ราชญี 2
๒ ชายผู้ผละจากทะเล

เสียงจามของชายหนุ่มที่อยู่ท่ามกลางวงไพ่ ดึงสายตาทุกคู่ให้หันไปมองเจ้าของเสียงที่ถูจมูกด้วยท่าทางฟึดฟัด พลางกลอกตาไปมาคล้ายกำลังนึกถึงสิ่งที่ทำให้ตัวเองจามมาตั้งแต่เมื่อครู่ แล้วเขาก็ยิ้มร่าพลางขยี้หัวทุยของเด็กชายหน้าตามอมแมมที่นั่งอยู่บนตักอย่างขบขัน หลังจากคาดเดาสาเหตุการจามไปต่าง ๆ นานา จนความคิดไปหยุดอยู่ที่บุคคลหนึ่ง ซึ่งน่าจะเป็นสาเหตุหลักให้เขาจามไม่มีหยุดแบบนี้

“สงสัยแม่ของลูกคงกำลังบ่นถึงพ่ออยู่”

“พาลูกหนีเมียมาเที่ยวหรือไง เจ้าหนุ่ม” ชายวัยกลางคนที่อยู่ในวงไพ่ หยอกล้อคนหนุ่มที่ยิ้มแหย พลางลูบท้ายทอยตัวเองไปมาแก้เก้อเสียงดัง เรียกเสียงโห่ฮาจากคนรอบข้างจนคนถูกล้อหน้าแดงแปร๊ด

ครั้งแรกหลายคนได้พบเจอชายหนุ่มคนนี้ ต่างรู้สึกชอบพอในรอยยิ้มติดใบหน้าอยู่เป็นนิจ ท่าทางของเขาดูเป็นคนซื่อที่ติดจะเซ่อไปหน่อยเสียด้วยซ้ำ เพราะมีหลายครั้งทีเดียวที่ชายหนุ่มทิ้งไพ่ไม่ถูกจังหวะ หรือบางคราก็ชนะไปแบบโชคช่วย ซึ่งช่วงหลังนี้พวกเขาชักเริ่มไม่แน่ใจแล้วว่าอีกฝ่ายเป็นเพียงมือใหม่หัดเล่นพนันจริงหรือไม่

“ข้าไม่ได้หนีมาเสียหน่อย” ชายหนุ่มบ่นอุบอิบเสียงเบา ก่อนวางเงินพนันเพิ่มขึ้น เมื่อถึงตาของตัวเอง

คนที่นั่งอยู่บนตักของคนหนีเมีย ลอบระบายลมหายใจออกมาเล็กน้อย พลางแก้ความกับตัวเองในใจว่าถึงจะอ้างว่าไม่ได้หนี เพราะบอกคนที่ถูกทิ้งให้อยู่บ้านคนเดียวไว้แล้วว่าจะมาเที่ยว แต่วิธีการที่สองพ่อลูกพากันออกมา ก็เข้าข่ายอยู่ในคำว่าหนีอยู่ดี และเขาเชื่อว่าพอกลับบ้านไปคราวนี้ คนแอบออกมาเที่ยวนอกบ้านคงโดนต่อว่ายกใหญ่อีกเช่นเคย

เด็กชายหน้ามอมเลิกคิดเรื่องที่จะถูกต่อว่าหลังจากกลับบ้าน แล้วหันไปสนใจไพ่ในมือของผู้เป็นพ่อที่ทำให้เขาต้องเงยหน้าขึ้นไปมองคนที่ยังทำหน้ายิ้มระรื่นอยู่ได้ ทั้งที่ไพ่ในมือของตัวเองสุดแสนจะยอดแย่ แต่ใบหน้าของเด็กชายก็ไม่ได้แสดงอารมณ์อะไรออกมาตามคำสั่งของพ่อ ที่ได้กำชับก่อนเข้ามาในบ่อนว่าห้ามแสดงสีหน้าอะไรออกมาทั้งสิ้น ซึ่งเด็กชายก็รักษาคำสั่งนั้นได้ดี

ดวงตาสีฟ้าครามที่ดูสดใสดั่งท้องฟ้ายามกลางวัน ผละจากดวงหน้าเปื้อนยิ้มของพ่อ แล้วกวาดสายตาไปยังผู้เล่นคนอื่นในวงไพ่ ที่แสดงสีหน้าท่าทางแตกต่างกันออกไป อย่างคนที่นั่งตรงข้ามนี้ แม้จะทำหน้าเรียบเฉย แต่เขาก็สังเกตเห็นนิ้วเท้าของอีกฝ่ายกระดิกไปมา ซึ่งเขาเห็นว่าเมื่อชายตรงหน้ากระดิกนิ้วเท้า และเกาศีรษะของตัวเอง ไพ่ในมือของชายคนนั้นมักจะเป็นไพ่ที่ไม่ดีเท่าไร

“พ่อ...ข้าหิว”

นี่เป็นครั้งแรกที่เด็กชายพูดขึ้นท่ามกลางวงไพ่ และทำให้ใครบางคนขมวดคิ้วยุ่ง เมื่อเสียงนั้นดูเล็กกว่าเด็กผู้ชายวัยเดียวกัน อีกทั้งหากมองให้ดีแล้ว เจ้าของเสียงเล็กติดสำเนียงหวานมีดวงหน้าคล้ายเด็กผู้หญิงอยู่มากทีเดียว แต่คนที่ถูกความสงสัยสะกิดก็หยุดความคิดนั้นลงทันที ที่ถูกดวงตาสีฟ้าครามจับจ้องมา และในแววตาที่เขาอ่านได้ก็บอกให้รู้ว่าเด็กชายรู้ทันถึงข้อคับข้องในใจอันนั้น

“เดี๋ยวเล่นตานี้ตาสุดท้ายแล้ว ทนนั่งเบื่อไปอีกนิดหนึ่งนะ”

คนหนีเมียลูบเรือนผมของเด็กชายหน้ามอมที่ไว้ผมยาวถึงกลางหลัง มันถูกมัดด้วยเปียสามเส้นหลวม ๆ ทำให้ปอยผมบางกลุ่มหลุดออกมาจนดูรกยุ่ง แต่ดูเหมือนเจ้าของเรือนผมจะไม่ค่อยสนใจเท่าไรนัก และพอใจที่จะปล่อยมันไว้อย่างนั้น โดยไม่สนใจว่าจะถูกเด็กวัยเดียวกันล้อเลียน

ผู้เล่นแต่ละคนเริ่มขมวดคิ้วเข้าหากัน เมื่อเงินเริ่มสูงขึ้นเรื่อย ๆ ซึ่งมันมาพร้อมกับความไม่แน่ใจว่าอีกฝ่ายถือครองไพ่ดีกว่าตนหรือไม่ บางคนไม่คิดเสี่ยง จึงหมอบไพ่ของตัวเองลง จนในที่สุดก็เหลือแต่คนที่มีดวงหน้าเปื้อนยิ้ม กับชายหนุ่มวัยฉกรรจ์ที่ตอนแรกมีท่าทางมั่นอกมั่นใจกับไพ่ในมือ แต่ตอนนี้เขากลับทำท่าไม่มั่นใจแล้วว่าตนเองกำลังเป็นต่อ

เด็กชายเฝ้ามองดูเกมวัดดวง ว่าผู้เป็นพ่อจะเป็นฝ่ายได้หรือฝ่ายเสีย เขารู้ว่าอีกฝ่ายมีไพ่เหนือกว่า แต่เขาไม่รู้ว่าชายวัยฉกรรจ์คนนั้นจะทนเกมกดดันนี้ได้หรือไม่ และเด็กชายก็ทราบคำตอบ เมื่อฝ่ายตรงข้ามหมอบไพ่ลง ไม่ยอมแม้แต่จะเรียกเปิดไพ่ของทั้งสองฝ่าย ซึ่งมันทำให้เขาพลาดเงินที่ตนสมควรได้ไป

คนหนีเมียฉีกยิ้มกว้างกับเกมวัดใจที่ตนเป็นฝ่ายชนะ พลางแบไพ่ในมือตัวเองให้ทุกคนบนโต๊ะดู ชายวัยฉกรรจ์เบิกตามองไพ่ที่ถูกหงายด้วยความตกตะลึง ใบหน้าเริ่มแดงก่ำขึ้นมากับการถูกหลอกหน้าตาย ที่ทำให้ตนต้องเสียทรัพย์ไปมากมาย

เด็กชายเริ่มเห็นเค้าลางไม่ดี ที่จะมาเยือนผู้เป็นพ่อที่ยังยิ้มแย้มอย่างไม่หวั่นกลัวต่ออันตราย และทันทีที่ชายคนนั้นลุกพรวดเข้ามาหาสองพ่อลูก ชายที่อยู่ด้านหลังของคนหนีเมียก็ลุกพรวดขึ้นอย่างรวดเร็ว พร้อมกับทุ่มคนที่เข้ามาหาเรื่องให้นอนจุกอยู่บนพื้น ด้วยสายตาที่คนธรรมดามองตามไม่ทัน

หลายคนลุกพรวดขึ้น เมื่อเห็นเพื่อนพ้องของตัวเองถูกเล่นงาน อีกหลายคนเริ่มลุกหนีอย่างลนลาน ด้วยไม่อยากให้ตนเองโดนลูกหลงไปด้วย คนหนีเมียเหลียวมองรอบกายด้วยท่าทางสนใจ โดยไม่มีทีท่าหวั่นเลยว่าตัวเองกำลังโดนพวกมากกว่าเข้ารุม แต่เด็กชายไม่คิดเหมือนพ่อแน่ ร่างเล็กรีบผุดลุกขึ้น แล้วฉุดดึงคนตัวโตให้ลุกตาม พลางหันไปมองคนที่เข้ามาช่วยเหลือ ด้วยสายตาที่ไม่ทุกข์ร้อนเท่าไรนักที่เห็นอีกฝ่ายกำลังถูกรุม

“เจอกันตามที่นัดไว้นะ พหุรัตน์” เด็กชายตะโกนให้อีกฝ่ายได้ยิน แล้วลากพ่อของตัวเองให้เผ่นแผล็วออกนอกบ่อน โดยไม่เหลียวหลังหันกลับไปมองอีก

ใช่แล้วล่ะ...คนที่เข้ามาช่วยเหลือสองพ่อลูกมิให้ถูกเหล่านักพนันรุมกระทืบ คือผู้ติดตามที่คอยอารักขาและคุ้มครองความปลอดภัยของพวกเขา ตามคำสั่งของผู้เป็นแม่ที่ไม่เคยไว้วางใจในนิสัยอันแปลกประหลาดของสามี ซึ่งเด็กชายได้รู้ซึ้งหลังจากติดตามบิดาออกมาเที่ยวเล่นนอกบ้านหลายต่อหลายครั้ง ว่าอีกฝ่ายมีดวงผูกกับเรื่องวุ่นวายมากมายเหลือเกิน

คราใดที่พวกเขาหนีออกมาเที่ยว ครานั้นต้องมีเรื่องชวนให้ผู้ติดตามอย่างพหุรัตน์เดือดร้อนอยู่เสมอ เหมือนกับครั้งนี้ที่ทำให้เด็กชายอดสงสารชายหนุ่มผู้นั้นไม่ได้ ที่ต้องมาอยู่กับคนชอบหาเรื่องอย่างพ่อของตัวเอง

ครั้นดวงตาสีฟ้าครามเหลือบแลไปรอบด้านว่าตัวเองไม่ได้ถูกตาม ร่างเล็กบอบบางก็หยุดวิ่ง ก่อนก้มตัวลงเอามือชันเข่าเพื่อพักเหนื่อย ซึ่งระยะทางที่เด็กอายุสิบขวบอย่างเขาวิ่งมาสุดกำลัง ถือว่าไกลพอใช้เลยทีเดียว

“เป็นไงบ้าง” เสียงทุ้มนุ่มที่มีรอยห่วงใยต่อท่าทางเหนื่อยหอบจนลิ้นห้อยของลูก ทำให้อารมณ์พันพิลึกของคนตัวเล็กที่ระบายอยู่รอบตัวพอทุเลาลงได้บ้าง แต่มันก็ไม่หมดไปเสียทีเดียวนัก เมื่อชายหนุ่มเห็นว่าดวงหน้าที่ราบเรียบตอนอยู่ในวงไพ่ มีริ้วรอยความเหนื่อยหน่ายปนระอากับนิสัยของบิดาที่ไม่ว่าอย่างไรก็แก้ไม่หาย

“ท่านแม่ต้องโกรธมากแน่ ๆ ที่ท่านพ่อทำให้พหุรัตน์เหนื่อยอีกแล้ว”

ดวงหน้าอ่อนเยาว์ของพ่อลูกหนึ่งระบายยิ้มนุ่มนวล ก่อนเอียงคอมองลูกชายที่มีนิสัยโตเกินวัยไปเสียหน่อย หรือเพราะภาระความรับผิดชอบที่วางอยู่บนบ่าเล็กบอบบางทั้งสองข้างนั้นดูจะทำให้ลูกของเขาจำต้องโตก่อนเด็กวัยเดียวกัน

“ถ้าลูกไม่พูด พ่อไม่บอก ท่านแม่ของลูกจะรู้ได้อย่างไร”

เด็กชายระบายลมหายใจออกมาเล็กน้อย พลางจ้องหน้าผู้เป็นบิดาที่มีบุคลิกภายนอกเป็นคนเรียบร้อย แต่เนื้อแท้ของชายที่อยู่ตรงหน้านั้นช่างแตกต่างจากที่เห็นนัก คนตรงหน้านี้มีดวงตาที่ใสซื่อเหมือนเด็กที่ยังไม่รู้เดียงสา ส่วนดวงหน้านั้นดูอ่อนเยาว์เหมือนเด็กหนุ่มวัยแรกรุ่น ทั้งที่อายุอานามก็ล่วงเข้าสู่ปีที่สามสิบ อีกทั้งนิสัยโดยรวมที่ทุกคนเห็นนั้น ยังไม่ค่อยสนใจกับสิ่งใดเกินจำเป็น ซึ่งแท้จริงแล้วไม่มีใครรู้เลยว่าในส่วนลึกแล้วเจ้าตัวกำลังคิดอะไรอยู่กันแน่ ทำให้มีหลายคนทีเดียวที่ถูกหลอกด้วยใบหน้าใสซื่อ จนออกอาการเลือดขึ้นหน้าดังเช่นหนุ่มนักพนันที่ถูกผู้ติดตามของพวกเขาทุ่มติดพื้นไปนั่นเอง

ดวงหน้ามอมแมมด้วยคราบผงถ่านเงยหน้าขึ้นมองพ่อของตัวเอง ที่ยังยิ้มระรื่นไม่ทุกข์ร้อนกับสิ่งที่ตัวเองได้กระทำไปอย่างไม่รู้ว่าทำให้ใครลำบากไปบ้างด้วยคิ้วที่ขมวดเข้าหากันเล็กน้อย ก่อนตัดสินใจเอ่ยคำบางคำที่จะทำให้คนที่โตกว่าหน้าเปลี่ยนสีไปอย่างฉับพลัน

“แต่พหุรัตน์พูดแน่ ถ้าท่านแม่สั่งให้เขาพูด”

และคำขู่อันนี้ของเด็กชาย ทำให้เขาได้เห็นคนชอบหาเรื่องทำหน้าเหมือนเพิ่งนึกเรื่องนี้ได้ ชายหนุ่มมองหน้าคนตัวเล็กที่ทำสีหน้าจริงจัง เพื่อรับรองว่าคำคาดเดานั้นไม่ผิดเพี้ยนไปจากความจริงแน่ เขาก็เริ่มทำหน้ามุ่ย ก่อนทรุดนั่งให้สายตาอยู่ในระดับเดียวกันกับคนตัวเล็ก แล้วยิ้มแหย

“งั้นเราทำอย่างไรดีล่ะ”

“ข้าไม่รู้ด้วยหรอก ท่านพ่อเป็นคนก่อเรื่องเองนี่นา” เด็กชายกอดอก แล้วเชิดหน้าหนีไปอีกทาง ชายหนุ่มรีบจับข้อศอกเล็ก แล้วเขย่าไปมาอย่างขอความช่วยเหลือ

“อย่าทำอย่างนี้สิ ช่วยพ่อสักครั้งได้ไหม บอกพหุรัตน์ว่าอย่าฟ้องแม่ของลูกที เขาเชื่อฟังคำสั่งของลูกไม่ใช่หรือ”

“แม่ส่งให้พหุรัตน์มาเป็นคนของท่านพ่อนะ ไม่ใช่ของลูก” เด็กชายทำเสียงขึ้นจมูก และไม่สนใจท่าทางจะเป็นตายของพ่อที่แทบจะร้องไห้ เมื่อนึกไปถึงบทลงโทษของภรรยา หลังจากกลับไปถึงบ้าน

“แต่พหุรัตน์เขาไม่ชอบพ่อ”

“เพราะท่านพ่อชอบทิ้งเขาไว้กลางวงวิวาท แล้วหนีไปเที่ยวต่อตามลำพังต่างหาก” คนที่รู้พฤติกรรมของพ่อดี ต่อความในส่วนที่อีกฝ่ายจงใจไม่พูดออกมาจนคนตัวโตเบ้ปากเบี้ยวกับความรู้เท่าทันของลูกชาย

“พ่อไม่ชอบมีผู้ติดตามที่ชอบทำหน้าเคร่งเครียด”

“ท่านพ่อถึงได้ทั้งรักทั้งชังเขา เพราะไม่เคยมีผู้อารักขาคนไหนอยู่ทำหน้าที่นี้ได้นานเป็นปี”

ชายหนุ่มหรี่ตามองลูกชายที่ชักจะรู้ดีเกินไปจนน่าหยิก แล้วเขาก็สังเกตเห็นว่าในดวงตาสีฟ้าคราม ที่สืบทอดมาจากมารดาไร้แสงจรัสของดวงดาว ซึ่งเป็นสิ่งผิดปกติสำหรับคนที่ถูกนิยามไว้ว่าชอบสะสมดาวพันดวงไว้ในดวงตา เขาคลี่ยิ้มเล็กน้อย เมื่อเริ่มเดาได้ว่าหากคิดจะให้เจ้าตัวเล็กช่วยปกปิดนิสัยเสีย ที่ชอบแกล้งผู้ติดตาม เขาคงต้องหาสิ่งที่จะแลกเปลี่ยนกับความช่วยเหลือครั้งนี้

“พ่อต้องให้อะไร ลูกจึงจะยอมช่วยปกปิดเรื่องครั้งนี้กับท่านแม่” หรือหากจะพูดให้ถูก คือช่วยหาทางปิดปากผู้ติดตามมิให้รายงานต่อภรรยาที่แทบจะมีนิสัยตรงกันข้ามกับสามีทุกอย่างว่าตัวเองถูกแกล้งอะไรไว้บ้าง

เด็กชายเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย พลางแสดงท่าทางราวกับจะถามพ่อว่าคิดติดสินบนลูกของตัวเองงั้นหรือ แต่จะว่าไปเขาก็จงใจแสดงออกให้รู้เองว่าต้องการสิ่งแลกเปลี่ยน จึงระบายยิ้มออกมาบางเบา แต่ดูเหมือนว่ารอยยิ้มนั้นกำลังปกปิดความจริงที่กำลังจะปรากฎอยู่บนใบหน้ามากกว่า

“ถ้าอย่างนั้นอย่าเพิ่งกลับบูกิตได้ไหม ลูกอยากเที่ยวให้ทั่วมาแกเซมบีลัน”

คนชอบพาลูกหนีเที่ยวเผยอริมฝีปากคล้ายอยากจะพูดอะไรสักอย่าง แต่ก็ตัดสินใจไม่พูดก่อนแย้มยิ้มอย่างอ่อนโยน พลางเอื้อมมือไปขยี้หัวทุยจนเส้นผมที่ดูรกยุ่งอยู่แล้ว ยิ่งยุ่งเหยิงจนแทบดูไม่ได้ “ทำไมถึงอยากเที่ยวล่ะ ปกติพอหมดหมายกำหนดการก็ร้องอยากกลับบูกิตไปหาท่านแม่ทุกที”

ดวงตาสีฟ้าครามไหววูบไปกับคำถามนุ่มนวล ก่อนส่งยิ้มที่มีความลังเลในบางอย่างผสมอยู่ “ลูกแค่รู้สึก...” เด็กชายชะงักคำพูดไปแค่นั้น คล้ายยังลำดับความคิดที่เวียนวนไปมาไม่ได้ ซึ่งคนฟังก็ยังเฝ้ารอคำที่จะเอ่ยต่อไปจากริมฝีปากคู่บาง

“ลูกรู้สึกว่าพอกลับบ้านไปครั้งนี้ อาจจะไม่ได้ออกมาเที่ยวอีกนาน”

คำตอบที่ได้รับมาเป็นสิ่งที่ไม่สามารถมองข้ามไปได้ เพราะเด็กตรงหน้าไม่เคยมีสัมผัสพิเศษเทือกนี้ สัมผัสที่เรียกว่าลางสังหรณ์อันจะบอกถึงบางสิ่งบางอย่างที่กำลังเกิดขึ้น ดังนั้นพอมีขึ้นมาก็ทำให้อดกังวลไปถึงภรรยาที่ถูกทิ้งให้อยู่ตามลำพังไม่ได้

...หรือว่าทางนั้นเกิดเรื่องขึ้นขณะที่พวกเขาไม่ได้อยู่ที่นั่น

แต่ครั้นจะเอ่ยปากปลอบลูกน้อยที่มีสีหน้ากึ่งกังวล เสียงท้องร้องโครกครากของเด็กชายก็ดังลั่นชนิดไม่เกรงใจเจ้าของ ดวงหน้าพริ้มเพราแดงระเรื่อด้วยความอับอาย พลางยกมือขึ้นกุมท้องที่ร้องประท้วงขออาหารมาตั้งแต่หนึ่งชั่วโมงที่แล้ว

“อา...พ่อลืมไปเลยว่าเรายังไม่ได้กินข้าวกลางวันกัน”

“เพราะท่านพ่อมัวแต่ติดเกมพนันพวกนั้นน่ะสิ” เด็กชายบ่นอุบอิบด้วยความโมโหหิว พลางมองพ่อที่ลุกขึ้นเต็มความสูง พร้อมทั้งยื่นมือไปหาร่างเล็กที่มองตอบกลับมาตาแป๋ว

“ถ้าอย่างนั้นเราไปหาอะไรกินกันเถอะ ลูกนัดพหุรัตน์ไว้ที่ไหนน่ะ”

“โรงแรมจันทร์เพ็ญค่ะ”

หากมีคนมาได้ยินคำลงท้ายของเด็กชาย คนผู้นั้นคงงงเป็นไก่ตาแตกว่าทำไมเด็กผู้ชายหน้าตามอมแมมคนนี้ ถึงพูดจาเหมือนเด็กผู้หญิงไปได้ และคนเป็นพ่อก็ดูจะไม่เดือดร้อนกับคำลงท้ายที่ผิดเพศ อีกทั้งยังหัวเราะอย่างเคยชินกับคำลงท้ายนั้น จนน่าสงสัยว่าภายในของเด็กชายมีรูปลักษณ์ตรงกับภายนอกหรือไม่

จะเป็นเพียงเด็กผู้ชายที่มีใจเป็นหญิง หรือแท้จริงแล้วคือเด็กผู้หญิงที่ปลอมตัวเป็นเด็กผู้ชาย!

- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -


เสียงเพลงภายในโรงแรมจันทร์เพ็ญดังลอดออกมาสู่ภายนอก ให้คนที่เพิ่งมาถึงหยุดชะงักกับลำนำที่ถูกขับขานด้วยเจ้าของเสียงที่เขาคุ้นเคย ชายหนุ่มถอนหายใจอย่างเหนื่อยหน่าย เมื่ออารมณ์กรุ่นโกรธที่อยู่ภายใน ถูกชะล้างด้วยท่วงทำนองหวานของเจ้านาย ผู้เป็นนักขับลำนำ เขาผลักประตูโรงแรมเข้าไปอย่างเชื่องช้า พลางกวาดสายตามองหากลุ่มเจ้านาย และได้พบกับเจ้าของมือเล็กที่โบกกวักไปมาทันทีที่เห็นผู้ติดตาม

พหุรัตน์เดินตรงไปหาเด็กชายหน้ามอมที่จัดการอาหารตรงหน้าไปได้ครึ่งหนึ่ง โดยส่วนของบิดา และส่วนที่คิดว่าน่าจะถูกเผื่อไว้ให้เขายังมีเต็มจาน ร่างสูงค้อมตัวให้เด็กชายเล็กน้อย ก่อนนั่งลงบนเก้าอี้ แล้วเบนสายตาไปมองเจ้านายอีกคนที่หันมาขยิบตาให้ หลังจากเห็นผู้ติดตามของตัวเองกลับมาด้วยร่างกายครบสามสิบสองส่วน

“ไม่ได้บาดเจ็บตรงไหนใช่ไหม” เสียงเล็กเอื้อนเอ่ยออกมาแผ่วเบา เพื่อไม่ให้เสียงของตัวเองไปรบกวนเพลงรักหวานของบิดาที่ดึงทุกคนให้เข้าไปอยู่ในภวังค์ ชนิดถอนตัวถอนใจออกมาได้อย่างยากเย็น

“ไม่พระเจ้าค่ะ”

คิ้วเล็กขมวดเข้าหากันเล็กน้อย แต่สีหน้าของคนหน้ามอมไม่ได้มีริ้วรอยอารมณ์ให้จับได้ว่าขณะนี้กำลังรู้สึกอย่างใด หรืออย่างน้อยพหุรัตน์ก็รู้ว่าคนตรงหน้าไม่ค่อยชอบที่ชายหนุ่มใช้คำลงท้ายเช่นนี้ ในขณะที่อีกฝ่ายมีสภาพเป็นเพียงเด็กผู้ชายธรรมดาคนหนึ่ง

และเพียงเวลาไม่นาน พ่อลูกหนึ่งก็เลิกร้องเพลง ท่ามกลางความเสียอกเสียดายของคนในร้าน แต่ก็ไม่มีใครคิดคะยั้นคะยอให้เขาร้องเพลงต่อ อีกทั้งเมื่ออีกฝ่ายกลับไปนั่งโต๊ะเดิม พวกเขาก็ดูราวกับจะกลืนหายไปกับผู้คนในร้ายทันที

“น่าทึ่งมากที่เจ้ากลับมาเร็วกว่าที่ข้าคิดไว้” ดวงตาที่บางครั้งก็มองเห็นเป็นสีเขียวน้ำทะเล บางคราก็เป็นสีห้วงอรรณพที่ลึกสุดหยั่ง ทอแววหยอกล้อให้คนชอบทำหน้าเครียดขมวดคิ้วยุ่ง

“พวกนั้นเป็นแค่อันธพาลชั้นเลว และจำนวนที่ไม่ถึงสิบคนก็ไม่อาจทำอะไรกับคนที่ฝึกวิชาการต่อสู้อย่างกระ...ผมได้” พหุรัตน์เปลี่ยนคำแทนตัวของตนเองในตอนท้าย เมื่อได้เห็นแววตาดุที่ดูแล้วไม่ค่อยน่ากลัวเท่าไร แต่เพราะชายหนุ่มมีความเคารพต่อคนตรงหน้า จึงยอมทำตามเงื่อนไขที่อีกฝ่ายเคยเอ่ยไว้ก่อนมาเที่ยวนครติดทะเลแห่งนี้

“ใครว่าไม่ถึงสิบ อันธพาลพวกนั้นมีตั้งสิบสี่”

“รู้ว่าคนพวกนั้นมีจำนวนเท่าไร ก็ยังกล้าไปหาเรื่องพวกเขาอีกนะขอรับ” ชายหนุ่มถอนหายใจเฮือกอย่างเหนื่อยหน่ายใจ และได้รับเสียงหัวเราะอย่างไม่อินังขังขอบต่อสิ่งใดตอบกลับมา

“แค่บททดสอบนิดหน่อย ทำบ่นเหมือนพวกผู้หญิงไปได้”

“หากไม่ติดว่าอีกฝ่ายเป็นเจ้านาย พหุรัตน์ก็อยากถลึงตาตอบกลับไปนักว่าอีกฝ่ายช่างขยันหาบททดสอบมาให้เขาวุ่นวายได้ไม่เว้นวัน และเป็นอย่างนี้มาตลอดสามปี จนบางทีชายหนุ่มนึกอยากถามคนขี้แกล้งว่าเกลียดเขาตรงไหน หรือหากไม่ชอบใจที่เขามาทำหน้าที่นี้ ก็น่าจะหาคนอื่นมาแทนที่เสียให้รู้แล้วรู้รอด จะได้ไม่ต้องมาทำท่าขัดเคืองใส่กันเช่นนี้

แต่พหุรัตน์ก็รู้เหตุผลร้อยแปดพันเก้าที่ไม่อาจเอ่ยออกมาได้ เขาจึงปิดปากเงียบมาตลอดสามปี ชายหนุ่มดึงตัวเองออกมาจากภวังค์ความคิด แล้วมองเจ้านายที่เป็นที่ชื่นชอบของมหาชน

นับตั้งแต่เจ้านายของพหุรัตน์กลับมานั่งโต๊ะของตัวเอง อีกฝ่ายก็ถูกผู้คนทักทายหรือไม่ก็ไต่ถามถึงสารทุกข์สุขดิบ ซึ่งเจ้าตัวไม่ได้ตอบอะไรออกไป นอกจากส่งยิ้มที่ทำให้คนอื่นรู้สึกว่าสามารถเข้าใกล้และคลุกคลีอย่างสนิทสนมกันมานานได้ ไม่เหมือนกับรอยยิ้มอีกแบบที่เขาเห็นเจ้านายใช้เป็นประจำ ยามต้องเผชิญหน้ากับกลุ่มที่คิดไม่ซื่อต่อตนเอง

ส่วนเจ้านายตัวน้อยก็ยังคงทำท่าประหม่าอายกับการทักทายอย่างสนิทชิดเชื้อ ราวกับตนเองเป็นญาติผู้ใหญ่ของเจ้าของโรงแรมจันทร์เพ็ญ ซึ่งเป็นหญิงชราที่ยังแข็งแรงเหมือนสาวรุ่น ฝีปากของเธอก็หาใครในแถบนี้เทียบได้ยาก และหากไม่อยากมีเป็นศัตรูกับคนแถวนี้ ก็อย่าริไปหาเรื่องเจ้าของโรงแรมเด็ดขาด ไม่อย่างนั้นจะได้รู้ล่ะว่านรกบนดินนั้นเป็นอย่างไร

“หึหึ ลูกเจ้านี่ยังน่ารักเหมือนเดิมเลยนะ” หลังจากที่เจ้าของโรงแรมจันทร์เพ็ญทักท้ายเด็กชายหน้ามอมด้วยการกอดเต็มแรงหนึ่งที หญิงชราก็หันไปมองชายหนุ่มที่ยังสุภาพกับเธออย่างเสมอต้นเสมอปลายอยู่เช่นเดิม

“เพราะแม่เขาสวย ลูกก็เลยน่ารักตามแม่น่ะครับ” ชายหนุ่มตอบกลับด้วยท่าทางภูมิใจกับรูปโฉมของภรรยาเล็กน้อย และคำตอบของเขาก็ทำให้เจ้าของโรงแรมจันทร์เพ็ญหัวเราะร่วน

“ถ้าอย่างนั้น อีกสองสามปีเจ้ามิต้องคอยกีดกันคนที่คิดจะเข้ามาขอไมตรีจากลูกของเจ้า เหมือนครั้งที่ต้องรบรากับศัตรูหัวใจ ผู้สูงศักดิ์เหล่านั้นจนเกือบจะไม่ได้เคียงคู่กับจอมนางแห่งมาแกเซมบีลันหรอกหรือ...ฟ้า”

ชื่อที่ถูกเอ่ยออกมาจากแม่เฒ่าเป็นชื่อที่มีเพียงคนสนิทสนมคุ้นเคย หรือคนที่เจ้านายของพหุรัตน์รักใคร่เท่านั้นจึงจะสามารถเรียกได้ และเมื่อเจ้าของชื่อได้ยินชื่อของตัวเองที่ไม่ค่อยมีคนเรียกอีกหลังจากแต่งงานกับหญิงสาว ผู้ครอบครองทุกสิ่งทุกอย่างเหนือแผ่นดินนี้ ก็แย้มยิ้มออกมาบางเบา

“แต่ข้ากลับกลัวว่าจะไม่มีคนมาให้หวงน่ะสิครับ เพราะมีคนคอยหึงหวงแทนข้าตั้งหลายคน ว่างั้นไหม ชคันมาตรี” ประโยคสุดท้ายนี้ ชายหนุ่มหันไปทางลูกที่ถูกเจ้าของโรงแรมจันทร์เพ็ญเอาผ้าสะอาดมาเช็ดหน้าเช็ดตา จนคราบผงถ่านที่อำพรางดวงหน้ามิให้ใครมองออกว่าเป็นเพศใดเลือนหายไป

คนถูกโยนคำถามชวนปวดหัวให้ทำหน้าลำบากใจ แม้ว่าเจ้าตัวจะมีอายุเพียงสิบขวบ แต่ก็พอรู้เรื่องราวรัก ๆ ใคร่ ๆ ของคนหนุ่มสาวอยู่บ้าง หรืออย่างน้อยก็รู้ได้โดยสัญชาตญาณว่าญาติพี่น้องของแม่ที่ชอบมองมาทางตัวเองนั้น เป็นสายตาที่อยากจะกลืนกินทุกสิ่งทุกอย่าง ไม่ว่าจะเป็นร่างกายนี้ หรือทรัพย์สินที่ตนจะได้ครอบครองต่อไปในอนาคต

“ลูกไม่ขอออกความเห็น”

คำตอบนั้นช่างไร้เยื่อใยเสียจนผู้เป็นพ่อขมวดคิ้วยุ่ง และจุ๊ปากอย่างไม่ชอบใจเท่าไรนัก ที่ลูกของตนแสดงสีหน้าลำบากใจให้เห็นเพียงแวบเดียว หรือบางทีวิชาหน้ากากไม้ที่เขาเพิ่งสอนไป เมื่อตอนพาลูกเข้าไปเล่นพนันที่บ่อน ทำให้เกิดเรื่องวิวาทและหนีออกมาแทบไม่ทัน จะซึมซับลงไปในตัวของคนเรียนรู้ไว จนอีกฝ่ายรีบเอามาใช้ เพื่อมิต้องถูกพ่อของตัวเองแกล้งก็เป็นได้

เจ้าของโรงแรมจันทร์เพ็ญหัวเราะเสียงดัง และดึงสายตาคนจากโต๊ะรอบข้างให้หันไปมองอย่างสงสัยว่าหญิงชราหัวเราะเรื่องอะไร แต่สิ่งที่พวกเขาเห็นคือแม่เฒ่าได้แปลงโฉมเด็กชายหน้ามอม ให้กลายเป็นเด็กหญิงผู้มีดวงหน้าพริ้มเพราไปเสียแล้ว และพวกเขาก็ไม่ได้แปลกใจกับการเปลี่ยนแปลงของเด็กชายหน้ามอมเท่าไรนัก เพราะทุกคนต่างคุ้นเคยกับสามคนที่เป็นแขกพิเศษของแม่เฒ่าดี

หรือจะมีแต่ผู้มาเยือนหน้าใหม่เท่านั้นกระมัง ที่ไม่รู้ว่านักขับลำนำที่เอ่ยท่วงทำนองรักหวาน อยู่บนเวทีที่ยกพื้นขึ้นสูงกลางร้านเมื่อครู่ แท้จริงแล้วเป็นถึงพระราชาธิบดีสามัญชน ที่ชาวมาแกเซมบีลันเคยกล่าวถึงอยู่ช่วงหนึ่ง ซึ่งพวกเขาเชื่อว่าคงมีแต่คนทุรเข็ญและชาวทะเลในกรารูวานี้เท่านั้น ที่รู้ดีว่าผู้ปกครองของตัวเองมีพระพักตร์เช่นไร

ส่วนเด็กหญิงที่ถูกเจ้าของโรงแรมจันทร์เพ็ญจับถักเปียเสียใหม่ โดยถักเป็นเปียแปดเส้นนั้น จะเป็นใครไปไม่ได้ นอกจากเจ้าฟ้าหญิงชคันมาตรี ที่แทบจะไม่ปรากฎองค์ให้ผู้ใดได้เห็น นอกจากงานพระราชพิธีสำคัญ ซึ่งพวกเขาก็รู้อีกว่าหากอยากจะพบพระพักตร์ของผู้ที่จะเป็นราชญีองค์ต่อไป ก็ควรมองหาเด็กชายหน้ามอมที่ชอบถักเปียหลวม ๆ และถูกรายล้อมด้วยชายหนุ่มสองคน ที่ทำท่าเหมือนแม่นกกกไข่จนชวนดูน่าขัน

และคนสุดท้ายที่ทุกคนต่างนึกสงสารและเห็นใจอยู่เสมอ ด้วยเคยเห็นเขาถูกทิ้งให้รับมือกับกลุ่มอันธพาล บ้างก็กลายเป็นคู่ซ้อมมือให้กับหัวหน้าโจรสลัดแห่งท้องทะเลสีน้ำเงิน อันเป็นพี่น้องร่วมสาบานกับพระราชาธิบดี และยังเป็นพี่น้องที่ร่วมดื่มน้ำนมจากแม่คนเดียวกัน คือหัวหน้ากองทหารรักษาพระองค์ที่ชอบทำหน้าเครียดตลอดเวลานั่นเอง

“เรื่องที่จะมีภมรมาไต่ตอมดอกไม้งามนั้น คงไม่ต้องคาดเดาให้เสียเวลาว่ามีใครบ้าง” เจ้าของโรงแรมจันทร์เพ็ญเอ่ยพลางกลั้นหัวเราะเล็กน้อย และรู้ดีถึงสถานภาพที่ไม่รู้ว่าจะให้หัวเราะหรือร้องไห้ดีของเจ้าหญิงชคันมาตรีอย่างเห็นใจ ก่อนแย้มยิ้มด้วยท่าทางเจ้าเล่ห์ จนเจ้าหญิงผู้ปลอมตัวเป็นเด็กชายหน้ามอม รู้สึกไม่ไว้วางใจกับรอยยิ้มนั้นเอาเสียเลย

“เพราะสิ่งที่น่าสนใจยิ่งกว่าก็คือหลานมีคนที่ชอบหรือยัง ชคันมาตรี”

คำถามนี้ของเจ้าของโรงแรมจันทร์เพ็ญทำให้คนสองคนทำท่าประหลาดออกมา คนหนึ่งคือพระผ่านฟ้าที่แม้จะระบายยิ้มนุ่มนวลสักแค่ไหน แต่รอยยิ้มนั้นก็มิอาจส่งไปถึงดวงเนตร ที่แสดงถึงความหวงแหนในพระราชธิดาได้ ส่วนอีกคนนั้นคือหัวหน้ากองทหารราชองครักษ์ที่ยิ่งทำหน้าเครียดหนักขึ้น หลังจากได้ยินคำถามนี้ของแม่เฒ่า

“หลานยังไม่มีคนที่ชอบ แต่ถ้าพูดถึงคนที่เหมาะสมนั้น มีอยู่หลายคนเลยทีเดียว ซึ่งหลายคนที่ว่านี้มีทั้งทรัพย์สมบัติ และกองกำลังทางทหารมากเพียงพอ ที่หลานจะใช้ต่อต้านกับกลุ่มผู้คิดไม่ซื่อ หรือการบุกรุกจากแคว้นข้างเคียง”

ใครกันหนอที่ยัดเยียดความคิดนี้ให้กับเจ้าหญิงพระองค์น้อย และมันก็ทำให้เจ้าของโรงแรมจันทร์เพ็ญรู้สึกสงสารปนสังเวชอย่างบอกไม่ถูก มือหยาบที่เกิดจากการตราตรำทำงานหนักยกขึ้นลูบเกศาเส้นเล็กไปมาอย่างเบามือ ก่อนคลี่ยิ้มเล็กน้อยและมองเจ้าฟ้าหญิงด้วยสายตาอ่อนโยน

“ไม่ว่าจะเป็นไพร่ฟ้า หรือเจ้าผู้ปกครองต่างก็ต้องมีคนที่ตัวเองชอบพออยู่ ส่วนการจะได้ครองคู่กับคนผู้นั้นหรือไม่ก็มีองค์ประกอบเพียงชะตาฟ้า และทางที่เราเลือกเดิน หลานยังเยาว์นัก และพบผู้คนน้อยเกินไป จึงยังไม่รู้ว่าคนแห่งโชคชะตาของเรานั้นอยู่ที่ใด แต่ย่าเชื่อว่าหลานต้องเจอคนผู้นั้นเข้าสักวันแน่...ชคันมาตรีเอ๋ย”





Create Date : 07 มิถุนายน 2551
Last Update : 26 ตุลาคม 2556 17:18:22 น.
Counter : 263 Pageviews.

1 comments
  
หลังจากอ่านเรื่องพิษเสน่หาจบแล้ว ก็รอว่าจะมีเรื่องต่ออีกไหมตั้งนานแน่ะค่ะ กว่าจะได้อ่านเรื่องนี้ เรื่องของเรื่องก็คือ หาไม่เจอเพราะว่ามันมีเรื่องออกใหม่ๆเยอะไปหมดแตในเมื่อรู้ว่ามีแล้ว ก็จะติดตามต่อไป ขอหวานๆแบบราเชนกะสิรีนะคะ
โดย: น้อง (หนึ่งมณี ) วันที่: 9 มิถุนายน 2551 เวลา:15:43:54 น.
ชื่อ :
Comment :
 *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

ฌา
Location :
  

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]



New Comments
All Blog