึกเข้าบ้าน ซึ่งน่าหวั่นใจว่ากองทหารภายใต้การนำของราชญีจะรับมือไหวหรือไม่ เพราะหากจะบอกว่ากองกำลังของจอมนางแห่งมาแกเซมบีลัน มีน้อยกว่าผู้มีอำนาจในราชสำนัก มันก็ไม่ผิดเพี้ยนไปจากความจริงนัก

“ข่าวเจ้าก็มาไวพอ ๆ กับข้านี่นา สนใจจะเปิดรับศึกทางทะเลแล้วหรือยังล่ะ” พิษณุกลั้วหัวเราะในลำคอ และเอ่ยด้วยท่าทางทีเล่นทีจริง จนพหุรัตน์ต้องหรี่ตามองหัวหน้าโจรสลัดที่ส่งนัยแฝงบางอย่างมาทางสายตา

“ข้าเข้าใจว่าท่านกำลังล่วงเข้าสู่วัยชรา และเหน็ดเหนื่อยกับการออกกำลังหนัก จึงคิดอยากปลดระวางสินะ”

หากไม่ติดว่าเจ้าหญิงกำลังแอบฟังบทสนทนาเหล่านี้ พระองค์ก็อยากจะพระสรวลออกมาเสียงดัง กับคำเหน็บแนมที่เจ็บไม่ใช่เล่นของหัวหน้ากองทหารรักษาพระองค์ พิษณุถลึงตาดุใส่คนปากจัดที่ไม่ได้ส่งสายตา และท่าทางบอกเลยว่าเป็นการพูดเล่น แล้วเขาก็ถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ อันเป็นท่าทางที่ผิดปกติไปจากเดิม เพราะทุกคราที่หัวหน้าโจรสลัดถูกคู่กัดที่ตามฟัดกันมาตลอดเหน็บแนมด้วยท่าทางเจ็บแสบ เขามักจะหาคำตอบโต้ที่เจ็บพอกัน หรือเจ็บยิ่งกว่าสวนกลับไปเสมอ

“ข้ากำลังจะถูกยึดอำนาจต่างหาก”

คำตอบของหัวหน้าโจรสลัดไม่มีรอยล้อเล่นแฝงอยู่ พระผ่านฟ้าชะงักหัตถ์ที่เลื่อนตัวหมากไปครู่หนึ่ง แล้วทรงแปรขบวนหมากบนแผนที่ต่ออย่างไม่สนพระทัย ส่วนพหุรัตน์นั้นออกอาการกระสับกระส่ายทีเดียวที่ได้ยินคำพูดของจอมโจร

“มีคนที่เก่งกว่าท่านอีกหรือไง”

“เรายังไม่เคยดวลดาบกัน ข้าจึงไม่รู้หรอกนะว่าเจ้านั่นมีฝีมือล้ำหน้าไปมากแค่ไหน แต่ทะเลยอมรับเขา ดังนั้นอำนาจทางทะเลของข้ากำลังจะหมดไปในไม่ช้านี้”

“แต่ท่านสัญญาไว้แล้ว...” พหุรัตน์เอ่ยเสียงต่ำ ดวงตาที่ทอดมองจอมโจรมีริ้วรอยของความผิดหวัง ที่อีกฝ่ายกำลังตระบัดสัตย์ที่เคยให้ “ท่านเคยสัญญาต่อหน้าราชญี ว่าจะเป็นกองหน้าเฝ้าระวังภัยทางทะเล จนกว่าพระราชาธิบดีจะสิ้นพระชนม์”

“หรือจนกว่าข้าจะทิ้งร่างลงใต้ทะเล” พิษณุต่อข้อความที่พหุรัตน์ไม่ได้เอ่ย ก่อนแย้มยิ้มกว้าง เพื่อปลอบโยนหัวใจอันร้อนรุ่มของคนที่ตนทั้งรักทั้งชัง

“แต่ไม่ต้องห่วงไปหรอก ผู้ปกครองท้องทะเลคนใหม่จะยังคงทำตามสัญญาเดิมที่ข้าเคยให้ไว้ สำหรับข้าน่ะไม่ใช่คนตายง่ายแน่ เพราะไม่มีคนขยันลอบวางยาพิษ หรือหาเรื่องปลิดชีพตลอดเวลาอย่างน้องชายของข้า ดังนั้นเจ้าก็เพียรระวังอารักขากษัตริย์ของเจ้าไว้ให้ดีแล้วกัน หากน้องชายของข้าตายไปเมื่อไร ข้าจะส่งเจ้าไปรับใช้เขาต่อในปรโลกด้วย!”




Create Date : 14 มิถุนายน 2551
Last Update : 26 ตุลาคม 2556 17:18:35 น.
Counter : 259 Pageviews.

2 comments
  
อ๋า มาเม้นท์คนแรกเลย

ราชญี จงเจริญ
โดย: กงจู วันที่: 16 มิถุนายน 2551 เวลา:21:48:33 น.
  
อ่านอยู่นะ สู้ๆ
โดย: 04054 IP: 192.168.1.131, 125.26.181.1 วันที่: 13 กรกฎาคม 2552 เวลา:9:26:53 น.
ชื่อ :
Comment :
 *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

ฌา
Location :
  

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]



New Comments
All Blog