พิษเสน่หา 31
๓๑ ก่อนงานเทศกาล

ถ้อยคำที่กรีดแทงและความจริงที่ตอกย้ำ บอกให้อรัญญารู้ว่าเธอกำลังสูญเสียสภาพที่เหนือกว่าน้องสาวทาสไปทีละเล็กทีละน้อย และนับตั้งแต่วันที่สิริกัญญาออกมาปรากฏตัวให้โลกภายนอกได้เห็น หญิงสาวก็รู้สึกได้ว่าอีกฝ่ายดูโดดเด่นขึ้น จนจำแทบไม่ได้เลยว่าเป็นคนเดียวกับน้องสาวที่ปกคลุมไปด้วยบรรยากาศมืดมน

“ไปกินรังแตนมาจากไหนกัน ดูสิพวกสาวใช้หนีกันหมดแล้ว” เสียงทุ้มต่ำที่ดังขึ้นหน้าประตูห้อง ฉุดดวงตาสีแดงให้หันไปมองด้วยแววเดียดฉันท์

“ไม่ใช่เรื่องของเจ้า วโรดม”

คนถูกกีดกันผิวปากหวิวอย่างชอบอกชอบใจ ต่ออารมณ์รุนแรงของพี่สาว ที่มีอายุมากกว่าไม่กี่นาที ก่อนพยักเพยิดให้สาวใช้ที่อกสั่นขวัญแขวนกับพายุร้ายของนายสาวออกนอกห้องไป ซึ่งพวกเธอก็ทำตามคำสั่งอย่างไม่รอช้า พร้อมทั้งปิดประตูขังคนทั้งคู่ให้อยู่ในห้องกันตามลำพัง

“เรื่องของเจ้าก็เหมือนเรื่องของข้า เจ้าโกรธเจ้าเกลียดใคร ข้าก็โกรธเกลียดคนผู้นั้นเหมือนเจ้า” วโรดมพูดพลางก้าวเดินไปหาเจ้าของเรือนร่างเย้ายวน ที่ขยับตัวถอยห่างด้วยท่าทางระแวดระวัง โดยยังคงจับจ้องคนที่มีดวงตาสีเดียวกับตัวเองไม่คลาดสายตา

“แล้วถ้าข้าให้เจ้าทำอะไรสักอย่างกับคนที่ข้าเกลียดล่ะ เจ้าจะทำให้ข้าไหม”

วโรดมกลั้วหัวเราะในลำคอ พลางก้าวเท้ายาวเข้าหาอีกฝ่าย ก่อนรวบเอวคอดกิ่วเข้ามาไว้ในวงแขน “นั่นก็อยู่ที่ว่าเจ้าจะตอบแทนข้าด้วยอะไร พี่สาวที่รัก” พอพูดเสร็จ ชายหนุ่มก็ปิดประทับริมฝีปากอิ่มเอิบที่กรีดร้องด้วยความขยะแขยงและเกลียดชัง ต่อการกระทำอุกอาจของคนที่เป็นน้องชายในไส้

“ปล่อยข้านะ! ไอ้บ้า!” หญิงสาวหวีดร้องเสียงดังลั่น และพยายามดิ้นรนให้หลุดจากอ้อมแขนที่รัดร่างกายของเธอแน่นราวกับปลอกเหล็ก

“หืม...จะมาตกอกตกใจอะไรอีก ก็เจ้าเองไม่ใช่หรือที่ปั่นป่วนยั่วยวนข้าด้วยเสน่ห์ของเจ้า ข้าก็เล่นด้วยแล้วไง”

“ข้าเป็นพี่สาวเจ้านะ!” อรัญญาผลักใบหน้าคมคายที่ซุกไซ้ลำคอและเนินอก ให้ถอยห่างออกไปด้วยความรังเกียจ

“แต่มันก็ไม่ได้ทำให้ข้าเลิกรักเจ้านี่ พี่สาวที่รัก” วโรดมหัวเราะร่า พลางยึดข้อมือเรียวเล็กที่พยายามผลักไสไว้ ก่อนจ้องลึกเข้าไปในดวงตาสีแดงที่แผดเผาไปด้วยเพลิงอารมณ์มากมาย และหนึ่งในนั้นก็คือเพลิงกาม ที่ทำให้เขาต้องกลายเป็นคนผิดจารีต เพราะรักกับพี่สาวตน

“หึ! น้องสาวทาสของเราคงทำอะไรให้โกรธอีกล่ะสิ ให้ข้าเดาไหมว่าโกรธเรื่องอะไร”

“อย่าสู่รู้ให้มากนัก วโรดม”

คนสู่รู้ส่ายหน้าไปมา พลางส่งเสียงจิ๊จ๊ะด้วยท่าทางเสแสร้งแกล้งน้อยใจ เมื่อถูกพี่สาวกีดกันไม่ให้ยุ่งเรื่องส่วนตัว “โอ...พี่สาวที่รัก ข้าเพียรบอกหลายครั้งหลายหนแล้วว่าเจ้าไม่ได้ชอบราเชนมันหรอก เจ้าแค่อยากครอบครองมัน เพื่อให้ตัวเองรู้สึกเหนือกว่าน้องสาวทาสเท่านั้น” ชายหนุ่มพูดพลางคว้าหมับเข้าที่ปลายคางมน แล้วออกแรงบีบแน่นจนดวงหน้างามนิ่วหน้าด้วยความเจ็บ

“เจ้าไม่ได้ชอบราเชนเลยสักนิด อรัญญา”

“ข้าเจ็บนะ!”

วโรดมแสร้งทำหน้าตกใจ ก่อนปล่อยมือออกจากปลายคางที่เหลือรอยแดงช้ำอย่างน่าใจหาย ชายหนุ่มส่ายหน้าไปมากับความรุนแรงของตัวเอง แล้วพรมจูบไปตามรอยช้ำด้วยท่าทีสำนึกผิด “โอ...ข้านี่แย่จริง หึงเจ้าจนหน้ามืดไปอีกแล้ว”

“ปล่อยข้านะ!”

“อย่าทำเป็นโมโหร้ายไปหน่อยเลยน่า ยามอยู่บนเตียงก็เรียกร้องขอความรักจากข้าเสียหลายหน”

อีกหนึ่งคำพูดที่เสียดแทงใจ ทำให้อรัญญาโกรธจนหน้ามืด หญิงสาวตวัดมือตบลงบนใบหน้าคมคายเต็มแรง “เจ้าบังคับขืนใจข้า!” ร่างอวบอัดสั่นสะท้านด้วยแรงโกรธ พลางนึกถึงค่ำคืนแรกที่วโรดมบุกเข้ามาในห้อง พร่ำรำพันถึงความรักที่สายเลือดก็มิอาจมาขีดคั่นได้ ก่อนลงมือปลุกปล้ำพี่สาวของตัวเอง

วโรดมใช้ลิ้นดันกระพุ้งแก้มข้างที่ถูกตบ พลางมองพี่สาวที่ยามกริ้วก็ยังสวยไม่สร่าง แต่เขาอยากให้เธอตกอยู่ในอาการหวาดกลัว ร้องขอความเห็นใจจากเขาเหมือนค่ำคืนนั้นเสียมากกว่า ชายหนุ่มกลั้วหัวเราะในลำคอ ก่อนแสยะยิ้มอย่างชั่วร้าย เผยอารมณ์และธาตุแท้ของตัวเองออกมาอย่างไม่ปิดบัง

“เพราะข้ารักเจ้าไงอรัญญา และเมื่อรัก...ข้าก็จะทำทุกวิถีทางเพื่อให้ได้มาครอบครอง แล้วสิ่งใดที่มันเป็นของข้า ข้าก็ไม่คิดจะแบ่งปันให้ผู้ใดเช่นกัน!”

อรัญญาหวีดร้องขึ้นมาอีกครั้ง เมื่อทั้งร่างถูกเหวี่ยงกระชากไปที่เตียงกว้าง หญิงสาวผวาเฮือกเพื่อหนีการคุกคาม แต่วโรดมก็กดยึดเธอไว้ด้วยแรงกำลังมหาศาล พลางดึงทึ้งอาภรณ์ที่แทบจะฉีกขาดไปคามือ “หยุดนะ! หยุด...กรี๊ด!!”

วโรดมกลั้วหัวเราะกับการต่อต้านของพี่สาวที่ทั้งผลักไส และใช้เล็บข่วนไปตามท่อนแขนของเขา ฝ่ามือฟอนเฟ้นไปตามเรือนกายที่พยายามดิ้นรนขัดขืน แล้วฝังจมูกและริมฝีปากลงบนผิวขาวที่แดงเถือกจากสัมผัส ก่อนถอดเสื้อของตนเองเขวี้ยงทิ้งไปข้างเตียง

“ปล่อยข้า...ปล่อย!!”

“ข้าจะจัดการกับสิริกัญญาให้ แลกกับการที่เจ้าต้องเป็นของข้าตลอดไป”

“ไม่! ออกไป...ออกไป!!”

- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -


“เป็นอะไรไปหรือ สิรี” เสียงหวานใสของบริมาสเอ่ยทักขึ้นด้วยความแปลกใจ เมื่อเห็นเพื่อนยื่นหน้าออกไปเบื้องนอกโดยไม่มีสาเหตุ และคนถูกทักก็ขมวดคิ้วยู่ย่นด้วยความไม่แน่ใจ ว่าสิ่งที่เรียกความสนใจของตัวเองไปเมื่อครู่เป็นความจริง หรือเป็นเพียงแค่การอุปทานไปเอง

“สิรี...”

“อา...ข้าไม่ได้เป็นอะไร สงสัยคงหูฝาดไปน่ะ” สิริกัญญาดึงใบหน้ากลับเข้ามาในรถ พลางคลี่ยิ้มน้อย ทั้งที่หัวคิ้วยังขมวดเข้าหากันไม่ยอมคลาย

“เจ้าได้ยินอะไรหรือ”

คนที่คิดว่าหูฝาดไปทำเสียงครางอืออาอย่างไม่แน่ใจว่าควรพูดออกไปดีไหม แต่เมื่อได้เห็นดวงตาคาดคั้นก็ตัดสินใจตอบออกไป “ข้ารู้สึกเหมือนได้ยินเสียงใครบางคนร้องขอความช่วยเหลือน่ะ แต่นี่ก็เข้าเขตบ้านของข้าแล้ว หากมีเรื่องอะไรเกิดขึ้นจริง ป่านนี้พวกอารักษ์ทั้งหลายคงส่งเสียงเห่าออกมาแล้ว” หญิงสาวพูดอธิบายความสงสัยของตัวเองเสร็จสรรพ ก่อนเงยหน้าขึ้นมองเพื่อนที่ทำท่าครุ่นคิดไปตามกัน

“เป็นเสียงสาวใช้ที่ถูกพี่สาวเจ้าทรมานหรือเปล่า”

สิริกัญญาส่ายหน้าให้กับคำตอบของเพื่อน หลังจากเกิดเรื่องของจิตตีขึ้นมา ดูเหมือนแสงสุรีย์จะกระทำอะไรบางอย่างไม่ให้อรัญญาทารุณสาวใช้โดยไม่จำเป็นอีก ซึ่งหากคิดอย่างไม่มีอคติแล้ว หญิงสาวก็คิดว่าแม่เลี้ยงเป็นผู้ปกครองที่ยอดเยี่ยม ไม่อย่างนั้นคนทั้งบ้านคงไม่เกรงกลัวอีกฝ่ายมากขนาดนี้

“งั้นเจ้าก็คงหูฝาดไปนั่นแหละ” บริมาสสรุปจบความอย่างไม่ติดใจอะไรอีก ก่อนมองหน้าเพื่อนที่เหมือนกับยังมีเรื่องต้องคิดมาก และจะว่าไปอีกฝ่ายทำหน้าคิดมากมาตั้งแต่ตอนที่พวกเธอส่งเจ้าหญิงแสงอัปสรกลับตำหนักแล้ว

“คิดอะไรอยู่น่ะสิรี”

คำถามและสัมผัสที่แตะลงมาบนมือของสิริกัญญา จุดรอยยิ้มน้อยจากหญิงสาวที่ได้เห็นเจ้าของดวงตาสีมรกตส่งแววห่วงใยออกมา “ข้ารู้สึกแปลกใจตัวเองน่ะ” เธอพูดพลางระบายลมหายใจออกมาอย่างเชื่องช้า “ทั้งที่ข้าไม่ชอบพี่อรัญญาแท้ ๆ แต่ตอนที่เจ้ากับมิรันตีเข้ามาช่วย ข้ากลับรู้สึกสงสารพี่สาวคนนี้อย่างไรไม่รู้”

“สงสาร?” บริมาสเอียงคอมองเพื่อนด้วยท่าทางสงสัย เธอไม่แปลกใจหรอกที่สิริกัญญาจะไม่ชอบพี่สาวที่ชอบกลั่นแกล้งตัวเองมาตั้งแต่เด็ก แต่อีกความรู้สึกหนึ่งของเพื่อนนี่สิที่ไม่รู้ว่าผุดขึ้นมาได้อย่างไร

“พี่ปลายมาศบอกว่าไม่ต้องทนหากถูกแกล้งอีก และข้าก็ตั้งใจว่าจะตอบโต้ทุกคนที่เข้ามาหาเรื่อง แต่พอข้าตกอยู่ในสถานการณ์นั้นจริง ๆ ข้ากลับมองเห็นบางสิ่งบางอย่าง” สิริกัญญายิ้มน้อยที่เห็นเพื่อนยังทำหน้าฉงน “ข้ารู้สึกว่าพี่อรัญญาน่าสงสาร นางกำลังตามหาบางสิ่งบางอย่างที่จิตใจของตัวเองสูญเสียไป แต่ก็หาไม่พบเสียที จึงต้องหาทางระบายความพลุ่งพล่านที่อยู่ในใจออกมา”

“แล้วเขามีสิทธิ์อะไรมาระบายใส่เจ้าล่ะ” คุณหนูโต้กลับอย่างไม่พอใจ แต่ก็ได้รับรอยยิ้มปลอบประโลมจากเพื่อน

“เรื่องมันแล้วก็แล้วไปเถอะ ข้าไม่คิดเก็บเอามาใส่ใจ”

บริมาสเบ้ปากอย่างไม่ชอบใจเท่าไรนัก อีกฝ่ายทำร้ายเพื่อนเธอไปมากมาย กลับได้รับการอภัยจากเจ้าทุกข์ง่ายดายแบบนี้ มันช่างไม่ยุติธรรมเอาเสียเลย “ทำตัวเป็นแม่พระเข้าไป ฝ่ายโน้นใช่จะเลิกราวีเราเสียเมื่อไร”

สิริกัญญาหัวเราะคิก แล้วส่ายหน้ากับอาการเป็นเดือดเป็นร้อนแทนของเพื่อน “ข้าไม่ใช่แม่พระหรอก แต่อดีตมันผ่านไปแล้วและแก้ไขอะไรไม่ได้ ข้าก็ทำใจอโหสิไป ส่วนเรื่องปัจจุบัน ข้าไม่ได้บอกว่าจะยินยอมให้เขารังแกเสียหน่อย”

ดวงตาสีมรกตเบิกขึ้นเล็กน้อย เมื่อได้ยินคำตอบ ก่อนหัวเราะตามเพื่อนสีน้ำเงินอย่างชมชอบใจ “แหม...หลงให้ข้ากังวลอยู่นานว่าเจ้าจะอมทุกข์แบบเมื่อก่อน อย่างนี้ค่อยสมเป็นสิรี เพื่อนของข้าหน่อย”

“แต่เจ้าชอบทำตัวไม่เหมือนเพื่อนข้าเท่าไร” สิริกัญญาหยอกกัดด้วยความรู้สึกที่ยังเคืองไม่หาย กับการพยายามจับคู่เธอกับราเชนของคุณหนูจอมซน

“ข้าทำตัวไม่เหมือนเพื่อนเจ้าตรงไหน” บริมาสส่งเสียงประท้วงหงุงหงิง พลางลูบต้นแขนที่ถูกบิดจนเนื้อเขียว เห็นทีเธอคงจะเข็ดไปอีกนานกับการทำตัวเป็นแม่สื่อแม่ชักให้เพื่อน

สิริกัญญาหัวเราะหึ พลางปรายตามองแหวนสีดำที่ประดับอยู่บนนิ้วนางข้างซ้าย ซึ่งเธอจำได้ว่าเมื่อเช้าที่ผ่านมายังไม่เห็นแหวนวงนี้ปรากฎอยู่บนนิ้วของเพื่อน นั่นหมายความว่าช่วงที่เธอถูกจับให้อยู่กับราเชน คุณหนูพระจันทร์ต้องไปเจอหนุ่มในฝันเข้าที่ไหนสักแห่ง และทิ้งสัญญาใจไว้ให้ดูต่างหน้าแบบนี้

“เรื่องของข้าเอาไว้ก่อนก็ได้ เพราะข้าสนใจเรื่องของเจ้ามากกว่า”

บริมาสยกมือปิดแหวนที่ได้รับมาจากท่านพระอาทิตย์ แต่สิริกัญญาก็ปัดมือนั้นออก แล้วยกมือซ้ายของเพื่อนขึ้นมาพินิจแหวนสีดำที่ให้ความคล้ายคลึงกับแหวนของพี่ชายที่สวมติดกายมาตั้งแต่เด็ก “ความสัมพันธ์ของเจ้ากับพระอาทิตย์ดูจะก้าวหน้าไปมากเลยนะ ปุบปับก็หมั้นหมายกันเสียแล้ว ถ้าท่านเสนาบดีรู้เข้าว่ามีผู้ชายที่ไหนไม่รู้มาจับจองลูกสาวของตัวเองโดยที่ท่านไม่รู้ คงหัวใจวายตาย”

“พ่อก็ส่วนพ่อสิ” คุณหนูพระจันทร์บ่นงุบงิบ พลางมองของแทนใจด้วยสายตาหวานเชื่อม เธออุตส่าห์พบผู้ชายของเธอแล้ว เรื่องอะไรจะให้คนอื่นมาขัดขวางความรักครั้งนี้

ดวงตาสีน้ำเงินมองคุณหนูช่างฝันด้วยความรู้สึกเอ็นดู แต่เธอก็จำต้องให้เพื่อนได้เห็นความจริงบ้างว่ามันไม่ได้สวยหรู และง่ายดายเหมือนภาพฝัน “มันก็ถูกของเจ้า แต่พระอาทิตย์ของเจ้าเป็นใครก็ไม่รู้ และเขาก็ไม่ยอมเปิดเผยตัวเองเสียที ข้าขอแนะนำในฐานะเพื่อนนะ บริมาส” หญิงสาวพูดพลางลูบมือเพื่อนไปมา “เก็บแหวนวงนี้ไว้ก่อนเถอะ รอจนกว่าพระอาทิตย์ของเจ้าจะเปิดเผยตัวตนที่แท้จริง ซึ่งข้าเชื่อว่าเขาคงไม่ทำให้เจ้ารอนานนัก แล้วค่อยเปิดเผยว่าตัวเจ้าถูกจับจองแล้ว เพื่อที่ท่านเสนาบดีจะขัดขวางความรักของเจ้าไม่ได้”

“แล้วถ้าตัวจริงพระอาทิตย์ของข้าเป็นแค่คนธรรมดา ไม่ได้มีฐานะอะไรกับเขาล่ะ หึ! พ่อข้าคงหาทางขัดขวางอยู่ดี” บริมาสย่นจมูกใส่เพื่อน พลางนึกภาพหนทางรักที่ไม่ได้ราบรื่นตามภาพฝัน

“เจ้าสนด้วยหรือ” สิริกัญญาเลิกคิ้วถาม ด้วยรู้นิสัยของคุณหนูพระจันทร์ดี มันเรียกรอยยิ้มกว้างจากคนงามที่ไม่สนใจเรื่องความรักข้ามชนชั้น

“ใครสน”

- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -


อีกไม่กี่วัน งานเทศกาลจับม้าพยศ ที่เจ้าหลวงปัฐวิกรณ์ทรงจัดขึ้นเป็นครั้งแรกก็จะมาถึง เหล่าประชาชนในปามะห์ล้วนตื่นเต้นไปกับงานนี้ ด้วยทรงเปิดรับสมัครผู้กล้าปราบม้าพยศ โดยมีของรางวัลล่อตาล่อใจมากมาย ไม่ว่าจะเป็นตัวม้าที่คนผู้นั้นปราบได้ เงินรางวัล และยศอัศวินที่ใครต่อใครต่างก็อยากได้มาประดับเกียรติภูมิของตนเอง อีกทั้งงานนี้ยังรับสมัครผู้กล้าท้าประลองความแข็งแกร่งจากทุกรัฐ ชาวปามะห์จึงได้เห็นคนต่างถิ่นเข้ามายังบ้านเมืองของตัวเองมากมาย

แต่ท่ามกลางกลุ่มคนที่ตื่นเต้นกับงานเทศกาลที่จะมาถึง ก็ยังมีคนกลุ่มหนึ่งที่ไม่ได้ตื่นเต้นไปด้วยเลย

เจ้าหญิงแสงอัปสรสะกิดให้บริมาสมองดูพ่อลูกตำหนักอรินทรา และสิริกัญญาที่มีอาการเงื่องหงอย ไม่สดชื่นดังเช่นเมื่อหลายวันก่อน ซึ่งคุณหนูพระจันทร์ก็ระบายลมหายใจออกมา และเดาได้ว่าสาเหตุของความแห้งเหี่ยวที่ปกคลุมคนพวกนี้มาจากอะไร

เมื่อสองวันที่แล้ว ปลายมาศออกเดินทางแสวงบุญไปกับท่านมานัยโดยไม่บอกลาใครสักคน หรือหากจะพูดกันตามตรงก็มีเพียงสองคนที่รู้กำหนดการเดินทางครั้งนี้ ซึ่งคนที่ว่าก็คือเจ้าหลวงกับท่านจินดาที่เป็นคนบอกข่าวนี้ให้ทุกคนทราบ หลังจากที่ชายหนุ่มออกเดินทางไปไกล และมันก็ทำให้คนที่มีความผูกพันลึกซึ้งกับผู้ออกแสวงบุญ เกิดอาการเสียศูนย์ และซึมกระทือมาจนถึงวันนี้

สำหรับเจ้าชายชัยนเรนทร์นั้น บริมาสเดาได้ว่าคงเหงาที่ไม่มีคนให้แกล้งและต่อปากต่อคำด้วยอีก ส่วนเจ้าชายชเยนทรนั้น ถือปลายมาศเป็นทั้งครูและพี่เลี้ยง จึงทรงเหงาที่ไม่มีคนให้พระองค์คอยออดอ้อน และคนสุดท้ายที่ไม่ค่อยมีอาการน่าห่วงเท่าไร ด้วยเตรียมตัวเตรียมใจกับการจากลามาเนิ่นนาน แต่เจ้าตัวก็เงียบขรึมลงไปมาก จนคนซนไม่กล้าทำอะไรผาดโผนใส่

“ไอ้บรรยากาศมืดมนพวกนี้คืออะไรกัน” เสียงจากคนที่มาใหม่ เรียกสายตาทุกคู่ให้หันไปมอง และลุกขึ้นถวายบังคมอย่างพร้อมเพรียง เมื่อคนผู้นั้นคือเจ้าหลวงที่เสด็จมาโดยไม่ให้สุ้มให้เสียงพร้อมกับท่านจินดา

“ปลายมาศไปเดี๋ยวเดียวก้กลับ จะซึมไปทำไมกัน”

สิริกัญญาคลี่ยิ้มน้อยกับคำว่าเดี๋ยวเดียวของเจ้าหลวง สำหรับพระองค์ระยะเวลาสามปีอาจจะสั้น แต่สำหรับเธอที่ต่อให้ทำใจหนักแน่น ก็ยังอดหวั่นไหวกับช่วงเวลาที่เหมือนกับจะยาวนานเป็นนิรันดร์ และก็เพราะมีคนคิดแบบเดียวกับเธอ เชื้อหดหู่จึงได้แพร่กระจายไปเหมือนโรคติดต่อ

“เก็บโรคคิดถึงปลายมาศไว้ก่อน มาคุยเรื่องงานเทศกาลที่จะถึงนี่ดีกว่า ฝ่ายสถานที่โอดครวญมาว่าเจ้าไม่ยอมไปดูสถานที่เพื่อวางแผนการวางทหารรักษาการณ์เลย งานนี้มีเชื้อพระวงศ์จากรัฐอื่นเข้าร่วมด้วยนะ มากันครบทั้งสี่รัฐเลย” เจ้าหลวงทรงหันไปตรัสกับเจ้าชายชัยนเรนทร์ หลังจากประทับนั่งแทนที่โอรสที่เปลี่ยนที่ไปประทับนั่งคู่กับเจ้าหญิงแสงอัปสร พระองค์ทรงพระสรวลด้วยความถูกพระทัย เมื่องานเทศกาลของพระองค์ดึงดูดความสนใจจากผู้คนได้มาก

“ทาลางทูรด้วย” เจ้าชายชัยนเรนทร์ทิ้งคำไว้ เพื่อรอคำตอบ

“มาตามข่าวนั่นแหละ” เจ้าหลวงพยักพักตร์รับ พลางปรายสายพระเนตรไปยังตัวต้นข่าวที่นั่งฟังบทสนทนาตาแป๋ว ไม่ได้รู้เลยว่าการที่ทาลางทูรตอบรับตามคำเชิญ ทั้งที่มีปัญหากระทบกระทั่งกับปามะห์มาตลอดนั้น มีสาเหตุมาจากตนเอง

“ถ้ามากันครบก็ต้องเพิ่มกำลังรักษาความปลอดภัยให้มากขึ้น” เจ้าชายทรงพึมพำออกมาให้ได้ยินกันถ้วนหน้า เจ้าหลวงจึงทรงสะกิด แล้วบุ้ยใบ้ไปทางท่านจินดาที่นั่งฟังตาแป๋วไม่แพ้ลูกสาว

“ใช้จินดาสิ”

คนที่ตกใจเห็นจะมีอยู่สองคน คือเจ้าชายชัยนเรนทร์ที่หลงลืมไปว่าองคมนตรีเฒ่าไม่ได้ซื่อตามที่ตาเห็น กับท่านจินดาที่ถูกโยนภาระหน้าที่มาให้โดยไม่ทันตั้งตัว เจ้าหลวงทรงพระสรวลกับใบหน้าตลกของทั้งสองฝ่าย เรียกเสียงถอนหายใจจากท่านจินดา ที่รู้แล้วว่าตัวเองก็ถูกดึงให้มาเป็นหมากเหมือนลูกสาว

“ถ้าอย่างนั้นกระหม่อมจะขอรับผิดชอบในส่วนรอบนอก และส่วนของผู้ชม แล้วให้กองทหารรักษาพระองค์คอยอารักขาเหล่าราชอาคันตุกะจากทั้งสี่รัฐดีไหมพระเจ้าค่ะ” ท่านจินดาวางแผนงานเองเสร็จสรรพ และไม่คิดจะขอคำตอบดังเช่นที่พูด เมื่อน้ำเสียงของท่านมีแววกึ่งบังคับอยู่ในที

“ก็...ไม่มีปัญหานะ” เจ้าหลวงตรัสพลางหรี่เนตรมององคมนตรีที่แย้มยิ้มละมุน ด้วยสายพระเนตรไม่ไว้พระทัยเสียเท่าไร ด้วยทรงรู้สึกว่าอีกฝ่ายมีแผนการบางอย่างที่ไม่บอกให้รู้ด้วย

“ท่านจินดาจะส่งใครมางั้นหรือ” เจ้าชายชัยนเรนทร์ตรัสถามอย่างสงสัย และนึกไปถึงหน่วยพิฆาตที่ไม่มีใครรู้ตัวตน ว่าแท้จริงแล้วเป็นใครบ้างขึ้นมา หากท่านจินดาใช้หน่วยนี้ก็เรียกได้ว่าช่วยเบาแรงให้พระองค์ได้มากเอาการ ด้วยงานนี้คงมีงูเงี้ยวเขี้ยวขอมาเดินเล่นอยู่ในงานมากมายเป็นแน่

“กระหม่อมจะส่งอารักษ์ทั้งห้าพร้อมหมู่กองของพวกมันและผู้คุมมาช่วยงานนี้”

คำตอบของท่านจินดาไม่ได้ทำให้เจ้าชายชัยนเรนทร์รู้สึกเบาพระทัยขึ้นมาเลยสักนิด แม้จะรู้และซึมซับพิษสงของเหล่าอารักษ์สี่ขาด้วยองค์เองมาแล้วก็ตาม และดูเหมือนองคมนตรีเฒ่าจะรู้ถึงความคิดที่อยู่ในหทัย จึงแย้มยิ้มปลอบประโลมอยู่ในที

“ไม่รู้ว่าจะทำให้เบาพระทัยได้หรือไม่ แต่อารักษ์เหล่านี้กระหม่อมเป็นคนฝึกฝนด้วยตนเองทั้งสิ้น ดังนั้นขอได้โปรดวางพระทัย พวกมันจะทำหน้าที่รักษาการณ์ในงานได้ดีเยี่ยมไม่แพ้หน้าที่อารักษ์แห่งพรหมเทวา”

เมื่อมีคำรับรองจากอดีตหัวหน้าหน่วยพิฆาตมาเช่นนี้ เจ้าชายก็จำต้องวางความกังวลทั้งหมดลง ซึ่งไม่ว่าอย่างไรก็ทรงนึกภาพตอนท่านจินดาจับดาบฟาดฟันศัตรู หรือตอนฝึกสุนัขให้สวมวิญญาณมัจจุราชไม่ออกอยู่เหมือนเดิม

“สรุปว่าเรื่องการจัดกำลังรักษาความปลอดภัยผ่านแล้วนะ” เจ้าหลวงทอดพระเนตรมองผู้รับผิดชอบด้านความปลอดภัยสลับไปมา ก่อนปรบหัตถ์เพื่อยุติเรื่องแรก เพื่อเข้าสู่เรื่องที่สองทันที “ถ้าอย่างนั้นก็มาเข้าเรื่องที่ว่าใครในที่นี้จะเข้าร่วมงานบ้าง”

สิ้นคำถามของเจ้าหลวง เจ้าชายชเยนทรที่เศร้าซึมอยู่เมื่อครู่ก็ยกหัตถ์ขึ้นสูง เช่นเดียวกับเจ้าหญิงแสงอัปสรที่ทำพักตร์ตื่นเต้นไม่แพ้เจ้าชายน้อย และมันก็เรียกเสียงสรวลจากผู้จัดงานขึ้นมาทันทีทันใด

“เด็ก ๆ อยากไปกันหมด แล้วผู้ใหญ่ล่ะ ไม่มีใครอยากไปเลยหรือไง”

คนที่ชาชินกับพระนิสัยของเจ้าหลวงอย่างท่านจินดากับเจ้าชายชัยนเรนทร์ ต่างรู้ดีว่าต่อให้ไม่อยากไปมากแค่ไหน แต่หากมีพระประสงค์โปรดให้ไปก็จำต้องไปอยู่ดี และเมื่อเป็นอย่างนั้น พวกเขาจะตอบปฏิเสธให้ได้อะไรขึ้นมา ในเมื่อน้ำเสียงที่แฝงอยู่ในคำตรัสบอกมาแล้วว่าทรงมีพระประสงค์เช่นไร

“ไม่ตอบถือว่าอยากไปกันหมดนะ” เจ้าหลวงเลิกพระขนงขึ้น เมื่อไม่มีใครเอ่ยปฏิเสธออกมาสักคน ดังนั้นพระองค์จึงทรงแย้มโอษฐ์กว้าง ก่อนหันพักตร์ไปทางสองสาวที่นั่งอมยิ้ม มองดูการบังคับที่ต้องกระทำตามด้วยความเต็มใจ

“ถ้าอย่างนั้น สาว ๆ มีคู่ไปร่วมงานแล้วหรือยังจ๊ะ”

สิริกัญญากับบริมาสลอบสบตากัน เมื่อรู้ว่าตนเองไม่สามารถปลอมตัวเป็นสิรีกับจันทร เพื่อขอไปดูการปราบพยศม้าแบบประชิดตามที่หวังไว้ในตอนแรก และดูท่าเจ้าหลวงคงวางแผนการจับคู่เข้าชมงานให้พวกเธอแล้วเป็นแน่ว่าจะไปกับใคร

“ยังไม่มีเลยเพคะ” ทั้งคู่ตอบคำถามอย่างพร้อมเพรียง พลางเฝ้ารอฟังว่าเจ้าหลวงจะทรงโปรดให้พวกเธอจับคู่กับใคร ซึ่งหนึ่งคู่ที่รู้แน่นอนแล้วก็คือคู่ของบริมาส ที่จะถูกจับให้คู่กับเจ้าชายชัยนเรนทร์อย่างไม่ต้องสงสัย

“แล้วเจ้าชัยล่ะ มีคู่เข้างานกับเขาแล้วหรือยัง”

เจ้าชายชัยนเรนทร์แย้มพระสรวลด้วยท่าทางรู้เท่าทันแผนการของพระบิดา แต่ก็คร้านที่จะโต้คารมด้วย จึงทำเพียงส่ายพักตร์

“งั้นเจ้าเอาบริมาสไป ส่วนข้าขอลืมแก่สักวัน จับคู่กับสิริกัญญาแล้วกันนะ”

“ลูกของกระหม่อม ก็ต้องจับคู่กับกระหม่อมถึงจะถูกสิพระเจ้าค่ะ” ท่านจินดากระแอมขัดขึ้นมาทันควัน พลางส่งสายตาห่วงและหวงลูกสาว ไปทางเจ้าชีวิตที่ส่งเสียงจุ๊อย่างไม่เห็นด้วย

“เจ้าก็จับคู่กับบรรดาเมียของเจ้าไปสิ มีให้เลือกตั้งหลายคน”

“พระองค์ก็มีพระสนมเป็นตัวเลือกมากมาย ทำไมต้องมาเลือกลูกสาวกระหม่อมล่ะ” องคมนตรีเฒ่ายังหาข้อโต้แย้งอย่างไม่ลดละ และทุกคนก็พากันแปลกใจ ด้วยคาดไม่ถึงว่าตาแก่ใจดีที่บางทีก็ออกอาการเอ๋อเล็กน้อย จะแยกเขี้ยวขู่ฟ่อเป็น

“ข้าไม่กินลูกสาวเจ้าหรอกน่า” เจ้าหลวงทรงตรัสด้วยสุ้มเสียงรำคาญ แต่แววเนตรกลับพราวระยับด้วยความสนุกที่สามารถแหย่คนหวงลูกให้อารมณ์ขึ้นได้

“เชื่อได้ที่ไหน ทรงอย่าลืมนะว่าเคยทำอะไรไว้กับน้องสาวกระหม่อม” ท่านจินดาหรี่ตามองอย่างไม่เชื่อใจ เมื่อเจ้าชีวิตเคยมีประวัติทางด้านนี้มาก่อน

“เฮ้ย! ก็บอกตั้งหลายครั้งแล้วว่าเข้าใจผิด ข้าก็คิดว่าเจ้าเปลี่ยนแผนหนีออกจากบ้านใหม่...ข้าเลยช่วยทำให้เนียนขึ้น เผื่อคนที่บ้านเจ้าจะจับไม่ได้ ใครจะไปนึกว่าเป็นน้องสาวเจ้าจริง ๆ ล่ะ” เจ้าหลวงทรงตรัสอย่างร้อนตัว เมื่อท่านจินดาใช้เรื่องนี้บีบพระองค์ให้ยอมแพ้อีกครั้ง “แล้วข้าก็ไม่ได้แตะต้องนาง นอกจากจูบมือเท่านั้น”

“เอ๊ะ! ท่านจินดามีน้องสาวด้วยหรือ” เจ้าชายชัยนเรนทร์ตรัสทักด้วยความสนพระทัย เพราะประวัติท่านจินดามีแต่ความลึกลับ และคำถามของพระองค์ก็จุดความสนใจให้คนอื่นเฝ้ารอฟังด้วยเช่นกัน

“มีสิ เป็นแฝดคนละฝากับจินดามัน ตอนเด็กหน้าเหมือนกันอย่างกับแกะ พอโตมาหน้าตาค่อยแตกต่างพอแยกออกว่าใครเป็นใคร เมื่อก่อนน่ะจินดามันเป็นหนุ่มรูปงามเชียวนะ ส่วนแม่น้องสาวก็สวยหยาดฟ้ามาดิน ใครได้เห็นเป็นต้องตะลึง และหลงใหลไปกับความงามชนิดถอนตัวไม่ขึ้นเลยทีเดียว” เจ้าหลวงทรงหวนนึกไปยังอดีต ยามที่เจ้าชายจากทั้งสามรัฐยังเป็นพระสหายที่มีความสัมพันธ์อันดีต่อกัน จนต้องมาแตกหักด้วยพิษเสน่หาของน้องสาวฝาแฝดของจินดา ที่มีฤทธิ์รุนแรงเกินกว่าที่ใครจะคาดคิด

“อ้อ! พ่อก็เลยหลงไปกับเขาด้วย” เจ้าชายอดกัดพระบิดาออกไปไม่ได้ แต่ก็ได้รับเสียงพระสรวลที่บอกให้รู้ว่าเดาพลาดไปเสียแล้ว

“บังเอิญว่าพ่อไปเจอจินดามันก่อน ก็เลยไม่ได้ตกตะลึงตอนเจอเจ้าหล่อนเหมือน...” เจ้าหลวงทรงกัดชิวหาไว้ทัน เมื่อเกือบหลุดพระนามของเจ้าหลวงฑิคัมพรกับเจ้าหลวงฑัญญะ ให้คนที่ยังโศกเศร้ากับอดีตได้ยิน

ท่านจินดาคลี่ยิ้มน้อยกับอาการหยุดชะงักของเจ้าหลวง พลางนึกถึงน้องสาวฝาแฝดที่ถูกจับแยกให้จากกันนับตั้งแต่ยังเป็นทารก และท่านก็ไม่เคยรู้เลยว่าตัวเองมีน้องฝาแฝดจนเมื่ออีกฝ่ายกลับมา

“ไว้ให้มีเวลามากกว่านี้อีกหน่อย เดี๋ยวจะเปิดปูมประวัติของจินดาออกมาเล่าให้ฟัง ตอนนี้มาคุยเรื่องงานเทศกาลกันก่อนดีกว่า”

ไม่มีใครอยากแย้ง ว่าตอนนี้เจ้าหลวงก็ทรงมีเวลาว่างมากมาย ในการขุดประวัติของท่านจินดาออกมาเล่า ด้วยทุกคนสังเกตเห็นว่าองคมนตรีเฒ่าแสดงอาการซึมเศร้าออกมา ยามที่ถูกกล่าวถึงอดีตที่เกี่ยวข้องกับตนเอง

“สรุปว่าให้สิริกัญญาเป็นคู่เปิดงานกับข้านะ”

“ถ้ากระหม่อมไม่อนุญาตล่ะ” ท่านจินดายังขัดขวางไม่เลิก เจ้าหลวงจึงทรงคว้าหมับเข้าที่บ่าของตาแก่หัวดื้อที่หวงลูกกับสหายอย่างพระองค์

“แล้วเราจะได้เห็นกันว่าเจ้าหลวงอย่างข้า หรือประธานองคมนตรีอย่างเจ้า ใครจะใหญ่กว่ากัน”

มันเป็นคำตอบที่รู้แน่ชัดแล้ว ว่าพระประสงค์ของเจ้าชีวิตเหนือแผ่นดินสีทองคืออะไร ซึ่งคงมีแต่ท่านจินดาเท่านั้นที่รู้ถึงนัยที่แอบแฝงอยู่ในนั้น งานเทศกาลจับม้าเป็นเพียงการจัดฉาก เพื่อใช้เปิดตัวบุตรีสีน้ำเงินของท่านให้ทาลางทูร และผู้ที่ยังซุกซ่อนตัวได้รู้กันถ้วนหน้า ว่ายังมีผู้ชิงตำแหน่งเจ้าครองบัลลังก์กูราอยู่

และหลังจากนี้ทุกอย่างจะเข้าสู่ความตึงเครียด เพื่อตัดสินความเป็นตาย ต่อสงครามที่ควรปิดฉากลงเสียที!



Create Date : 29 กุมภาพันธ์ 2551
Last Update : 29 กุมภาพันธ์ 2551 22:25:35 น.
Counter : 419 Pageviews.

1 comments
  
เย่ๆ กด F5 ตั้งหลายรอบ

ในที่สุดก็มาลงแล้ว
ขอบใจนะจ๊ะ
โดย: L_K IP: 125.24.184.124 วันที่: 29 กุมภาพันธ์ 2551 เวลา:23:01:08 น.
ชื่อ :
Comment :
 *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

ฌา
Location :
  

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]



New Comments
All Blog