Devil Crisis ภารกิจพิทักษ์จอมมาร 3

บทเรียนแรกของการทำความรู้จักแดนอสูรคือหญ้าของแดนนี้เหนียวกว่าที่คิด!

หลังจากตกลงเป็นพันธมิตรระยะยาวกับมารกาฬปักษ์ฟีเดลก็เริ่มคิดหาวิธีหอบหิ้วสัมภาระสองชิ้นโตขึ้นมาทันที เพราะการที่มีฝูงกาจำนวนมากคอยรุมต้อนรับตรงปลายทางทำให้เด็กหนุ่มยิ่งต้องรีบมองหาของที่จะไม่ให้สัมภาระของตัวเองเกะกะเวลาออกมือออกเท้าซึ่งหญ้าคาที่อยู่เบื้องหน้าคือสิ่งที่เขาเล็งไว้

อีกาดำที่ได้รับนามใหม่ว่าราเวนเฝ้ามองการกระทำของเด็กมนุษย์ด้วยความสงสัยมันไม่รู้ว่าควรถามอีกฝ่ายที่หันไปรบกับกอหญ้าแทนที่จะวางแผนรบรากับฝูงกาที่รออยู่ตรงปลายทางดีหรือไม่จนเมื่อได้เห็นเด็กหนุ่มเอาใบหญ้ามาถักสานเป็นกระเป๋าสะพายหลังใบเขื่องและมีขนาดพอดีกับไข่ที่มันเฝ้าปกปักษ์ มันก็เข้าใจได้ทันที

ฟีเดลยิ้มแฉ่งให้ผลงานสุดเร่งรีบตอนแรกเขากลัวว่าสายสะพายจะขาดระหว่างวิ่งหนีฝูงกาเสียด้วยซ้ำ แต่ความเหนียวที่แม้แต่มีดที่อาจารย์จำเป็นเคยอวดสรรพคุณว่าตัดได้ทุกอย่างทำให้เชื่อได้ว่าสายสะพายจะไม่มีวันขาดจากการวิ่งมาราธอนของเขาแน่ เด็กหนุ่มถอดเสื้อนอกใส่เข้าไปในกระเป๋าสะพายเพื่อทำเป็นผ้ารองกันกระแทกก่อนยกไข่ที่หนักผิดรูปร่างยัดตามลงไปทันที

“ทนอยู่ในนี้ไปก่อนแล้วกันนะรับรองว่ามีข้ากับราเวนอยู่ เจ้าฝูงกาเกเรข้างบนนั่นไม่ได้กินเจ้าแน่”

ไม่รู้ว่าไข่ใบเขื่องเข้าใจสิ่งที่ฟีเดลพูดหรือไม่แต่สัมผัสอุ่นวาบตอนตบลงไปบนเปลือกไข่ เป็นเหมือนการตอบรับคำพูดของเด็กหนุ่มอีกทั้งยังมอบความเชื่อมั่นชนิดไม่เผื่อความผิดหวังไว้ให้เลย จนทำให้เขารู้สึกถึงภาระหนักอึ้งที่ตัวเองอาสารับมาอย่างชัดเจนซึ่งเขานึกอยากรู้ขึ้นมาเสียแล้วว่า ไข่ที่มีความรู้สึกนึกคิดให้สัมผัสได้ชัดเจนใบนี้มีอะไรอยู่ข้างในทำไมอาเบลจึงอยากได้นักหนา

ไว้ให้ออกไปข้างนอกได้ก่อนแล้วค่อยเค้นหาคำตอบจากอาเบลอีกทีละกัน...แม้จะไม่ชอบวิธีการที่อาเบลลากความวุ่นวายมาให้แต่ฟีเดลรู้ดีว่าอีกฝ่ายจะยอมตอบคำถามทุกข้อที่เขาสงสัยเลยทีเดียว

“เอาละแผลของเจ้าเป็นอย่างไรบ้าง ราเวน” พอจัดการยัดไข่ใส่กระเป๋าเสร็จเรียบร้อย เด็กหนุ่มก็หันไปสนใจอีกาดำที่ยังไม่ขยับเขยื้อนไปไหนบาดแผลฉกรรจ์ที่มีอยู่ทั่วร่างเป็นเหมือนคำตอบบอกให้รู้ว่านี่เป็นหนึ่งในสาเหตุที่มารกาฬปักษ์พยายามเคลื่อนไหวตัวให้น้อยที่สุดส่วนอีกสาเหตุนั้นก็เพื่อดูท่าทีของเด็กมนุษย์ที่ล้วงหาอะไรบางอย่างในกระเป๋าคาดเอวใบน้อยโดยไม่สนใจว่ามันจะตอบคำถามกลับไปหรือไม่

ความเคยชินจากการที่ต้องเดินทางเร่ร่อนไปทั่วภาคพื้นทวีปได้พบเจอคนไข้ระหว่างทางมากมายทำให้สองแม่ลูกมีกระเป๋าใบเล็กไว้สำหรับเก็บยารักษาทั่วไป แม้จะลงหลักปักฐานที่อินาร่าเป็นการชั่วคราวแต่ฟีเดลก็ยังพกกระเป๋าเล็กกระเป๋าน้อยที่เต็มไปด้วยยาหลากประเภทอยู่เสมอเพราะกลุ่มเพื่อนตัวแสบมักไปมีเรื่องทะเลาะวิวาทลับหลังอาจารย์จนได้แผลกลับมาให้เขาวุ่นวายหายามารักษาให้เสมอ กระนั้นเด็กหนุ่มก็ไม่แน่ใจว่ายารักษาแผลที่ต้องการหมดไปแล้วหรือไม่เพราะครั้งล่าสุดที่เอามารักษาแผลฟกช้ำจากการทะเลาะกับกลุ่มของไอเวส เขาก็ยังไม่มีเวลาเติมยาให้เต็มขวดเลย

“อา...เจอแล้วหวังว่ายาของมนุษย์จะใช้กับเจ้าได้ด้วยนะ”

ราเวนมองดูเด็กมนุษย์ที่ขยับเข้ามาทำแผลโดยใช้ใบหญ้าคาต่างผ้าพันแผลด้วยท่าทางคล่องแคล่ว ซึ่งมันก็อดถอนหายใจออกมาไม่ได้

นับตั้งแต่ถูกกักขังให้เวียนวนอยู่ในเขตอรัญประเทศราเวนมีโอกาสพบมนุษย์ที่หลงเข้ามาอยู่บ้าง แต่ละคนล้วนมากฝีมือสามารถทะลวงผ่านออกไปนอกเขตแดนได้มันเคยขอให้มนุษย์เหล่านั้นช่วยพาไข่ที่มันเฝ้าหวงแหนหนีออกไปมานับครั้งไม่ถ้วน ซึ่งพอพวกเขาได้เห็นไข่เต็มตาความโลภก็ฉายชัดจนอสูรอย่างมันสัมผัสได้ว่า อีกฝ่ายคิดฉกชิงพลังและอำนาจล้นปรี่ที่อยู่ในไข่ของมันไปเป็นของตน

อณูมารที่เก็บความจำมาตั้งแต่บรรพกาลบอกราเวนว่าพวกมนุษย์มีวิธีแย่งชิงพลังจากผู้อื่นมากมายไม่แพ้ชาวอสูรมันรู้ว่าแม้มนุษย์พวกนี้จะมีความสามารถแต่ยังไม่มากพอที่จะแย่งชิงพลังอำนาจจากไข่ใบนั้นได้ กลับกันจะถูกไข่ใบนั้นกลืนกินจนสิ้นชีพไปเองเสียมากกว่าและก็เป็นเช่นนั้นทุกรายด้วย

ฟีเดลเองก็ไม่ต่างจากมนุษย์ก่อนหน้านี้ที่หลงเข้ามาราเวนรู้สึกได้ถึงความปรารถนาที่ฉายผ่านแววตาของเด็กมนุษย์ยามมองไข่ใบนั้นอีกาดำตั้งใจไว้ว่า หากออกจากอาณาเขตแห่งนี้ไปได้มันจะสังหารเด็กหนุ่มที่อาจเป็นอันตรายในภายหลัง แต่ไข่ที่มันปกปักษ์กลับแสดงความไว้วางใจอย่างเต็มที่ไม่สนใจสิ่งที่ซุกซ่อนอยู่ภายในร่างกายของเด็กมนุษย์ตัวอันตรายมันจึงลังเลและไม่รู้ว่าควรทำเช่นไรต่อไปดี

“กาฝูงนั้นเป็นพวกเดียวกับเจ้าหรือเปล่า”

ราเวนมองเด็กหนุ่มที่ถามขึ้นมาอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ยแต่ก็ยอมตอบคำถามด้วยน้ำเสียงชิงชังถึงสิ่งที่กล่าวถึง “ปีศาจชั้นต่ำพวกนั้นไม่ได้เป็นพวกพ้องข้าพวกมันถูกสร้างเลียนแบบให้เหมือนข้า เพื่อขัดขวางงานของข้า”

“แสดงว่ามีใครบางคนในแดนอสูรต้องการไข่ใบนี้เหมือนกันเหรอ”ฟีเดลเอ่ยถามอย่างสังเกต แต่ราเวนกลับถอนหายใจออกมาอีกเฮือก

“ข้าจำอะไรไม่ได้หรอกนะแต่อณูของเรามักจดจำการดำรงอยู่ของสิ่งต่างๆ ในแดนนี้ได้สิ่งที่ข้ารู้คือพวกอสูรต่างแยกกันอยู่อย่างเอกเทศไม่ข้องเกี่ยวกับอสูรตนอื่นโดยไม่จำเป็น หมู่มารก็มีทั้งแยกตัวอยู่อย่างโดดเดี่ยวหรือรวมตัวกันเป็นกลุ่มก้อนเพื่อความอยู่รอด มีเขตแดนแว่นแคว้นเหมือนพวกมนุษย์ความแข็งแกร่งคือเครื่องหมายความอยู่รอดของพวกเราใครอ่อนแอกว่าก็มีแต่ตายไปเท่านั้น ไม่ก็เป็นทาสให้ผู้เข้มแข็งกดขี่ข่มเหง”

อย่างที่อาจารย์ของฟีเดลเคยกล่าวไว้เรื่องของแดนอสูรมีแต่พวกที่อยู่ข้างในเท่านั้นที่รู้ไม่อย่างนั้นจะต้องเคยผ่านเข้าไปในแดนนั้นจึงจะนำมาบอกเล่าสู่โลกภายนอกได้

“ข้าเป็นมารอิสระแข็งแกร่งมากพอที่จะล่มเมืองอสูรได้สักเมือง ข้าจำตัวตนของข้าได้แค่นั้น”ราเวนเอ่ยต่อราวกับรู้ว่าฟีเดลอยากถามอะไรแต่ไม่วายที่เด็กหนุ่มจะส่งคำถามอื่นมาอีก

“แล้วเจ้าไปเอาไข่ใบนี้มาจากไหน”

“ข้าจำไม่ได้” คำตอบของราเวนเป็นสิ่งที่ฟีเดลคาดเดาไว้ตั้งแต่แรกจึงไม่ได้รู้สึกผิดหวังมากมายนัก แต่ประโยคถัดไปของอีกาดำทำให้เด็กหนุ่มนั่งตัวตรงขึ้นมาทันที“แต่ข้ารู้ว่าผู้ที่สามารถสร้างปีศาจโดยเลียนแบบตัวตนมารอย่างข้าออกมาฝูงใหญ่แบบนั้นได้มีแต่พวกอสูรเท่านั้น พลังของเหล่าอสูรในแดนเราไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าจตุราชาเทพหรอกนะบางตนมีพลังเทียบเท่ามหาเทพทั้งสามเลยด้วยซ้ำ”

โครงสร้างลำดับชั้นภายในแดนเทพแยกย่อยยิ่งกว่าแดนอสูรเสียอีกหากนับมหาเทพทั้งสามเป็นใหญ่ที่สุดในดินแดน จตุราชาเทพก็ถืออำนาจรองลงมาควบคุมคณะเทพที่ถือครองพลังธาตุหลัก และแตกแขนงเป็นธาตุรองนับร้อยแปด ซึ่งคณะเทพเหล่านี้ต่างมีเทพนักรบและเสนาเทพอยู่ใต้การปกครองมากมาย โดยลำดับชั้นสุดท้ายที่เรียกกันว่า บริวารเทพเป็นได้ทั้งเทพชั้นผู้น้อย และมนุษย์ที่ปวารณาตัวเป็นข้ารับใช้เทพองค์นั้น

หากพูดถึงความสัมพันธ์ของทั้งสามแดนแดนเทพกับแดนมนุษย์มีปฏิสัมพันธ์แนบแน่นยิ่งกว่าแดนอสูรเสียอีกในหน้าประวัติศาสตร์ยังมีบันทึกกล่าวไว้ด้วยว่าแดนอสูรมักเป็นฝ่ายรุกรานอีกสองแดนดินที่เหลือและทำให้เกิดสงครามชิงดินแดนขึ้นมาหลายครั้ง

“ข้าคิดว่าเรื่องชักจะใหญ่เกินตัวข้าเสียแล้วสิ”แม้จะพูดอย่างนั้น แต่ฟีเดลก็ละจากราเวนแล้วหันไปคว้ากระเป๋าสานมาสะพายหลังทันที

“เจ้าไม่เห็นกลัวตามที่พูด”อีกาดำเอ่ยทัก มันไม่คิดว่าเด็กมนุษย์ตรงหน้าสามารถต่อกรกับอสูรที่สามารถสร้างปีศาจกาฬปักษ์ที่จำลองพลังของมันได้ตามลำพังแต่มันก็ไม่อยากให้อีกฝ่ายที่กลายเป็นหลักยึดตายเร็วนัก อย่างน้อยมันก็อยากให้มีชีวิตอยู่จนกว่ามันจะจำอะไรได้

ฟีเดลไม่รู้ว่าควรตอบกลับไปอย่างไรดีแต่เขาสังหรณ์ว่า อาเบลน่าจะรู้เรื่องนี้ดีที่สุดไม่อย่างนั้นเจ้าตัวคงไม่ทำให้จักรพรรดิมังกรเข้าใจบางอย่างผิดพลาดจนได้อินาร่ามาไว้ในครอบครองเด็กหนุ่มรู้ว่าวีรบุรุษจากสงครามชิงดินแดนผู้นั้นมากแผนการและเป้าหมายส่วนหนึ่งก็พุ่งตรงมายังเขา

เด็กหนุ่มสูดลมหายใจลึกแล้วเริ่มร่ายอาคมที่ร่ำเรียนมาจากอาจารย์จำเป็นใส่มีดสั้นประจำตัวสรรพวิชาที่เคยคิดใช้เป็นเพียงเครื่องเล่นยามเหงากลับต้องเอามาใช้จริงอย่างคาดไม่ถึงไปหลายอย่างแล้วนั่นทำให้เขาเริ่มกลัวว่าตัวเองกำลังวิ่งอยู่บนมือของใคร

มีดสั้นเริ่มเปลี่ยนขนาดกลายเป็นดาบยาวสองมือแต่เด็กหนุ่มกลับถือมันด้วยมือเพียงข้างเดียว เขาสะบัดแขนขายืดเส้นยืดสายเตรียมถล่มเส้นทางเบื้องหน้าเพื่อหาทางออกไป

จะว่าไปแล้วฟีเดลก็เคยเป็นเด็กแสบมาก่อน เขาร่วมมือกับเพื่อนอมนุษย์ไปถล่มป่าทุกครั้งที่ได้เรียนวิชาใหม่ๆจากเหล่าอาจารย์ ส่วนสัตว์น้อยใหญ่แสนอับโชคที่อยู่ในนั้น มักไม่พ้นถูกพวกเขาจับมาเป็นอาหารซึ่งพอกลับถึงบ้านทีไรก็โดนทั้งแม่และอาจารย์ทำโทษหนักกระนั้นเด็กหนุ่มก็ไม่รู้สึกหลาบจำเสียเท่าไร กว่าจะมาทำตัวสงบเสงี่ยมเป็นเด็กเรียบร้อยแบบนี้คงเป็นตอนที่เขารู้สึกถึงบางอย่างที่เวียนวนอยู่ในสายเลือดนั่นทำให้เขากลัวจนแทบบ้า

เขากลัวจะควบคุมพลังไม่ได้จนทำลายทุกอย่างราพณาสูร!

“ข้าพยายามไม่กลัวต่างหากไปกันเถอะ ราเวน”

การรอคอยโดยไม่รู้ว่าเวลานั้นจะสิ้นสุดลงเมื่อไรอาจทำให้หลายคนไม่ชอบใจเท่าไรนักโดยเฉพาะมนุษย์ที่อายุขัยสั้นย่อมหวาดกลัวการรอคอยที่อาจยาวนานยิ่งกว่าชีวิตตนเขาเป็นมนุษย์ แต่ใช้ชีวิตมายาวนานเกินกว่ามนุษย์คนใดจะคาดคิดและอยู่ในวังวนของการเฝ้ารอไม่รู้จบ

อาเบลไม่รู้ว่าตัวเองอดทนรอมานานนับพันปีได้อย่างไรซึ่งหากคนผู้นั้นไม่บอกว่า เขาจะมีหลายสิ่งหลายอย่างให้ทำระหว่างรอจนลืมเบื่อบางทีเขาอาจไม่รับภารกิจนั้นมาก็ได้

“มาแล้ว”

คำเปรยของอาเบลทำให้ผู้เฝ้ารออีกสองคนเพ่งสายตามองไปทางเดียวกันตอนแรกพวกเขามองไม่เห็นอะไร นอกจากสัมผัสได้ถึงพลังบางอย่างที่กำลังเคลื่อนที่มายังจุดที่พวกเขายืนอยู่จนเมื่อสังเกตเห็นยอดหญ้ากลุ่มหนึ่งขยับไหวพริบตาเดียวฝูงกาตรงจุดนั้นก็แตกสลายกลายเป็นละอองสีดำ ซึ่งทำให้ผู้เฝ้ามองเคร่งเครียดขึ้นมาทันใดเพราะนั่นไม่ใช่พลังของคนที่พวกเขาเฝ้ารออยู่

อาเบลกลั้วหัวเราะ หลังจากได้เห็นฝีมือการทำลายล้างแสนคุ้นตาเวลาผ่านไปเสียนานจนเกือบจำไม่ได้แล้วว่า มีใครบ้างที่อยู่ข้างกายคนผู้นั้น“นึกว่าจะตายไปแล้วเสียอีก เจ้านี่หนังเหนียวจริงๆ เลยนะ มหาวินาศ”

ไม่ทันขาดคำเจ้าของชื่อที่อาเบลเอ่ยถึงก็โผล่พ้นยอดหญ้าให้ผู้เฝ้ารอที่อยู่อีกฟากแดนได้เห็นมันฝ่าทะลวงปีศาจกาฬปักษ์จนแตกสลายเป็นละอองดำ แล้วดูดกลืนละอองเหล่านั้นจนร่างที่ดำมะเมื่อมอยู่แล้วทวีความเข้มขึ้นไปอีก

“ท่านอาเบล!”

เสียงร้องเตือนของรูเบอัสทำให้อาเบลหันไปสนใจสิ่งที่พุ่งตรงมาแต่ถึงเจ้าลูกศิษย์เพียงหนึ่งเดียวไม่ร้องบอก ชายหนุ่มก็เฝ้าระวังตัวรอการทักทายจากใครบางคนอยู่แล้วเขาหันฝ่ามือไปด้านหน้า รับปลายดาบเล่มยาวที่แฝงพลังทำลายไว้อย่างไม่เกรงกลัวแรงปะทะของปลายดาบที่สะท้อนม่านพลังบนฝ่ามือสร้างคลื่นแผ่กระจายเป็นคมดาบให้คนที่อยู่รอบข้างเบี่ยงเส้นทางของพลังกันวุ่นวาย จนไม่ทันสังเกตเห็นเงาร่างหนึ่งที่พุ่งตามดาบเล่มนี้มาด้วย

อาเบลหัวเราะหึพลางเบี่ยงตัวหลบท่ากระโดดถีบของคนอ่อนวัยกว่าชายหนุ่มสะบัดปลายดาบส่งคืนให้อีกฝ่ายที่พลิกตัวหลบหมุนกลางอากาศแล้วตวัดเท้าเตะปลายดาบให้หมุนควงขึ้นเป็นแนวดิ่งก่อนทิ้งตัวตัวปักลงพื้นข้างกายเจ้าของที่แสดงท่าทางเจ็บอกเจ็บใจให้เห็น

“ไว้รออีกพันปีค่อยกลับมาเล่นงานข้าใหม่นะ”ชายหนุ่มเยาะเย้ยซ้ำให้คนถูกล้อเลียนแยกเขี้ยวตอบกลับอย่างไม่สบอารมณ์

“จงมา! ราเวน!”

อีกาดำกู่เสียงร้องตอบรับคำมันพุ่งทะลวงฝ่าฝูงมารกาฬปักษ์ไปยังเส้นทางที่ถูกสร้างขึ้นเพื่อให้มันฝ่าออกไปมันโจนทะยานขึ้นสู่ฟากฟ้าแดนมนุษย์ด้วยความลิงโลด แล้วม้วนตัวลงมาบินวนรอบกายพันธมิตรชั่วคราวก่อนร่อนลงเกาะบนด้ามดาบสองมือที่มีความยาวเกือบเทียบเท่าเจ้าของ

“รู้หรือเปล่าว่าเอาอะไรออกมาด้วยน่ะ”อาเบลเอ่ยถามเด็กหนุ่มที่ตีหน้ามุ่ยพร้อมรอยยิ้มละไมก่อนมองดูดาบเวทที่กลายเป็นคานเกาะให้อีกาตัวเขื่อง ดาบที่เด็กตรงหน้าสร้างทำให้เขาคิดถึงดาบเล่มหนึ่งที่มีลักษณะคล้ายกันบางทีอาจได้เวลาทวงดาบเล่มนั้นคืนมาแล้วรวมถึงทุกสิ่งทุกอย่างของคนผู้นั้นที่ถูกแย่งชิงไปด้วย

“ก็ท่านบอกว่าให้เอาบางอย่างติดมือกลับมาด้วยไม่ใช่หรือไงแถมไม่ได้บอกว่าให้เอามาเท่าไร ข้าก็เหมาหมดสิ”

คำว่า “เหมาหมด”ของฟีเดล รวมไปถึงปีศาจกาฬปักษ์ที่ข้ามผ่านเขตแดนตามเด็กหนุ่มมาแต่เพียงพริบตามันก็กลายเป็นละอองดำด้วยฝีมือของคนที่เฝ้าระวังอยู่อีกฟาก ไม่เหลือให้รำคาญสายตาเลยสักตัวเรียกเสียงหัวเราะจากอดีตผู้กุมอำนาจอินาร่า ซึ่งยอมความให้เด็กหนุ่มชนะไปในยกนี้

“แล้วก็ปิดตายประตูแดนอสูรจากฝั่งนี้ไปเลยนะอาเบล ข้าไม่อยากให้มีอะไรออกมาจากแดนนั้นได้อีก”

อาเบลคลี่ยิ้มตอบราวกับรู้ถึงสิ่งที่เด็กหนุ่มต้องการสื่อ “ไม่มีปัญหาข้าจะปิดให้แน่นจนไม่มีอสูรตนไหนข้ามผ่านมาได้เลย” ชายหนุ่มเอ่ยด้วยท่าทางไม่อินังขังขอบพลางกวาดมือไปทางแดนอสูรโดยไม่หันหลังกลับไปมองว่าภาพท้องทุ่งแห่งความตายที่ถูกถางจนราบไปแถบหนึ่งเริ่มเลือนรางลงประกายแสงสีทองแล่นแปลบปลาบไปทั่วทุกพื้นผิวและแตกเปรี๊ยะไปพร้อมภาพแดนอสูรที่ดับวูบลงเผยให้เห็นประตูอัลลอยด์สีเงินต้องแสงอาทิตย์ยามเย็น

ภาพท้องทุ่งแดนอสูรหายไปในพริบตาราวกับเป็นภาพฝันแต่ความหนักอึ้งบนแผ่นหลัง และอีกาตัวเขื่องที่เกาะอยู่บนด้ามดาบเวทช่วยยืนยันว่า ตัวเองกำลังย่างเท้าเข้าไปในสิ่งที่หลีกเลี่ยงมาตลอด

ทั้งที่ฟีเดลพยายามไม่เอาตัวเข้าไปข้องเกี่ยวกับความวุ่นวายแต่ความสงบคงไม่ชอบขี้หน้าเขาจึงได้หาเรื่องมาให้เดือดร้อนอยู่เสมอเด็กหนุ่มถอนหายใจเฮือก ก่อนหันไปมองคนที่ยังรักษารอยยิ้มได้อย่างเสมอต้นเสมอปลายทั้งที่ในแววตาคู่นั้นกำลังสื่อความนัยให้รู้ว่ากำลังวางแผนการให้เขาต้องเหนื่อยอีกแล้ว

“ไปพักผ่อนก่อนเถอะกลับบ้านผิดเวลาแบบนี้ แอสเรียลคงเป็นห่วงแย่ แล้วข้าจะเล่าเรื่องทุกอย่างให้ฟังทีหลัง”อาเบลเอ่ยก่อนที่ฟีเดลจะได้ถามอะไร เด็กหนุ่มจึงพยักหน้ารับอย่างเนือยๆแล้วชายหนุ่มก็หันไปสนใจอีกาดำที่จ้องเขม็งมานับตั้งแต่ร่อนลงเกาะบนด้ามดาบมันทำท่าเหมือนรู้จักเขา แต่เขารู้ดีว่าอีกฝ่ายจำอะไรไม่ได้แน่

“ส่วนเจ้าก็แปลงกายเป็นมนุษย์เถอะสภาพแบบนั้นเตะตาฝูงชนเกินไป”

ฟีเดลหันไปมองอีกาดำที่กระโดดลงมาจากด้ามดาบแต่ภาพที่เห็นทำให้เด็กหนุ่มเบิกตากว้างเมื่อร่างของมารกาฬปักษ์เริ่มเปลี่ยนแปลงไปทีละน้อย ขนปีกกลายเป็นละอองสีดำเข้มแล้วหมุนวนไปรอบเจ้าของร่าง บางส่วนแปรเปลี่ยนเป็นเครื่องแต่งกายเนื้อผ้าดูบางเบาและเข้ารูปจนเห็นทรวดทรงที่ควรมีชัดเจนรองเท้าเป็นบูทสูงถึงต้นขาเพรียวตบท้ายด้วยผ้าคลุมสีดำขาดวิ่นยาวครึ่งแข้งที่โบกกระพือตามแรงเขยื้อน

เด็กหนุ่มไล่สายตามองตั้งแต่ปลายรองเท้าขึ้นไปเรื่อยๆจนสบกับดวงตาสีเขียวมลังเมลืองที่หรี่ลงอย่างไม่ชอบใจที่ถูกจดจ้องมากนักแต่เจ้าตัวก็ยังไล่สำรวจตั้งแต่เส้นผมสีดำฟูที่ตัดซอยอย่างไม่เป็นระเบียบถึงกลางหลังจมูกโด่งได้รูป ริมฝีปากเหยียดตรง ไม่หนาและบางจนเกินไปแต่รอยแผลที่พาดตั้งแต่มุมปาก ผ่านโหนกแก้มขึ้นไปจนถึงขมับทำให้คนมองต้องย่นคอด้วยความเจ็บแทน

“อะไรกันราเวนเป็นตัวเมียเหรอ”

อาเบลแทบหลุดหัวเราะเสียงดังทันทีที่ได้ยินเสียงอุบอิบของเด็กหนุ่มแต่คนที่ชักสายตาขุ่นเขียวตามสีตาทำให้เขาต้องรักษามารยาทอย่างช่วยไม่ได้แต่ก็ยังมีเสียงหัวเราะขลุกขลักให้อันเซลต้องส่ายหน้าด้วยความอ่อนใจ

“พานางไปให้แอสเรียลรักษาแผลก่อนเถอะบาดแผลนางฉกรรจ์มาก เดี๋ยวจะล้มพับ!...” อันเซลพูดไม่ทันจบร่างของราเวนก็ส่ายโงนเงนแล้วล้มลงหมดสติทันที โชคดีที่ฟีเดลหันไปรับทันเจ้าตัวจึงไม่ได้วัดพื้นให้หน้าแหกมากกว่าเดิม

“คงถึงขีดสุดแล้วละ...รูเบอัสเจ้าช่วยพานางไปส่งให้ถึงมือแอสเรียลหน่อยแล้วกัน” อาเบลถอนหายใจเฮือกก่อนหันไปสั่งความรู้เบอัสที่ขยับเข้ามารับคำสั่งอย่างรู้หน้าที่

“รับทราบครับท่านอาเบล”

อันเซลมองเลขานุการส่วนตัวที่เข้าไปช่วยเหลืออีกฟีเดลก่อนระบายลมหายใจยาวเหยียดหลังจากที่พวกเขาแยกตัวเดินจากไปชายหนุ่มมองดูผู้คนที่กลับมาเดินคึกคัก หลังจากเห็นประตูอัลลอยด์เปิดออกด้วยความรู้สึกหนักอึ้ง“มันไม่เร็วเกินไปหน่อยหรือครับ อาเบล เรายังเตรียมความพร้อมให้เขาไม่ถึงไหนเลยนะ”

“คนที่ร้อนรนอยู่คือทางนั้นต่างหากเจ้าไม่รู้สึกหรือว่าข้างในตัวเขาพลุ่งพล่านเสียจนแทบทะลวงผ่านเข้าไปในนั้นตั้งแต่วันแรกที่เหยียบเข้ามาที่นี่ข้าดึงเวลามาได้ถึงปีนี่ก็สุดความสามารถแล้ว” ครั้งนี้อาเบลตอบด้วยความเหนื่อยหน่ายใจเพราะขนาดยืดเยื้อเวลามาถึงหนึ่งปี เพื่อเตรียมรับมือพลังในร่างกายของฟีเดลก็ยังไม่วายได้รับผลกระทบกลับมาอีก

คนฟังอย่างอันเซลรู้สึกไม่ชอบใจเท่าไรที่เห็นอีกฝ่ายยังทำเป็นทองไม่รู้ร้อนเพราะตลอดเวลาที่อาเบลอยู่ต่อหน้าฟีเดล ชายหนุ่มซุกซ่อนมืออีกข้างไว้ใต้ผ้าคลุมตลอดเวลาซึ่งเขาไม่แน่ใจนักว่า เด็กเจ้าปัญหาที่ชอบซ่อนความเฉลียวไว้จะสังเกตเห็นท่าทางที่ผิดปกตินี้หรือไม่

อันเซลเลิกผ้าคลุมของอาเบลแล้วมองดูมือที่กลายเป็นกระดูกไปจนถึงหัวไหล่ด้วยสายตาเจ็บปวด หากคนตรงหน้าเข้ามาแทรกแซงไม่ทันเวลาเลขานุการส่วนตัวของเขาคงไม่ได้รับแค่แผลไฟไหม้อย่างเดียว บางทีอาจจบชีวิตโดยไม่รู้ว่าตัวเองตายเพราะอะไรก็ได้แต่นั่นก็ทำให้เจ้าตัวรับผลกระทบที่เหลือตามมาด้วยเช่นกัน ชายหนุ่มยกมือที่เหลือแต่กระดูกของอาเบลแล้วซบหน้าลงอย่างคนที่อยากเจ็บแทนเสียเอง

“ทั้งที่ข้ากับท่านแม่สัญญากันไว้แล้วว่าจะดูแลรับใช้ท่านด้วยชีวิตแต่พวกเรากลับถูกท่านปกป้องอยู่เรื่อย”

“เดี๋ยวก็หายแล้วอย่าคิดมากเลยน่า เจ้าเด็กไม่รู้จักโต”

“...มหาวินาศ...มานี่สิมาหาข้า...มหาวินาศ”

เจ้าของเสียงเรียบเรื่อยนั้นกำลังเรียกมันอยู่หรือเปล่านะแม้จะไม่แน่ใจนัก แต่มันก็ลุกขึ้นจากที่ที่ตัวเองนอนอยู่อย่างเชื่องช้าแล้วตามเสียงเรียกนั้นไปอีกาดำรู้สึกว่าตัวเองนอนหลับไปนานมาก ทั้งยังจำไม่ได้ว่าตนหลับไปตั้งแต่เมื่อใดหลับจนลืมว่าตัวเองเป็นใคร และกำลังเฝ้ารอสิ่งใดอยู่

อีกาดำกลายร่างเป็นมนุษย์แล้วเดินตามเสียงเรียกชื่อที่เลือนหายไปจากความทรงจำทันทีที่เจ้าของเสียงเรียกขานเธอเดินผ่านม่านมืดหลายชั้นจนโผล่ไปยังสถานที่แห่งหนึ่งที่นั่นเป็นถ้ำลึกและกว้างขวาง ซึ่งเธอรู้ว่าควรเดินเข้าไปเพื่อพบเจ้าของเสียงนั้น

เจ้าของร่างสูงโปร่งเดินผ่านหินงอกหินย้อยที่เป็นเหมือนม่านกั้นเขตแบ่งคูหายิ่งเข้าไปลึกก็ยิ่งได้กลิ่นหอมของดอกไอริส เมื่อเข้ามาถึงชั้นในสุดเธอก็หรี่ตาลงเมื่อแสงสว่างที่ลอดผ่านมาตามร่องเพดานด้านบนส่องกระทบดวงตาเข้าพอดีแต่พอก้าวผ่านลำแสงนั้นมา สิ่งที่อยู่ด้านในกลับทำให้เธอตื่นตะลึงยิ่งกว่า

ลำแสงสีขาวที่ส่องลอดผ่านช่องเพดานบิดเกลียวราวกับไม้อ่อนมันตกกระทบกับกำแพงที่เต็มไปด้วยเกล็ดสีมากมาย บางเส้นจมหายเข้าไปในกำแพงนั้นแต่บางเส้นก็สะท้อนลำบิดไขว้กับเส้นอื่นซึ่งลำแสงเหล่านั้นกำลังโอบอุ้มไข่สีขาวใบเขื่องที่แผ่ความกดดันออกมาจนต้องคุกเข่าลงข้างหนึ่ง และก้มหน้าลงโดยไม่รู้ตัว

“มาแล้วหรือ”

แม้ไม่ต้องเงยหน้าขึ้นหญิงสาวก็รู้จักเจ้าของเสียงไพเราะที่ไม่ว่าได้ยินครั้งใดก็ทำให้คนฟังสติหลุดลอยด้วยความเคลิบเคลิ้มทุกที

“องค์จักรพรรดิ...”

ใช่แล้ว!อีกฝ่ายคือจักรพรรดิอสูรที่ผู้คนทั้งสามภพต่างครั่นคร้าม

“เจ้าคนอวดดีนั่นรู้ถึงการคงอยู่และกำลังมาที่นี่ข้าคงรับฝากเด็กคนนี้ไว้ไม่ได้อีกต่อไป ข้าอยากให้เจ้าพาเด็กคนนี้ไปหาเขา”

หญิงสาวยังสับสนมึนงงอยู่แต่อณูมารกลับรับรู้ถึงสิ่งที่จักรพรรดิอสูรเอ่ยจนเธอตกปากรับคำทั้งที่ยังไม่รู้เรื่องอะไรแล้วลำแสงที่โอบอุ้มไข่สีขาวก็หายไปทีละเส้น จนมันตกลงมาบนท่อนแขนกลมกลึงที่อ้ารอรับผู้ยิ่งใหญ่แห่งแดนอสูรคลี่ยิ้มน้อยพลางลูบปลอบไข่ในวงแขนที่ส่งความรู้สึกหวาดหวั่นออกมาให้รับรู้

“ไม่ต้องหวาดกลัวไปเด็กน้อยเขาเตรียมการทุกอย่างไว้หมดแล้ว”จักรพรรดิอสูรเอ่ยพลางเดินตรงไปหาคนที่นั่งคุกเข่ารอรับบัญชา“พาเด็กคนนี้ไปที่แดนมนุษย์ ราชันแสงจะเป็นคนจัดการเรื่องที่เหลือเอง”เจ้าของเสียงชะงักไปครู่หนึ่ง แล้วเปลี่ยนคำสรรพนามที่เอ่ยถึงใหม่

“...อาข้าลืมไปว่าพวกมนุษย์ขนานนามใหม่ให้เขาแล้วนี่นะ แต่นาม จ้าวแห่งความมืดก็เหมาะกับตัวตนของเขาดี...สุดลึกล้ำยากคณนา”

เธอจำได้แล้วว่าตัวเองพาไข่ใบนั้นหนีมาทำไมและเธอกำลังไปที่ไหนกันแน่ แม้รายละเอียดในวันนั้นจะไม่ครบถ้วนเช่นเดียวกับชื่อของตัวเองที่ไม่ว่าอย่างไรก็นึกไม่ออกและใครคือเจ้าคนอวดดีที่จักรพรรดิเอ่ยถึงแต่คำสั่งและหน้าที่ที่ได้รับมอบมากลับสลักลึกไปถึงอณูมารของเธอเลย

ราเวนลืมตาขึ้นมาอย่างเชื่องช้าพลางปรับสายตาให้คุ้นกับแสงแดดอ่อนที่ทาบทาม่านผืนบางหญิงสาวลองขยับมือแล้วพบว่าไม่ฝืดเฝื่อนมากนักจึงพยายามชันกายขึ้น แต่เธอกลับมีเรี่ยวแรงไม่มากพอที่จะทำแบบนั้นได้

“ร่างกายเจ้าเพิ่งฟื้นตัวอย่าเพิ่งฝืนเลยดีกว่า”

หญิงสาวหันไปมองคนที่เปิดประตูเข้ามาด้วยสายตาไม่เป็นมิตรเท่าไรนักแต่อีกฝ่ายกลับยิ้มละไม ก่อนวางชุดยาลงบนโต๊ะข้างเตียงแล้วเดินไปหยิบตะกร้าผ้าที่วางอยู่ตรงปลายเตียง เพื่อเลือกดูชุดที่จะให้คนเจ็บใส่เพราะนอกจากผ้าพันแผลที่พันรอบกายแล้ว ราเวนก็ไม่มีเสื้อผ้าติดตัวเลยสักชิ้น

“ทั้งที่อาการสาหัสขนาดนั้นแต่ร่างกายกลับฟื้นตัวเร็วมาก สมกับที่เป็นมารชั้นสูงจริงๆ” หญิงสาวปริศนาเอ่ยชมจากใจก่อนพูดดักอีกฝ่ายที่ตั้งท่ายันกายลุกขึ้นมาด้วยความดื้อรั้นอีกครั้ง“ข้าว่ารออีกวันสองวันก็คงขยับร่างกายได้แล้วละ ฟีเดลน่าจะกลับมาตอนช่วงนั้นพอดี”

“เจ้าเป็นใครเกี่ยวข้องอะไรกับเจ้าหนูนั่น” ราเวนหรี่ตามองหญิงสาวแปลกหน้าที่ยังทำตัวปกติแม้จะรู้ว่าเธอเป็นชาวอสูร

“ข้าชื่อแอสเรียลเป็นหมอยาธรรมดา และเป็นแม่ของฟีเดล” หญิงสาวตอบด้วยน้ำเสียงเรียบเรื่อยพลางพับเสื้อผ้าในตะกร้าที่เหลือหลังจากเลือกชุดที่จะให้มารสาวสวมใส่แก้ขัดได้แล้ว

“ไข่ของข้าอยู่ไหน”มารกาฬปักษ์พยายามมองหาไข่ที่ตนปกปักษ์ แต่เธอไม่เห็นวี่แววของสิ่งที่ถามถึงเลย

“อย่าห่วงเลยเขายังสุขสบายดีอยู่ แต่เจ้ายังต้องพักฟื้นร่างกายอีกนาน เพราะหลังจากนี้อาเบลคงหาเรื่องมาให้เจ้าต้องทำงานเหนื่อยจนสายตัวแทนขาดแน่ หลับเสียเถิด ราเวน”

ราเวนพยายามฝืนเปลือกตาไม่ให้ปิดปรือลงเธอไม่เข้าใจว่าทำไมมนุษย์ตรงหน้ากลับมีเสียงที่สะกดมารที่มีอำนาจแกร่งกล้าอย่างเธอได้มารกาฬปักษ์ส่งเสียงครางอย่างไม่จำยอมแต่ก็พ่ายแพ้ให้แก่คนที่บอกว่าเป็นแม่ของเด็กหนุ่มแสนอันตรายคนนั้นสุดท้ายก็ถูกนิทราครอบงำให้หลับไปอีก ทั้งที่เพิ่งได้สติมาเพียงครู่เดียว

“พักผ่อนให้มากที่สุดเถอะเพราะข้าต้องอาศัยพลังของเจ้า เพื่อให้ปกป้องลูกชายของข้าด้วยเช่นกัน”แอสเรียลเอ่ยในสิ่งที่ราเวนไม่อาจได้ยินหญิงสาวลุกขึ้นเดินไปยังหัวเตียงแล้วหยิบฝากระเบื้องเคลือบปิดครอบถ้วยยาที่ถูกเผาด้วยไฟก้อนเล็ก

ยาที่ส่งกลิ่นกำยานที่ทำให้คณะเทพและหมู่มารหลับใหลได้โดยที่อีกฝ่ายไม่รู้ตัว!

AuthorTalk :-

เขียนDevilCrisis ภารกิจพิทักษ์จอมมาร ตอนที่ 3 จบแล้ว!

ตอนนี้เริ่มมีการปูพื้นเกี่ยวกับตัวตนของอาเบลแล้วว่าเป็นใครมาจากไหนและมีแผนการใดเกี่ยวข้องกับฟีเดลกันแน่ตามด้วยตัวตนของราเวนที่กว่าเจ้าตัวจะนึกออกก็ปาเข้าไปช่วงท้าย

ส่วนตอนหน้าจะเป็นการปูพื้นเกี่ยวกับ(ไข่)จอมมารของเราเสียทีแล้วฟีเดลก็จะได้ไปตกระกำลำบาก พาไข่ของเราหนี (อุตส่าห์มีฝีมือแต่ไม่ยอมงัดออกมาใช้เสียทีน้า)




Create Date : 01 กุมภาพันธ์ 2557
Last Update : 1 กุมภาพันธ์ 2557 22:58:48 น.
Counter : 622 Pageviews.

0 comment
Devil Crisis ภารกิจพิทักษ์จอมมาร 2

ฟีเดลไม่รู้ว่าควรหัวเราะหรือร้องไห้ดีเมื่อผองเพื่อนสมคบคิดกันซุกซ่อนน้ำยาแปลงร่างไว้ส่วนหนึ่งโดยปล่อยบางส่วนให้อาจารย์ฝ่ายปกครองริบเก็บไป นั่นทำให้เด็กหนุ่มหายสงสัยว่าทำไมกลุ่มตัวแสบถึงยังมีร่างเป็นอมนุษย์ ทั้งที่ยาควรหมดฤทธิ์ไปตั้งแต่ช่วงเช้า ยิ่งพอได้รู้แรงจูงใจที่เสี่ยงต่อการโดนลงโทษยกชั้นเรียนเขาก็นึกอยากร้องไห้ขึ้นมา

ผองเพื่อนจะรู้บ้างไหมว่าการรับขวัญอาจารย์สอนภาษาคนใหม่ด้วยสภาพแบบนั้นทำให้อีกฝ่ายต้องสอนปนหวาดระแวงไปทั้งคาบ และรีบเผ่นทันทีที่หมดชั่วโมงเรียนเขาได้แต่หวังว่า อาจารย์คนนั้นจะกลับมาสอนอีกในคาบเรียนหน้าเพราะเขาค่อนข้างชอบวิชานี้มากทีเดียว

ทุกคนดูจะเลิกเป็นห่วงแลนติสเมื่อซีซาฟายืนยันเป็นมั่นเหมาะว่าเพื่อนมังกรไม่ได้เป็นอะไรพอผ่านพ้นคืนนี้ไปก็จะกลับคืบร่างเป็นมนุษย์เหมือนเดิมฟีเดลไม่ได้เป็นห่วงมาตั้งแต่แรกแล้ว เพราะเขาดัดแปลงยาตัวนี้มาจากยาแปลงร่างที่เล่นกับผองเพื่อนในวัยเด็กจึงรู้สรรพคุณของตัวยาดี

เด็กหนุ่มยิ้มน้อยเมื่อนึกถึงเพื่อนอมนุษย์ที่ต้องเปลี่ยนร่างเป็นคนเพื่อพาคนที่เข้าสังคมไม่เก่งไปกระโดดโลดเต้นเล่นกับเพื่อนมนุษย์ด้วยกันแต่พอเขาผ่านพ้นพิธีเข้าสู่วัยผู้ใหญ่ เพื่อนเหล่านั้นก็ไม่เคยปรากฏตัวให้เห็นอีกซึ่งทำให้เขาเสียดายและเสียใจมาก

เมื่อการคาดเดาสถานะของแลนติสได้รับการยืนยันกลายๆจากซีซาฟา เพื่อนที่น่าจะมีสถานะไม่ต่างจากคนแรกฟีเดลก็ไม่อยากรู้อะไรเพิ่มเติมอีกเขาเริ่มขยาดความอยากรู้อยากเห็นของตัวเองที่จะนำภัยมาให้สักวันซึ่งอาเบลก็เคยขู่มาแล้วว่าอย่าล้วงประวัตินักศึกษาสถาบันนี้โจ่งแจ้งเกินไปนักเพราะหากเจ้าตัวไม่มีอะไรดีคงไม่สามารถอยู่ที่นี่ที่ตั้งอยู่บนแดนอาถรรพ์ได้

แต่บางคนก็มีดีเกินไปจนทำให้เขาหนีไม่พ้นเงื้อมมือที่ตะปบลงมาเต็มบ่า

“จะรีบไปไหนหรือฟีเดล”

ทำไมวันนี้เขาโดนตะปบบ่อยจังเลยนะ...ฟีเดลบ่นหงุงหงิงในใจก่อนหันไปมองเพื่อนเสือดำที่อวดเขี้ยวขาวเงาวับซึ่งเขาไม่เสี่ยงทดสอบความคมของมันแน่

“หมดธุระแล้วก็กลับบ้านสิข้ายังมีการมีงานต้องทำอีกมากนะ”

ซีซาฟาเลิกคิ้วขึ้นแล้วแสยะยิ้มที่ชวนให้คนมองรู้สึกหมั่นไส้พิกลแต่ฟีเดลไม่อยากต่อความยาวสาวความยืด เพื่อหาเรื่องชวนทะเลาะเท่าไรจึงอธิบายเรื่องหนี้ที่ไม่ได้ตั้งใจก่อ และภารกิจที่ได้รับมาจากหอสมุดเดวาลอน

“ให้พวกข้าช่วยไหม”หนึ่งในบรรดาเพื่อนร่วมชั้นที่ยกโขยงกันกลับหอพักพร้อมกันเอ่ยถามด้วยความเป็นห่วงแต่ได้รับการส่ายหน้าตอบกลับมา

“ข้าตั้งใจจะทำทุกอย่างด้วยตัวเองนะไม่อย่างนั้นก็ทำอะไรไม่เป็นกันพอดี”

ฟีเดลไม่เข้าใจว่าเหตุใดผองเพื่อนจึงได้ห่วงเกินกว่าเหตุเขาใช้ชีวิตเร่ร่อนมาตั้งแต่จำความได้ทำทุกอย่างด้วยตัวเองเท่าที่ความสามารถในขณะนั้นจะเอื้ออำนวย และก็ทำได้ดีจนน่าภูมิใจเสียด้วยแต่เขาคงไม่รู้ว่าในสายตาของเพื่อนพ้องเด็กหนุ่มเหมือนลูกคุณหนูที่อ่อนต่อโลกมากแค่ไหนแม้จะรอบรู้วิชาหลากหลายแขนงจนเหมือนเป็นเด็กอัจฉริยะแต่เจ้าตัวกลับเข้าสังคมไม่เป็น และน่าหวั่นกลัวแทนว่าจะโดนคนมากเล่ห์หลอกลวงเอา

จะว่าไปก็โทษผองเพื่อนของฟีเดลไม่ได้เพราะเด็กหนุ่มไม่เคยเล่าพื้นเพของตัวเองให้ใครฟัง จึงถูกเข้าใจผิดไปตามข่าวลือว่าเป็นลูกคุณหนูที่ไม่เคยเห็นโลกภายนอกซึ่งเข้าเค้ามากกว่าข่าวลืออันอื่นที่ถูกปล่อยออกมายิ่งทุกคนเห็นว่าสองผู้กุมอำนาจของอินาร่าคอยตามใจไม่ว่างเว้น ทำให้ไม่มีใครคาดคิดไปหรอกว่าเจ้าตัวเคยซัดเซพเนจรไปทั่วทุกสารทิศ และผ่านความยากลำบากมาอย่างโชกโชน

“เจ้ารับภารกิจอะไรมาบ้างละเผื่อพวกข้ารู้อะไรจะได้บอกให้เจ้าทำงานเสร็จเร็วขึ้นหน่อย”

ซีซาฟาอยากให้เพื่อนที่ยังมีนิสัยเหมือนเด็กได้พบเจอเล่ห์เหลี่ยมของผู้คนและหัดหาทางแก้ปัญหาด้วยตนเองบ้าง แต่เขาก็ยังห่วงอีกฝ่ายเหมือนเพื่อนอีกหลายคนจึงยื่นมือช่วยเหลือเรื่องการให้รายละเอียดเชิงลึกในภารกิจที่ฟีเดลรับมาเพราะอย่างไรกลุ่มของพวกเขาก็มีดีจนได้รับฉายามาว่า “นักล่าภารกิจ”และไม่เคยทำงานพลาดมาก่อน

ฟีเดลฉีกยิ้มแฉ่งก่อนหยิบสมุดบันทึกประจำตัวออกมา ซึ่งนักศึกษาอินาร่าจะต้องมีคนละหนึ่งเล่มเพื่อบันทึกคะแนนเรียนแต่ละภาควิชา และภารกิจที่รับมาจากหอสมุดเดวาลอนเด็กหนุ่มพลิกไปยังหน้าบันทึกภารกิจที่มีตราประทับควีนส์ฟลาวเวอร์สีเทาสัญลักษณ์ประจำสถาบันจำนวนเก้าอัน

ตราประทับสีเทาพวกนี้จะเปลี่ยนเป็นสีม่วงอมทองเมื่อผู้รับภารกิจปฏิบัติงานสำเร็จ หากทำครบตามจำนวนที่ทางสถาบันกำหนดไว้ดวงตาตราจะเปลี่ยนรูปแบบไปเป็นแบบที่สอง ซึ่งมีทั้งหมดสิบเอ็ดรูปแบบและเกณฑ์การรับภารกิจระดับสี่ดาวและห้าดาวก็มาจากตรงนี้นั่นคือนักศึกษาคนนั้นจะต้องมีเหรียญตราระดับแปด

มีคนว่ากันว่ากว่าจะได้เหรียญตราระดับเก้ามานั้นยากเย็นแสนเข็ญมีน้อยเสียยิ่งกว่าน้อยที่ได้ไปถึงระดับสิบส่วนคนที่ได้ระดับสิบเอ็ดนั้นมีนับคนได้เลยและคงอีกนานกว่าจะมีคนได้รับเหรียญตราสูงสุดของมหาวิทยาลัยอินาร่า

หลายคนที่เห็นจำนวนตราประทับต่างร้องอุทานเมื่อเจ้าลูกคุณหนูรับภารกิจแบบบ้าระห่ำไม่เข้ากับนิสัยเรื่อยเปื่อยของเจ้าตัวส่วนคนที่อยู่ใกล้เอานิ้วจิ้มลงไปบนรูปสัญลักษณ์ลูกแก้วสีม่วงกระเด้งขึ้นมาจากดวงตรา ก่อนถูกโยนออกไปนอกวงคนที่รับไว้ได้ทำการบีบลูกแก้วจนแตกแล้วกระดาษที่เขียนรายละเอียดภารกิจไว้ก็ปรากฏออกมา

เสียงวิจารณ์ปนคำแนะนำดังไปตลอดทางกลับหอพักนักศึกษามีหลายคนที่ชำเลืองมองด้วยความสงสัย แต่พอเห็นว่าเป็นกลุ่มของใครก็เลิกใส่ใจ

นักศึกษาอินาร่าล้วนเป็นคนต่างถิ่นมากกว่าเก้าส่วนอาศัยอยู่ในหอพักที่ทางสถาบันจัดเตรียมไว้ให้บางส่วนที่เป็นคนเมืองนี้ก็มีทั้งเลือกอยู่หอพักหรือบ้านของตัวเองแม้ฟีเดลนึกอยากลองใช้ชีวิตเด็กหอเหมือนคนอื่นดูบ้างแต่อาเบลไม่ยินยอมให้ทำตามความต้องการเสียเท่าไรซึ่งเป็นเรื่องเดียวที่อดีตผู้อำนวยบังคับให้ทำตามคำสั่งนอกเหนือจากนั้นก็คอยตามใจและจัดหาของที่อยากได้มาให้ แม้จะยังไม่ได้เอ่ยปากบอกอะไรไป

ฟีเดลโบกมือลาเพื่อนที่แยกย้ายกันไปคนละทางก่อนเดินทางกลับบ้านของตัวเองบ้าง แต่พอเดินไปถึงหน้ามหาวิทยาลัยภาพที่อยู่ตรงหน้าก็ทำให้เด็กหนุ่มชะงักงันไปดูเหมือนประตูหน้ามหาวิทยาลัยอินาร่าจะกลายเป็นด่านผจญภัยกว้างสุดลูกหูลูกตาไปเสียแล้ว

ต้นหญ้าคาที่ควรสูงอย่างมากไม่เกินหนึ่งเมตรกลับกลายพันธุ์สูงถึงสองเมตรไม้ยืนต้นที่ขึ้นอยู่ประปรายถูกเถาวัลย์หนามเกี่ยวพันกลายเป็นไม้ตายซากราวกับว่าเถาวัลย์หนามพวกนี้ดูดน้ำเลี้ยงจากไม้ยืนต้นไปหล่อเลี้ยงตัวเองหมดยังไม่นับรวมฝูงกาที่บินโฉบเฉี่ยวเหนือยอดหญ้าราวนกแร้งจ้องตะครุบเหยื่อซึ่งอาจเป็นภาพสะเทือนขวัญสำหรับใครหลายคน แต่ภาพแบบนี้ใช้ไม่ได้ผลกับฟีเดลเท่าไร

เด็กหนุ่มเอียงคอมองพลางครุ่นคิดถึงคำเตือนก่อนเข้ามาเป็นนักศึกษาที่คนบอกเล่าทำท่าเหมือนไม่จำเป็นต้องใส่ใจเท่าไรนักแต่ดูท่าจะไม่ใส่ใจไม่ได้เสียแล้วกระมัง เมื่อเสียงระฆังที่อยู่เหนือซุ้มประตูทางเข้าไม่ได้ดังเตือนเหมือนที่ได้รับฟังมาแต่เขาคิดว่าคนอย่างอาเบลกับอันเซลจะต้องรู้สึกถึงการเชื่อมต่อที่ผิดปกตินี้แน่

“ท่านฟีเดล!”

เจ้าของชื่อหันไปมองรูเบอัสที่วิ่งตรงมาอย่างรวดเร็วสีหน้าของเขาเต็มไปด้วยความร้นรนปนตื่นตระหนกพร้อมกับตะโกนเสียงดังลั่นราวกับกลัวว่าเขาจะไม่ได้ยินสิ่งที่อีกฝ่ายพูด

“ออกมาจากตรงนั้น!”

เด็กหนุ่มไม่เข้าใจสิ่งที่ผู้ดูแลหอสมุดพูดแต่ก็รู้สึกได้ว่าความคิดและการกระทำของตัวเองเชื่องช้าลงจนเมื่อชายหนุ่มเข้ามาใกล้ แล้วคว้าแขนเขาเพื่อดึงตัวเองออกจากอะไรสักอย่างสติของเขาก็กลับมาแจ่มชัด พร้อมกับประกายไฟแล่นแปลบ แผดเผาเจ้าของมือให้ผงะถอยไป

“ขอโทษรูเบอัส ข้าไม่ได้ตั้งใจ”ฟีเดลเบิกตามองบาดแผลของชายหนุ่มที่เกิดขึ้นจากฝีมือตัวเองด้วยความตกใจปนรู้สึกผิดประกายไฟนั้นเกิดขึ้นจากพลังของเขาเอง ราวกับร่างกายทำไปโดยสัญชาตญาณเมื่อรู้สึกได้ถึงอันตรายที่เข้ามาใกล้แต่เขาไม่เข้าใจว่าทำไมจึงเห็นอีกฝ่ายเป็นอันตรายต่อตัวเองได้

“ไม่เป็นไรครับข้าคิดว่าท่านคงโดนครอบงำไปครู่หนึ่ง”

“เกิดอะไรขึ้นกับข้ารูเบอัส” ฟีเดลถามด้วยท่าทางสงบนิ่ง เขารู้ดีว่าร้อนรนไปก็ไม่ได้อะไรขึ้นมานอกจากหาทางแก้ความผิดพลาดที่ไม่รู้ว่าเกิดขึ้นได้อย่างไรเด็กหนุ่มกวาดตามองภาพท้องทุ่งแดนอสูรด้วยความสงสัยเบื้องหน้าเขาคือผู้ดูแลหอสมุดเดวาลอนที่ถูกไฟของตัวเองเผาจนแขนไหม้เกรียมไปข้างหนึ่งและทิวทัศน์ภายในมหาวิทยาลัยที่ไม่มีเงาของนักศึกษาคนใดเดินผ่านมาให้เห็น

รูเบอัสทำหน้ายับยุ่งก่อนถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ แล้วเฉลยความให้เด็กตรงหน้าคลายความสงสัย“ไม่ทราบว่าท่านรู้หรือไม่ แดนอสูรไม่ใช่สถานที่ที่น่าเข้าใกล้เท่าไรมันมีแรงดึงดูดบางประการคอยล่อลวงมนุษย์ให้เข้าไปข้างในดึงเอาความปรารถนาส่วนลึกสุด ซึ่งบางทีเจ้าตัวไม่เคยรับรู้ อาจเป็นกิเลสตัณหาความโลภโมโทสัน ความอิจฉาริษยา บางคนที่มีความทะยานอยากหรือกระหายหาในอำนาจก็อาจกลายเป็นหมู่มาร คอยแย่งชิง กัดกิน และทำลาย”

ไม่รู้...เขาไม่รู้อะไรเกี่ยวกับแดนอสูรเลยฟีเดลตอบคำถามของรูเบอัสในใจ พลางสูดลมหายใจลึกเพื่อกดความรู้สึกบางอย่างลงไปเด็กหนุ่มกำลังกลัวบางสิ่งบางอย่างที่อยู่ในสายเลือดนี้บางสิ่งที่แม่กับเขาไม่เคยเอ่ยถึงซึ่งกำลังกู่ร้องด้วยความดีใจราวกับได้พบเจอสิ่งที่ต้องการแล้ว

รูเบอัสรู้สึกได้ถึงความกลัวของคนที่อยู่ฝั่งตรงข้ามตัวเขาเองก็คาดไม่ถึงว่าเด็กหนุ่มในความปกครองของผู้อำนวยการจะมาอยู่ได้ถูกที่ถูกเวลาเช่นนี้ฟีเดลคงไม่รู้ว่า ภาพที่เขาเห็นเมื่อครู่สร้างความตื่นตกใจได้มากแค่ไหนเขาไม่เคยเห็นเงาดำมากมายจากแดนอสูรได้ชัดเจนขนาดนั้นมาก่อนเงาดำเหล่านั้นกำลังโอบล้อมเด็กหนุ่ม พลางชักจูงให้ก้าวเดินเข้าไปอย่างง่ายดาย และชั่วพริบตาที่ชายหนุ่มคว้าแขนเด็กตรงหน้าได้ประกายตาของเด็กคนนั้นก็แข็งกร้าวขึ้นและมอบเพลิงอาสัญให้เขาเกือบดับดิ้นอยู่แทบเท้า

ชายหนุ่มมองคนตรงหน้าที่หลับตาลงด้วยท่าทางที่สงบยิ่งกว่าครั้งไหนลบเลือนท่าทางเรื่อยเปื่อยที่เห็นจนชินตา จนไม่แน่ใจว่าอีกฝ่ายใช่คนที่ตัวเองรู้จักหรือไม่เขามองจนประตูปิดลงอีกครั้งด้วยความรู้สึกที่หนักใจยิ่งกว่าครั้งใดด้วยไม่รู้ว่าอาเบลกำลังวางแผนการอะไรไว้ แต่เขาสังหรณ์ไม่ดีเอาเสียเลย

พลังหรือ?อำนาจล่ะ?

ใช่แล้วฟีเดลมีมากจนเกินพอเลย!

ท่ามกลางความมืดในห้วงสติฟีเดลได้ยินเสียงหัวเราะคิกคักที่บอกถึงความรื่นรมย์ชวนให้รู้สึกหงุดหงิดเด็กหนุ่มลืมตาขึ้นเพื่อพบหน้าคนที่คาดเดาได้ว่าจะต้องเจอวีรบุรุษจากสงครามชิงดินแดนยืนส่งยิ้มให้กลางซากศพหลายเผ่าพันธุ์กลิ่นเลือดและควันไฟจากการล้างผลาญให้ความรู้สึกเหมือนจริงจนต้องเบือนหน้าหนี

“ท่านไม่เห็นเตือนข้าเรื่องที่รูเบอัสเล่า”

“อาจารย์ไม่สอนเรื่องแดนอสูรบ้างหรือไง”อาเบลกลั้วหัวเราะด้วยท่าทางไม่ทุกข์ร้อนเช่นเดิมแต่ประกายตาแฝงความมุ่งหวังเหมือนที่ฟีเดลเคยสัมผัสได้ยามอีกฝ่ายจ้องมองมา

“ไม่มีใครรู้เรื่องภายในแดนนั้นนอกจากพวกอสูร หมู่มาร และมวลปีศาจ”

“ก็นับว่ามีสอนอยู่บ้างนี่นา”

ในบรรดาความรู้ที่อาจารย์ทั้งหมดคอยเพียรสอนเรื่องเกี่ยวกับแดนอสูรเป็นสิ่งที่ฟีเดลรู้น้อยที่สุดรองลงมาจากแดนเทพเขารู้แค่ว่ามวลปีศาจคือ ตะกอนด้านลบที่แปรเปลี่ยนรูปร่างตามสภาพแวดล้อมเป็นชนชั้นระดับล่างสุดที่ไม่มีความคิดซับซ้อนนอกเหนือไปจากสัญชาตญาณเพื่อความอยู่รอด หมู่มารเป็นได้ทั้งมนุษย์หรือทวยเทพที่ถูกความรู้สึกด้านลบกลืนกินหรืออาจมีบ้างที่ละทิ้งตัวตนเดิมมาเป็นมาร แล้ววิวัฒน์ตนจนกลายเป็นอสูร

ส่วนผู้ที่เป็นอสูรโดยกำเนิดนั้นมีน้อยและไม่ค่อยเปิดเผยตัว ไม่มีหมู่มารหรือมวลปีศาจตนใดกล้าเรียกขานนามแห่งอำนาจที่เพียงเอ่ยถึงก็อาจปลิดชีพตนได้กระนั้นก็มีอยู่สองชื่อที่หลุดรอดออกมาให้ได้ยินและเป็นนามที่ทั้งสามภพต่างเกรงและกลัว

ราชามารผู้นำพาวิบัติสู่สามโลก และจักรพรรดิอสูร ผู้พลิกฟ้าคว่ำแผ่นดินในสมัยบรรพกาล

ฟีเดลไม่คิดว่าชายหนุ่มตรงหน้าเป็นอสูรแต่เขาก็มีฝีมือมากกว่าหมู่มาร จะบอกว่าเป็นคนของแดนเทพยิ่งไม่น่าใช่ใหญ่ความรู้สึกของเด็กหนุ่มบอกว่าอีกฝ่ายเป็นมนุษย์ถ้าไม่นับรวมกลิ่นอายความมืดและประกายแสงคล้ายละอองดาวที่รายล้อมรอบตัวเขาก็เหมือนมนุษย์ธรรมดาที่มีอายุยืนยาวมากเกินไปหน่อย

“ท่านเล่าให้ข้าฟังว่าที่นี่ตั้งอยู่บนแดนอาถรรพ์บางเวลาแดนอสูรก็ปรากฏขึ้นมาแล้วลากมนุษย์เข้าไปเป็นอาหารของบรรดาสิ่งที่อยู่ในนั้นสรุปว่าเรื่องราวเป็นอย่างไรกันแน่” เด็กหนุ่มเอ่ยถาม พลางมองอดีตผู้อำนวยการด้วยสายตาไม่ไว้วางใจเท่าไรรอยยิ้มของอาเบลดูบริสุทธิ์จนน่ากลัวเกินไป

“มีคนเคยบอกข้าว่าดินแดนทั้งสามภพ แดนเทพ แดนมนุษย์ และแดนอสูร เป็นเหมือนวงกลมสามวงที่ทับซ้อนกันอินาร่าตั้งอยู่บนจุดทับซ้อนที่ว่านั้น ซึ่งคนทั่วไปเรียกมันว่าแดนอาถรรพ์ความจริงแดนอสูรก็อยู่ตรงนี้มานานนมแล้ว แต่มนุษย์ทั่วไปไม่เห็นมันหรอกจะมีก็แต่พวกที่ในใจเต็มไปด้วยความรู้สึกด้านลบที่สัมผัสถึงการคงอยู่ของแดนอสูรและเฝ้าเพียรหาดินแดนในตำนาน เพื่อสนองความดำมืดในใจตนเอง” พอพูดถึงตรงนี้อาเบลก็หัวเราะหยันมนุษย์เหล่านั้นที่ไม่รู้เลยว่ามาเพื่อเป็นอาหารสำหรับมวลปีศาจโดยแท้

“แต่ก็มีมนุษย์บางประเภทที่เห็นแดนอสูรได้โดยไม่ต้องพึ่งความรู้สึกด้านลบแล้วเจ้าจักรพรรดิมังกรนั่นดันยกพื้นที่ตรงนี้ให้ข้าเป็นรางวัลจากการช่วยเหลือในสงครามข้าก็เลยตอบสนองเจ้านั่นเสียหน่อย สร้างเมืองทับลงไปแล้วหาของมาบังตาไม่ให้ใครเห็นหรือเข้าเขตแดนอสูรได้อีก” ชายหนุ่มหัวเราะด้วยความขบขันเมื่อนึกถึงจักรพรรดิแดนมนุษย์

ทำไมเขาจะไม่รู้ว่าอีกฝ่ายอยากกักตนไว้ที่นี่เป็นนายหน้าด่านไม่ให้พวกอสูรเข้ามารุกรานเหมือนสามร้อยปีก่อนและในอดีตที่ย้อนหลังไปอีกนับไม่ถ้วน แต่เจ้าตัวคงคาดไม่ถึงกระมังว่าเขาอยากได้พื้นที่ตรงส่วนนี้พอดี





Create Date : 18 มกราคม 2557
Last Update : 18 มกราคม 2557 20:23:18 น.
Counter : 432 Pageviews.

1 comment
พิมพ์เสน่หา 6
ตอนที่ ๖ เงาโศก

เสียงหวีดร้องที่ดังมาจากรถไฟเหาะตีลังกาดึงสายตาเด็กหญิงสองคนให้หันไปมองด้วยความตื่นเต้นระคนเสียดายครั้งแล้วครั้งเล่า เพราะความที่ส่วนสูงไม่ได้มาตรฐานตามที่กำหนดทำให้ไอศวรากับพรพิมลต้องชวดเครื่องเล่นชิ้นนี้ไปเป็นอันดับแรก แล้วต้องมานั่งมองหน้ากันตาละห้อยอยู่ในรถม้า โดยมีอัษฎาวุธหัวเราะอย่างสนุกกับม้าโยกเยกสีขาวที่อยู่ด้านข้าง ซึ่งหากไม่มีเจ้าน้องชายคนนี้แล้ว บางทีพวกเธออาจจะได้เล่นเรือล่องแก่นซ้ำเป็นรอบที่สามแล้วก็ได้

ครั้นหมดรอบของม้าหมุน ไอศวรากับพรพิมลก็จูงมือกันเดินลงจากเครื่องเล่นที่ไม่ได้สร้างความสนุกกับพวกเธอเลยสักนิด พลางพยายามทำหูทวนลมกับคำขอร้องของเด็กชายคนเดียวในกลุ่มที่อยากจะนั่งเครื่องเล่นชนิดนี้อีกรอบ กรรมเลยตกอยู่ที่ศศินที่พยายามปลอบหลานคนเล็ก และหาเครื่องเล่นชิ้นอื่นมาล่อ แล้วเดินตามหลังเด็กหญิงที่เข้ากันได้ดีจนน่าตกใจ

ตอนแรกศศินกังวลจะเป็นจะตาย กลัวว่าเด็กหญิงสองคนที่เดินจูงมือราวกับเป็นเพื่อนสนิทที่รักใคร่กันมานานจะเข้ากันไม่ได้ เพราะนิสัยของพรพิมลออกจะแปลกเกินเด็กไปหน่อย หรือถ้าพูดให้เข้าใจได้ง่ายก็เรียกว่าโตเกินวัย ทำให้ไม่ค่อยมีเด็กวัยเดียวกันอยากคบหากับเธอเท่าไร

ส่วนไอศวราก็ใช่ย่อยเสียที่ไหน พอโดนพรพิมลใช้ดวงตาที่คมกริบเหมือนมีดโกนจดจ้องมา แทนที่จะหลบสายตาแบบคนทั่วไปก็เล่นจ้องกลับด้วยแววตาที่พร้อมจะหาเรื่องเต็มที่ แล้วเขาก็ไม่รู้ว่า เด็กหญิงสองคนนี้ไปทำความเข้าใจกันตอนไหนจึงเข้ากันได้เป็นปี่กับขลุ่ยอย่างที่เห็น เล่นเอาความกังวลของศศินดูไร้ค่าไปเลย

แล้วแม่ตัวดี ต้นเหตุความกังวลทั้งมวลของศศินก็พากันวิ่งไปเล่นเครื่องเล่นชิ้นต่อไป โดยไม่รอผู้ปกครองจำเป็นที่ต้องวิ่งตามไปเครื่องเล่นทางโน้นบ้าง ทางนี้บ้างจนเหนื่อยหอบ แต่เครื่องเล่นชิ้นไหนที่น้องชายคนเล็กเล่นได้ก็จะพาไปด้วย พอให้เขาได้พักหายใจหายคอได้บ้าง

“เหนื่อยแล้วหรือคะ” เสียงเล็กหวานที่เจือด้วยเสียงหัวเราะเล็กน้อยดังขึ้นข้างกายทันทีที่ศศินหาที่นั่งพักขาได้ ชายหนุ่มเหลือบมองไปทางเด็กหญิงขายพวงมาลัยที่เข้ามานั่งลงบนเก้าอี้ตัวเดียวกัน แล้วเอียงคอมองด้วยท่าทางน่าเอ็นดู

“แล้วเราล่ะ เหนื่อยแล้วหรือไง”

ไอศวราย่นจมูกใส่รอยยิ้มหยอกเย้าของชายหนุ่ม ก่อนสะบัดเสียงตอบ หลังจากโดนอีกฝ่ายเหมารวมว่าเป็นพวกเดียวกัน “หนูเปล่าเหนื่อยเสียหน่อย แค่จะมาดูคนแก่เหนื่อยง่ายต่างหาก”

สรรพนามแทนตัวที่เด็กหญิงใช้เรียกศศินทำเอาคนแก่กว่าหัวเราะไม่ค่อยออก คนตัวเล็กเลยฉีกยิ้มแป้น แล้วลุกขึ้นไปยืนอยู่เบื้องหน้าของชายหนุ่มที่เงยหน้าขึ้นมองเด็กหญิงที่ดูจะน่ารักมากกว่าทุกวัน

“เดี๋ยวหนูจะไปซื้อน้ำให้นะคะ คุณอยากกินน้ำอะไรเป็นพิเศษหรือเปล่า”

“ฉันอยากได้น้ำแร่สักขวด เอาของยี่ห้อออร่านะ” ศศินพูดพลางล้วงกระเป๋าเงินออกมาจากกระเป๋ากางเกง แต่มือเล็กที่ตะปบลงมาบนมือที่กำลังเปิดกระเป๋าทำให้ชายหนุ่มเงยหน้าขึ้นมองด้วยความสงสัย

“ไม่ต้อง หนูเลี้ยงเอง” ประโยคนี้ทำเอาคนฟังงุนงงไม่น้อย และอดประหลาดใจขึ้นมาไม่ได้

“พกเงินมาด้วยหรือเรา”

ไอศวราแยกเขี้ยวใส่คำถามที่เหมือนจะดูถูกเธออย่างไรพิกล แต่รอยยิ้มและแววตาอบอุ่นที่ส่งมาพอทำให้เธอเข้าใจได้ว่า เขาไม่ได้มีเจตนาอย่างที่เข้าใจ “เห็นหนูมาตัวเปล่าอย่างนี้ แต่หนูก็พกเงินมาเหมือนกันนะ”

“พกมาเท่าไรล่ะ” เป็นอีกครั้งที่ศศินอดจะหยอกแหย่คนตัวเล็กไม่ได้ ไอศวราจึงยืดอกตอบกลับไปด้วยท่าทางภาคภูมิใจเต็มที่

“พกมาหนึ่งร้อยบาท เป็นเงินเก็บของหนูล้วนๆ เลยนะ”

จำนวนเงินที่แม้จะดูน้อยนิดสำหรับศศิน แต่กลับมีค่ามากสำหรับไอศวรา ซึ่งเธอยอมแบ่งปันเงินเก็บของตัวเองส่วนหนึ่ง เพื่อเลี้ยงน้ำผู้ชายคนหนึ่งที่พาเธอมาเที่ยวตามสัญญา

“หนูอาจมีเงินไม่มากเท่าคุณ แต่หนูก็อยากจะเลี้ยงอะไรตอบแทนคุณบ้างนะ” เด็กหญิงเข้าใจสถานภาพระหว่างตัวเองกับศศินที่ไม่ต้องเดาก็รู้ว่า ชายหนุ่มคงรวยเอาการอยู่ เพราะอย่างน้อยเขาก็ขับรถมาหาเธอไม่ซ้ำกันเลยสักคัน

“ตอบแทนฉันเรื่องอะไรกัน”

“หนูรู้นะว่าคุณยังป่วยอยู่ แต่คุณก็ยังจะพาหนูมาเที่ยวตามสัญญา แล้วยังมีมาลัยที่หนูยังไม่ได้ให้คุณอีก มันเหี่ยวไปหลายพวงเลยนะ” ประโยคสุดท้ายนี้ ไอศวราอดจะบ่นหงุงหงิงด้วยน้ำเสียงตัดพ้อเล็กน้อยไม่ได้ ตอนแรกที่เขาไม่มาตามสัญญา เธอก็ด่าเขาไปมากมาย แต่พอได้รู้สาเหตุที่ทำให้เขามาไม่ได้ก็อดรู้สึกผิดที่หลงไปด่าเขาไว้ขึ้นมา

“ดังนั้น ให้หนูเลี้ยงน้ำคุณเถอะนะ”

เจอคำอธิบายแบบนี้เข้าไป มีหรือที่ศศินจะไม่ใจอ่อนกับความต้องการของเธอ ไอศวราเป็นเด็กผู้หญิงที่ทำให้ชายหนุ่มรู้สึกผิดคาดได้ตลอดเวลา ทั้งเรื่องมาลัยขอขมา หรือเลี้ยงน้ำตอบแทนคุณ

“เอาอย่างนั้นก็ได้ แต่ขอฉันหยิบเงินค่าน้ำของพิมลกับอัษฎาก่อนนะ”

“หนูจะเลี้ยงน้ำสองคนนั้นด้วย หนูถามพิมลกับอัษฎาแล้วว่า พวกเขาจะกินน้ำอะไร ดังนั้น คุณต้องนั่งรออยู่ตรงนี้นะ ห้ามลุกไปไหนล่ะ เดี๋ยวหนูมา” ไอศวราพูด พลางตัดบทด้วยการถอยห่าง แล้ววิ่งจากไป โดยไม่ลืมย้ำให้คนตัวโตนั่งอยู่กับที่ราวกับว่าอีกฝ่ายเป็นเพียงเด็กตัวเล็ก เรียกรอยยิ้มและเสียงหัวเราะจากชายหนุ่มที่มองร่างเล็กที่หายลับไปกับฝูงชน





ไอศวราใช้เวลาไม่นานในการไปซื้อน้ำตอบแทนคุณ เด็กหญิงวิ่งตรงมาหาศศินที่ยังนั่งรอตามคำสั่ง ก่อนส่งรอยยิ้มพิมพ์ใจให้ เมื่อเห็นสายตาของชายหนุ่มทอดมองมา สักพักเธอก็มาหยุดยืนอยู่ตรงหน้า พร้อมทั้งล้วงขวดน้ำแร่ออกมาจากถุง แล้วส่งให้

“นี่ค่ะ น้ำแร่เย็นเจี๊ยบเลย”

“ขอบใจจ้ะ”

“พิมลกับวุธยังไม่มาอีกหรือคะ” ไอศวรานั่งลงที่เดิม พลางล้วงเอาน้ำดื่มของตัวเองออกมาจากถุงบ้าง

“ฉันยังไม่เห็นพวกเขาเลย” ศศินพูดพลางดื่มน้ำดับกระหาย แล้วเหลือบสายตาไปยังร่างเล็กที่นั่งเคียงข้างที่หยิบกระป๋องน้ำเฉาก๊วยออกมาด้วยท่าทางที่เหมือนกับว่ากำลังได้กินของอร่อย

“เฉาก๊วย”

“ขา”

คำขานที่ดูหวานกว่าปกติทำเอาศศินสำลักน้ำลายตัวเองกับอาการของหัวใจที่กระตุกวาบขึ้นมา แต่ชายหนุ่มแกล้งทำเป็นเมินสิ่งที่ตัวเองเผลอแสดงออกไปเมื่อครู่ แล้วเอ่ยถามถึงสิ่งที่สนใจทันที “ทำไมถึงซื้อน้ำเฉาก๊วยมา ชอบกินหรือ”

“ถ้าไม่ชอบแล้วจะซื้อมากินทำไมล่ะ ยิ่งถ้าได้กินตอนเย็นๆ ในอากาศร้อนๆ แบบนี้นะ อร่อยที่สุดเลยล่ะ” พอได้พูดเรื่องของกิน เด็กหญิงก็ลืมเรื่องที่เพิ่งเกิดขึ้นไปทันที แถมยังโฆษณาน้ำดื่มของตัวเองราวกับไปรับค่านายหน้าจากเจ้าของน้ำกระป๋องเฉาก๊วยมาอย่างไรอย่างนั้น

“คุณรู้ไหม น้ำเฉาก๊วยช่วยแก้ร้อนในกับดับกระหายด้วยนะ น้ำแร่ของคุณสู้น้ำเฉาก๊วยของหนูไม่ได้หรอก ลองกินดูสิ” พูดไม่พูดเปล่า ไอศวราเอาหลอดที่ตัวเองเพิ่งดูดน้ำเฉาก๊วยไปได้อึกเดียวจ่อรอที่ริมฝีปากของศศิน ชายหนุ่มมองดวงตากลมโตที่กำลังทอแวววาดหวังว่า เขาจะชอบน้ำสีดำที่เจ้าตัวแบ่งปันมา ก่อนเหลือบมองหลอดดูดน้ำอย่างชั่งใจว่าจะลองชิมน้ำตามคำชวนของอีกฝ่ายดีหรือไม่

แต่พอได้เห็นดวงตาวิบวับของเด็กหญิงขายพวงมาลัยอีกรอบ ศศินจึงก้มลงจรดริมฝีปากกับหลอดพลาสติก แล้วลิ้มชิมน้ำหวานดับกระหายอย่างไม่เกรงใจ

“เป็นไง อร่อยไหม” เด็กหญิงฉีกยิ้มถาม เมื่อชายหนุ่มละจากหลอดกลมออกมา

“หวานเกินไปหน่อย”

ความหวานของน้ำเฉาก๊วยที่ละเลงอยู่บนลิ้น ยังหวานน้อยกว่ารอยยิ้มที่ประดับอยู่บนใบหน้าจิ้มลิ้มเสียอีก แต่ไอศวราคงเข้าใจผิดคิดว่าความหวานที่ชายหนุ่มพูดถึงคือ น้ำสุดโปรดของเธอ เจ้าของน้ำเฉาก๊วยจึงเบ้หน้าใส่คนแพ้ของหวาน

“ถ้าหวานนักก็ไม่ต้องกินแล้ว เสียดายชะมัด ไม่น่าแบ่งให้คุณกินเลย”

ศศินกลั้วหัวเราะในลำคอกับเสียงบ่นหงุงหงิงของเด็กหญิงขายพวงมาลัย ก่อนยกมือขึ้นขยี้เรือนผมนุ่มด้วยความหมั่นไส้ปนหมั่นเขี้ยว จนเจ้าตัวร้องฮื้อด้วยความไม่ชอบใจ แต่ก็ไม่ได้เบนศีรษะหนีออกจากมือใหญ่ที่ให้ความรู้สึกอบอุ่นเข้าไปถึงในใจ

“ขอบคุณนะคะ”

“หืม เมื่อกี้พูดว่าอะไรนะ ไอศวรา” ชายหนุ่มก้มหน้าลงมองร่างเล็กที่ก้มหน้างุดด้วยความสงสัย เมื่อจู่ๆ อีกฝ่ายพูดงึมงำอะไรบางอย่างที่ฟังไม่ค่อยถนัด

“หนูบอกว่าขอบคุณค่ะ” ไอศวราเพิ่มระดับเสียงขึ้นมาเล็กน้อย แล้วเงยหน้าขึ้นมองคนที่เข้ามาเปลี่ยนแปลงอะไรหลายอย่างในชีวิตเธอ

“ขอบคุณที่พามาเที่ยวค่ะ”

ยิ่งได้รู้จักกับไอศวรามากขึ้นเท่าไร ศศินก็ยิ่งพบว่าเด็กตรงหน้าเป็นเด็กดีไม่น้อย แต่เพราะสังคมและสิ่งแวดล้อมที่เธออยู่ได้ห่อหุ้มเนื้อแท้ของเธอไว้ จนชายหนุ่มรู้สึกเสียดาย หากเนื้อแท้อันดีงามจะถูกลบเลือนด้วยสภาพแร้นแค้นรอบกาย

“สัญญาไว้แล้วนี่ว่าจะพาไปเที่ยว อีกอย่างฉันก็ยังรอมาลัยจากเธออยู่นะ”

พอนึกถึงสัญญาอีกข้อที่ยังติดค้างอยู่กับศศิน เด็กหญิงก็มุ่ยหน้าขึ้นมาอย่างอดรู้สึกขัดเคืองไม่ได้ เพราะถึงจะรู้ว่าชายหนุ่มติดเหตุสุดวิสัย ทำให้มาตามสัญญาล่าช้า แต่ดอกมะลุลีที่ต้องเหี่ยวไปพวงแล้วพวงเล่า ทำให้เธอสูญเงินค่าขนมที่เก็บออมไว้ไปหลายบาททีเดียว

“หนูไม่ทำแล้ว” เด็กหญิงสะบัดเสียงใส่ แถมยังย่นจมูกให้เป็นของแถม เรียกเสียงร้องประท้วงจากคนที่กำลังจะถูกบิดพลิ้วสัญญา

“อย่าพูดอย่างนี้สิ เธอบอกเองว่าจะทำมาลัยขอขมาฉันไม่ใช่หรือ”

“หนูทำแล้วต่างหาก แต่คุณไม่ยอมมาเอาเสียที หนูไม่ทำแล้ว”

“ฉันมาแล้วไง อุตส่าห์ฝืนสังขารมาเอาเชียวนะ” ชายหนุ่มพูดตะล่อม พลางยื่นหน้าไปเด็กหญิงที่สะบัดหน้าหันหนีไปอีกทาง

“อย่าผิดสัญญาสิ ไอศวรา”

“ไม่รู้ไม่ชี้!”





กว่าศศินจะต้อนเด็กซนให้กลับบ้านได้ เวลาก็ล่วงเลยไปจนถึงช่วงสายัณห์ ซึ่งพอทุกคนได้ขึ้นรถปุ๊บก็พากันหลับเป็นตาย คล้ายกับคนที่เพิ่งผ่านการออกกำลังกายมาอย่างแสนสาหัส จะยกเว้นเพียงไอศวราที่มานั่งด้านหน้าคู่กับศศินที่พยายามถ่างตาตัวเองมาตลอดทาง แต่สุดท้ายก็พ่ายให้กับความอ่อนเพลีย เหมือนกับสองพี่น้องที่นั่งอยู่ด้านหลัง

ชายหนุ่มคอยเหลือบมองเด็กหญิงขายพวงมาลัยเป็นระยะ นับตั้งแต่ตอนที่อีกฝ่ายฝืนตัวเองจนสัปหงกเหมือนตุ๊กตาหน้ารถ ที่ส่ายหัวดุกดิกแข่งกับเด็กหญิง ครั้นพอหัวทุยๆ เอนไปพิงกระจกรถ หรือเปลี่ยนฝั่งมาซบเข้ากับท่อนแขนแข็งแรงก็จะเด้งพรวดกลับไปนั่งตัวตรง แล้วก็กลับมาสัปหงกใหม่ จนคนมองเกือบหลุดหัวเราะไปหลายรอบ ก่อนตัดสินใจกระซิบบอกให้ร่างเล็กหลับไปให้สบาย และสัญญาว่าจะรีบปลุกเธอทันทีที่ถึงบ้านทำให้เด็กหญิงคล้อยหลับลงไปในที่สุด

พอถึงตลาดโภคเจริญ ศศินก็หาที่จอดรถให้ใกล้กับชุมชนคนเข็ญใจก่อนดับเครื่องยนต์ พลางเหลือบมองหลานชายหญิงที่ยังหลับเป็นตายผ่านกระจกส่องหลัง แล้วปรายตาไปทางเด็กอีกคนที่หลับสบายอยู่ด้านข้าง

มือใหญ่เอื้อมไปลูบเรือนผมนุ่มคนข้างกายแผ่วเบา พลางระมัดระวังไม่ให้อีกฝ่ายสะดุ้งตื่นขึ้นมาก่อนที่เขาจะได้พิศเจ้าทรามวัยเต็มสายตา ส่วนในใจก็นึกสงสัยว่า ทำไมเขาจึงได้เอ็นดูแม่หนูน้อยคนนี้มากมายนัก แต่หากจะให้ศศินหาเหตุผลที่ตัวเองคอยดูแลเอาใจใส่อีกฝ่าย สาเหตุคงเป็นเพราะเขาหลงใหลดวงตากลมโตที่ทอแววกระจ่างใส และรอยยิ้มกระจ่างใจที่แม้จะเจอมรสุมผ่านเข้ามาในชีวิตมากมายเท่าไร เจ้าตัวก็จะคงรักษาแสงจรัสในกายไว้ไม่ให้ลบเลือนไป

“ไอศวรา” ชายหนุ่มสงเสียงปลุกอีกฝ่ายที่ยังนอนขี้เซาไม่เลิก พลางเขย่าร่างเล็กที่พลิกตัวหนีเสียงเรียกอย่างไม่ชอบใจ กับการที่ถูกขัดนิทรารมย์อันแสนสุข

“สาวน้อย ตื่นได้แล้ว ถึงบ้านแล้วนะ” พูดไม่พูดเปล่า นิ้วเรียวยังเกลี่ยไปตามแก้มนวลใสให้คนขี้เซารู้สึกรำคาญใจเล่น ก่อนบีบจมูกโด่งรั้นจนอีกฝ่ายลืมตาพรวดขึ้นมาเพราะหายใจไม่ออก

“ตื่นได้เสียทีนะ แม่คนขี้เซา”

ไอศวรากะพริบตามองเจ้าของรอยยิ้มนุ่มละมุนด้วยอาการเมาขี้ตา ครั้นพอตื่นเต็มที่และรับรู้ว่าใครเป็นคนปลุกเธอด้วยวิธีพิเรนทร์ เด็กหญิงก็ชักสายตาฉุนใส่ “คนนิสัยไม่ดี ชอบแกล้งคนอื่น”

“ฉันปลุกเธอด้วยวิธีธรรมดาแล้วเธอตื่นเสียที่ไหนล่ะ” ศศินพูดพลางกลั้วหัวเราะในลำคอ แล้วส่งสายตาพราวระยับให้คนแสนงอนที่ชอบจุดต่อมอาการอยากแกล้งคนของเขาให้ปะทุขึ้นมาบ่อยครั้ง

“วิธีปลุกอย่างอื่นก็มีตั้งเยอะตั้งแยะ ไม่เห็นต้องบีบจมูกหนูเลยนี่นา” เด็กหญิงบ่นหงุงหงิง ไม่กล้าจะส่งเสียงดังมากนัก เพราะกลัวว่าเสียงของตัวเองจะไปปลุกอีกสองคนที่ยังหลับสนิทให้ตื่นขึ้นมาเสียก่อน

ศศินไม่ได้โต้ความอะไรตอบกลับไป นอกจากหยัดยิ้มส่งให้ พลางช่วยถอดเข็มขัดนิรภัยให้เด็กหญิง “ฉันขับรถไปที่หน้าตลาดมา แต่ไม่เห็นแม่ของเธอแล้ว ฉันเลยพามาส่งหน้าทางเข้าบ้านเธอนะ”

ไอศวราพยักหน้ารับรู้ ทั้งที่ในใจอดนึกสงสัยไม่ได้ว่า ทำไมแม่จึงเก็บของไวกว่าทุกวัน แต่ความสงสัยนั้นถูกพับเก็บลงชั่วคราว เมื่อเด็กหญิงเงยหน้าขึ้นสบกับดวงตาคมวาวที่ทอแววอ่อนละมุนเสียจนคนถูกมองรู้สึกอบอุ่นเข้าไปถึงหัวใจ แล้วมือเล็กก็ยกขึ้นทำดอกอัญชลี ก่อนไหว้อีกฝ่ายด้วยท่าทางนอบน้อม

“ขอบคุณที่พามาเที่ยวนะคะ สวัสดีค่ะน้าซี”

ประโยคแรกของไอศวราทำให้คนฟังรู้สึกชุ่มชื้นขึ้นมา แต่พอเจอคำสรรพนามที่เด็กหญิงใช้เรียก ชายหนุ่มก็รู้สึกเหมือนกับได้เจอฝนแล้งขึ้นมากะทันหัน ครั้นจะแก้ความไม่ให้อีกฝ่ายเรียกเขาแบบแม่หลานสาวตัวแสบ เจ้าตัวก็ลงไปจากรถเสียแล้ว เขาจึงได้แต่ฟุบหน้าลงกับพวงมาลัยรถด้วยอาการห่อเหี่ยวราวต้นไม้ที่ขาดน้ำหล่อเลี้ยง

“ฉันอายุมากกว่าเธอแค่สิบกว่าปีเองนะ ไอศวรา อย่าเรียกฉันว่าน้าให้ฉันรู้สึกเหมือนตัวเองเป็นคนแก่อย่างนั้นสิ”

“ก็แก่จริงนี่นา” เสียงเล็กหวานที่ดังขึ้นพร้อมกับใบหน้าพริ้มเพราที่ชะโงกข้ามเบาะมา ทำเอาศศินสะดุ้งโหยง แล้วหันขวับไปมองแม่หลานสาวตัวแสบที่ส่งยิ้มมาให้

“ตื่นขึ้นมาตอนไหนน่ะ พิมล”

“หนูตื่นอยู่ตลอดนั่นแหละ” คำเฉลยของพรพิมลไม่ได้ ทำให้ศศินนึกอยากเชื่อถือเสียเท่าไร เพราะถ้าแม่ตัวดีตื่นอยู่ตลอดตามที่ว่าจริง ก็เป็นการแกล้งนอนที่สมจริงมากทีเดียว และดูท่าเด็กหญิงพอจะเดาความคิดของน้าชายออก เธอจึงรีบเฉลยเพื่อไขความกระจ่างให้อีกข้อ

“น้าซีน่าจะรู้นิสัยหนูดีนี่นา หนูเป็นเด็กขี้สงสัยนะ พอหนูเห็นน้าซีทำอะไรแปลกๆ ก็ต้องอยากเห็นว่า น้าซีซ่อนอะไรไว้ในกอไผ่ แล้วก็มีอะไรอยู่ในกอไผ่อย่างที่หนูคิดไว้เสียด้วย”

ศศินเสหลบสายตาจากการจับจ้องของหลานสาวที่ทำให้รู้สึกว่า อาจทำให้ไม่สบายได้ไปนอกหน้าต่าง พรพิมลวาดวงแขนคล้องคอน้าชาย พลางยกนิ้วขึ้นจิ้มแก้มคนโดนจับผิด พลางหัวเราะเสียงใส

“แหม ไม่อยากให้ไอศวราเรียกน้า เพราะจะกิ๊กกับเขาใช่ไหมล่ะ”

“กิ๊ก!?” คำนี้เล่นเอาศศินสำลักน้ำลายยกใหญ่ พลางมองดวงหน้าหลานสาวอย่างไม่อยากเชื่อว่า อีกฝ่ายจะหลุดคำนี้ออกมาให้ได้ยิน

“ไปเอาคำนี้มาจากไหนน่ะพิมล แก่แดดใหญ่แล้วนะเรา”

น้ำเสียงติติงของชายหนุ่ม ทำเอาพรพิมลเบ้ปากเบี้ยว ก่อนเอ่ยเสียงสะบัด “อย่าทำตัวเป็นตาแก่สิน้าซี เด็กสมัยนี้เขามีแฟนมีกิ๊กกันตั้งแต่อนุบาลแล้ว มลยังมีเลย”

“อะไรนะ!”

ท่าทางเบิกตากว้างของศศิน เรียกเสียงหัวเราะจากเด็กแก่แดดได้ดีนัก แต่พรพิมลไม่มีทางหลงกลน้าชายที่อยากเบี่ยงประเด็นไปเรื่องอื่นแน่ “อย่ามาทำเนียนเปลี่ยนเรื่องนะน้าซี เรายังคุยเรื่องไอศวราไม่จบเลย”

“น้าไม่ได้จะกิ๊กกับไอศวรา” ศศินตอบกลับเสียงอ่อน และไม่ได้ตั้งใจจะเปลี่ยนเรื่องตามที่พรพิมลว่า เพราะเขาตกใจกับคำตอบของแม่หลานสาวตัวดีไม่น้อยไปกว่าข้อหาที่กำลังถูกกล่าวหา

“แต่มลแอบเห็นนะว่า น้าซีทำตาหวานเสียจนมดจะขึ้นไต่อยู่แล้ว”

ชายหนุ่มอยากจะแยกเขี้ยวใส่เด็กแก่แดดนัก สรุปว่าเจ้าหล่อนแอบสังเกตพฤติกรรมเขาตลอดเลยสินะ ถึงรู้ด้วยว่าเขาทำสายตาแบบไหนกับไอศวรา ซึ่งเขาก็เพิ่งมารู้ตัวจากน้ำคำของแม่ตัวดีนี่ล่ะว่าดันไปเผลอทำตาหวานใส่เด็ก

“หนูก็พอเข้าใจอยู่หรอก เพราะไอศวราเขาน่ารัก ใครเห็นใครก็รักใครก็หลง แต่เอ...หนูต้องระวังน้าซีด้วยหรือเปล่า เพราะหนูก็เป็นเด็กน่ารักเหมือนกันนะ น้าซีจะแอบเผลอใจมากิ๊กหนูด้วยไหม”

ศศินกลอกตาขึ้นกับประโยคที่ชวนให้โดนข้อหาพรากผู้เยาว์ ก่อนผลักหัวทุยของแม่ตัวดีออกไปด้วยท่าทางหมั่นไส้ และไม่วายขยี้เรือนผมนุ่มจนรกยุ่งไม่เป็นทรง “ใครจะไปเอาเธอกัน หลงตัวเองไปหน่อยหรือเปล่า”

“ดูถูก” พรพิมลย่นจมูกใส่ แล้วเชิดหน้าใส่น้าชายที่ส่งเสียงหัวเราะในลำคอ

“รู้ไหมว่าหนูเป็นดาวโรงเรียนนะ มีรุ่นพี่รุ่นน้องมาจีบเพียบเลย”

“เด็กประถมนี่นะ” ชายหนุ่มส่งเสียงเย้าด้วยท่าทางไม่ใคร่เชื่อถือ แม้ใจจะยอมรับว่าหลานตัวเองก็อยู่ในจำพวกเดียวกับไอศวรา น่ารักและมีเสน่ห์เกินวัย ชอบปล่อยฟีโรโมนจนทำเอาคนอื่นเขาวุ่นวายกันไปทั่ว แต่ถ้าคนแรกจะสงบปากสงบคำลงเสียหน่อย คงน่ารักกว่านี้มากทีเดียว

“อีกไม่นานก็โตแล้ว”

จริงอย่างที่พรพิมลว่าไว้นั่นแหละ อีกไม่นานเจ้าทรามวัยก็จะกลายเป็นโฉมตรูให้เขารู้สึกวุ่นวายใจกว่าที่เป็นอยู่นี้แน่ แค่คิดก็ทำให้ชายหนุ่มถอนหายใจออกมาด้วยความหนักใจ

“น้าซี” พรพิมลเรียกน้าชายเสียงเบา เมื่อเห็นท่าทางเป็นจริงเป็นจังของเขา

“ชอบไอศวราจริงน่ะ”

คำถามของพรพิมล เรียกเสียงถอนหายใจจากศศินได้อีกเฮือก ชายหนุ่มขยี้เรือนผมของหลานสาวโดยไม่ตอบคำถามอะไร นอกจากโต้ตอบบทสนทนาในใจของตัวเองว่า ความรู้สึกที่ล้นพูนอยู่ในใจ ยามได้พบหน้าสบสายตากับไอศวราคืออะไรกันแน่

มันคือความชอบพอฉันหนุ่มสาวกระนั้นหรือ?

ไม่มีทางหรอก...ชายหนุ่มตอบปฏิเสธในใจ อีกฝ่ายยังเด็ก และเขายังเข็ดขยาดกับความรัก ไม่มีทางที่จะเขาจะคิดเกินเลยกับไอศวราได้

“ถ้าน้าซีชอบไอศวราจริง หนูก็ไม่คัดค้านอะไรหรอกนะ ความรักมันห้ามกันไม่ได้” คำพูดที่ดูจะเกินวัยไปหน่อย เรียกรอยยิ้มจากศศินที่พอจะคลายความหนักใจบางอย่างลงมาได้

“รู้จักความรักด้วยหรือเรา”

“จำมาจากละครที่ป้าแม่บ้านกับพี่เลี้ยงชอบดูตอนบ่ายน่ะ”

ศศินส่ายหน้าอย่างระอาใจกับท่าทีแข็งขัน ทำตัวราวกับปรมาจารย์ผู้เชี่ยวชาญความรัก ทั้งที่อายุเพิ่งสิบสอง ชายหนุ่มจึงขยี้เรือนผมนุ่มเป็นรางวัลแถมให้อีกยก “ไว้ให้โตกว่านี้ แล้วค่อยพูดเรื่องความรักกับน้านะ”

คนยังไม่โตพ่นลมใส่จมูกอย่างไม่ชอบใจที่ถูกกีดกันเรื่องราวความรัก ศศินคงไม่รู้หรอกว่า เด็กผู้หญิงโตไวแค่ไหน แม้เธอจะยังไม่รู้ซึ้งว่าความรักที่ชายหนุ่มพูดเป็นแบบใด แต่เธอเชื่อว่าอีกไม่กี่ปีนี้ล่ะที่เธอจะได้รับคำตอบอย่างไม่มีข้อโต้แย้งใดๆ จากน้าชาย

“อย่าลืมที่พูดแล้วกัน ถ้าหนูโตเมื่อไรหนูจะถามน้าซีคำเดิมนี่ล่ะ”





เสียงเปิดประตูที่แม้จะแผ่วเบาแค่ไหน แต่สำหรับบ้านไม้ที่ถูกปกคลุมด้วยความเงียบที่บางครั้งก็มีเสียงไอโขลกอย่างรุนแรงแทรกผ่าน ก็ทำให้คนที่คอยเฝ้าดูแลคนป่วยที่มีอาการกำเริบหนักให้หันไปมองร่างเล็กที่มีรอยยิ้มประดับเต็มใบหน้า

“กลับมาแล้วเหรอ ไอศวรา”

“ลุงผัน” ไอศวราเอ่ยทักชายเก็บของเก่าขายด้วยความงุนงงระคนสงสัย ก่อนหันไปมองแม่ที่มีสภาพซีดเซียวยิ่งกว่าเมื่อตอนเช้าอย่างน่าใจหาย

“แม่เป็นอะไรไปหรือจ๊ะ”

สุ้มเสียงตระหนกตกใจของไอศวรา และร่างเล็กที่ถลาเข้ามาคุกเข่าอยู่ข้างที่นอน พร้อมกับดึงมือไปกอบกุมไว้ ทำให้ปานแก้วที่อยู่ในอาการครึ่งหลับครึ่งตื่นปรือตาขึ้นมองใบหน้าจิ้มลิ้มของลูกสาว ก่อนแย้มยิ้มปลอบโยน เมื่อเห็นรอยตื่นตกใจในดวงตากลมโต

“กลับมาแล้วหรือจ๊ะไอศวรา เป็นยังไงบ้าง ไปเที่ยวสนุกไหม”

ไอศวราพยักหน้ารับไปตามแกน เพราะความสนุกหดหายไปนับตั้งแต่เห็นแม่ล้มหมอนนอนเสื่อ พลางเอ่ยปากถามคำถามเดิมซ้ำสอง เมื่อยังไม่ได้รับคำตอบจากแม่ “แม่เป็นอะไรหรือจ๊ะ”

“แม่เขาไม่สบายเท่านั้นเอง อย่าทำท่าตกอกตกใจเกินเหตุแบบนั้นเลยน่า” ผันเป็นคนตอบคำถามแทนปานแก้วที่ส่งสายตาของความช่วยเหลือมา แต่เขาน่าจะเป็นฝ่ายขอความช่วยเหลือไม่ให้ตัวเองต้องเผลอหลุดความจริงที่ไม่น่าพิสมัย ให้เด็กหญิงได้รับรู้มากกว่า

“แต่แม่ไม่เคยเป็นแบบนี้”

อย่างน้อยไอศวราก็เป็นเด็กฉลาด และมีประสาทสัมผัสไวพอที่จะจับสิ่งผิดปกติบางอย่างได้ แต่คนปากแข็งอย่างปานแก้วคงไม่หลุดคำพูดอะไรออกมา และคนที่จำต้องรักษาสัญญาที่ให้ไว้กับแม่ค้าขายพวงมาลัย หลังจากได้รับรู้ความจริงบางอย่างก็ทำเพียงปั้นหน้านิ่ง ทั้งที่เขาอยากจะร้องไห้ออกมาเสียด้วยซ้ำ

“ก็ป้าแมบอกว่าแค่ไม่สบายเท่านั้นนี่”

ป้าแมที่ว่าคือ หมอตำแยที่เคยมาทำคลอดให้ไอศวรา และยังเป็นคนต้มยาหม้อให้ปานแก้วยามไม่สบายอยู่บ่อยครั้ง ซึ่งชื่อนี้พอทำให้เด็กหญิงคลายความกังวลใจลงไปได้บ้าง แต่ก็ไม่หมดไปเสียทีเดียวนัก ผันเองก็เข้าใจความรู้สึกของแม่หนูน้อยดีจึงขยับกายเข้ามาโอบบ่าเล็กคล้ายอยากจะแบ่งปันกำลังใจให้

“อย่าห่วงไปเลย ไอศวรา เดี๋ยวคืนนี้ลุงจะอยู่เฝ้าแม่เป็นเพื่อนนะ รับรองว่าเราสองคนช่วยกันดูแล แม่แก้วจะต้องลุกขึ้นมาได้อีกแน่”

ทั้งที่ผันก็พูดปลอบไม่ให้ไอศวราเป็นกังวลไปตามประสา แต่เด็กหญิงกลับรู้สึกไม่ดีเอาเสียเลย แล้วในใจก็ไพล่นึกไปถึงศศินขึ้นมา หากชายหนุ่มมาอยู่ตรงนี้ เขาอาจจะช่วยเหลือปานแก้วได้บ้าง และคงไม่เฝ้ามองดูท่าทางทุรนทุรายของหญิงสาวโดยที่ทำอะไรไม่ได้แบบพวกเธอแน่





สุรางคนางค์กับปรีดีพร้อมใจกันเหลือบมองไปทางหน้าต่างห้องนั่งเล่น เมื่อเห็นรถยนต์สีคุ้นตาแล่นผ่านไป และเพียงไม่นาน คนที่พวกเขาเฝ้ารอก็ผ่านพ้นประตูบ้านเข้ามา

คนเข้ามาใหม่ชะงักกึกทันที เมื่อเห็นว่าในห้องนั่งเล่นไม่ได้มีเพียงพี่สาวและพี่เขยนั่งรออยู่เท่านั้น แต่ยังมีคุณดวงมาลย์ที่ส่งสายตาดุใส่ลูกชายตัวดีที่บังอาจหนีผู้ดูแลจนทำเอาคนอื่นวุ่นวายไปถ้วนทั่ว พอพรพิมลเห็นบรรยากาศเคร่งเครียดของผู้ใหญ่ ก็ปลีกตัวไปอย่างรู้งาน พลางส่งกำลังใจให้น้าชายที่ครางออกมาเสียงเบากับการลงมาตามล่าลูกชายคนเล็กของผู้เป็นยาย

“...คุณแม่”

“ยังจำได้ว่าฉันเป็นแม่ด้วยหรือยะ” คุณดวงมาลย์ชักน้ำเสียงใส่ลูกชายที่ทำหน้าจืดเจื่อนกับคำกระทบกระเทียบ พลางจับจ้องร่างสูงที่เข้ามานั่งลงบนพื้นข้างกายอย่างคนที่รู้ดีว่าตัวเองไปก่อคดีอะไรไว้

“ทำไมพูดอย่างนั้นล่ะครับ ผมจำได้เสมอว่าคุณแม่ผมเป็นใคร เว้นเสียแต่คุณแม่จะไม่อยากเป็นแม่ผม”

ถ้อยคำหยอกเอินของศศินที่ฟังดูผิวเผินแล้วไม่น่ามีอะไร แต่สำหรับคนที่รู้เรื่องราวบางอย่างอดจะรู้สึกไม่ได้ว่า แผลในใจของชายหนุ่มยังคงไม่ตกสะเก็ด แม้เวลาจะล่วงเลยมานานแล้วก็ตาม และคำพูดนี้เองที่ทำให้คุณดวงมาลย์คลายอาการขึ้งโกรธลง พลางลูบใบหน้าของลูกชายที่ส่งยิ้มละมุนละไมแกมโศก ไม่ใช่รอยยิ้มแจ่มกระจ่างเช่นก่อนหน้าที่ได้รู้อดีตที่ทุกคนพยายามปิดบังเขาไว้

“เด็กโง่ มีแม่ที่ไหนเขาจะไม่อยากเป็นแม่ของลูกบ้างล่ะ ที่แม่พูดอย่างนั้นก็เพราะแม่โกรธ ที่อยู่ๆ เราก็หนีคุณพุ่มพวงลงมา รู้ไหมว่าทำให้คนแก่เป็นห่วงจนเป็นลมน่ะ เป็นบาปนะ”

ศศินทำเพียงยิ้ม โดยไม่โต้ตอบอะไรกลับไป และหากเขายังคงนิ่งเงียบอยู่แบบนี้ คงทำให้คนในห้องนี้รู้สึกอึดอัดเป็นแน่ ปรีดีเลยหาทางออกด้วยการเปิดประเด็นใหม่ อันเป็นสาเหตุที่ทำให้คุณดวงมาลย์ต้องลงมาตามลูกชายคนเล็กด้วยตัวเองถึงกรุงเทพฯ

“คุณแม่เขาลงมา เพราะมีเรื่องอยากถามนายน่ะ เพื่อนนายที่เป็นเจ้าของโรงเรียนติดต่อไปทางคุณแม่ว่า พร้อมจะรับเด็กที่นายอุปถัมภ์เข้าเรียนกลางเทอม เรื่องมันเป็นยังไงกันแน่น่ะซี คนทางนี้งงไปหมดแล้วนะว่านายไปอุปถัมภ์เด็กตอนไหน”

“เธอเป็นรุ่นพี่ที่มหาลัยครับ” ชายหนุ่มแก้ความเข้าใจผิดให้ใหม่ แต่ไม่ว่าใครก็ดูออกว่า เจ้าตัวคิดจะเปลี่ยนเรื่อง จึงพากันขึงตาใส่คนที่ริจะมีความลับเก็บงำ

“ซี แม่อยากรู้ว่าลูกกำลังทำอะไรอยู่ การที่ลูกแอบลงมากรุงเทพฯ ก็เพราะเรื่องของเด็กที่ลูกอุปถัมภ์อยู่ด้วยใช่ไหม”

คุณดวงมาลย์เป็นคนที่คาดเดาอะไรได้ดีเสมอ และก่อนลงมาตามลูกชายคนเล็ก เธอก็คาดคั้นถามเพื่อนรุ่นพี่ของชายหนุ่มไปรอบหนึ่งแล้ว ซึ่งอีกฝ่ายก็ไม่ได้รู้ตื้นลึกหนาบางเกี่ยวกับคำขอร้องของรุ่นน้องคนนี้มากนัก นอกจากเรื่องที่อีกฝ่ายสอบถามมา

ศศินถอนหายใจออกมากับเรื่องราวที่ยังไม่พร้อมจะเปิดเผย เพราะชายหนุ่มยังไม่ได้ถามความยินยอมพร้อมใจของผู้ปกครองเด็กที่เขาคิดจะให้คุณดวงมาลย์รับไปอุปถัมภ์ แต่เมื่อเรื่องราวล่วงมาถึงเพียงนี้แล้ว เขาจึงยอมพูดถึงสิ่งที่ตัวเองจะกระทำ

“ที่ผมลงมากรุงเทพฯ เพราะเรื่องหาโรงเรียนให้เด็กคนนั้นด้วยครึ่งหนึ่งครับ” ส่วนอีกครึ่งก็เรื่องหนี้สัญญาที่ติดค้างไอศวราไว้นั่นแหละ “ความจริง ผมกะว่าจะคุยกับแม่ของเด็กคนนี้ก่อน แล้วค่อยบอกคุณแม่ เพราะผมอยากให้คุณแม่เป็นผู้อุปถัมภ์เขาน่ะครับ”

“เด็กคนนี้เป็นเด็กผู้หญิงหรือจ๊ะ” คำคาดคะเนของคุณดวงมาลย์ทำให้ศศินคลี่ยิ้มออกมา พลางพยักหน้าตอบกลับไป

“ครับ ผมคิดว่าคงไม่เหมาะเท่าไรที่จะให้ชายโสดอย่างผมรับอุปการะเลี้ยงดู แกเป็นเด็กดีครับแม่ ผมรู้สึกเสียดายที่เขาไม่ได้เรียนเหมือนเด็กคนอื่น และผมก็กลัวว่าสภาพสังคมรอบตัวของเขา จะทำให้เขาใช้ความฉลาดเฉลียวของตัวเองไปในทางที่ผิด”

“พูดอย่างนี้แสดงว่าเคยโดนเขาทำอะไรไม่ดีมาแล้วสินะ”

ศศินพยักหน้ารับอย่างไม่คิดปิดบัง พลางนึกถึงตอนที่ได้พบกับไอศวราครั้งแรก แล้วเอ่ยถึงวีรกรรมของเด็กหญิงขายพวงมาลัยให้มารดาฟัง “โดนแกใช้เล่ห์หลอกเอาเงินไปครับ”

“ตายจริง” คุณดวงมาลย์อุทานอย่างตกใจ และทำสายตาไถ่ถามลูกชายว่าคิดดีแน่แล้วหรือที่คิดจะรับอุปการะเด็กแบบนี้

“ไม่ต้องห่วงหรอกครับ ดูเหมือนพอแม่ของเขารู้ว่า ลูกสาวไปหลอกลวงตุ้มตุ๋นคนอื่นก็ทำโทษเจ้าตัวไปเรียบร้อยแล้ว แต่ที่ผมกลัวคือสภาพแวดล้อมรอบตัวของเขา จะทำให้เขาต้องหวนกลับมาทำเรื่องแบบเดิมอีก ผมเลยคิดว่าน่าจะมีหนทางไม่ให้เขาต้องกลับไปประพฤติผิดอีก”

“ซีเลยคิดจะให้แม่รับอุปถัมภ์เด็กคนนั้นสินะ” คุณดวงมาลย์พูดดักคอลูกชายคนเล็กที่กลั้วหัวเราะกับความรู้เท่าทันของมารดา

“ผมรับประกันว่าแกเป็นเด็กดีจริงๆ ครับ เธอมีค่าพอที่เราจะลงทุนลงแรงส่งเสริม”

“แต่แม่ไม่รู้จักเด็กคนนั้น แม่จะรู้ได้ยังไงว่าเขาเป็นเด็กดีตามที่ซีพูด อีกอย่างหนึ่งที่ซีคงทำลืมไปคือ เขามีประวัติไม่ดี เคยหลอกลวงต้มตุ๋นซีมาก่อน เราอาจจะให้เขาได้อยู่ในสิ่งแวดล้อมที่ดีได้ แต่หากจิตสำนึกของเขาไม่ใฝ่หาความดี เขาก็ยังคงย้อนกลับไปทำในสิ่งที่เขาเคยทำอยู่ดีนั่นแหละ”

“แม่จะไม่ให้โอกาสเขาเลยหรือครับ” คำอ้อนวอนปนตัดพ้อทำให้คุณดวงมาลย์รู้สึกใจอ่อน แต่ก็อดฉุนไม่ได้ที่ลูกชายคนโปรดเล่นไม้นี้กับเธอ คุณนายเลยตวัดสายตาค้อนส่งให้คนเจ้าเล่ห์ที่ใช้ภาพคนซื่อมาบังหน้าตบตาคน

“ไม่ใช่ว่าแม่ไม่ให้โอกาส แต่แม่ไม่รู้จักเด็กที่ซีจะให้แม่อุปถัมภ์นี่ ยังไงแม่ก็ต้องมองในแง่ร้ายไว้ก่อนล่ะ”

“ถ้าอย่างนั้น ผมจะพาสองแม่ลูกคู่นั้นมาพบคุณแม่นะครับ” ศศินส่งเสียงประจบเมื่อเห็นคุณดวงมาลย์เปิดทางให้ แต่ไม่วายที่จะโดนค้อนทางสายตาจากผู้สูงวัยกว่า

“พาคนแม่มาด้วย เพราะคิดจะให้แม่กล่อมเขาให้ยอมเราเรื่องรับลูกเขาไปอุปถัมภ์ใช่ไหมล่ะ” คุณดวงมาลย์สะบัดเสียงใส่ด้วยความรักแกมหมั่นไส้ แต่ในใจก็ยังอดห่วงไม่ได้อยู่ดี

“แต่แน่ใจแล้วหรือซี”

“มันน่าลองไม่ใช่หรือครับ ผมอยากเฝ้ามองการเติบโตของเธอว่าจะเป็นไปตามที่หวังไว้หรือเปล่า” ศศินคลี่ยิ้มตอบด้วยความมั่นใจ ซึ่งเขาก็ไม่ได้บอกทุกคนต่อไปว่า ตัวเองจะเป็นคนทำให้ไอศวราเติบโตไปตามที่หวัง

แต่เขาเองก็ไม่รู้ว่า ความคิดนี้จะกลายเป็นหมัน เมื่อชายหนุ่มย้อนกลับไปที่ตลาดโภคเจริญแล้วพบเพียงความว่างเปล่า ไม่มีเงาร่างของสองแม่ลูกขายพวงมาลัยอยู่ที่ไหนสักแห่ง ราวกับว่าพวกเธอไม่เคยอยู่ที่นี่มาตั้งแต่แรก!




Create Date : 29 เมษายน 2555
Last Update : 20 มกราคม 2557 16:18:55 น.
Counter : 310 Pageviews.

3 comment
พิมพ์เสน่หา 5
ตอนที่ ๕ สัญญามะลุลี

ศศินเงยหน้าขึ้นรับสายลมที่ลอยมาผะแผ่ว ก่อนถอนหายใจกับสิ่งที่ได้รับรู้มาอย่างไม่คาดฝัน เมื่อสิ่งที่ตำรวจอยากได้มากที่สุดกลับอยู่เพียงเอื้อม ชายหนุ่มหวนนึกไปถึงเหตุการณ์ในชั่วโมงที่แล้วที่ได้เปิดเผยความลับของตัวเองหมดไส้หมดพุง ชนิดที่ตัวเองก็ไม่คาดคิดว่าจะยอมเปิดปากบอกออกมามากมายเพียงนั้น

แต่ที่คาดไม่ถึงที่สุดคงเป็นเรื่องของเด็กหญิงขายพวงมาลัยที่อยู่ข้างกาย เธอรู้ที่ลับที่ใช้ซุกซ่อนยาร้ายเกือบทุกแห่ง เธอไม่ได้เผยความลับนี้ออกไปให้ใครหรือตำรวจรู้ตามคำขอร้องของปานแก้วที่ห่วงใยในความปลอดภัยของลูกสาว ซึ่งเธอได้สัญญากับแม่ไว้ว่าจะเข้าไปยุ่งเฉพาะเรื่องที่เกี่ยวกับเพื่อนของตัวเองเท่านั้น

“กลัวหรือเปล่า” ชายหนุ่มเอ่ยถามขึ้นท่ามกลางความเงียบ พลางหันไปมองอีกฝ่ายที่เงยหน้าขึ้นมาสบตาตอบ ในดวงตากลมโตฉายแววสงสัยกับคำถามที่ส่งมา เขาจึงขยายความให้อีกฝ่ายหายสงสัย

“เรื่องที่เธอบอกที่ซ่อนยาของนายเบิ้มไง กลัวว่าเขาจะมาทำร้ายเธอไหม”

ไอศวราครางอือในลำคอด้วยท่าทางลังเล หากเธอตอบว่าไม่กลัวก็ดูจะเป็นสิ่งที่ตรงข้ามกับความรู้สึกในใจ ความจริงแล้วเด็กหญิงหวาดกลัวมาตลอดว่า นายเบิ้มจะมาเอาเรื่องที่เธอทำให้เขาขาดรายได้ รวมถึงขาดลูกมือที่เป็นเด็กในชุมชนเพื่อแพร่กระจายยาร้ายที่ทำลายชีวิตผู้คนไปมากมาย

ศศินเห็นเด็กหญิงไม่ตอบก็เข้าใจว่าอีกฝ่ายคงกลัว ชายหนุ่มจึงลูบเรือนผมสีดำยาวสลวยเพื่อปลอบโยน พลางส่งยิ้มนุ่มละมุนให้คนที่เงยหน้าขึ้นมาสบตาอีกครั้ง “ไม่ต้องกลัวนะ จะไม่มีใครมาทำอะไรเธอได้”

ทั้งที่ศศินเป็นคนแปลกหน้า และการพบกันครั้งแรกก็ไม่โสภาเท่าไรนัก แต่ไอศวรารู้สึกเหมือนกับว่า เขาเป็นคนชิดใกล้ เธอรู้สึกวางใจในรอยยิ้มนุ่มนวลชวนมองที่บางครั้งก็มีรอยเศร้าแฝงมาให้รู้สึกได้ และผู้ชายตรงหน้าก็มีบรรยากาศที่เหมือนกับปานแก้วทำให้เด็กหญิงไพล่คิดไปว่า สัมผัสของพ่อคงเป็นแบบนี้ด้วยกระมัง

มือของพ่อที่วางบนศีรษะคงใหญ่แบบนี้ และอ้อมแขนของพ่อก็คงอบอุ่นแบบเดียวกัน...

“เอาล่ะ ที่เหลือก็เป็นหน้าที่ของตำรวจ ฉันจะรีบให้พวกเขาจัดการพวกนายเบิ้มให้เร็วที่สุด” ศศินผละมือจากเรือนผมนุ่ม ก่อนคลี่ยิ้มให้ไอศวราที่พยายามตามหาความเหมือนของพ่อจากผู้ชายตรงหน้าที่ให้ความรู้สึกอุ่นวาบเข้าไปในใจ

“เธอส่งฉันแค่หน้าบ้านก็พอ ฉันจำทางออกได้” ชายหนุ่มมองเด็กหญิงด้วยสายตาอ้อยอิ่ง ก่อนตัดสินใจอำลาด้วยเหตุผลร้อยแปดพันเก้าที่ยกมาอ้างอยู่ในใจ

“ฉันไปก่อนนะ ไอศวรา”

ไอศวรามองดูคนตัวสูงโย่งที่กำลังเดินห่างออกไปอย่างตัดสินใจไม่ถูก เธอควรเรียกรั้งอีกฝ่ายไว้ดีก่อนหรือไม่ เพราะหากไม่มีเรื่องของนายเบิ้มเข้ามา เด็กหญิงก็ตัดสินใจว่าจะมอบของสิ่งหนึ่งให้เขา เพื่อให้ความรู้สึกบางอย่างในใจเลือนหายไปเสียที แต่อีกใจหนึ่งก็แย้งว่าไม่เป็นไรหรอก เพราะอย่างไรเธอคงได้พบเขาอีก แล้วเธอค่อยมอบของสิ่งนั้นให้เขาภายหลังก็คงไม่สาย

เด็กหญิงเดินวนไปมาอยู่หน้าบ้านเนิ่นนาน แต่พอสายตาเหลือบไปเห็นอีกฝ่ายที่กำลังเดินลับไปกับเงามืดก็ตัดสินใจวิ่งกะโผลกกะเผลกเข้าไปในบ้านท่ามกลางสายตางุนงงของผันกับปานแก้วที่คุยกันถึงสิ่งที่พวกตนได้กระทำ แล้วเด็กหญิงก็คว้าของที่ต้องการมอบให้ศศิน ก่อนเร่งฝีเท้าออกไปข้างนอก เพื่อตามเจ้ากรรมนายเวรที่เธอต้องชดใช้หนี้ให้

“คุณ! คุณศศิน! รอก่อน!”

เสียงเรียกของไอศวราทำให้เจ้าของชื่อหันกลับไปมอง แล้วเฝ้าดูร่างเล็กที่เดินแกมวิ่งตามมา ก่อนหยุดยืนตรงหน้า โดยสองมือของเธอประคองมาลัยพวงใหญ่ไว้แนบอก ชายหนุ่มทรุดเข่าลงข้างหนึ่ง เพื่อให้สายตาของเขาอยู่ในระดับเดียวกับเด็กหญิง พลางทอดสายตามองดวงหน้าพริ้มเพราที่ขึ้นริ้วสีแดงระเรื่อบนเนียนแก้มด้วยความสงสัย

“มีอะไรหรือ”

ไอศวราทำท่าอึกอัก พูดอะไรไม่ออกยามอยู่ต่อหน้าคนที่ตัวเองจะมอบของให้ ทั้งที่ก่อนหน้านั้น เธอเตรียมคำพูดไว้มากมาย จนกล้าพอที่จะตามหาคู่กรรมของตัวเองว่ากลับไปแล้วหรือยัง และเมื่อไม่รู้ว่าจะพูดอะไร เด็กหญิงจึงยื่นพวงมาลัยในมือให้อีกฝ่ายเลิกคิ้วขึ้นด้วยความแปลกใจ

“พวงมาลัย? เธอให้ฉันหรือ” ศศินเอ่ยถามอย่างไม่แน่ใจนัก พลางมองดูใบหน้าซับสีแดงระเรื่อที่เดาว่า คงไม่ได้มาจากการวิ่งตามเขาเสียแล้ว

“คุณจะรับมาลัยของหนูได้ไหมคะ” ไอศวราเอ่ยเสียงอ้อมแอ้ม แล้วเงยหน้าขึ้นส่งสายตาเว้าวอนให้ชายหนุ่มใจอ่อนยวบ และยอมยื่นมือไปรับพวงมาลัยพุ่มสวยจากมือเล็ก

“อืม...ฉันรับมาแล้ว เธอคงจะบอกเหตุผลได้แล้วสินะว่าให้พวงมาลัยฉันทำไม”

ไอศวราสูดลมหายใจลึก แล้วยกมือขึ้นพนมระหว่างอก ก่อนก้มศีรษะไหว้อีกฝ่ายที่ทำหน้าตกใจกับการกระทำที่คาดไม่ถึง พลางยื่นมือไปรับดอกวันทาที่ตกลงมาบนฝ่ามือของตัวเองพอดิบพอดี

“ไอศวรา!?”

“หนูขอโทษกับสิ่งไม่ดีทั้งหลายที่ทำกับคุณไป ทั้งเรื่องที่หนูกระโดดตัดหน้ารถเพื่อหลอกเอาเงินคุณ และเรื่องอะไรก็ตามที่ทำให้คุณไม่พอใจ” เด็กหญิงเอ่ยเสียงรัวเร็ว แล้วเงยหน้าขึ้นมองอีกฝ่ายที่ส่งแววตาตกใจปนคาดไม่ถึง โดยยังไม่ถอนมือออกจากฝ่ามือใหญ่

“หนูเอามาลัยมาขอขมาคุณ และอยากให้คุณอภัยให้หนู”

จะมีเด็กสักกี่คนที่คิดเอาพวงมาลัยมาขอขมาผู้ใหญ่แบบไอศวรา จะมีคนสักกี่คนที่ระลึกถึงความผิด แล้วเอ่ยคำขอโทษด้วยความจริงใจเช่นนี้ ชายหนุ่มพิศมองเด็กหญิงที่ทำหน้าหวาดหวั่นราวกับว่าคำตอบของเขาจะเป็นคำสั่งประหารชีวิตเสียอย่างนั้น

เธอไม่รู้เลยหรือว่า ฉันไม่เคยถือโทษโกรธเคืองเธอเลยแม้แต่น้อย ไอศวรา...ศศินอยากเอ่ยคำนี้ออกไปนัก แต่ชายหนุ่มเลือกที่จะเงียบ แล้วเบือนสายตาจากดวงหน้าพริ้มเพราไปยังสื่อกลางที่อีกฝ่ายขออภัย

“เธอร้อยมันเองงั้นหรือ”

คำถามของศศินทำเอาไอศวราหลบตาวูบ ครั้นเธอจะพูดปดกลับไปก็ระลึกได้ว่าจะเป็นการก่อบาปกับอีกฝ่ายอีก เด็กหญิงจึงตอบความจริงด้วยน้ำเสียงอ้อมแอ้ม “ความจริงหนูร้อยมาลัยไว้ให้คุณแล้ว แต่ป่านนี้มันคงถูกเหยียบเละตอนที่เราหนีอาเบิ้มกัน”

อ้อ! ตอนนั้นนั่นเอง...ศศินครางรับรู้ในใจ ชายหนุ่มได้คำตอบแล้วว่า เหตุใดไอศวราจึงออกตามหาเขา ซึ่งหากไม่เกิดเรื่องขึ้นมาเสียก่อน เขาก็คงได้พวงมาลัยที่มาจากฝีมือของเด็กหญิงที่พยายามเรียงร้อยใส่ความรู้สึกของตัวเองไว้เป็นแน่

“ถ้าอย่างนั้นฉันขอรับมาลัยอันนี้เป็นของมัดจำก่อนแล้วกัน”

“ของมัดจำ?” ไอศวราเอียงคองมองด้วยความสงสัย ในใจก็นึกหวั่นไปว่าเขาคงไม่อภัยให้เธอ

“ฉันจะรอพวงมาลัยฝีมือเธอ แล้วฉันจะรับคำขอขมาจากเธอ”

เด็กหญิงมองคู่กรรมของตัวเองตาโต แล้วหลุดเสียงพึมพำออกมาอย่างอดไม่ได้ “คนอะไรเรื่องมากจัง”

คนเรื่องมากกลั้วหัวเราะในลำคออย่างขบขัน ก่อนยกมาลัยในมือขึ้นมาสูดดมกลิ่นหอมจรุงจิต ก่อนคลี่ยิ้มน้อย เขาชอบมาลัยพวงนี้ เพราะไอศวราใช้มันมาขอขมาเขา แต่เขาจะดีใจมากกว่านี้ หากได้รับมาลัยที่เรียงร้อยด้วยมือเล็กที่ถูกกอบกุมอยู่ในอุ้งมือใหญ่

“ฉันชอบดอกกุหลาบสีเหลืองนะ ถ้าแซมมาในพุ่มมะลิด้วยก็ดี”

“เรื่องมาก!” เสียงเล็กหวานสะบัดใส่อย่างหมั่นไส้ เรียกเสียงหัวเราะจากคนเรื่องมากอีกครา

“จะขอโทษคนอื่นเขาทั้งทีก็ทำให้มันดีหน่อยสิ ฉันรอมาลัยของจริงจากเธออยู่นะ ไอศวรา”





“กลับได้เสียทีนะ” สุ้มเสียงดุที่ดังขึ้นกลางความมืด ทำเอาคนที่ปล่อยจิตปล่อยใจล่องลอยไปกับกลิ่นหอมของมาลัยที่อยู่ในมือสะดุ้งโหยง

“พี่เอ...” ศศินขานชื่อพี่สาวคนโตที่เฝ้ารอน้องชายกลับบ้านด้วยสุ้มเสียงแผ่วเบา และข้างกายของเธอก็มีพี่เขยที่ส่งยิ้มแห้งแล้งมาให้ พลางขยับปากงึมงำให้น้องชายภรรยารู้ว่า พิโรธรอบแรกหล่นลงกลางศีรษะนายตำรวจหนุ่มเรียบร้อยแล้ว จะเหลือแต่คนเพิ่งกลับนี่ล่ะที่ยังไม่รู้ว่าจะโดนอะไรบ้าง

“พี่เอยังไม่เข้านอนอีกหรือครับ” ชายหนุ่มเอ่ยถามเสียงอ่อน พลางเดาเอาว่า ความลับอะไรสักอย่างที่พวกเขาพยายามปกปิดเอาไว้แตกออกเป็นที่เรียบร้อย แต่สุรางคนางค์ไม่ตอบคำถาม นอกจากจดจ้องผ้าปิดแผลบนท่อนแขนของเขาตาเขม็ง

“แขนไปโดนอะไรมาซี”

คำถามของพี่สาวที่ทำตัวเปรียบเหมือนแม่ ทำเอาศศินรู้สึกสะบัดร้อนสะบัดหนาว ก่อนฝืนใจยิ้มตอบกลับไป ทั้งที่เริ่มรู้ชะตากรรมแล้วว่าจะเกิดอะไรขึ้น “เกิดอุบัติเหตุนิดหน่อยครับ”

“พี่ให้ซีตอบใหม่ได้นะ” สุรางคนางค์เลิกคิ้วขึ้น แต่คนปากแข็งทำเพียงยิ้มที่ทำให้เธอรู้สึกหงุดหงิดใจ และเมื่อรู้ว่าทำอะไรน้องชายของตัวเองไม่ได้ก็หันมาลงกับสามีของตัวเองแทน

“คุณปรีดี”

“จ๋า!” นายตำรวจสะดุ้งโหยง แล้วหันไปยิ้มประจบภรรยาด้วยท่าทางหวาดหวั่น พลางเดาได้ว่าพิโรธลูกที่สองน่าจะลงกลางศีรษะของเขาแทนที่จะเป็นน้องชายภรรยา

“คุณไสหัวไปนอนที่ไหนก็ได้นะ พิจารณาความผิดของตัวเองไปซะ”

“คุณคนางค์ อย่าทำร้ายผมแบบนี้สิ คุณก็รู้ว่าผมนอนคนเดียวไม่ได้” ปรีดีร้องอุทธรณ์เสียงโหย เรียกอาการหมั่นไส้จากคู่ชีวิตที่นึกบ่นในใจว่า ไม่โดนเธอขย้ำจนเละก็ดีถมไปแล้ว

“ถ้าอย่างนั้นคุณก็เลิกพาน้องชายฉันไปเจ็บตัวได้แล้ว อ๊ะๆ หรือว่าคุณอยากให้ฉันเนรเทศออกจากบ้านตลอดชีวิต”

“โอ...ไม่ๆ คุณคนางค์ อย่าทำอย่างนั้นเลย ขอร้องล่ะ”

ศศินรีบปลีกตัวออกจากคู่สามีภรรยาที่คงลืมไปเรียบร้อยแล้วว่ามีบุคคลที่สามอยู่ด้วย แต่พอชายหนุ่มเดินขึ้นไปถึงชั้นบนก็เห็นพรพิมล หลานสาวจอมแสบยืนเท้าคางอยู่บนหัวบันได พร้อมทั้งฉีกยิ้มแป้นมาให้

“น้าซีไปบู๊กับผู้ร้ายมาอีกแล้วสิท่า หนูได้ยินเสียงแม่อาละวาดมาถึงข้างบนเลย”

“แล้วแม่เรารู้ได้ยังไงว่าน้าไปจับผู้ร้าย” คนไม่ชอบบทบู๊เอ่ยถามหลานสาวตัวดีที่คงเตรียมคำตอบรอไว้เสร็จสรรพ ไม่อย่างงั้นเจ้าตัวคงไม่มายืนรอทักทายเขาแบบนี้แน่

พรพิมลกลั้นหัวเราะไว้ในลำคอ ยามนึกถึงตอนที่แม่ลงมือฝากรอยรักไว้เต็มท่อนแขนของพ่อ เอ...หรือควรจะเรียกว่ารอยพิโรธดีหนอ ก็คุณพ่อของเธอร้องโหยหวนเสียงดังลั่นปานนั้น “วันนี้หนูกับแม่ไปหาพ่อ เพื่อจับผิดว่าพ่อเอางานอะไรให้น้าซีทำ แล้วบังเอิ๊ญ...บังเอิญที่ลูกน้องของพ่อดันทะเล่อทะล่าเข้ามารายงานเรื่องที่น้าซีบาดเจ็บ โดยไม่ดูเลยว่าคุณนายสุรางคนางค์ก็อยู่ด้วย และก็บึ้ม!”

ศศินอยากส่งเสียงขบขันตามแม่หลานสาวอยู่ไม่น้อย แต่ในใจอดรู้สึกผิดไม่ได้ที่ทำให้พี่เขยต้องมาเจ็บตัวเพราะเรื่องของเขา ดูท่าคืนนี้เขาจะพูดคุยธุระกับอีกฝ่ายไม่ได้เสียแล้ว คงได้แต่รอให้ถึงวันพรุ่งนี้โดยเร็ว เพื่อจัดการเรื่องที่ค้างคาให้เสร็จสิ้น แล้วเขาจะได้พาใครบางคนไปเที่ยวได้อย่างสบายใจเสียที





ไอศวราไม่ได้ข่าวของศศินมานานกว่าสองเดือนแล้ว ซึ่งข่าวที่ไม่อยากได้ยิน อย่างข่าวของเสี่ยวิวัฒน์ที่ถูกจับกลางโรงงานผลิตยาผิดกฎหมาย หรือข่าวการดวลปืนที่ลือกันว่า ยิงกันหูดับตับไหม้ระหว่างตำรวจกับพลพรรคของนายเบิ้มจนโดนวิสามัญฆาตกรรมกันยกกลุ่มกลับลอยเข้าหูให้เด็กหญิงรู้สึกขัดอกขัดใจแทน

ดวงตากลมโตมองมาลัยที่เหี่ยวเฉาไปพวงแล้วพวงเล่าด้วยอารมณ์ห่อเหี่ยว ศศินสัญญาว่าจะรับมาลัยขอขมาฝีมือเธอ แต่จนป่านนี้ เขาก็ไม่มาเสียที และยังคำสัญญาที่ให้ไว้เป็นมั่นเหมาะว่า หากเธอยอมทำตัวเป็นเด็กดีหนึ่งอาทิตย์ แล้วจะพาไปเที่ยวนั่นอีก ดูท่าเขาคงลืมคำสัญญาของตัวเองไปแล้วกระมัง

“คนไม่รักษาสัญญา” เสียงเล็กบ่นงึมงำกับตัวเอง แล้วเสียงหัวเราะที่คุ้นเคยก็ดังแว่วเข้าหูทำให้เด็กหญิงเงยหน้าขึ้นมองเจ้าของเสียงทันที

“บ่นหงุงหงิงอะไรอยู่คนเดียวน่ะเรา”

“คุณศศิน!”

รอยยิ้มที่ปะปนไปด้วยความดีใจระคนประหลาดใจต่อการปรากฏตัวของคนที่ทำตัวหายสาบสูญทำให้ชายหนุ่มคลี่ยิ้มละมุน ก่อนหันไปค้อมศีรษะทักทายปานแก้วที่มีสีหน้าซีดเซียวผิดไปจากที่เคย เธอยิ้มให้เขา พลางวางมือจากมาลัยที่กำลังเรียงร้อยลง

“ไม่ได้เจอกันนานเลยนะคะ”

“ครับ พอดีมีเรื่องวุ่นวายเกิดขึ้นนิดหน่อยก็เลยไม่ได้แวะมาหาเลย”

คำตอบนี้เป็นสิ่งที่ชายหนุ่มตระเตรียมไว้ใช้แก้ตัวกับไอศวรา พลางนึกย้อนกลับไปยังเหตุการณ์เมื่อสองเดือนก่อนที่เกิดเรื่องต่างๆ ขึ้นมากมาย จนคนใจเย็นและมีสติดีอยู่เสมออย่างเขาถึงกับทำอะไรไม่ถูก

หลังจากที่ศศินคุยเรื่องความคืบหน้าของคดีตลาดโภคเจริญกับพี่เขย พวกเขาก็ตกลงวางแผนบุกทำลายโรงงานผลิตยาร้ายของเสี่ยวิวัฒน์ และที่ซ่อนยาตามที่ต่างๆ ในชุมชน โดยทั้งนี้ พวกเขาได้รับการช่วยเหลือจากชายเก็บของเก่าที่เพิ่งมารู้ทีหลังว่า เป็นที่ชังของนายตำรวจหนุ่มมานาน ซึ่งจะเป็นเพราะท่าทางรู้เท่าทัน หรือการชอบขัดของอีกฝ่ายก็ไม่อาจทราบได้ ทำให้ปรีดีนึกอยากเตะฝากความรักอีกฝ่ายสักผาง แต่เจ้าตัวก็รู้ทันและหลบได้ทุกที

และเรื่องเฮฮาของคู่กัดแต่ชาติปางก่อนนี้เองทำให้ศศินเผลอคลายความระมัดระวังลง จนโดนนายเบิ้มที่ซุ่มรอโอกาสคิดบัญชีแค้นลอบทำร้าย โดยการใช้มีดแทงเข้าที่ชายโครง เรื่องราวจึงลุกลามไปไกลกลายเป็นการก่อให้เกิดเหตุวิสามัญฆาตกรรมตามมา

ครั้นพอคุณดวงมาลย์รู้ว่าลูกชายคนเล็กบาดเจ็บ คุณนายก็จับเครื่องบินลงมาจากเชียงใหม่ และคาดโทษลูกเขยที่ชอบพาบุตรชายหัวแก้วหัวแหวนไปเจอแต่เรื่องอันตราย ซึ่งอาการบาดเจ็บครั้งนี้ดูจะร้ายแรงกว่าครั้งไหน จนนายตำรวจหนุ่มได้แต่ทำหน้าจ๋อย เถียงแก้ต่างให้ตัวเองไม่ออก

และด้วยเหตุผลร้อยแปดพันเก้าของคุณดวงมาลย์ ศศินจึงจำต้องกลับเชียงใหม่ตามคำรบเร้าของมารดา เหตุผลหนึ่งก็เพื่อให้ท่านคลายกังวลว่า ชายหนุ่มไม่ได้เจ็บหนักเจียนตาย จนต้องพักฟื้นอยู่ในโรงพยาบาลหลายวัน

แต่ใครจะรู้เล่าว่า ศศินต้องใช้เวลานานถึงสองเดือน กว่าจะหลบสายตาของคุณดวงมาลย์ลงมาได้!

“พอดีผมติดหนี้บางอย่างไว้กับไอศวราน่ะครับ เลยต้องรีบมาทำตามสัญญาก่อนที่โดนใครบางคนงอนเอาน่ะครับ” ชายหนุ่มพูดพลางเหลือบสายตาไปมองเด็กหญิงขายพวงมาลัยที่เบนหน้าหนีด้วยอาการแง่งอน

“ติดหนี้อะไรกัน ฝ่ายเราต่างหากที่ติดหนี้คุณไว้ คุณช่วยเหลือพวกเราให้หลุดพ้นจากคนเลวพวกนั้น ถ้าไม่ได้คุณ เราคงต้องอยู่ในนรกแห่งนี้ต่อไปจนตาย” ปานแก้วคลี่ยิ้มน้อย แล้วกวาดตามองอีกฝ่ายด้วยสายตาห่วงใย

“เห็นพี่ผันบอกว่าคุณถูกแทง แผลหายแล้วหรือคะ” คำถามของปานแก้ว ดึงสายตาของไอศวราที่กำลังงอนคนผิดสัญญาให้หันไปมองอีกฝ่ายด้วยความตกใจ

“ไม่ได้เจ็บหนักมากมายอะไรครับ เป็นแค่แผลถาก” แต่ชายหนุ่มก็ไม่ได้พูดต่อออกไปอีกว่า เพราะแผลถากอันนั้นทำให้เขาต้องโดนเย็บไปหลายเข็ม และโดนกักตัวไม่ให้ขยับเขยื้อนไปไหน จนทำให้ไม่ได้มาหาไอศวราตามสัญญา

“แล้วถ้าไม่ได้ไอศวรากับพี่ผันให้ข้อมูลของพวกนายเบิ้มกับตำรวจ เรื่องราวคงไม่จบลงด้วยดีแบบนี้ พี่ชายของผมก็ฝากขอบคุณมา และอยากมอบเกียรติบัตรให้กับไอศวรา แต่เห็นทางคุณปฏิเสธ เพราะอย่างนั้น ผมเลยคิดจะพาไอศวราไปเที่ยวเป็นการขอบคุณแทน” แล้วศศินก็ดันเด็กสองคนที่ยืนเกาะเอวหลบอยู่ด้านหลังของเขาให้ออกมาเจอหน้าเพื่อนใหม่ที่เขาอยากแนะนำให้รู้จัก

“ขอโทษที่แนะนำตัวช้านะครับ นี่หลานของผมที่จะพาไปเที่ยวด้วยกัน คนโตชื่อพรพิมล ส่วนคนเล็กชื่ออัษฎาวุธครับ”

พรพิมลกับอัษฎาวุธยกมือไหว้แม่ค้าขายพวงมาลัยตามมารยาทที่ต้องเคารพผู้อาวุโส แต่สายตาของเด็กทั้งคู่จับจ้องไปยังลูกสาวของแม่ค้าด้วยแววตาที่แตกต่างกันไป

สำหรับอัษฎาวุธ เด็กชายยังอ่อนเดียงสาเกินกว่าจะแยกแยะอะไรได้ เขารู้แค่ว่าจะได้พี่สาวหน้าตาน่ารักเพิ่มขึ้นมาอีกคน และเขาก็หวังว่านิสัยของอีกฝ่ายจะไม่เป็นเด็กขี้แกล้งเหมือนลูกพี่ลูกน้อง

แต่สำหรับพรพิมล เธอเป็นเด็กที่มีความคิดอ่านเกินวัย เด็กหญิงจะประมวลหาเหตุผลอันได้แบบมาจากปรีดีผู้เป็นพ่อ ก่อนตัดสินใจว่าจะทำอะไรต่อไป ซึ่งเธอติดใจท่าทีของศศินที่ยอมลงทุนลงแรงพาเด็กที่ไหนไม่รู้ไปเที่ยว เพื่อตอบแทนเรื่องที่อีกฝ่ายแจ้งเบาะแสคนร้ายในคดีที่พ่อของเธอทำอยู่ อันเป็นการกล่าวอ้างที่ไม่น่าเชื่อถือเท่าไรสำหรับเด็กช่างคิดอย่างเธอ

ที่สำคัญคือ เขาลงทุนลงมาจากเชียงใหม่เพื่อการนี้โดยเฉพาะ ทั้งที่เด็กหญิงรู้ดีว่าในช่วงหนึ่งถึงสองปีที่ผ่านมา หากน้าชายไม่ถูกพ่อเรียกตัวให้มาช่วยงาน เขาก็ไม่ค่อยอยากเข้ากรุงเทพฯ เสียเท่าไร เธอเลยอดสงสัยในการกระทำครั้งนี้ไม่ได้

ปานแก้วมองดูเด็กชายหญิงด้วยสายตาเอื้อเอ็นดู แล้วหันไปมองไอศวราที่ทำท่าทางสนใจของตอบแทนของศศินที่ดูแล้วเหมือนจะเป็นการบังคับเธอให้ตกปากอนุญาต โดยไม่สามารถปฏิเสธได้เสียมากกว่า

“ไอศวรา หนูอยากไปเที่ยวไหมจ๊ะ”

เจ้าของชื่อเหลือบตาไปทางแม่ด้วยสายตากึ่งขออนุญาตอยู่ในที หญิงสาวจึงยกมือขึ้นลูบเรือนผมสีดำนุ่ม ก่อนคลี่ยิ้มละมุนให้ลูกสาวด้วยความรักท่วมท้น ไอศวราทำอะไรหลายอย่างให้เธอมากมายเหลือเกิน แต่เธอไม่เคยตอบแทนความดีของลูกสาวตัวน้อยเลยสักครั้ง

“ลูกจ๋า แม่อนุญาตให้ไปเที่ยวได้นะ ถ้าหนูอยากไป”

ดวงตากมโตทอแววระยับเหมือนแสงดาวบนฟ้า หลังจากได้ยินคำอนุญาตของแม่ แต่หากเด็กหญิงไปเที่ยวกับศศินและเพื่อนใหม่ต่างวัยทั้งสอง แล้วใครล่ะจะช่วยเหลือแม่ของเธอเร่ขายพวงมาลัยในตลาด ดังนั้น เธอจึงยังลังเลที่จะลุกขึ้นไปหาชายหนุ่มที่เฝ้ารอคำตอบ

“แต่ก่อนไป ไอศวราต้องไปเรียกลุงผันให้มาช่วยแม่ขายพวงมาลัยก่อนนะ”

ถ้อยคำสุดท้ายของปานแก้วทำให้ไอศวรายิ้มออกมาได้ เด็กหญิงรู้ดีว่าผันจะไม่มีทางปฏิเสธคำขอร้องของสองแม่ลูกเด็ดขาด เพราะเขายังติดหนี้บุญคุณพวกเธอไว้มากมาย ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการไกล่เกลี่ยความเข้าใจผิด ระหว่างชายขี้เมาปากตะไกรกับคู่กรณีในตลาด หรือสหกรณ์บาทาจากอดีตกลุ่มอันธพาลที่ถูกตำรวจวิสามัญฆาตกรรมไปเมื่อสองเดือนที่ผ่านมา และอีกหลายเรื่องราวที่บรรยายออกมาไม่หวาดไม่ไหว

“งั้นเดี๋ยวหนูมานะจ๊ะ” ว่าแล้วร่างเล็กก็ไถลตัวลงมาจากเก้าอี้นั่ง ก่อนวิ่งไปหาชายเก็บของเก่าที่เธอรู้ดีว่า ในยามตะวันสายโด่งแบบนี้ เจ้าตัวจะนอนเมาค้างอยู่ที่ไหน




Create Date : 25 มีนาคม 2555
Last Update : 20 มกราคม 2557 16:18:32 น.
Counter : 235 Pageviews.

2 comment
พิษเสน่หา (รามิล x กิ่งดาว) อารัมภบท

อารัมภบท

 

กิ่งดาวรู้ว่าแม่ป่วย พ่อก็มาหาแม่บ่อยขึ้นเมื่อรู้ว่าท่านไม่สบายเช่นกัน ท่าทางของพ่อยังคงเรื่อยเฉื่อย ไม่อินังขังขอบต่อเรื่องราวอันใดเหมือนเคย ผิดแต่ว่าทุกครั้งที่พ่อแวะเวียนมา ดวงตาสีเทาอมฟ้าของท่านมักแฝงแววเคร่งเครียดและเพิ่มพูนขึ้นทุกขณะ ซึ่งแววตานั้นเป็นดั่งสัญญาณเตือนบอกให้รู้ว่า เวลาของแม่เหลืออยู่ไม่มากนัก

 

เสียงไอโขลกของแม่ปลุกกิ่งดาวให้ตื่นขึ้นในเช้าวันหนึ่ง เธอลืมตาขึ้นอย่างงัวเงียก่อนลุกขึ้นจากเตียงของตัวเองไปยังเตียงอีกฟากที่แม่นอนอยู่ แล้วความง่วงก็หายวับไปกับตา เมื่อเห็นเลือดเลอะเป็นหย่อมบนผ้าห่มสีขาวสะอาด

 

“แม่ เด็กสาวถลาเข้าไปหาร่างบอบบางที่คู้ตัวงอเหมือนกุ้ง แต่กลับถูกห้ามโดยมือเรียวบางที่ยกขึ้น เพื่อไม่ให้บุตรีเข้าไปใกล้มากกว่านี้

 

หลังจากไอได้สักพักคนบนเตียงจึงเงยหน้าขาวซีดขึ้น เผยให้เห็นรอยอิดโรยบนใบหน้าจนคนมองได้แต่สะทกสะท้านใจ “อย่าเข้าใกล้แม่ ไม่อย่างนั้นลูกอาจติดโรคไปด้วย” เสียงของแม่แหบแห้งและแผ่วเบา กิ่งดาวยืนมองด้วยท่าทางละล้าละลัง ก่อนทรุดลงนั่งกับพื้นเพื่อไม่ให้แม่ต้องเงยหน้าขึ้นมองเธอ

 

“แล้วทำไมพ่อถึงเข้าใกล้แม่ได้ล่ะ”

 

แม้จะถูกโรคภัยกลืนกินสุขภาพจนอ่อนล้า แต่ดวงตาของแม่ยังคงยิ้มได้เหมือนเดิม หากหูไม่ฝาดไปกิ่งดาวก็คลับคล้ายว่าจะได้ยินเสียงกลั้วหัวเราะในลำคอจากคนป่วยด้วย

 

“บางทีแม่คงอยากให้พ่อลองติดโรค และตกตายไปตามกันบ้างกระมัง”

 

คำตอบของแม่ไม่ได้ทำให้กิ่งดาวรู้สึกดีขึ้นเลยสักนิด เด็กสาวขมวดคิ้วเข้าหากัน แล้วเปลี่ยนจากท่านั่งคุกเข่าเป็นขัดสมาธิ ก่อนพูดด้วยท่าทางจริงจัง “แต่ข้าอยากดูแลแม่จวบจนนาทีสุดท้ายของแม่”

 

“ลูกเป็นเด็กดี กิ่งดาว” คนป่วยบนเตียงเอ่ยแผ่วเบาด้วยความภูมิใจ พลางไอโขลกออกมาพร้อมกับเลือดลิ่มโต หญิงสาวถอนหายใจออกมายาวเหยียด และทำเป็นไม่สนใจต่อสายตาของบุตรีที่จ้องมองมาอย่างปวดร้าว

 

“กิ่งดาว ลูกคิดว่าพ่อของลูกเป็นคนอย่างไร”

 

คำถามของแม่ทำให้กิ่งดาวเอียงคอมองด้วยความไม่เข้าใจ พร้อมกับนึกภาพของพ่อที่มักจะมาเยี่ยมเธอกับแม่ทุกเดือน บางครั้งเธอก็ลืมไปแล้วเสียด้วยซ้ำว่าตัวเองมีพ่อชื่อ “เตวิทย์”

 

นับตั้งแต่จำความได้ ภาพของพ่อในสายตาของกิ่งดาวคือ ชายวัยกลางคนที่มีรอยยิ้มเรื่อยเฉื่อย แต่รอยยิ้มนั้นจะเปลี่ยนเป็นแพรวพราวทันทีเมื่อเจอคนถูกใจ เด็กสาวพอจะรู้ว่าพ่อเป็นคนนิสัยมากรัก แต่แม่ก็เคยค้านว่า เขาไม่เคยรักใครเลยต่างหาก ราวกับว่าความรักในตัวเขาได้ตายจากกายไป และคงไม่มีใครทำให้ท่านพ่อเกิดความรู้สึกรักได้อีกแล้ว

 

แม่เองก็เคยหลงใหลได้ปลื้มในตัวพ่อตามประสาหญิงสาววัยแรกรุ่น กิ่งดาวยอมรับว่าพ่อดูดีอยู่ไม่น้อยแม้ว่าจะเข้าสู่ช่วงวัยกลางคนแล้วก็ตาม ดังนั้นถ้ากิ่งดาวเป็นแม่ก็อาจจะหลงคารมพ่อได้เหมือนกัน เพราะดูจากแววตาของพ่อแล้ว ท่านค่อนข้างถูกใจแม่ไม่น้อย

 

...แต่ก็ไม่ได้รัก

 

ความรู้สึกของพ่อก็คงเหมือนแม่ ชอบแต่ไม่รัก ความสัมพันธ์ของทั้งสองจึงเป็นเส้นตรงเสมอ นับตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน แม้จะรู้ว่าพ่อมีกิ่งดาวโดยไม่ได้ตั้งใจแต่ท่านก็รับผิดชอบในสิ่งที่ตัวเองกระทำทุกอย่าง ท่านส่งเสียเลี้ยงดูสองแม่ลูกไม่ให้อยู่อย่างลำบากลำบนเกินไปนัก บางครั้งยังช่วยสอนกิ่งดาวให้ทำอะไรได้หลายอย่าง

 

อย่างน้อยพ่อก็ทำให้กิ่งดาวไม่รู้สึกว่าตัวเองเป็นเด็กสาวอ่อนแอที่ต้องรอคอยความช่วยเหลือจากคนรอบข้าง

 

นั่นคือสิ่งที่กิ่งดาวคิดถึงพ่อ เด็กสาวเอ่ยตอบแม่ไปตามใจคิด “ข้าไม่คิดว่าตัวเองรักพ่อ ไม่คิดว่าขาดท่านไปแล้วจะอยู่ไม่ได้ แต่ข้าก็ไม่ได้เกลียดพ่อหรอกนะ” และคำตอบสุดท้ายนี้กระมังที่ทำให้แม่คลี่ยิ้มออกมาด้วยความโล่งใจ

 

“แค่ลูกไม่เกลียดพ่อก็ดีแล้วล่ะ”

 

กิ่งดาวไม่รู้เลยว่า ตัวเองจะรู้ความหมายของประโยคนั้นเร็วกว่าที่คิด

 

 




Create Date : 23 มีนาคม 2555
Last Update : 26 ตุลาคม 2556 17:16:50 น.
Counter : 249 Pageviews.

0 comment
1  2  3  4  5  6  7  8  9  10  11  12  13  14  15  16  

ฌา
Location :
  

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]



New Comments
All Blog