พิษเสน่หา 13
๑๓ เกมกลม้าหมากรุก

หลังจากที่เจ้าสองพระองค์กับคนหนึ่งคน ได้รับรู้ถึงวาจาที่สมกับเป็นที่ร่ำลือของบุตรีเจ้าคุณมหาดไทย ทุกอย่างก็ดำเนินไปเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น แต่ใช่ว่าจะมีคนยอมให้มันผ่านไปเฉย ๆ คนที่เกือบได้พระชายาโดยไม่รู้ตัว เริ่มทำการเค้นถามเจ้าหลวงถึงจุดประสงค์ที่แท้จริงในการเสด็จมาตำหนักของเจ้าชายชัยนเรนทร์

“จินดาไปร้องห่มร้องไห้กับพ่อ” เจ้าหลวงทรงพระสรวล เมื่อนึกถึงองคมนตรีขี้ใจอ่อน ที่ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานแค่ไหน อดีตพระสหายเก่าก็ยังคงนิสัยเดิมไม่เปลี่ยนแปลง “เจ้านั่นบอกว่าเจ้าลักพาตัวลูกชายกับลูกสาวไป” ตรัสพลางหลิ่วเนตรให้พระโอรสที่ทำพักตร์บอกบุญไม่รับ

“ถ้าจำไม่ผิด กระหม่อมส่งคนให้ไปบอกท่านจินดาว่าขอยืมตัวลูกสาวท่านมาคอยดูแลปลายมาศ”

“เจ้าดูสถานะตัวเองบ้างหรือเปล่า ชัยนเรนทร์” เจ้าหลวงแสร้งทำเสียงราบเรียบ พลางแย้มโอษฐ์นุ่มละมุน “เจ้าที่ตอนนี้ไม่มีพระชายา กับสิริกัญญาที่เป็นหญิงสาวเต็มตัวมาอยู่ในตำหนักเดียวกันแบบนี้ คนอื่นเขาจะคิดยังไง”

“คนอื่นจะคิดยังไงก็เรื่องของเขาสิ ความจริงเป็นอะไรก็รู้อยู่แก่ใจดี”

เจ้าหลวงส่ายพักตร์ไปมาอย่างอ่อนพระทัย “เจ้ามันนิสัยหยาบ ไม่ละเอียดอ่อนเอาเสียเลย ไม่รู้ปิ่นมณีอยู่กับเจ้าได้ยังไง เพราะอย่างนี้นี่แหละ พ่อถึงต้องพาคุณหนูคนสวยคนนี้มาเป็นตัวกันชน” ตรัสเสร็จก็ระบายปัสสาสะออกมา

“เจ้าควรรู้ไว้ว่าขณะนี้มีคนพร้อมแทงข้างหลังเจ้าได้ตลอดเวลา อย่าได้ลากพาคนไม่รู้อิโหน่อิเหน่มาเกี่ยวข้องด้วย”

ความเงียบเข้ามาปกคลุมในห้องชั่วขณะ ทุกคนในที่นี้รู้ว่าสถานกาณ์ภายในของปามะห์เป็นอย่างไร แม้จะมองจากคนภายนอกแล้วดูเหมือนสงบสุข แต่คนภายในรู้ดีว่ามีสงครามแก่งแย่งอำนาจเกิดขึ้นตลอดเวลา

“ว่าแต่สิริกัญญาไม่สนใจจะเข้าวังบ้างเหรอ”

“พ่อ...”

เจ้าชายชัยนเรนทร์ทักพระบิดาที่ยังเล่นไม่เลิก แต่เจ้าหลวงกลับทำเสียงจิ๊จ๊ะ พลางส่ายพักตร์เมื่อพระโอรสเข้าใจความหมายของพระองค์ผิด

“ไม่ได้เป็นนางห้าม เป็นพระพี่เลี้ยงน่ะ”

“เป็นพระพี่เลี้ยงให้พระธิดาองค์ไหนหรือเพคะ” สิริกัญญาถามกลับอย่างสนใจใคร่รู้ โลกภายนอกเป็นสิ่งที่หญิงสาวอยากออกไปเผชิญมากที่สุด เธอจะไม่ปฏิเสธเลย หากมีคนยื่นโอกาสให้เธอออกไปยังโลกที่อยู่นอกเหนือจากคฤหาสน์พรหมเทวา

“แสงอัปสร”

“พระธิดาจอมดื้อที่เปลี่ยนพระพี่เลี้ยงอย่างกับผ้าเช็ดหน้า” บริมาสเสริมท้ายคำตรัสของเจ้าหลวงที่เบ้โอษฐ์กับคำกล่าวที่ไม่เกินจริงของบุตรีเสนาบดีมหาดไทย

“แค่นิสัยเข้ากันไม่ได้เท่านั้นเอง”

“ตัวเจ้าหญิงเองต่างหากที่ไม่ยอมเข้ากับใคร ขี้แกล้งแล้วก็ดื้อ ทำพระพี่เลี้ยงร้องห่มร้องไห้ขอลาออกไปกี่สิบคนแล้วก็ไม่รู้ คราวนี้ใครจะกล้ามารับตำแหน่งพระพี่เลี้ยงของเจ้าหญิงแสงอัปสรต่อล่ะเพคะ วีรกรรมของพระธิดาน่ะลือออกไปจนไม่มีใครกล้ามาเป็นพระพี่เลี้ยงให้แล้ว”

เจ้าชายชัยนเรนทร์เลิกพระขนงขึ้น เมื่อเห็นบุตรีเสนาบดีมหาดไทยต่อคารมกับองค์เจ้าหลวงอย่างหาญกล้า ดวงหน้าที่เชิดตรงบอกถึงความมั่นอกมั่นใจ และวาจาที่ฟังดูเหมือนจะไม่เคารพนบนอบ แต่คำพูดนั้นบ่งบอกถึงความซื่อตรงไม่เสแสร้ง อีกทั้งไม่มีการประจบประแจงอย่างที่พระองค์เห็นนางในวังทำจนน่าระอา

ดูท่าพระบิดาจะทรงเลือกคนที่น่าสนใจมาให้เสียแล้วสิ

“ข้าตัดสินใจแล้ว พระพี่เลี้ยงของแสงอัปสรคือเจ้ากับสิริกัญญานี่แหละ”

“หา!?” บริมาสร้องเสียงหลงเมื่อโดนยัดเยียดตำแหน่งพระพี่เลี้ยงให้

“ฝีปากเจ้าคงต่อกรกับแสงอัปสรได้ หรือเจ้าคิดว่าจะโดนลูกข้ากลั่นแกล้งจนร้องห่มร้องไห้เหมือนคนอื่นล่ะ” เจ้าหลวงทรงยิ้มกริ่ม เมื่อสามารถขจัดปัญหาตำแหน่งพระพี่เลี้ยงของพระธิดาจอมดื้อที่ว่างมานานได้ พลางส่งสายพระเนตรท้าทายคุณหนูจอมซนที่ฆ่าได้แต่หยามไม่ได้

“ดูถูกฝีมือหม่อมฉันเกินไปแล้วมั้งเพคะ”

“แสดงว่าตกลง” เจ้าหลวงทรงพระสรวลแผ่วเบา เมื่อแม่กวางน้อยกำลังติดกับดักที่วาง

“ก็ได้เพคะ หม่อมฉันจะดัดพระนิสัยเจ้าหญิงแสงอัปสรให้ คราวนี้ฝ่าบาทอย่ามาโอดครวญนะว่าหม่อมฉันไม่ปราณี”

คนที่รู้ถึงพระนิสัยเจ้าเล่ห์ของเจ้าหลวงพากันส่ายหน้าอย่างอ่อนใจ พระองค์ลวงบริมาสให้เข้ามาติดกับอย่างแนบเนียน โดยใช้นิสัยของเธอเองเป็นตัวล่อ สุดท้ายแล้วทุกคนก็เดาได้ว่าผลจะออกมาเป็นอย่างไร คราวนี้ก็เหลือแต่สิริกัญญาที่ไม่รู้ว่าพระองค์จะใช้ไม้ไหนลวงหญิงสาวให้ตกลงรับตำแหน่งพระพี่เลี้ยงร่วมกับบริมาส แต่พอดูจากท่าทางของเธอแล้วคงไม่ต้องใช้อะไรมาล่อ เพราะดวงตาสีน้ำเงินฉายแววสนใจตำแหน่งนี้เต็มที่

“แล้วฝ่าบาทเลือกหม่อมฉันด้วยเหตุผลอะไรหรือเพคะ” สิริกัญญาเอ่ยถามด้วยความสนใจ เธอไม่รู้จักพระนิสัยของเจ้าหญิงแสงอัปสร แต่จากที่ฟังคุณหนูจอมซนเกริ่น เดาได้ว่าคงร้ายเอาการอยู่

องค์เจ้าหลวงครางแผ่วเบา แล้วแย้มโอษฐ์กว้าง “นิสัยเจ้าเหมือนกับปลายมาศ” ตรัสพลางเหลือบสายพระเนตรไปยังพี่ชายของว่าที่พระพี่เลี้ยงอย่างเจ้าเล่ห์ “เจ้าน่าจะรู้ไว้เสียหน่อยนะว่าพี่ชายของเจ้าปราบลูกดื้อของข้าไปได้หลายคนแล้ว ทั้งเด็กเล็ก เด็กโตหรือเด็กโข่งบางคน”

เจ้าชายชัยนเรนทร์กระแอมเสียงดัง เมื่อโดนพระบิดาเล่นเข้าให้เสียแล้ว ตรงข้ามกับราเชนที่กลั้วหัวเราะเยาะเย้ยเด็กโข่งที่โดนปราบจนแหยง ส่วนปลายมาศได้แต่ยิ้มน้อย ไม่พูดอะไร แต่ในใจน่ะกำลังโต้ตอบกับเจ้าหลวงอยู่ว่ากว่าจะปราบลูกดื้อของพระองค์ได้ เขาก็ส่งใบลาออกจนนับครั้งไม่ถ้วนแล้ว

“หม่อมฉันไม่คิดว่าจะมีความสามารถแบบพี่ปลายมาศ” หญิงสาวตอบอย่างถ่อมตน

“ข้ารู้ว่าเจ้าทำได้”

ดวงตาสีน้ำเงินพราวระยับขึ้น กับการถูกตั้งความหวังจากบุคคลที่เธอปลาบปลื้ม หญิงสาวยิ้มพลางค้อมศีรษะรับตำแหน่งพระพี่เลี้ยงอย่างยินดี “หม่อมฉันพร้อมจะทำตามพระประสงค์ของพระองค์เพคะ”

“อีกสามวันข้าจะให้พวกเจ้ารู้จักธิดาตัวน้อยของเรา”

- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -


เจ้าหลวงไม่ได้อยู่ก่อกวนคนป่วยตามที่ตั้งพระทัยไว้ เมื่อมหาดเล็กเข้ามากราบทูลว่าเสนาบดีกลาโหมกับเสนาบดีการต่างประเทศมารอเข้าเฝ้า และดูเหมือนท่านเสนาบดีทั้งสองจะล่วงรู้ว่านายเหนือหัวจะทรงหาทางเบี้ยวงานแน่ จึงมารอรับเสด็จเพื่อตามกลับไปทรงงานอยู่หน้าตำหนักอรินทราของเจ้าชายชัยนเรนทร์

สิริกัญญานึกเสียดายอยู่ไม่น้อยที่พระองค์ทรงแวะมาเพียงครู่เดียว แต่แล้วหญิงสาวก็นึกแปลกใจ เมื่อพระองค์เสด็จเข้ามาหา พร้อมทั้งยกหัตถ์ขึ้นตบศีรษะของเธอแผ่วเบา ราวกับผู้ใหญ่คนหนึ่งกระทำต่อเด็กด้วยความเอ็นดู

“ตอนที่จินดาพาปลายมาศเข้ามาถวายตัวเป็นมหาดเล็ก ข้าก็นึกเอ็นดูเขาตั้งแต่แรกเห็น พอมาเจอเจ้า ข้าก็รู้สึกเอ็นดูเจ้าไม่แตกต่างจากพี่ชายของเจ้า ลูกของจินดาก็เหมือนลูกของข้า จงจำไว้ว่าพวกเจ้าเปรียบเสมือนลูกคนหนึ่งของข้า หากใครมาแผ้วผลาญทำอันตรายต่อพวกเจ้า ข้าปัฐวิกรณ์ขอสัญญาเลยว่ามันผู้นั้นจะไม่ได้มีชะตาที่ดีแน่”

พระกรุณาธิคุณที่สิริกัญญาไม่เคยคิดเลยว่าจะได้รับ ทำให้เธอน้ำตาซึม ร่างโปร่งบางถอนสายบัวอย่างสวยงามที่สุด พลางยิ้มโดยไม่พูดอะไร แต่เธอไม่รู้หรอกว่าคำตรัสของเจ้าหลวงเป็นการประกาศชัดแจ้งให้ทุกคนในที่นี้รู้แล้วว่าทรงเลือกหมากไปวางไว้ที่ตาใด

“สิริกัญญา...บริมาส” หลังจากที่เจ้าหลวงเสด็จกลับไป เจ้าชัยนเรนทร์จึงตรัสเรียกหญิงสาวทั้งสองที่ขานรับอย่างพร้อมเพรียง

“เพคะ”

“ข้าจะให้พวกเจ้าลองพูดคุยทำความรู้จักกันว่าถูกอัธยาศัยกันดีหรือไม่ ที่สวนจุฑามณีข้างตำหนักข้าเป็นไง ที่นั่นมีศาลาพักผ่อนอยู่ ไปนั่งเล่นที่นั่นกันก็ได้”

สิริกัญญาเหลือบตามองไปทางพี่ชายที่ยิ้ม โดยไม่ส่งความนัยทางสายตามาเหมือนอย่างที่เคย ทั้งที่เธอรู้สึกว่าคำตรัสของเจ้าชายชัยนเรนทร์นั้นเหมือนไล่อยู่ในทีมากกว่า แต่เธอก็ไม่ได้ทำท่าทีสงสัยอะไร จึงหันไปพยักหน้าให้กับบริมาส แล้วถอนสายบัวขอตัวมาอย่างรู้หน้าที่

พอออกมาพ้นห้องพักรับรองซึ่งกลายเป็นห้องของปลายมาศชั่วคราว สองสาวก็เดินจูงมือกันไปตามทางเดินวกวนในตำหนักของเจ้าชายชัยนเรนทร์ จนมาโผล่ที่สระน้ำขนาดใหญ่ ซึ่งมีใครบางคนเอาเรือเล็กออกไปเล่นท่ามกลางแดดร้อนเปรี้ยง แต่เสียงเจี๊ยวจ๊าวที่ดังลั่นมาถึงฝั่งก็บอกให้รู้ ว่าคนบนเรือไม่ครั่นคร้ามกับแสงอาทิตย์ที่แผดเผา

“เราไปนั่งกันที่โดมเถอะ สิรี”

บริมาสจูงมือเพื่อนไปยังโดมหินอ่อนที่อยู่อีกด้านของสระน้ำใหญ่ มันเป็นโดมหินอ่อนสีดำที่เปิดโล่ง มีชุดม้าหินขนาดใหญ่ตั้งอยู่กลางโดม บนโต๊ะม้าหินนั้นมีช่องตารางสำหรับเล่นหมากรุก และเมื่อสังเกตให้ดี ด้านข้างของตารางหมากรุกนั้นมีกล่องสี่เหลี่ยมฝังตัวลงไปในเนื้อหินทั้งสองด้าน ครั้นพอเปิดออกมาก็มีตัวหมากรุกนอนนิ่งอยู่ในนั้นอย่างเป็นระเบียบ

“เล่นหมากรุกเป็นไหมสิรี” คุณหนูจอมซนพูดพลางวางตัวหมากรุกสีทองลงบนฝั่งของตัวเอง และสีเงินบนฝั่งที่สิริกัญญาทรุดตัวลงนั่งตามเพื่อน

“พี่ปลายมาศเคยสอนให้เล่นนิดหน่อยน่ะ”

“งั้นเล่นไปคุยไปนะ ข้ามีเรื่องอยากคุยกับเจ้ามากมายทีเดียว” พูดเสร็จ บริมาสก็เดินหมากตาแรกทันที โดยไม่มีการเกริ่นอะไรอีก

“อยากถามเรื่องอะไรล่ะ” สิริกัญญาพูดพลางเดินหมากตาที่สองโต้กลับไป

“อย่างแรกก็เป็นแผลบนหน้าเจ้าน่ะสิ ข้าไม่เดาหรอกว่าใครทำ” บริมาศมองเพื่อนที่ยกมือขึ้นลูบผ้าปิดแผลบนใบหน้า แล้วยิ้มน้อยโดยไม่ตอบอะไร คุณหนูพระจันทร์เลยได้แต่ถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ พลางเอ่ยต่อ “ข้าไม่ชอบเลยที่เจ้าโดนทำแบบนี้ แล้วยังเรื่องพี่ปลายมาศอีก ตอนที่ข้ารู้ว่าเขาล้มน่ะ อยากจะมาเยี่ยมใจแทบขาด แต่ไม่รู้จะอ้างเหตุผลอะไรดี เพราะคนอื่นไม่รู้ว่าข้ารู้จักพี่ปลายมาศ”

“เจ้าเลยเข้าไปทางองค์เจ้าหลวง”

“ก็ไม่เชิงหรอก ข้าแค่ดวงเฮง” บริมาสพูดพลางหัวเราะ แต่แล้วหัวคิ้วก็ขมวดเข้าหากันเมื่อหมากฝ่ายเธอเริ่มเสียเปรียบ ทั้งที่เธอทำแต้มนำมาโดยตลอด

“ยังไงเหรอ”

“เมื่อเช้าข้าเข้าวังกับพ่อ” คุณหนูคนงามนึกไปถึงเรื่องเมื่อเช้า พลางเบ้ปาก “ก็เรื่องพระพี่เลี้ยงนั่นแหละ แล้วโอกาสก็ประจวบเหมาะตรงที่ท่านจินดาเข้ามาให้เจ้าหลวงช่วยทำอะไรสักอย่าง กับเจ้าชายชัยนเรนทร์ที่ส่งคนมาแจ้งว่าจะให้เจ้าค้างที่ตำหนักของพระองค์” แล้วหญิงสาวก็ถอนหายใจออกมาอีกเฮือก เมื่ออ่านหมากไปจนจบกระดานแล้วเห็นลางแพ้รำไร

“ข้าอยู่ตรงนั้นพอดี เลยโดนหิ้วมาด้วย”

“รุกฆาต”

“อะไรกัน! นี่นะบอกว่าเล่นเป็นนิดหน่อย” บริมาสส่งเสียงโวยวาย หลังจากที่โดนอีกฝ่ายจัดการพระราชาของตัวเองไปอย่างง่ายดาย

“ก็นิดหน่อยจริง ๆ นี่ ข้าเล่นหมากรุกกับพี่ปลายมาศทีไรโดนรุกฆาตทุกที”

“พี่ปลายมาศน่ะเก่งเกินไปแล้ว อะไร ๆ ก็เก่งหมดทุกอย่าง มีอะไรที่ไม่เก่งบ้างไหมนะ”

กระดานต่อไปถูกจัดใหม่อีกครั้ง พร้อมกับการเดินตาแรกของบริมาสที่มีสิริกัญญาคอยเดินตามด้วยท่าทีเนิบนาบ แต่แฝงความหนักแน่นและมั่นคงไว้

“ไม่รู้สิ ตั้งแต่เด็กจนโตมา ข้าไม่เห็นพี่ปลายมาศไม่เก่งอะไรสักอย่าง” สิริกัญญาทำท่าคิดว่ามีอะไรบ้างที่พี่ชายต่างมารดาทำไม่เป็นบ้าง ขนาดงานบ้านงานเรือนที่เป็นงานของผู้หญิง พี่ชายของเธอยังทำได้เก่งไม่แพ้งานของผู้ชาย และส่วนใหญ่งานพวกนั้นเธอก็ได้รับการสอนจากเขามาอีกที

“เออ...เจ้ารู้หรือเปล่าว่าเจ้าหลวงจะทรงจัดงานล่าม้าที่ป่าตะวันตกล่ะ” บริมาสเปลี่ยนไปอีกเรื่องจนอีกฝ่ายตามไม่ทัน แต่คำบอกเล่านั้นก็ทำให้คนฟังขมวดคิ้วยุ่ง

“ล่าม้าเหรอ ฟังดูไม่ค่อยดีเลยนะ”

“ความจริงชื่องานมันสวยหรูกว่านี้ แต่ข้าขี้เกียจจำน่ะ” คุณหนูคนงามกลั้วหัวเราะในลำคอ แต่คิ้วต้องผูกโบเป็นรอบที่สอง เมื่อเห็นหมากของเธอเริ่มเสียเปรียบ

“เจ้าก็รู้ว่าม้าพวกนั้นเจ้าพยศมากแค่ไหน เจ้าหลวงเลยนึกสนุกอยากหาคนกล้ามาทดสอบความสามารถว่าจะปราบม้าพวกนั้นได้หรือเปล่า ส่วนรางวัลก็เป็นม้าตัวนั้นกับทองไม่เท่าไหร่ พร้อมกับพระราชทานยศให้ เรื่องนี้ข้าได้ยินมาจากพ่ออีกทีน่ะ”

“ประจวบเหมาะเกินไป” สิริกัญญาไล้นิ้วไปตามเรียวปากยามขบคิดถึงกลที่ถูกวางล่อไว้

“ประจวบเหมาะยังไง”

“การค้นหาผู้กล้าไง เจ้าคิดว่าจะมีสักกี่คนเชียวที่ปราบม้าปัจฉิมได้ แล้วยังการพระราชทานยศอีก คงไม่ใช่แค่เอาไว้ประดับเล่นเพื่ออวดบารมีหรอก อา...รุกฆาต”

“อีกแล้ว!” บริมาสร้องอย่างขัดเคือง เมื่อแพ้ติดกันเป็นกระดานที่สอง แล้วเธอก็ทำการรื้อกระดานก่อนจัดใหม่ เพื่อเริ่มกระดานที่สาม

“ข้าว่างานนี้อาจมีแขกไม่ได้รับเชิญมาด้วยก็ได้นะ” สิริกัญญาหัวเราะคิกกับการเดินเร็วหมายให้คู่ต่อสู้ไขว้เขวของคุณหนูตรงหน้า

“ทำไมถึงคิดอย่างนั้นล่ะ”

“ก็เจ้าบอกว่าชื่อพิธีการสวยหรู ยังไงก็คงเป็นงานใหญ่ล่ะ เพื่อนบ้านของเราคงสนอกสนใจเป็นพิเศษ แล้วจะได้เข้ามาสอดแนมเรื่องภายในของเราด้วย ข้าว่าเจ้าหลวงคงทรงวางแผนการบางอย่างไว้”

“เจ้าคิดว่ามันเป็นแผนการอะไร” คุณหนูคนงามถามอย่างสนใจ

“ไม่รู้”

“อ้าว!?”

คนรู้มากหัวเราะแผ่วเบา แล้วจัดการรุกฆาตอีกกระดานจนจอมซนเบ้ปากเบี้ยว “ข้ารู้เท่าที่พี่ปลายมาศต้องการให้รู้ ส่วนที่เหลือข้าเอามาปะติดปะต่อเอง อาจจะผิดก็ได้”

“อาจไม่ผิดหรอก เพราะหลายครั้งที่เจ้าคาดคะเนมักถูกเสมอ ข้าเชื่อเจ้า”

“อย่าเชื่อข้าเลยบริมาส เพราะข้าก็ไม่ได้ทายถูกเสมอไป”

แล้วกระดานที่สี่ก็เริ่มขึ้นอีกครั้ง โดยสองสาวเพิ่มความเร็วในการเดินมากขึ้น แต่ก็เป็นการประชันความคิดอ่านเฉพาะหน้า ที่สิริกัญญาต้องยอมรับว่ายิ่งเดินเร็วมากเท่าไร บริมาสยิ่งเดินได้ดีมากเท่านั้น คุณหนูคนงามมีสัญชาตญาณเฉียบคมกับเรื่องตื่นเต้นเสมอ

“รุกฆาต!” บริมาสร้องลั่นด้วยความดีใจ เมื่อสามารถเอาชนะได้ในกระดานที่สี่

“ข้าเดินหมากเร็วไม่ถนัด”

“งั้นข้าจะเดินหมากเร็วต่อ” หญิงสาวพูดอย่างได้ใจ แล้วจัดการเริ่มกระดานที่ห้าอีกครั้ง

“งั้นข้าจะเดินช้า”

“ไม่...” เสียงหวานเอ่ยยียวน พลางแย้มยิ้มหวาน “เจ้าต้องเดินเร็วแบบข้า”

“บังคับกันนี่” คนไม่ถนัดเดินเร็วเอ่ยท้วง

“ไม่รู้ล่ะ มันไม่ยุติธรรมสำหรับข้าที่เดินเร็วนี่”

“งั้นก็เดินช้าแบบข้า” คนชอบเดินช้าเสนอความเห็นบ้าง

“ข้าก็แพ้เจ้าไง”

สิริกัญญาส่ายหน้าไปมา และยอมเดินเร็วตามเพื่อนที่เอาแต่ใจ แต่กลับกลายเป็นว่าคนชอบเดินเร็วแพ้กลางกระดาน หลังจากเดินไปได้ไม่กี่ตา

“อะไรกัน!”

“วิธีนี้ข้าไม่ค่อยชอบหรอก แต่ถ้าไม่อยากแพ้ก็ต้องงัดเอามาใช้”

บริมาสพ่นลมหายใจดังพรืด พลางกลอกตาไปมา “งั้นเดินช้าลงหน่อยก็ได้ เผื่อข้าจะหาหนทางเอาชนะเจ้าได้บ้าง“ ว่าแล้วก็จัดการกระดานที่หกที่คราวนี้ต่างฝ่ายต่างจมกับความคิดของตัวเองอยู่นาน

“เจ้าจะไปงานนี้ในฐานะไหนน่ะ หนุ่มชาวป่าหรือบุตรีท่านองคมนตรี” คุณคนงามเอ่ยขึ้นมาท่ามกลางความเงียบ พลางเดินหมากอย่างระมัดระวังขึ้น

“แล้วเจ้าล่ะ”

“ถ้าไปในฐานะคุณหนูบริมาสคงได้แต่มองดูห่าง ๆ บางทีจันทรอาจได้ดูใกล้สนาม” หญิงสาวผู้ชอบปลอมตัวเป็นหนุ่มน้อยหน้าแฉล้มบ่นงึมงำ

“ถ้าจันทรไป แล้วคุณหนูบริมาสล่ะ จะไม่มีคนสงสัยเอาเหรอ” สิริกัญญาเลิกคิ้วขึ้น เมื่อเพื่อนเดินหมากเข้ามาในตาที่ไม่คาดคิด

“ไปโผล่ให้คนอื่นเห็นหน้าแวบเดียว แล้วก็เผ่น เจ้าล่ะจะใช้วิธีไหน” บริมาสเอ่ยถามเพื่อนบ้าง

“ข้าอาจไม่ได้รับอนุญาตให้ออกไปข้างนอก คิดว่าคงจะไปในฐานะของสิรี”

“แล้วถ้าได้รับอนุญาตให้ไปได้ล่ะ”

“คงทำแบบเจ้า ข้าคิดว่ายังไงคงไม่มีใครสนใจสิริกัญญามากเท่ากับคุณหนูบริมาส” สิริกัญญาแย้มยิ้มกว้าง แล้วเลียนแบบการเดินหมากเมื่อครู่

“รุกฆาต"

- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -


“ข้าไม่เล่นกับเจ้าแล้ว” บริมาสร้องดังลั่นพร้อมกับล้มกระดานที่ทำให้เธอแพ้ติดต่อกันร่วมสิบครั้ง

“ก็เจ้าใจร้อน มีหลายตาจะตายที่เจ้าพลิกกระดานชนะข้าได้” สิริกัญญาตอบกลับเสียงละมุน ระหว่างการเดินหมากนั้น เธอชี้แนะเพื่อนด้วยหมากไว้หลายตัว และบริมาสก็มีไหวพริบดี จึงไม่รีบเร่งพาตัวเองเข้ามาตายอย่างรวดเร็วเช่นตาแรก ๆ

“ข้าไม่ใช่เจ้านี่ เย็นจนหนาวจับขั้วหัวใจแล้ว” คุณหนูคนงามเอ่ยประชดและค้อนขวับให้คนที่ยังหัวเราะไม่เลิก

“เราอยู่นี้กันนานแล้วนะ จะกลับกันเลยไหม”

ดวงตาสีน้ำเงินเหลือบมองดวงอาทิตย์ที่เคลื่อนคล้อยลงไปมาก พลางลุกขึ้นยืนตามเพื่อนที่พยักหน้าอย่างเห็นด้วย แต่พวกเธอยังไม่ทันได้เดินลงจากโดม ก็ปะทะเข้ากับกลุ่มชายหนุ่มห้าคน ที่แย้มยิ้มส่งไมตรีมาให้ เมื่อเห็นว่าหญิงสาวที่กำลังจะสวนทางผ่านไปเป็นใคร

“อ้าว! คุณหนูบริมาสนี่นา สวรรค์คงลิขิตให้เราได้มาพบกันแบบนี้”

บริมาสเบ้ปากเบี้ยวกับคำทักทายที่ทำเอาเธอขนลุกชัน “ข้าว่านรกสาปส่งมากกว่า”

“อย่าพูดจาตัดรอนกันแบบนี้สิคุณหนู”

สิริกัญญามองการโต้ตอบสลับกันไปมาของคนสองคนอย่างเงียบเชียบ เธอดูจากท่าทางของเพื่อนแล้ว เจ้าตัวคงไม่ชอบชายหนุ่มตรงหน้านี้เท่าไร และเขาคงเป็นหนึ่งในคุณชายที่คิดจะเข้ามาสานไมตรีกับบุตรีท่านเสนาบดีมหาดไทย

หญิงสาวรู้สึกเห็นใจบริมาสขึ้นมาเล็กน้อย เกิดมาเป็นคนงามก็มักมีแมลงเข้ามาไต่ตอมหวังเชยชม ยิ่งเจ้าตัวมีบิดาเป็นถึงเสนาบดี คนที่เข้ามาโดยมีเป้าหมายแอบแฝงก็มีมากเป็นเท่าตัว การตามหารักแท้ตามที่บริมาสเคยหวังคงห่างไกลเกินเอื้อม แค่คิดก็ทำให้สิริกัญญาถอนหายใจออกมา

“คุณหนูบริมาสมากับใครน่ะ ไม่คิดจะแนะนำให้ข้ารู้จักบ้างเหรอ”

“ไม่ใช่เรื่องของเจ้า”

“โอ๊ะ! กันท่าด้วย”

เสียงหัวเราะครื้นเครงของกลุ่มชายหนุ่มที่ได้เย้าหยอกคุณหนูคนงาม ยิ่งสร้างความเดือดดาลให้แก่คนขี้โมโหเป็นอย่างมาก บริมาสอยากพ่นคำผรุสวาทกลับไป แต่เธอก็ต้องกล้ำกลืนคำพูดเหล่านั้น เมื่อมือเรียวบางถูกดึงรั้งด้วยมือของเพื่อน

“พวกเข้ามีธุระต้องรีบไป ขอความกรุณาหลีกทางให้พวกข้าด้วย” สิริกัญญาเอ่ยเสียงนุ่ม และมองดูกลุ่มชายหนุ่มที่นอกจากจะไม่หลีกทางให้พวกเธอแล้ว ยังขยับตัวล้อมวงเข้ามาใกล้อีก

“บอกชื่อมาก่อนสิ แล้วพวกข้าจะหลีกทางให้” น้ำเสียงกรุ้มกริ่มของชายหนุ่มคนหนึ่งในกลุ่มเรียกเสียงถอนหายใจออกมาจากคนอารมณ์เย็น เธอไม่เคยเจอเหตุการณ์แบบนี้เสียด้วยสิ เลยไม่รู้ว่าจะจัดการแบบไม่ให้ตัวเองเสียเปรียบได้อย่างไร เพราะดูจากท่าทางของกลุ่มคุณชายพวกนี้แล้ว คงไม่เลิกราวีพวกเธอจนกว่าจะได้ในสิ่งที่ต้องการแน่

แต่เธอไม่อยากบอกชื่อกับพวกนี้นี่นา นึกแล้วเธอก็คิดถึงการกระทำของราเชนขึ้นมา ถ้าโดนแบบนั้นเธอคงโต้ตอบแบบเต็มกำลังได้ ถึงอย่างนั้นเธอก็ไม่อยากให้คุณชายพวกนี้ใช้วิธีเดียวกับเจ้าปาเยนทร์ ผู้ชายกักขฬะแบบนั้นมีคนเดียวก็เกินพอ

“เอ๊ะ! เจ้ามีดวงตาสีน้ำเงิน ไม่ใช่คนปามะห์นี่”

เสียงใครคนหนึ่งทักขึ้น และทำให้เจ้าของดวงตาสีน้ำเงินขมวดคิ้วมุ่น ถึงเธอจะมีดวงตาที่ไม่เหมือนใคร แต่ก็ถือว่าเกิดในแผ่นดินสีทองแห่งนี้ จะหาว่าเธอไม่ใช่คนของที่นี่ได้อย่างไร

“ข้าเป็นคนปามะห์” คนที่ว่าอารมณ์เย็นแล้ว เริ่มเย็นมากขึ้นไปอีก และบริมาสก็จับความรู้สึกของเพื่อนได้ สิริกัญญายิ่งเป็นคนมีปมด้อยอยู่ด้วย คุณชายงี่เง่าพวกนี้พูดอะไรไม่ดูตาม้าตาเรือเลย

“ก็คงครึ่งหนึ่งมั้ง ทั้งสีตา สีผม แล้วยังโครงหน้าของเจ้า มีเค้าของปามะห์น้อยเหลือเกินนะ” เสียงกลั้วหัวเราะของใครบางคนในกลุ่มดังขึ้นอีก พร้อมกับมือหนาที่ยื่นมาหวังจะสัมผัสดวงหน้าของลูกครึ่ง แต่ก็ถูกปัดออกด้วยมือของหญิงสาวที่แย้มยิ้มหวานเสียจนบริมาสร้องโวยวายในใจ

พายุสีน้ำเงินกำลังก่อตัวขึ้นแล้ว!

“อย่าเสียมารยาทกับข้า”

เสียงปัดมือนั้นไม่ใช่เบาเลย และคงทำให้เจ้าของมือจาบจ้วงไร้ความรู้สึกไปครู่หนึ่ง กับแรงตบที่มากเกินกำลังหญิง แต่สิ่งที่ไปกระตุ้มต่อมความโกรธคงเป็นถ้อยคำหยิ่งทะนง ที่ดูแล้วเป็นการหมิ่นเกียรติคุณชายที่ยึดมั่นในศักดิ์ศรียิ่งนัก เพราะดูจากการแต่งตัวของสิริกัญญาแล้ว น่าจะมีศักดิ์ต่ำกว่าพวกคุณชายที่เป็นลูกเจ้ากรมต่าง ๆ เสียอีก

“เจ้าต่างหากที่อย่ามาเสียมารยาทกับพวกข้า เจ้ารู้หรือไม่ว่าพวกข้าลูกใคร”

สิริกัญญาเลิกคิ้วขึ้นอย่างไม่กลัวเกรง อีกทั้งยังหลุดเสียงหัวเราะกับการที่คุณชายทั้งหลายเอาบารมีของพ่อมาข่ม และถ้าพูดตามตรง เธอคิดว่าตัวเองจะชนะถ้าอาศัยบารมีของพ่อเช่นคุณชายพวกนี้ แต่นั่นไม่ใช่นิสัยของเธอ

“มันไม่สำคัญว่าพวกท่านเป็นลูกใคร มันอยู่ที่พวกท่านเป็นใครต่างหาก”

“ถ้าพวกเจ้าใช้กำลังล่ะก็ ข้าจะฟ้องพ่อ” บริมาสแยกเขี้ยวขู่ฟ่อ เมื่อเห็นเหล่าคุณชายเริ่มแสดงท่าทางมุ่งร้ายออกมา

“เราไม่ทำอะไรคุณหนูบริมาสหรอก แต่กับผู้หญิงที่ไม่รู้จักที่ต่ำที่สูงแบบนี้ต้องสั่งสอนกันหน่อย”

“พวกเจ้าลองแตะต้องนางสักปลายเล็บสิ แล้วข้าจะบอกให้ว่าพวกเจ้าจะเจออะไร”


คุยท้ายเรื่อง
ก็คงเข้ามาโพสต์ตามปกติอาทิตย์ละตอนล่ะค่ะ ไม่มีความสามารถพอที่จะโพสต์ได้มากกว่าหนึ่งตอนต่ออาทิตย์ เพราะความว่องไวในการเขียนนี้ช้าพอ ๆ กับเต่า ขอบคุณที่ยังเข้ามาติดตามอยู่นะคะ



Create Date : 19 ธันวาคม 2550
Last Update : 19 ธันวาคม 2550 20:37:36 น.
Counter : 327 Pageviews.

3 comments
  

รับทรายเจ้าค่ะ แต่ถ้ามาวันไหนได้น่าจะบอกวันไว้

หน่อยก็จะดีค่ะ จะได้รออ่าน กำลังหนุกเลย

เราว่าตอนนี้ เร็วกว่าน้ำมันตราเต่าแล้วนะค่ะ
โดย: nekojunt IP: 58.9.80.77 วันที่: 19 ธันวาคม 2550 เวลา:21:26:03 น.
  
ไม่เป็นไรหรอกค่ะ อาทิตย์ละตอนก็ได้ แต่อย่าทิ้งไปนานก็แล้วกันค่ะ
โดย: pumpam IP: 58.8.77.246 วันที่: 20 ธันวาคม 2550 เวลา:10:55:06 น.
  
ยังงัยก็ได้ค่ะ ขอแค่มาอัพให้อ่านก็พอใจแล้ว สู้ๆ นะคะ กำลังสนุกเลย
โดย: T.J. IP: 125.25.168.66 วันที่: 20 ธันวาคม 2550 เวลา:16:26:10 น.
ชื่อ :
Comment :
 *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

ฌา
Location :
  

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]



New Comments
All Blog