เมื่อน้องสาวของฉันบอกว่า...
วันนี้เผลอเล่นเน็ตนานไปหน่อยก็เลยกลับบ้านดึก พอกลับถึงบ้านจึงได้รู้ว่าวันนี้พ่อกลับบ้าน เลยรู้สึกเสียดายที่ไม่ได้กลับบ้านให้เร็วกว่านี้ เพราะนานทีหนที่สี่คนพ่อลูกจะได้ทานข้าวเย็นพร้อมหน้า แต่เมื่อพลาดไปแล้วก็ต้องทำใจ แล้วรอโอกาสหน้า เพราะใช่ว่าครั้งต่อไปจะไม่มีเสียหน่อย

พอกลับถึงบ้านก็หิวจัด เพราะไม่ได้กินข้าวกลางวันมา และโชคดีที่ยังมีกับข้าวเหลืออยู่ ก็เลยจัดการพวกมันซะเต็มคราบ แต่ที่น่าสงสัยก็คือน้องสาวคนเล็กมานั่งจ๋องจ้องหน้าพี่สาวอยู่ได้ แล้วยังทำท่าบอกว่า 'ถามสิ ถามสิว่ามีอะไร' คุณพี่เลยต้องเอ่ยปากถามออกไปอย่างช่วยไม่ได้

"มีอะไรหรือไง"

พอพี่สาวพูดออกมา คุณน้องก็ยิ้มแป้น แล้วตอบว่า "วันนี้มีเรื่องด้วยล่ะ"

...เออ ก็รู้ว่ามีเรื่อง ไม่งั้นเธอคงไม่มานั่งทำหน้าให้ฉันถามหรอก...

"เรื่องอะไรล่ะ"

เท่านั้นล่ะ น้องสาวก็ขยับตัวเตรียมเป็นนักเล่าเรื่องทันที ซึ่งคุณพี่ก็ได้แต่ยิ้ม ๆ กับอาการท่ามากของแม่น้องสาว

"ก็วันนี้พ่อกลับบ้าน แล้วก็นั่งทำอะไรหน้าบ้านไม่รู้อยู่ตั้งนาน จนพ่อเรียกเราให้ออกไปข้างนอก"

"อือฮึ" คุณพี่ได้แต่ครางรับ เมื่อน้องสาวหยุดพักกลืนน้ำลาย

"แล้วพ่อก็ถามเราว่ามีไฟแช็คหรือเปล่า ตอนนั้นเราอึ้งเลยล่ะ ไม่รู้จะพูดอะไรต่อ พอรู้ตัวก็ตอบไปว่า ไม่มี๊! ไม่มี!"

คุณพี่ร้องอะฮ้าขึ้นมา เพราะรู้ดีว่าแม่น้องสาวตัวดีมีไฟแช็ค

"เราก็เลยถามกลับไปว่าทำไมพ่อมาถามอย่างนี้ล่ะ"

น้องสาวทำท่าประกอบให้ดู ทำให้พี่สาวนึกภาพบทสนทนาของพ่อลูกคู่นี้ออก

"รู้ไหมพ่อตอบมายังไง พ่อบอกว่า อ้าว! ก็สูบบุหรี่อยู่ไม่ใช่เหรอ ถ้าไม่มีไฟแช็คจะสูบบุหรี่ได้ยังไง"

คราวนี้คุณพี่หัวเราะก๊ากออกมาเลย ทั้งที่ความจริงก็พอเดาออกว่าพ่อน่าจะรู้ตั้งนานแล้วว่าลูกสาวตัวเองสูบบุหรี่ แหม! ก็เล่นแอบไปจิ๊กวิทยุเครื่องเล็กของคุณลูกในห้องนอน แล้วเจอของกลางทั้งที่เขี่ยบุหรี่ กับซองบุหรี่วางหราอยู่บนหัวเตียง ไม่รู้ก็บ้าแล้วล่ะ

แต่ที่อึ้งไปตามกันทั้งพี่ทั้งน้องก็คือคุณพ่อเล่นพูดออกมาตรง ๆ แบบนี้ โอ้! แม่เจ้า พ่อฉัน ทำอะไรที่คาดไม่ถึงอีกแล้ว

"โหย พ่อเล่นปล่อยหมัดตรงมาทำเอามึนเลย" แม่น้องสาวสูดปาดครางซี้ดเหมือนโดนต่อยจริง ๆ พลางเบ้ปากเบี้ยว "ไอ้เราก็นึกว่าจะโดนด่าสักยกที่ริอาจสูบบุหรี่ ที่ไหนได้ดันมาถามแบบนี้ ใครมันจะตอบตรง ๆ วะ"

คุณพี่ได้แต่หัวเราะคิก แล้วถามต่ออย่างติดใจ "เออ...แล้วตอบพ่อไปว่ายังไงล่ะ"

"เรื่องอะไรจะยอมรับว่าสูบบุหรี่ล่ะ ถึงจะโดนจับได้แล้วก็เถอะ งานนี้ตอบว่าไม่มีลูกเดียวล่ะ"

"อ้าว! พ่อจะเชื่อเรอะ" คุณพี่เลิกคิ้วขึ้นและยังหัวเราะไม่เลิก

"ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อล่ะ เพราะปุ้ยมันเอาไฟแช็คไปหมดทั้งสองอันเลย ก็เลยบอกไปว่าไม่มี๊ไม่มีลูกเดียว พ่อก็เลยถามกลับมาว่า ถ้าไม่มีไฟแช็คจะสูบบุหรี่ยังไง เราก็เลยตอบไปว่า 'โน่นไงพ่อ เตาในครัวโน่น มีแค่นั้นก็เหลือแหล่แล้ว ไม่ต้องใช้ไฟแช็ค' "

น้องสาวตอบด้วยท่าทางกึ่งบึ้งกึ่งขำ แต่พี่สาวปล่อยก๊ากออกมาอีกรอบ เมื่อนึกภาพแม่ตัวดีก้มหน้าจุดบุหรี่กับเตา ตลกพิลึกล่ะ!

"แล้วพ่อจะเอาบุหรี่ เอ๊ย! ไฟแช็คไปทำอะไร"

คนถูกล้อแยกเขี้ยวใส่ แต่ก็ยอมตอบแต่โดยดี "จะมาลนเชือกที่ขาดน่ะ แต่เรากลับรู้สึกว่าโดนพ่อล้วงตับยังไงไม่รู้ หลอกถามลูกสาวว่ายังสูบบุหรี่อยู่หรือเปล่า ไอ้เราก็เผลอหลวมตัวตอบออกไป สุดยอดเลย!"

เฮ่อ ๆ เธอก็น่าจะรู้น้าว่าพ่อเราเป็นยังไง เหมือนใครเสียที่ไหน ก็คิดดูเอาแล้วกันว่าจับตอแหลลูกสาวได้ตั้งหลายครั้ง แถมพอโกรธทีก็เหมือนกับฟ้าถล่ม จนลูก ๆ แอบตั้งฉายาให้คุณพ่อลับหลังว่า 'อาญาสวรรค์'

เรื่องนี้สอนให้รู้ว่า ไม่ว่าลูกสาวจะทำอะไร คุณพ่อก็รู้หมด จะพูดหรือเปล่าก็อีกเรื่องหนึ่ง หรือจะทำเนียนมาหลอกถามแบบนี้อีกก็ได้ หรือ...

จะทำตัวเป็น 'อาญาสวรรค์' ก็เห็นทีต้องรีบเผ่นไปให้ไกลล่ะ งานนี้ถึงจะรักน้องมากแค่ไหนก็ตัวใครตัวมัน รับหน้าฟ้าไม่ไหว มันใหญ่เกินไป



Create Date : 30 สิงหาคม 2550
Last Update : 5 กันยายน 2550 18:41:01 น.
Counter : 448 Pageviews.

0 comment
กว่าจะได้เป็น Knights Wing
เรื่อง Knights Wing เริ่มต้นโพสต์ครั้งแรกที่เด็กดีกับใบหน้าเมื่อต้นปี 48 ต่อมาก็เอไปลงไว้ที่ emotionway.com เพราะ

เคยมีความหลังกับที่นี่มาก่อน อีกทั้งเราชอบชื่อสำนักพิมพ์ของเขาด้วยล่ะ (สีม่วงอ่อน หุหุ เราเองก็เป็นชาวสีม่วงนี่) พอ

โพสต์ไปได้สักตอนสองตอนก็ได้รับฟอร์มเมลล์จากพี่ดิวว่า "ชอบแนวนี้" เท่านั้นล่ะ กำลังใจอยากเขียนต่อพุ่งเต็มปรี่ เพราะ

กำลังคิดอยู่เชียวว่า "สงสัยคงได้ดองเรื่องนี้อีกแน่" และเมื่อได้กำลังใจจากคนอ่านเช่นนี้แล้ว เราก็เลยฮึด เขียนต่อไปเรื่อย ๆ

แถมยังได้แรงหนุนว่า "เขียนให้จบนะ แล้วส่งมาให้พี่พิจารณา"

อะฮ้า! แบบนี้ยิ่งมีไฟเขียนขึ้นอีกกอง

ถ้าให้พูดแล้ว เรื่องนี้เราก็เอามาจากสิ่งที่อยู่รอบตัวทั้งนั้น เพราะเราเองก็เป็นคริสเตียน ข้อมูลเกี่ยวกับศาสนาคริสต์มีเพียบ

แต่ระหว่างที่เขียนนั้นก็เกิดความขัดแย้งขึ้นในใจ "เขียนแบบนี้มันจะดีแน่แล้วหรือ" เพราะมันขัดกับสิ่งที่เราร่ำเรียนมา การนำข้อมูลในพระคัมภีร์มาเรียบเรียงให้กลายเป็นนิยาย เราคิดว่ายากนะ มันจะต้องไม่ขัดกับหลักความจริง แต่ก็ต้องไม่น่าเบื่อด้วย เพราะเขาอ่านเพื่อเอาสนุก (อันนี้คิดในฐานะที่ตัวเองเป็นคนอ่านด้วยล่ะว่าต้องการแบบไหน)

ความขัดแย้งที่หาจุดลงตัวไม่ได้ เลยทำให้ต้องหยุดเขียนไปพักหนึ่ง

และการจับปากกาครั้งที่สองนี้ก็มาจากคนอ่านที่ถามหา และพี่ดิวที่เข้ามาตอบกระทู้ให้ทุกตอนที่ลง เราเลยตัดสินใจได้ไว่า "ถ้าเขียนแบบคนเขียนไม่ได้ ก็เขียนแบบคนอ่านแล้วกันว้า"

เรื่องนี้ (ภาคกองทัพผีดิบ) เขียนเสร็จประมาณปลายเดือนพฤศจิกายน ปี 48 พอเขียนจบก็สอบคำผิด แล้วก็ส่งให้พี่ดิวแบบสด ๆ ร้อน ๆ ตอนนั้น ในใจก็หวังลึก ๆ ว่าถ้าผ่านคงดี (แหม...ไม่ปิดบังเจตนาของตัวเองเลยเนอะ) จำได้ว่าส่งไปประมาณปลายเดือนธันวาคม ปี 48 (มั้ง) หลังจากนั้นก็เกิดเรื่องไม่คาดฝันขึ้น

ประมาณหนึ่งเดือนให้หลังได้รับโทรศัพท์ที่ไม่คุ้นเบอร์ พอรับสายก็รู้ว่าเป็นพี่ดิว คุณพี่มาพร้อมกับข่าวที่ทำให้เราต้องร้องลั่นรถ (น่าอายชะมัด คนบนรถหันมามองเรากันหมดเลย) "เรื่อง Knights Wing ผ่านนะคะน้อง พี่อยากได้ความในใจนักเขียนกับคำโปรยปกหลัง น้องช่วยส่งมาด้วยนะคะ" คำพูดของพี่ดิวอยู่ในประมาณนี้ล่ะ เพราะตอนนั้นยังไม่หายอึ้ง แถมยังเพิ่งส่งไป

เองนะ กะว่ารอให้ถึงเดือนเมษายนก่อนแล้วค่อยถามผลพิจารณา แต่นี่ไม่ต้องรอเลย

หลังจากนั้นก็ไปวี๊ดว๊ายกับน้องสาวด้วยอารามดีใจ แถมคุยโวไว้ว่าหนังสือพี่จะได้ออกงานหนังสือที่จะถึงนี้ด้วยล่ะ (เหอะเหอ วางแผนการให้ตัวเองเสร็จสรรพ) คุณน้องก็ดีใจใหญ่ เพราะโดนคุณพี่บังคับให้อ่นนิยาย แกบอกว่า "ดี ไม่เปลืองแรงเปล่า" แหม คำตอบนี้ทำเอาพี่อึ้งไปเลย

แต่แล้วเราก็ได้รับโทรศัพท์จากพี่ดิวอีกครั้งว่า "น้องจ๋า ตอนกองทัพผีดิบมันได้แค่ 178 หน้าเอง พี่คิดว่านิยายแฟนตาซีน่าจะหนากว่านี้หน่อยนะ น้องช่วยส่งภาคต่อมาลงรวมกันได้ไหมจ้ะ"

โอ้! พระเจ้า

ภาคสองยังไม่ได้เขียนสักตัว แถมยังวุ่นเรื่องงานที่เปลี่ยนที่ทางใหม่ แล้วเดดไลน์ยังเป็น 2-3 เดือนก่อนงานหนังสือเดือนตุลาคม มันจะเสร็จทันไหมวะ ภาคแรกยังใช้เวลาตั้งเป็นปี แต่ภาคสองนี่มีเวลาแค่ 5 เดือนเอง ถึงใจจะคิดอย่างนั้น แต่ปากดันตอบตกลงไปแล้ว

การปั่นภาค 2 จึงเริ่มต้นขึ้น (ทวารนรกที่ไปรวมกับกองทัพผีดิบ จนกลายเป็นสงครามกองทัพผีดิบในปัจจุบัน)

มันเป็นการพิสูจน์ความทรหดอดทน และทดสอบจินตนาการของตัวเองอย่างเหลือร้าย จากที่คิดว่าจะส่งงานเดือนสิงหาคม ได้ผลัดผ่อนลงไปเรื่อย ๆ จนแอบคิดว่าสงสัยไม่ทันออกงานหนังสือเดือนตุลาคมแน่เลย แต่ถึงอย่างนั้นเราก็ยังเขียนต่อไปจนได้ส่งเมื่อปลายกันยายน ท่ามกลางอาการหวาดเสียวของ บก. และอาการหายใจหายคอไม่คล่องของคนเขียนว่าไม่ทันแน่ ๆ

มันเป็นเรื่องสุดท้ายของสุดท้ายจริง ๆ พี่ดิบโทรมาคุยว่าตอนแรกคิดว่าไม่ทันเสียแล้ว แถมยังยืดเวลารอเราคนเดียว (ต้องขอบคุณพี่ดิวจริง ๆ ที่ยังรอเราอยู่) แต่ตอนนี้ยังอดทึ่งอยู่ว่าพี่ทำงานกันเร็วจัง เพราะ Knights Wing ภาคสอง มันก็เยอะเอาการอยู่ ทำเสร็จกันภายในเดือนเดียวนี่นะ

เหลือเชื่อ!

แล้วในที่สุด Knights Wing สงครามกองทัพผีดิบ ก็ได้ออกเป็นรูปเล่มตามที่แอบหวังไว้จนได้

ทั้งนี้ต้องขอบคุณพี่ดิวที่ใจดี คุณพี่ยังรอฌาส่งเรื่องแบบเส้นยาแดงผ่าแปด หวุดหวิดไม่ได้ออกรอมร่อ แต่ความจริงแล้วแอบเกรงใจพี่ เพราะบอกจะส่งเดือนสิงหาคม แต่ดันส่ง... แถมเรื่องนี้ค้างอยู่หน้าเวบมานานหลายเดือนยังไม่มีทีท่าจะได้ออกรูปเล่ม เลยใช้มันเป็นตัวจี้ต่อมความขยัน เรื่องนี้จะไม่สำเร็จเลยถ้าไม่มีพี่

ต่อไปก็ต้องขอบใจน้องสาวคนสุดท้องของตัวเอง แต่เธอทำเกินหน้าที่ไปหน่อย แถมยังขูดรีดพี่ให้เลี้ยงหมูกะทะ นี่น่ะหรือน้องสาวฉัน!

อ้า...ขอขอบคุณตัวเองด้วยได้ไหม ที่ไม่ทดท้อ ไม่ขี้เกียจ ไม่ทิ้งการเขียนไป จนได้ออกมาเป็นรูปเล่ม

และที่ลืมไม่ได้! ก็คนอ่านนี่แหละ ถ้าไม่มีคนอ่านนิยายคงแย่ทีเดียว ขอบคุณที่แวะเวียนเข้ามาชม และซื้อไปอ่านกันนะคะ

อยากรู้จังว่า สงครามกองทัพผีดิบเป็นอย่างไรบ้าง




Create Date : 02 พฤศจิกายน 2549
Last Update : 5 กันยายน 2550 18:41:16 น.
Counter : 239 Pageviews.

3 comment
บันทึกงานนิทรรศการหนังสือที่ศูนย์สิริกิตติ์
วันแรกของการเยื้องย่างไปงานหนังสือคราวนี้ไม่ใช่ในฐานะคนอ่านเพียงอย่างเดียวเสียแล้ว แต่ยังพ่วงฐานะคนเขียนมาด้วยอีกตำแหน่ง ทำเอาปากสั่นใจสั่น สมองเบลอไปเลยทีเดียว

จะมีใครรู้บ้างไหมนะว่าสาวขี้เก๊กอย่างเราจะแอบเก็บความตื่นเต้นที่เกือบล้นปรี่ออกมา ต้องมีคนขำแน่เลยทีเดียว

ในงานหนังสือวันที่ 18 ตุลาคม 2549 เต็มไปด้วยผู้คนมากมาย ทั้งที่เพิ่งเปิดงานและเป็นตอนเที่ยง เราตามหาบูธสำนักพิมพ์สีม่วงอ่อนด้วยความทุลักทุเล (จากฝูงคน) จนในที่สุดก็มาหยุดยืนอยู่หน้าบูธจนได้

เราพยายามชะเง้อชะแง้เข้าไปด้านในด้วยอาการตื่นเต้น และลอบสบสายตากับพี่ดิว (เพราะตอนนั้นมองไม่เห็นใครด้วยความเบลอเป็นที่เรียบร้อย) จนพี่รู้สึกถึงแรงส่งจึงได้หันมา พอเราสบตากับปิ๊งปั๊ง (?) ก็ส่งซิกไปว่า "หนูเอาใบเซ็นต์สัญญามาให้พี่ค่ะ" เมื่อนั้นถึงได้โดนเรียกให้เข้าไปด้านใน

โอย...คนเยอะจัง บวกกับอาการตื่นเต้น เลยทำให้เกือบเป็นลมแน่ะ

วันนั้นเราได้รู้จักกับนีลที่คุยกันในข้อความลับบ่อย ๆ เป็นครั้งแรก เธอเป็นคนแรกทีเดียวที่ได้ลายเซ็นต์อันแรกของเราไป และได้คอมเมนต์นิยายเพื่อปิดบังอาการตื่นเต้นไม่ให้แตกออกมา ก่อนจะขอตัวกลับไปทำงานต่อเมื่อเข้าเวลาบ่าย

คิดว่ามันน่าจะผ่านไปด้วยดีสำหรับวันแรกนะ อย่างน้อยภาพที่เก๊กไว้ก็ไม่หลุดล่ะ

ส่วนวันต่อ ๆ มา เราก็ได้แปรไปเป็นนักขายทุกเย็น ซึ่งที่นั่นทำให้รู้จักสาว ๆ ประจำบูธที่มีหลากหลายสไตล์

คนแรกที่กล่าวถึงขอนีลก่อนล่ะ เธอคือเจ้าของนามปากกา Nara (ShiNe) ที่ชื่นชอบอ่านแนวลักษณาวดีแบบเดียวกับเรา แถมนามแฝงที่อ่านครั้งแรกทำเอาสะดุ้ง คนเขียนเล่นตลกอะไรกับคนอ่านหรือเปล่าหว่าที่ดันใช้คำที่แปลว่า "ไปตายซะ" มาตั้งเป็นนามปากกา พอได้สอบถามกันจึงได้รู้ว่าแกเล่นคำนั่นเอง น้องหนูเป็นคนพูดน้อยในสายตาพี่ฌา เราเลยไม่ค่อยได้พูดคุยกัน นอกจากหยอกล้อและจิกกัดกันตามประสา (เอ...แล้วมันไม่ค่อยได้พูคคุยกันตรงไหนเนี่ย)

ส่วนน้องฝั่งฟ้าที่มีชื่อตามบัตรประชาชนว่าฝั่งฟ้าเช่นกัน เธอเป็นเด็กสาวที่แอบเก็บอารมณ์ขันไว้ภายใน และมีจินตนาการที่ทอดยาวไปไกลตามชื่อของเธอ น้องเลยโดนพี่ชวนคุยโน่นคุยนี่บ่อย แถมยังเป็นเด็กเชียร์ คู่หูพี่ในบางครั้งที่โซนแฟนตาซีอย่างออกรส

Sirena สาวผู้สุขุม แต่วาดรูปได้น่ารัก เธอทำให้เราคิดถึงเพื่อนคนหนึ่งที่มีหน้าตาและท่าทางคล้ายกัน เราคุยกันน้อย แต่พอเจอเรื่องที่ชอบเหมือนกันก็จ้อไม่มีหยุด 10 วันกับการได้นั่งรถพี่ดิวกลับบ้านด้วยกัน ทำให้รู้ว่าเธอไม่ใช่คนอื่นคนไกล

เล็ก Glitter Maker กับนิลปัทม์...ทำไมถึงต้องพูดรวมกัน อาจเป็นเพราะระยะแรกเราไม่ได้คุยกัน เพิ่งมาเปิดตลกคาเฟ่ด้วยกันตอนใกล้หมดวันงาน เลยเหมือนเพิ่งรู้จักตัวตนของพวกเธอ

สามสาวที่มักเห็นอยู่ด้วยกันตลอดเป็น PR ที่แสนยอดเยี่ยม เธอเชียร์นิยายขายไปได้หลายเล่ม แถมด้วยการแอบเชียร์นิยายของตัวเองอีกต่อ น้ำเสียง ท่าทางและคำพูดได้ข่มขวัญ เอ๊ย! สนับสนุนคนอ่านว่าแต่ละเรื่องน่าซื้อเพียงไหน แถมปล่อยมุกฮากันลั่นบูธ ทั้งคนขายและคนซื้อ จนเป็นที่ชอบอกชอบใจกันนัก

และที่ลืมไม่ได้คือลลนล เธอเป็นหน่วยสนับสนุนที่ไฟแรงเอาการเหมือนกัน

ส่วนเจ้าฟลุ๊ค เด็กสาววัยกำดัดที่ตัวโตเกินวัยไปหน่อย น้องหนูมาช่วยพี่ ๆ ขายของ แถมยังขี้อ้อนจนน่าเอ็นดูแกมน่าหยิก ชอบจี้เอวบรรดาพี่ ๆ ให้ดิ้นพล่านจนเกือบทำบูธพัง รู้ไหมว่าเธอยังติดหนี้พี่อยู่เลยนะนี่

อ้อ! เกือบลืม (ก็ไม่ได้เกือบลืมเสียทีเดียวหรอก) พี่ดิว พี่เอิน และคุณแม่ (ของน้องฟลุ๊คกับพี่เอิน) พวกพี่ยืน(นั่ง)อยู่ด้านหลังตลอด เหมือนจงใจเป็นแบ็คกราวน์ให้สาว ๆ ทั้งหลายวาดฝีไม้ลายมือเชียร์สนั่นบูธ

มิตรภาพชั่วข้ามวัน ความประทับใจชั่วข้ามคืนมันเต็มล้น จนอยากกลับมาพบกันอีก หวังว่างานหนังสือรอบหน้าเราคงได้เจอกัน แล้วจะแอบไปเกาะข้างเสาบูธเหมือนเดิม




Create Date : 02 พฤศจิกายน 2549
Last Update : 5 กันยายน 2550 18:41:57 น.
Counter : 226 Pageviews.

4 comment

ฌา
Location :
  

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]



New Comments