พิษเสน่หา 11
๑๑ การมาถึงของผู้แสวงบุญ

เสียงเสียดสีของใบไม้ช่วยดึงสติของสิริกัญญาให้กลับคืนมา หลังจากเฝ้าคิดทบทวนบทสนทนาเมื่อครู่ รังสิมาเดินจากไปพร้อมกับทิ้งปัญหาให้อีกฝ่ายขบคิดหนัก ไม่ว่าจะเป็นความรู้สึกของเธอที่มีต่อเจ้าปาเยนทร์ ซึ่งเธอคิดว่าไม่มีทางเป็นไปได้หรอกที่จะหลงรักผู้ชายคนนั้น

แต่เรื่องระหว่างเธอกับเจ้าปาเยนทร์ยังไม่คาใจเท่ากับอีกเรื่อง สิริกัญญานึกถึงคำพูดก่อนจากไปของรังสิมาที่บอกว่าให้หาหนูมาคืนด้วย ซึ่งเธอจำได้ว่าไม่เคยลักหนูของพี่สาวไป และสิ่งนี้เองที่ทำให้เธอนึกถึงเรื่องระทึกขวัญที่เพิ่งผ่านมา ก่อนหน้าที่เธอจะได้พบกับอสรพิษแดง มีเสียงกรีดร้องของหนูเป็นสัญญาณเตือนภัยให้ระวังตัวไว้ หรือสิ่งที่รังสิมากล่าวถึงคือเรื่องนี้

สิริกัญญาส่ายหน้าไปมา เมื่อขบปัญหาไม่แตก รังสิมากำลังบอกว่าตัวเองปล่อยหนูไว้ในบ้านของเธอ เพื่อเป็นสัญญาณเตือนภัยให้ระวังงูของอรัญญาอย่างนั้นหรือ แต่มันก็น่าสงสัยอยู่ดี ทำไมงูถึงเพิ่งออกอาละวาดตอนกลางคืน ราวกับว่าช่วงเวลาที่ก่อนหน้านั้นมันกำลังนอนหลับอยู่อย่างนั้นแหละ

หญิงสาวถอนหายใจเฮือก ก่อนเพ่งสายตามองไปยังร่างหนึ่งที่กำลังเดินตรงมาหาเธอ เขาคือคนสนิทของท่านจินดาที่คอยอยู่รับใช้ข้างกายท่านเสมอมา และดูจะเป็นคนรับใช้ในบ้านนี้คนเดียวที่ไม่หวาดเกรงแสงสุรีย์ ซึ่งเธอเคยสงสัยอยู่หลายครั้งว่าเป็นเพราะเหตุใด แต่ก็ไม่เคยได้รับความกระจ่างเสียที

"ขออภัยที่เข้ามาจังหวะนะขอรับ ท่านกัญญา" เสียงทุ้มแหบของชายวัยหกสิบเศษดังขึ้นแผ่วเบา พร้อมกับการทำความเคารพให้กับหญิงสาวอายุคราวหลาน

"มีอะไรหรือจ๊ะ" สิริกัญญาตอบกลับไปเสียงนุ่ม ไม่มีทีท่าถือตัวต่อชนชั้นที่ต่ำต้อยกว่า

"ท่านจินดาให้ข้ามาเชิญคุณหนูไปยังสวนบุษราคัมขอรับ"

คำตอบของชายชราทำให้คนฟังขมวดคิ้วขึ้นอย่างสงสัย โดยปกติแล้วหากเวลายังเช้าอยู่แบบนี้ท่านจินดามักจะมาหาลูกสาวถึงบ้านเสียมากกว่า แต่บางทีท่านอาจไปแล้วไม่เจอเธอจึงไปรอที่สวนบุษราคัมแทนก็ได้ มันทำให้เธอสาวเท้าตามคนสนิทของบิดาที่หมุนตัวกลับ แล้วเดินนำไปตามหน้าที่

ด้วยฝีเท้าของชายชราที่ยังแรงดีไม่มีตก กับหญิงสาวที่เดินเร็วพอกัน ทำให้ทั้งคู่ไปถึงสวนที่มีดอกไม้สีเหลืองออกดอกบานสะพรั่งในเวลาที่ไม่นานเท่าไร สิริกัญญาตวัดสายตามองเข้าไปในศาลาพักร้อน และได้เห็นว่าในนั้นไม่ได้มีท่านจินดาอยู่เพียงลำพัง แต่ยังมีผู้ชายสวมชุดสีน้ำตาลแดงที่มีแผ่นหลังคุ้นตานั่งหันหลังให้ด้วยอีกคนหนึ่ง

ท่านจินดาแย้มยิ้มกว้าง เมื่อเห็นลูกสาวเดินเข้ามา แล้วคนที่นั่งหันหลังให้ก็เอี้ยวตัวหันไปมองผู้มาใหม่พลางยิ้มละมุนให้กับเจ้าของดวงตาสีน้ำเงิน ที่เบิกตากว้างกับคนที่ไม่ได้พบหน้าค่าตามานานหลายปี

"ครูมานัย..."

"โอ้โห! จากกันไม่ทันไร เด็กสาวจอมซนของครูกลายเป็นหญิงสาวไปแล้วหรือนี่"

เสียงทุ้มนุ่มที่เหมือนทำนองดนตรี และช่วยขจัดปัดเป่าความร้อนรุ่มในใจของผู้ฟังเสมอ เป็นของมานัยไม่ผิดเพี้ยน เขาเคยเป็นอาจารย์สอนหนังสือให้กับสิริกัญญาและปลายมาศสมัยเด็ก รวมไปถึงเด็กทุกคนที่อยู่ในบ้านหลังนี้ แต่ด้วยนิสัยที่ใฝ่หาธรรม ทำให้เขายึดอาชีพนี้ได้ไม่นานนัก จึงลาออกจากอาชีพอาจารย์ ละเรื่องทางโลกแล้วออกจาริกแสวงบุญไปยังแคว้นต่าง ๆ หญิงสาวจำได้ว่าครั้งสุดท้ายที่เจอผู้ชายคนนี้ คือตอนที่เธออายุสิบห้าปี

"ครูมาได้ยังไงกันคะ"

"เดินเท้ามาไง" มานัยตอบพลางขยิบตาให้อดีตลูกศิษย์ ที่ส่งสายตาค้อนคว่ำกับตลกฝืดที่เธอไม่รับมุขด้วย

"มานั่งก่อนเถอะสาวน้อยของพ่อ" ท่านจินดากวักมือเรียกลูกสาวให้มานั่งข้างตัวเอง ซึ่งอีกฝ่ายก็ยอมทำตามอย่างว่าง่าย

"ปลายมาศไปไหนล่ะ" มานัยเอ่ยถามหาศิษย์อีกคนด้วยความสงสัย เพราะในความทรงจำของเขามักเห็นสองพี่น้องคู่นี้หิ้วกระเตงกันไปมาไม่ยอมห่าง และทุกคนจะรู้เลยว่ามีสิริกัญญาที่ไหนต้องมีปลายมาศอยู่ที่นั่น

สิริกัญญาหันไปมองท่านจินดาที่ทำหน้าเหยเกหลังจากได้ยินคำถามของมานัย และเธอก็เดาได้ว่าบิดายังไม่ได้บอกเรื่องของพี่ชายให้อีกฝ่ายรู้เป็นแน่ "พี่ปลายมาศไม่สบายค่ะ"

มานัยเบิกตาขึ้นเล็กน้อย แต่ท่าทางของเขาก็ไม่ได้แปลกใจกับคำตอบนี้มากนัก เพราะเขาก็เป็นอีกผู้หนึ่งที่รับรู้ปัญหาในบ้านหลังนี้ ซึ่งน่าแปลกที่มีแต่ท่านจินดาคนเดียวเท่านั้นที่ไม่รู้ความเป็นไปที่แท้จริงในบ้านของตัวเอง ราวกับว่าดวงตาของท่านถูกปิดด้วยอะไรบางอย่าง หรือบางทีแล้วอาจเป็นว่าทุกคนในบ้านนี้นี่แหละที่ถูกปิดปากไม่ให้พูดอะไรออกไป

"เป็นหนักไหม"

"คิดว่าคงทุเลาแล้วน่ะค่ะ" หากปลายมาศไปอยู่ในมือของเจ้าชายชัยนเรนทร์ หญิงสาวเชื่อว่าพระองค์คงทำให้พี่ชายของเธอมีอาการดีขึ้นมากกว่าตอนอยู่ที่นี่แน่

"คิดว่างั้นเหรอ" มานัยขมวดคิ้วอย่างสงสัย คำพูดของลูกศิษย์ราวกับจะบอกว่าพี่ชายของตัวเองไม่ได้อยู่ที่บ้านอย่างนั้นแหละ

"เจ้าชายชัยนเรนทร์รับตัวพี่ปลายมาศไปดูแลค่ะครู"

มานัยส่งเสียงครางอย่างรับรู้ พลางขมวดคิ้วขึ้นอีกปม เขามาที่นี่ด้วยเรื่องของปลายมาศโดยเฉพาะ แต่เมื่อมาแล้วไม่พบเจ้าตัวก็ออกจะผิดหวังเล็กน้อย และยิ่งรู้ว่าตอนนี้ลูกศิษย์คนโปรดที่ซึมซับวิชาความรู้ของเขาไปแบบน้ำซึมบ่อทราย อยู่กับเจ้าชายชัยนเรนทร์ก็ยิ่งผิดหวังมากขึ้นไปอีก เพราะเจ้าชายพระองค์นั้นยึดตัวลูกศิษย์ของเขาไม่ให้ออกจาริกแสวงบุญพร้อมกับอาจารย์มาตลอด

"น่าเสียดายที่มาตอนช่วงปลายมาศไม่อยู่เท่าไหร่"

"ทำไมหรือคะครู"

มานัยเหลือบตาขึ้นมองหญิงสาวตรงหน้าด้วยแววตาที่แปลกเปลี่ยนไปเล็กน้อย แต่เขาจะไม่ยอมเอาความรู้สึกชั่ววูบมาทำลายสิ่งที่ตัวเองตั้งใจไว้หลายปีได้ "ครูจะมาชวนปลายมาศให้ออกเดินทางแสวงบุญด้วยกันน่ะ เขาเคยสัญญาไว้ว่าเมื่อเจ้าโตจนดูแลตัวเองได้ เขาจะไปโดยไม่อิดเอื้อนอีก และครูก็เห็นว่าเจ้าโตแล้ว เป็นหญิงสาวที่สง่างามสมกับเป็นบุตรีสีน้ำเงิน"

"ท่านมานัย" ท่านจินดากระแอมขัดจังหวะ เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายพูดสิ่งที่ไม่ควรพูดออกไป และเขาก็ชักหวั่นเมื่อเห็นอดีตอาจารย์ของลูก ๆ เลิกคิ้วขึ้น พลางแสยะยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์

"อ้อ! ต้องบอกว่าสมกับเป็นบุตรีขององคมนตรีแห่งปามะห์สินะ"

แต่บทสนทนาของผู้ใหญ่ทั้งสองไม่ได้เข้าหูของสิริกัญญา นับตั้งแต่มานัยบอกว่าจะพาปลายมาศออกเดินทางแสวงบุญ เธอไม่เคยรับรู้เรื่องนี้จากพี่ชายเลยสักครั้ง ยิ่งสาเหตุที่ทำให้คนที่มีใจใฝ่หาธรรมไม่ยอมทำตามใจตัวเองมาจากเธอ ก็ยิ่งทำให้หัวใจเจ็บแปลบขึ้นมา ปลายมาศทำเพื่อเธอมาตลอด แต่เธอไม่เคยทำอะไรให้พี่ชายต่างมารดาคนนี้เลยสักครั้ง

"ครูจะพาพี่ปลายมาศไปตอนไหนหรือคะ" สิริกัญญาหลุดคำถามออกไปแผ่วเบา พลางมองหน้าอาจารย์ด้วยสายตาที่เหมือนกับจะตัดสินใจบางอย่างได้

มานัยมองอดีตลูกศิษย์จอมซนด้วยสายตาครุ่นคิด แล้วยิ้มอย่างพึงพอใจ สายเลือดสีน้ำเงินต้องมีท่าทางมุ่งมั่นและเด็ดขาดแบบนี้นี่แหละ เขาคิดถูกแล้วที่มาช่วงเวลานี้พอดี สิริกัญญาต้องเติบโตขึ้น เพื่อผจญกับลิขิตสีน้ำเงินตามลำพัง โดยไม่มีใครคอยช่วยเหลืออีก

"คงต้องรอให้ปลายมาศหายป่วยและพักฟื้นสักระยะ ดูแล้วก็ไม่น่าเกินสองอาทิตย์นี้หรอกนะ" เขาคำนวณระยะเวลาสำหรับร่างกายที่ต้องเตรียมพร้อมเดินทางของปลายมาศ แล้วครางออกมาแผ่วเบาเมื่อลืมเผื่ออีกเรื่องหนึ่งด้วย

"อ้อ! ต้องนับเพิ่มอีกสองอาทิตย์ สำหรับการรบรากับเจ้าชายชัยนเรนทร์ รายนั้นหวงพี่ชายของเจ้ามากเลยทีเดียว" มานัยพูดพลางทำเสียงชิชะ แล้วทำท่ายึกยักที่เห็นได้น้อยครั้งจากผู้แสวงบุญคนนี้

"เหอะ จะเก็บปลายมาศไว้เล่นคนเดียวหรือไง ไม่มีทางหรอก"

สิริกัญญากะพริบตาปริบกับประโยคสุดท้ายของอาจารย์ ที่ซุกซ่อนนิสัยเสียไว้ใต้ท่าทีสงบเสงี่ยมหลายอย่าง จะว่าไปแล้วปลายมาศก็มีเสน่ห์กับพวกที่มีนิสัยขี้แกล้งไม่น้อย ทั้งมานัย เจ้าชายชัยนเรนทร์ หรือองค์เจ้าหลวง หนึ่งคนกับสองพระองค์นี้เคยทำเรื่องยุ่งให้พี่ชายของเธอไว้มากทีเดียว และก็ไม่แปลกหากเขาจะชอบตีหน้ายักษ์ใส่คนพวกนี้

"ระวังจะโดนเล่นเสียเองนะคะครู"

มานัยหัวเราะอย่างถูกใจ สองพี่น้องคู่นี้เติบโตมามีนิสัยเหมือนกันไม่ผิดเพี้ยน หรือจะเป็นเพราะการสอนที่ดีเกินไปของเขาก็ไม่อาจทราบได้ ที่ทำให้เด็กพวกนี้ไม่ยอมใคร

"ครูกลัวว่าจะเป็นเจ้าเองต่างหากที่เล่นแทนพี่ชาย สิริกัญญา"

- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -


ท่านจินดาขอตัวไปทำงานตั้งแต่ช่วงสาย โดยทิ้งให้ลูกสาวคนที่สิบเก้าคอยต้อนรับอดีตอาจารย์ของตัวเอง ซึ่งตอนนี้กลายเป็นนักแสวงบุญที่ออกเดินทางร่อนเร่ไปตามแว่นแคว้นต่าง ๆ มานัยเล่าสภาพความเป็นอยู่ของผู้คนที่มีวัฒนธรรมแตกต่างจากแคว้นปัญจปุระให้ลูกศิษย์ฟังอย่างสนุก แต่จากที่สิริกัญญาฟังอาจารย์ของตัวเองเล่ามา ดูเหมือนเขาจะไม่ได้เดินทางในรูปแบบของนักแสวงบุญเท่าไรนัก เหมือนออกท่องเที่ยวผจญภัยเสียมากกว่า

"พูดเสียนานเลย ครูลืมไปว่ามีของฝากมาให้เจ้าด้วย" มานัยพูดพลางก้มลงควานหาของในถุงย่ามสีน้ำตาลแดงใบเก่า เขาขมวดคิ้วเข้าหากันเล็กน้อย ก่อนยิ้มกว้างเมื่อหาของฝากเจอ

สิริกัญญามองมีดสั้นปลอกเงินที่สลักลวดลายด้วยเส้นสายหลากชนิด ทั้งเส้นตรง เส้นโค้งหรือเส้นหยัก แล้วเส้นเหล่านั้นก็ถักทอรูปร่างออกมาเป็นเต่าตัวหนึ่งที่ดำผุดดำว่ายอยู่ท่ามกลางคลื่นลูกใหญ่ ส่วนบนด้ามมีดนั้นมีพลอยสีน้ำเงินเหมือนสีตาของเธอฝังอยู่ในเนื้อโลหะเงิน

"ให้ข้าหรือคะ" หญิงสาวเงยหน้าขึ้นถามอย่างไม่เข้าใจ ทำไมอาจารย์ของเธอจึงเอามีดนี้มาเป็นของฝากให้เธอได้

"จะมีใครอีกล่ะ ให้เจ้านั่นแหละ"

"ให้มีดนี่นะ"

มานัยหัวเราะอย่างขบขันกับท่าทางงุนงงของอดีตลูกศิษย์จอมซน "ครูเห็นมันประดับพลอยเหมือนสีตาของเจ้าเลยเอามาฝาก ถือว่าเป็นเครื่องรางแล้วกัน เก็บไว้กับตัวและมิดชิดอย่าให้ใครเห็นเป็นดี เดี๋ยวเขาจะหาว่าเจ้าเป็นกบฏไปเสียก่อน"

คำตอบของมานัยทำให้คนฟังถอนหายใจเฮือก เต่าเป็นสัญลักษณ์ของรัฐกูรา และมันจะไม่มีความหมายอะไรหากอยู่แคว้นอื่นที่ไม่ใช่ปัญจปุระ อาจารย์ของเธอหาของร้อนมาให้เธอแล้วไหมล่ะ

"มีใครเขาให้อาวุธกับผู้หญิงบ้างเล่าคะ ถึงให้พกกับตัวข้าก็ใช้มันไม่เป็นหรอก"

"ก็บอกแล้วว่าเป็นเครื่องราง พกติดตัวไว้เถอะ รับรองจะมีโชคเข้าหาแน่" มานัยตอบพลางกลั้วหัวเราะ แต่คนฟังอยากค้านเหลือเกิน โชคที่ว่าน่ะคงเป็นโชคร้ายเสียมากกว่า

"น่าจะให้มันกับพี่ปลายมาศนะคะ เขาคงใช้ประโยชน์จากมันได้มากกว่าข้า"

มานัยส่ายหน้าหวืด เมื่อนึกถึงคนเรียบร้อยที่เวลาร้ายขึ้นมาแล้วอย่างกับปีศาจ "ครูยังไม่อยากให้พี่ชายเจ้าเป็นฆาตกร ครูยังจำตอนที่เขาจัดการพวกอันธพาลที่มาหาเรื่องเขาได้เลย แค่มือเปล่ายังทำเอาพวกนั้นหยอดน้ำข้าวต้มไปนานหลายเดือน ขืนให้พกอาวุธติดตัว ครูกลัวว่าจะเป็นเหยื่อรายแรกน่ะ"

สิริกัญญาหัวเราะคิก เมื่อเห็นท่าทางสยดสยองของอาจารย์ มีน้อยคนเท่านั้นล่ะที่รู้ว่าพี่ชายของเธอมีฝีมือร้ายกาจแค่ไหน แต่กว่าเขาจะเก่งกาจแบบนั้นได้ก็แทบเอาชีวิตไม่รอด และครูฝึกของเขาก็มาอยู่ตรงหน้าเธอนี่แล้ว

"ศิษย์ไม่คิดล้างครูหรอกค่ะ"

"แต่สำหรับปลายมาศนี่ไม่แน่" มานัยส่ายหน้าไปมาอย่างไม่เห็นด้วย

"ก็แกล้งเขาไว้เยอะนี่คะ" หญิงสาวโต้กลับไปอย่างขบขัน แล้วเธอก็นึกบางอย่างขึ้นมาได้ ดวงตาสีน้ำเงินจับจ้องใบหน้าของอาจารย์ที่ยังไม่มีเค้าแห่งความโรยรานิ่ง ซึ่งมานัยก็จับท่าทางที่แปลกไปได้

"อยากจะพูดอะไรหรือเปล่า กัญญา"

สิริกัญญาระบายลมหายใจออกอย่างเชื่องช้า ถ้าเธออยากให้ปลายมาศสามารถทำอะไรได้ตามใจ ก็คงมีเพียงสิ่งนี้สิ่งเดียวที่เธอทำได้ "ช่วงเวลาหนึ่งเดือนนี้ ครูช่วยสอนวิชาป้องกันตัวให้ข้าหน่อยได้ไหมคะ"

มานัยเลิกคิ้วขึ้น แต่เขาไม่ได้แปลกใจกับคำขอร้องนี้เท่าไร เขาพอใจเสียด้วยซ้ำที่สิริกัญญาสามารถประเมินสถานการณ์ได้ หญิงสาวเข้าใจความแตกต่างของวิชาการต่อสู้ และวิชาป้องกันตัว เธอรู้ว่าเวลาเพียงหนึ่งเดือนไม่สามารถเรียนอะไรได้มากกว่าให้รู้วิธีเอาตัวรอดจากพวกเสือสิงห์กระทิงแรดทั้งหลาย และเขาก็เสียดายเวลาที่มีน้อยเกินไป ไม่อย่างนั้นคงสอนอะไรได้มากกว่านี้

"รู้ใช่ไหมว่าเรียนกับครูแล้วเป็นยังไง"

หญิงสาวคลี่ยิ้มน้อย เมื่อนึกถึงสภาพของพี่ชายหลังการฝึกหฤโหด "ทำเอาพี่ปลายมาศไม่อยากตื่นเลยล่ะค่ะ"

รอยยิ้มอย่างผู้แสวงบุญผุดขึ้นมาบนริมฝีปากเรียวบาง สิริกัญญาเป็นพวกที่เรียนรู้ไวและมีความอดทนได้ไม่แพ้พี่ชาย เธอคงทำให้เขาพอใจระหว่างการฝึกสอนนี้มากทีเดียว แต่เขาคงต้องหาช่วงเวลาที่จะไม่ทำให้ใครสงสัย โดยเฉพาะสายตาของคนบ้านนี้ให้ได้เสียก่อนกระมัง

- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -


มานัยอยู่สนทนากับลูกศิษย์จนถึงเวลาเพล แล้วคิดจะขอตัวกลับ ซึ่งเป็นช่วงที่คนรับใช้มาบอกว่ารถม้าของเจ้าปาเยนทร์มารออยู่หน้าบ้านแล้ว คนหนึ่งแปลกใจที่อีกฝ่ายมาเร็วกว่าที่นัดไว้ อีกคนหนึ่งแปลกใจที่ลูกศิษย์ไปข้องเกี่ยวกับผู้ชายอันตราย และที่น่าเป็นห่วงคืออีกฝ่ายมีชื่อเสียด้านผู้หญิงมากมาย เขากลัวสิริกัญญาจะไปหลงคารมอีกฝ่ายจนถอนตัวไม่ขึ้น

"ไปรู้จักกับเจ้าปาเยนทร์ได้ยังไงน่ะ กัญญา"

สิริกัญญาหันไปสั่งคนรับใช้ให้ไปบอกอีกฝ่ายรอเธอสักครู่ ก่อนหันไปมองอาจารย์ที่ขมวดคิ้วมุ่นขึ้นมาอย่างสงสัย "เขาได้รับคำสั่งจากเจ้าชยชัยนเรนทร์ให้มารับตัวข้าไปเยี่ยมพี่ปลายมาศน่ะค่ะ"

คำตอบของหญิงสาวพอทำให้มานัยคลายความข้องใจลงไปได้บ้าง แต่จะปล่อยให้ลูกศิษย์ที่โตเป็นสาว และไม่ประสีประสาเรื่องผู้ชายเดินทางเข้าวังไปตามลำพังกับราเชนก็กระไรอยู่ เขาแย้มยิ้มกว้าง ก่อนลุกขึ้นยืนทันทีที่ตัดสินใจได้

"ถ้าอย่างนั้นครูจะขอติดรถเข้าวังไปหาคนรู้จักหน่อยแล้วกัน ไม่เจอกันตั้งนานแล้ว ป่านนี้เจ้านั่นคงแก่หง่อมขึ้นเยอะ"

การเสนอตัวไปเป็นเพื่อนของมานัยทำให้สิริกัญญาโล่งใจขึ้นมาก เธอไม่อยากอยู่ตามลำพังกับราเชนแม้สักนาทีเดียว และเธอก็หวั่นใจว่าจะไม่ได้นั่งรถเข้าวังไปเฉย ๆ ผู้ชายคนนั้นคงหาวิธีการมารังแกเธออีกเป็นแน่ ดังนั้นอาจารย์ของเธอจึงเป็นเหมือนไม้กันหมาชั้นดีเลยทีเดียว

"ถ้าอย่างนั้น ข้าจะขอร้องเจ้าปาเยนทร์ให้นะคะ เขาคงไม่ใจร้ายให้คนแก่เดินเท้าเข้าวังหรอก"

มานัยไอค่อกแค่ก ก่อนแยกเขี้ยวให้ลูกศิษย์ที่ยิ้มหน้าซื่อ ทำท่าไม่รู้ไม่ชี้ว่าตัวเองพูดอะไรผิดไป "ถึงแก่ก็ยังมีกำลังนะจ๊ะ สาวน้อย เดี๋ยวครูพิสูจน์ให้ดูเลยก็ได้"

"อย่าเลยค่ะ" สิริกัญญาหัวเราะคิก พลางมองอาจารย์ด้วยแววตาพราวระยับ "ถ้าครูพิสูจน์กำลังตอนนี้ แล้วจะเอาแรงที่ไหนมาสอนวิชาป้องกันข้าล่ะคะ เก็บแรงไว้เถอะค่ะ" เจอคำหยอกแบบนี้เข้า คนถูกแหย่ก็แยกเขี้ยวใส่ให้อีกรอบ

"เออ...ครูจะสอนให้แบบลืมวิธีหายใจเลย"

- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -


ราเชนขมวดคิ้วเข้าหากันเมื่อเห็นสิริกัญญาไม่ได้เดินมาตามลำพัง และมันก็ทำให้เขาขมวดคิ้วหนักที่เห็นหญิงสาวทำท่าสนุกสนานยามพูดคุยกับอีกคน อีกทั้งแววตาที่มองผู้ชายคนนั้นยังดูหวานหยาดเยิ้ม จนตะกอนบางอย่างที่อยู่ในใจถูกกวนขึ้นมาจนขุ่น เขารู้สึกไม่ชอบใจเท่าไรที่เห็นสิริกัญญาหัวเราะต่อกระซิกกับผู้ชายคนอื่น แม้ว่าผู้ชายคนนั้นจะเป็นผู้แสวงบุญที่เขามั่นใจว่าอีกฝ่ายจะถือเพศพรมจรรย์ไปตลอดชีวิตก็ตาม

"ว่าไงราเชน ไม่ได้พบกันเสียนานเลยนะ" มานัยเอ่ยทักทายเจ้าปาเยนทร์ที่ยืนกอดอกพิงรถม้าของตัวเองด้วยท่าทางเรียบเฉย แต่ไม่รู้ทำไมเขาถึงสัมผัสได้ถึงความร้อนแรงบางอย่างที่อีกฝ่ายส่งตรงมา

"ครั้งสุดท้ายก็ปีหนึ่งมาแล้วที่กุสิตาราครับ" ราเชนตอบกลับด้วยท่าทางนบน้อม เพราะถึงอย่างไรอีกฝ่ายก็มีวัยวุฒิสูงกว่า และยังเคยเป็นอาจารย์ผู้ประสิทธิ์ประสาทวิชาการต่อสู้ให้เขาด้วย

"แล้วเจ้าชัยล่ะ เป็นยังไงบ้าง ยังชอบเที่ยวตะลอนไปไหนมาไหนเหมือนเดิมอีกหรือเปล่า"

"ยังเหมือนเดิมครับ"

มานัยกลั้วหัวเราะแผ่วเบากับการถามคำตอบคำของเจ้าปาเยนทร์ ดูเหมือนเขาจะทำอะไรบางอย่างให้อีกฝ่ายไม่พอใจโดยไม่รู้ตัวเสียแล้วสิ "เอาเถอะ พวกเจ้าชอบทำแบบนี้มาตั้งนานแล้วนี่ แต่ช่วงนี้ระวังตัวหน่อยแล้วกัน ข้าเห็นงูเงี้ยวเขี้ยวขอมากเกินผิดปกติ ถ้าโดนกัดขึ้นมาจะยุ่งเอา"

ดวงตาสีถ่านวาววาบขึ้นมาวูบหนึ่ง ก่อนเลือนหายไปอย่างรวดเร็ว "ขอบคุณที่เตือนครับ ข้ากำลังหาวิธีกำจัดสัตว์มีพิษพวกนี้อยู่พอดี อาจต้องขอแนวทางจากท่านมานัยเสียหน่อย เห็นท่านชำนาญเรื่องนี้มากกว่าใคร"

ริมฝีปากของมานัยกระตุกขึ้นมาเล็กน้อยคล้ายกับว่าจะยิ้ม แต่คนมองอย่างสิริกัญญาก็สังเกตเห็นไม่ชัดนัก และหญิงสาวก็สงสัยนักว่าอาจารย์ของตัวเองไปทำความรู้จักกับราเชนตอนไหน ดูจากท่าทางของทั้งสองคนแล้วน่าจะสนิทสนมกันมากเลยทีเดียว

"งั้นตอบแทนด้วยการให้ข้าติดรถเข้าวังไปด้วยสักคนสิ คิดถึงเพื่อนเก่าน่ะ เลยอยากไปหาเสียหน่อย"

ราเชนระบายยิ้มออกมาเมื่อมานัยพูดถึงเพื่อนเก่า ใช่ว่าเขาจะไม่รู้ว่าเพื่อนเก่าของอาจารย์สอนวิชาต่อสู้คนนี้เป็นใคร และเขาก็เพิ่งได้ยินฝ่ายนั้นบ่นคิดถึงคนตรงหน้าเมื่อไม่กี่ชั่วโมงที่ผ่านมา หากมานัยไปปรากฏตัวให้เห็น ฝ่ายนั้นคงตกใจไม่น้อยเลยทีเดียว

"ด้วยความยินดีครับ เพื่อนเก่าของท่านก็กำลังบ่นคิดถึงอยู่พอดี"

มานัยร้องอะฮ้าอย่างถูกใจ พลางหันไปมองสิริกัญญาที่จ้องบทโต้ตอบระหว่างเขากับเจ้าปาเยนทร์ด้วยแววตาสงสัย และส่งคำถามมาทางสายตาว่าพวกเขาไปทำความรู้จักกันตั้งแต่เมื่อไร ซึ่งท่าทางของเธอเรียกเสียงหัวเราะจากผู้แสวงบุญไม่น้อย

"ครูเคยรู้จักกับเจ้าปาเยนทร์คนก่อนนะ"

คำเฉลยของมานัยพอทำให้สิริกัญญาหายข้องใจได้บ้าง แต่ก็ไม่ทั้งหมด เธอพอรู้อยู่บ้างว่าอาจารย์คนนี้มีความเป็นมาลึกลับ แต่ก็ไม่คิดว่าจะไปรู้จักสนิทสนมกับเสนาธิการของปามะห์ได้

หญิงสาวมองราเชนที่เชิญมานัยขึ้นรถไปก่อน และเธอก็เห็นอาจารย์เหลือบสายตามาทางเธอด้วยแววตาแฝงความนัยบางอย่าง ก่อนโคลงศีรษะไปมาด้วยท่าทางอ่อนใจ แล้วเธอก็ได้รู้ว่าทำไมอาจารย์ถึงทำท่าทางเช่นนั้น เมื่อได้สบกับดวงตาคมกริบของเจ้าปาเยนทร์

สิริกัญญามองมือเรียวแกร่งของราเชนที่ยื่นมาตรงหน้าอย่างระแวดระวัง เธอไม่อยากจับมือของเขา แต่จะให้ทำตัวเสียมารยาทก็ใช่ที่ เธอจึงวางมือลงบนมือของคนอันตรายอย่างเลี่ยงไม่ได้ และหญิงสาวก็สะดุ้งเฮือก เมื่อปลายนิ้วแกร่งไล้ไปตามข้อมือเรียวบางอย่างฉาบฉวย มันสร้างความหวามไหวให้กับคนที่ถูกลวมลามด้วยเรียวนิ้วจนต้องถอนมือออก แต่ชายหนุ่มก็กระชับมือเรียวไว้ในอุ้งมือแน่น แล้วพาร่างโปร่งบางให้ขึ้นไปบนรถด้วยท่าทางเนิบนาบ

มานัยเลิกคิ้วขึ้น เมื่อเห็นลูกศิษย์ทำหน้าแปลก ก่อนหันไปมองเจ้าของรถที่ยังคงทำสีหน้าปกติ ไม่เผยพิรุธอะไรออกมาให้เห็น แล้วเขาก็มองสองหนุ่มสาวที่นั่งลงบนเบาะคนละด้าน โดยสิริกัญญาเข้ามานั่งข้างเขาสลับกันไปมา ดูเหมือนสองคนนี้จะมีบรรยากาศที่ชวนให้เขารู้สึกว่าเป็นส่วนเกินอย่างไรพิกล

"เห็นกัญญาบอกว่าเจ้าชายรับตัวปลายมาศไปดูแล เขาเป็นอะไรไปเหรอ" มานัยเริ่มสรรหาเรื่องพูดคุย เพื่อลบบรรยากาศที่ไม่ชอบมาพากลนี้ออกไป ราเชนเหลือบมองสิริกัญญาครู่หนึ่ง ก่อนไปสบจ้องกับอาจารย์สอนวิชาต่อสู้ที่ไม่รู้ว่ารู้ตื้นลึกหนาบางอะไรเกี่ยวกับสองพี่น้องคู่นี้บ้าง และคนถามก็เดาท่าทางของชายหนุ่มออก

"พูดมาเถอะ ข้ารู้เรื่องในบ้านนั้นเหมือนเป็นบ้านตัวเองนั่นแหละ"

"เรื่องที่ปลายมาศถูกทรมานด้วยงั้นหรือครับ"

คนถูกถามกลับกลั้วหัวเราะอย่างไม่เห็นว่ามันเป็นเรื่องคอขาดบาดตาย มานัยไล้นิ้วไปตามปลายคาง ก่อนยิ้มละมุน "ข้าเดาดีกว่าว่าสาเหตุที่ปลายมาศไม่สบายเพราะโดนยาพิษสินะ พิษที่วโรดมใช้เล่นกับปลายมาศก็มีไม่กี่อย่าง"

"สองผสมค่ะ" คำตอบนี้น่าจะเป็นราเชนที่ควรเอ่ยออกไปมากกว่าจะเป็นสิริกัญญา ชายหนุ่มจึงเลิกคิ้วขึ้นเมื่อรู้ว่าคนที่นั่งตรงข้ามรู้ชื่อพิษที่ทำให้ปลายมาศไม่สบายด้วย

"พิษไม่ร้ายแรงนี่ งั้นคงไม่ต้องห่วงอะไรมาก"

"ไม่ต้องห่วง" ราเชนทวนคำพูดของมานัยเสียงสูง และโชคดีจริง ๆ ที่เขาได้ยินประโยคนี้แทนเจ้าชายชัยนเรนทร์ ไม่อย่างนั้นได้เป็นเรื่องแน่

"อ้าว! เจ้าตัวไม่ได้บอกเหรอว่าร่างกายนั้นถูกทดสอบยาพิษมาตั้งแต่เด็ก"

นิสัยอย่างปลายมาศน่ะหรือจะบอกตามที่มานัยว่า ทั้งราเชนกับเจ้าชายชัยนเรนทร์รู้แค่ว่าเจ้าตัวถูกพี่ชายต่างมารดาทรมานร่างกายเท่านั้น แต่คำบอกเล่าของผู้แสวงบุญชวนให้ชายหนุ่มสะดุดใจขึ้นมาอย่างไรพิกล ทำไมปลายมาศจะต้องทดสอบยาพิษตั้งแต่เด็ก เขาหันไปมองสิริกัญญาที่ยังทำหน้านิ่งด้วยความสงสัย เธอจะถูกทดสอบยาเช่นเดียวกับพี่ชายบ้างไหมนะ

"ไม่ต้องคิดมากหรอกน่า การถูกทดสอบยาก็มีข้อดีอยู่อย่างตรงที่ร่างกายจะคุ้นเคยกับพิษพวกนั้น ดังนั้นก็อย่าห่วงว่าเขาจะตายเพราะถูกลอบวางยา"

มานัยไม่คิดจะบอกไปทั้งหมดหรอกว่าปลายมาศถูกอาจารย์บังคับให้กินยาพิษตั้งแต่เด็ก ทั้งนี้ก็เพื่อให้ลูกศิษย์คนโปรดรอดพ้นจากการลอบวางยาของเหล่าผู้คิดไม่ซื่อ เด็กคนนั้นรู้ความลับที่ไม่ควรรู้มากเกินไป บางทีเขายังเคยคิดว่าการไม่รู้จะดีต่อตัวลูกศิษย์ของเขาหรือไม่ แต่นี่คงเป็นชะตากรรมของคนที่เกี่ยวข้องกับสีน้ำเงิน

"ข้าก็ได้แต่หวังว่าเขาจะไม่ตายเพราะถูกวางยาจริง ๆ"




Create Date : 08 ธันวาคม 2550
Last Update : 8 ธันวาคม 2550 17:10:24 น.
Counter : 320 Pageviews.

6 comments
  
Thanks for up-dating. Thought I'd never see you again. It's been so long.
โดย: Tia IP: 68.98.34.185 วันที่: 8 ธันวาคม 2550 เวลา:21:03:12 น.
  
หายไปไหนมาค่ะ หรือว่าแต่งเสร็จแล้ว

มาอัพบ่อยๆนะค่ะ ตอนนี้ นางเอกเรา

ไม่ใช่ซึมเศร้า อย่างที่อ่านตอนแรกๆแล้วซิ

หนุกขึ้นกว่าเดิมนะค่ะ
โดย: nekojung IP: 58.9.77.148 วันที่: 8 ธันวาคม 2550 เวลา:22:01:11 น.
  
Thank you.
^_*
โดย: jintana IP: 71.125.220.149 วันที่: 8 ธันวาคม 2550 เวลา:22:29:46 น.
  
อ่านรวดเดียวหนุกดี
โดย: bee IP: 125.26.239.124 วันที่: 9 ธันวาคม 2550 เวลา:15:34:11 น.
  
หายไปนานนะคะ คิดถึงจัง....อัพเร็วๆนะคะ รอด้วยใจจดจ่อ
โดย: T.J. IP: 125.25.173.237 วันที่: 10 ธันวาคม 2550 เวลา:21:49:50 น.
  
หายไปนานเลย คิดถึงเหมือนกันค่ะ
รออ่านตอนต่อไปนะคะ
อย่าหายไปนานอีกนะคะ
โดย: pumpam IP: 58.8.79.109 วันที่: 12 ธันวาคม 2550 เวลา:15:41:56 น.
ชื่อ :
Comment :
 *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

ฌา
Location :
  

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]



New Comments
All Blog