พิษเสน่หา 42
๔๒ เมื่อความตายพลัดพราก (๒)

สารัสสะเข้าไปช่วยผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้าให้สิริกัญญาสำหรับเตรียมหนี พร้อมทั้งเล่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างคร่าว ๆ ให้อีกฝ่ายฟังอย่างไม่มีปิดบัง ซึ่งทำให้คนฟังมีสีหน้าเคร่งเครียด และกังวลตามไปด้วย เมื่อคณะกองเกวียนหญิงทั้งหมดจะอยู่ตั้งรับ และถ่วงเวลาให้ราเชนพาเธอหนีไป

“หนีไปด้วยกันไม่ดีกว่าหรือคะ คนพวกนั้นเป็นทหารรับจ้าง พวกท่านสู้ไม่ได้แน่”

ถ้อยคำของสิริกัญญาเหมือนของราเชนที่เอ่ยกับหัวหน้ากองเกวียนหญิงไปเมื่อครู่ และมันได้เรียกรอยยิ้มให้กับคนฟังไม่น้อย หญิงสาวลูบเรือนผมสีดำที่ถูกตัดให้เหลือความยาวประบ่า ก่อนหมุนร่างบอบบางให้หันมาทางเธอ แล้วสบจ้องเข้าไปในดวงตาสีน้ำเงิน

“หากไม่มีใครเสียสละ ทุกคนก็จะตายหมด และข้าก็อยากให้เจ้ารอด เพื่อที่ราเชนจะได้อยู่รอดด้วย”

ความจริงแล้ว คนที่สารัสสะอยากปกป้องไม่ใช่สิริกัญญา แต่เป็นราเชน คนที่เธอยังตัดสัมพันธ์รักไม่ขาด และด้วยความที่คบหากันมานาน ทำให้หญิงสาวรู้ว่าชายหนุ่มจะไม่ยอมหนีไป โดยทิ้งเธอกับสมาชิกหญิงไปพร้อมกับหญิงสาวผู้นี้แน่

ในดวงตาที่สิริกัญญาได้สบจ้อง มีรอยอาลัยรักต่อบุคคลที่หัวหน้ากองเกวียนหญิงเอ่ยถึงแฝงอยู่ แล้วหญิงสาวก็เดาได้ไม่ยากว่าทั้งคู่เคยมีความสัมพันธ์แบบใดมาก่อน และเธอก็อดรู้สึกผิดขึ้นมาไม่ได้ เมื่อวูบหนึ่งไพล่คิดไปว่าตัวเองได้แย่งคนรักของอีกฝ่ายมา

“อย่าทำสายตาแบบนั้นสาวน้อย” สารัสสะเอ่ยขัดขึ้นมา เมื่อเดาความคิดของอีกฝ่ายได้ “...เพราะข้าเป็นคนขอเลิกกับราเชนเอง ข้าไม่อาจทนอยู่กับเขาได้ เมื่อสายตาของเขาไม่ได้มองมาที่ข้า” หญิงสาวพูดพลางคลี่ยิ้มเศร้า ด้วยเธอรู้แล้วว่าสายตาของราเชนเฝ้าตามหาใคร

“หากเห็นแก่ข้า จงพาเขาหนีไป”

สิริกัญญาก้มหน้าหลบสายตาอย่างรู้สึกผิด ก่อนพยักหน้ารับคำขอร้องของหัวหน้ากองเกวียนหญิง ที่ไม่ได้เผื่อใจสำหรับการมีชีวิตรอด

“เราออกไปกันเถอะ ป่านนี้ราเชนคงเตรียมม้าเสร็จแล้ว” สารัสสะคลี่ยิ้มอย่างหมดห่วง เมื่อชีวิตของคนที่รักจะอยู่รอดปลอดภัย โดยเจ้าของดวงตาสีน้ำเงินที่อยู่ตรงหน้า หญิงสาวประคองอีกฝ่ายให้ออกไปนอกกระโจม ซึ่งทุกคนได้เตรียมอาวุธพร้อมรบเรียบร้อย และหนึ่งในนั้นก็มีราเชนกับม้านิลคู่ใจที่แสดงอาการฟึดฟัด ราวกับว่ามันกระสาได้ถึงกลิ่นของความตายที่กำลังมาเยือน

“ถ้ามีเวลามากกว่านี้ ข้าก็อยากให้เจ้าไปรถม้าหรอกนะ มันจะได้ไม่กระเทือนแผลเจ้า”

“ข้าเข้าใจค่ะว่าเราไม่มีเวลา” สิริกัญญายอมรับสภาพการหนี ที่ไม่อำนวยต่อสภาพร่างกายของตัวเองเท่าไร สายตาก็ทอดมองไปยังราเชนที่มีสีหน้าเคร่งเครียดไม่แพ้คนอื่นในค่าย

ราเชนเอื้อมมือไปตระกองกอดเอวบางของว่าที่คู่หมั้น พลางทอดสายตามองหัวหน้ากองเกวียนหญิง ด้วยแววตาย้ำเตือนให้อีกฝ่ายมีชีวิตรอด เพื่อกลับไปพบเขาอีกครั้งให้ได้ ซึ่งหญิงสาวก็ได้แต่ยิ้ม โดยไม่ตอบรับความหมายทางแววตาที่เขาส่งมา

“รีบไป!” สารัสสะเอ่ยย้ำเตือนอีกครั้ง พลางส่งสัญญาณมือให้สมาชิกหญิงตั้งด่านป้องกัน

สิริกัญญาเกาะบ่ากว้างของราเชนที่ส่งตัวเธอขึ้นไปบนหลังม้า ซึ่งหญิงสาวก็นิ่วหน้าด้วยความเจ็บเล็กน้อย แต่ยังไม่ทันที่ชายหนุ่มจะได้ขึ้นไปซ้อนหลัง ธนูดอกหนึ่งก็พุ่งผ่านด่านป้องกันเข้ามาเสียบสะโพกม้านิล จนมันกรีดร้องลั่นด้วยความเจ็บปวด ก่อนยกขาหน้าสะบัดร่างบนหลังให้ร่วงตกลงมา

“สิริกัญญา!” ราเชนร้องเรียกเจ้าของชื่อ พลางอ้าแขนรับร่างบอบบางที่ร่วงหล่นราวใบไม้ที่ปลิดปลิวด้วยอาการใจหาย แล้วเสียงฝีเท้าของม้านับสิบตัวก็ดังขึ้นรอบค่าย อันเป็นสัญญาณบ่งบอกว่าทางหนีได้ถูกปิดลงแล้ว

“จับตายให้หมดทุกคน ยกเว้นผู้หญิงสีน้ำเงินคนนั้น!” คำสั่งเฉียบขาดดังมาจากชายชราร่างกำยำคนหนึ่ง ที่มองมาทางสิริกัญญาด้วยแววตาวาววาบ การตามรอยสายลับหญิงที่จงใจปล่อยตัวออกมา ทำให้เขาได้พบของขวัญแห่งความสำเร็จชิ้นแรกอย่างคาดไม่ถึง

การตะลุมบอนระหว่างสมาชิกกองเกวียนหญิง กับทหารรับจ้างที่อยู่บนหลังอัสดร เป็นการบอกผลอยู่แล้วว่าใครได้เปรียบหรือเสียเปรียบ แต่คนที่มีประสบการณ์จากการถูกกองโจรดักปล้นบ่อยครั้ง ก็ใช่จะเป็นฝ่ายที่ถูกเคี้ยวได้ง่าย

สารัสสะส่งสัญญาณให้สมาชิกหญิงกลุ่มหนึ่งเปลี่ยนอาวุธจากดาบเป็นธนู ก่อนขึ้นสายแล้วยิงไปยังม้าศึกจากต่างแดน เพื่อลดความได้เปรียบของฝ่ายตรงข้ามทันที ซึ่งพอฝ่ายนั้นพลาดตก ก็ต้องโดนลอบทำร้ายจากอาวุธลับของสมาชิกหญิงอีกกลุ่ม ที่เปลี่ยนอาวุธจากดาบเป็นอาวุธซัด เพื่อลดกำลังของฝ่ายตรงข้าม และสนับสนุนสมาชิกคนอื่นที่กำลังเพลี่ยงพล้ำ

แต่เมื่ออีกฝ่ายลงมาจากหลังม้า ความสามารถก็ดูจะไม่ต้อยต่ำไปกว่ากันเสียเท่าไร เหล่าสมาชิกหญิงต้องจับกลุ่มกันสามคน ในการรับมือกับทหารรับจ้างพวกนี้ ซึ่งแม้พวกเธอจะเป็นฝ่ายที่ใช้กำลังคนเข้าหักหาญ ก็ยังไม่อาจได้เปรียบนักรบพวกนี้ได้เลย

ฝ่ายราเชนกับสารัสสะนั้นก็ตึงมืออยู่ไม่น้อย เมื่อฝ่ายหนึ่งต้องคอยพะวงถึงคนในวงแขน จนไม่สามารถแสดงฝีมือออกมาได้เต็มที่ ขณะที่อีกฝายก็คอยช่วยเหลือสมาชิกของตัวเอง ที่กำลังพลาดท่าให้กับคมดาบของทหารรับจ้างที่หมายชีวิต จนร่างกายเต็มไปด้วยรอยถากจากคมดาบที่หลบหลีกมาได้อย่างเฉียดฉิว

“ราเชน...ข้าหาที่หลบได้ ไม่ต้องห่วงข้า” สิริกัญญาเอ่ยด้วยน้ำเสียงร้อนรน เมื่อหัวไหล่ของชายหนุ่มถูกฟันเป็นทางยาวจากการปกป้องเธอ “คนพวกนั้นไม่ฆ่าข้า แต่จะฆ่าพวกท่าน!”

“แต่เจ้าจะถูกพวกมันพาตัวไปน่ะสิ” ราเชนโต้กลับอย่างไม่ยอมเช่นกัน หลังจากเกิดเรื่องของวโรดมขึ้นมา ชายหนุ่มก็ไม่อยากให้คนในอ้อมแขนต้องอยู่ไกลสายตาอีก ด้วยเขากลัวจะสูญเสียเธอไปเช่นวันนั้น

“ตราบที่ท่านยังมีชีวิต ท่านก็ยังสามารถปกป้องข้าได้ แต่หากท่านตายไปก็ไม่อาจปกป้องข้าได้อีก”

ถ้อยคำและเล็บทั้งสิบที่จิกลงมาบนท่อนแขน เป็นเหมือนการย้ำเตือนให้ราเชนควรเลือกทางไหน ชายหนุ่มก้มลงมองดวงตาสีน้ำเงินที่ฉายแววกล้า ไม่คร้ามกลัวต่อภัยรอบด้าน ซึ่งทำให้เขารู้สึกเบาใจลงไปได้มาก และก็ไพล่นึกไปถึงคำตรัสของเจ้าหลวงวิวัสวัตขึ้นมา...สตรีสีน้ำเงินล้วนเข้มแข็งกันทุกคน!

“เข้าไปหลบในกระโจม อย่าออกมาจนกว่าข้าจะเข้าไปรับ”

ราเชนปล่อยวงแขนที่สวมกอดเอวบางไว้ และเขวี้ยงดาบสั้นไปยังทหารรับจ้างคนหนึ่งที่พุ่งเข้ามาหา จนมันปักเข้ากลางแสกหน้าของคนที่ได้แต่มองตาเหลือก แล้วหงายหลังวายชีวาไปอย่างไม่ทันตั้งตัว แล้วชายหนุ่มก็เริ่มบรรเลงเพลงสังหารตามความถนัดของตัวเองทันที

ชายหนุ่มเป่าปากเรียกม้าคู่ใจที่ระบายแค้นใส่คู่อริ จนกระเจิดกระเจิงกันไปไม่เป็นขบวน ซึ่งมันก็เลิกอาละวาดทันทีที่ได้ยินเสียงเรียก มันวิ่งเข้าหาเจ้านายที่กระโดดขึ้นไปบนหลังคู่หู พลางคว้าแส้ที่อยู่ข้างอานขึ้นมา แล้วตวัดร่างทหารรับจ้างที่ยังอยู่บนหลังม้า ให้สมาชิกกองเกวียนหญิงที่เหลือรุมจัดการ

- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -


การเข้ามาของราเชน ทำให้ความได้เปรียบของกลุ่มทหารรับจ้างลดลงมาก สิงหนาทหรี่ตามองสิ่งที่เกิดขึ้นอย่างไม่ชอบใจเท่าไร และที่ไม่ชอบมากที่สุดก็คือความสัมพันธ์ของสองหนุ่มสาวที่เขาได้เห็นเมื่อครู่ ซึ่งมันทำให้เขาอยากเห็นอีกฝ่ายดับดิ้นลงตรงหน้าเสียเดี๋ยวนี้

“หาทางกำจัดมันทันทีที่ทำได้ หรือไม่ก็หลังจากที่ข้าพาตัวหญิงสาวสีน้ำเงินคนนั้นมาได้” สิงหนาทพูดกับใครบางคน ที่ถนัดการซุ่มยิงมากกว่าการออกไปตะลุมบอนดังเช่นทหารรับจ้างคนอื่น แล้วร่างกำยำก็ลงจากม้า เพื่อไปยังกระโจมเป้าหมายทันที

สิงหนาทใช้เวลาไม่นานนักในการเข้าใกล้กระโจมที่สิริกัญญาเข้าไปหลบอยู่ด้านใน อาจเป็นเพราะทหารรับจ้างช่วยดึงความสนใจจากเหล่าสมาชิกกองเกวียนหญิงกับราเชน จนไม่มีใครสังเกตเห็นถึงหัวหน้ากองทหารรับจ้างที่แสยะยิ้มอย่างมาดร้าย ยามมองไปทางหนุ่มเดียวในกลุ่มหญิงสาว ก่อนผลุบหายเข้าไปด้านใน

ดวงตาคมกริบทอแววแปลกใจเล็กน้อย เมื่อเข้ามาในกระโจม แล้วพบว่าสิริกัญญานั่งหลังตรงอยู่บนชุดเก้าอี้ทรงกลม โดยไม่มีทีท่าตกใจระคนหวาดกลัวเลยแม้แต่น้อย ซ้ำยังทำท่าทางราวกับรู้ว่าต้องมีใครสักคนที่ไม่ใช่พวกพ้องของตัวเองเข้ามาในนี้

“ดูเหมือนเจ้าจะไม่ตกใจที่เห็นข้าเข้ามาเลยนะ” นายพลกบฎเอ่ยพลางค้อมศีรษะให้เชื้อสายเทพที่ปกปิดความหวาดหวั่นของตนเองด้วยท่าทางสงบนิ่ง ก่อนเดินเข้าใกล้ร่างบอบบางที่เกร็งตัวขึ้น เมื่อเขายื่นมือเข้ามาเชยคางมนขึ้นพิจารณาดวงหน้าอย่างละเอียด

“เหมือนพระองค์เจ้าสร้อยแสงจันทร์มากจนข้ายังตกใจ”

ดวงตาสีน้ำเงินแปรเปลี่ยนไปเล็กน้อย เมื่อได้ยินชื่อของมารดาหลุดออกมาจากริมฝีปากของอีกฝ่าย และหญิงสาวก็อดโต้ตอบบทสนทนาที่มีชื่อของมารดาไม่ได้ “รู้จักแม่ข้าด้วยงั้นหรือ”

สิงหนาทกระตุกยิ้มขึ้นมาบางเบา ก่อนใช้นิ้วเรียวลูบไล้ไปตามปลายคางและโครงหน้า “ข้าเป็นอดีตคนรักของแม่เจ้า”

คำพูดของนายพลกบฎไม่ได้ทำให้สิริกัญญาคิดเชื่อเลยแม้แต่น้อย แววตาของเขาแฝงความชั่วร้ายไว้อย่างปิดไม่มิด อีกทั้งยังมีความทะยานอยากต่อสิ่งที่อยู่สูงกว่า ต่อให้ไม่ต้องถามมารดาที่สิ้นชีวิตไป หญิงสาวก็รู้ได้ว่าคนผู้นี้ไม่มีทางเป็นคนรักของมารดาได้

ริมฝีปากเรียวบางคลี่ยิ้มออกมาเล็กน้อย พลางเอ่ยสิ่งที่ตัวเองคิดออกไป โดยไม่กลัวอันตรายที่จะเกิดขึ้นกับตนเอง “เป็นในความฝันหรือ”

นายพลกบฎชักหน้าตึงขึ้นมาทันทีที่ได้ยินคำโต้ตอบของหญิงสาว นิ้วที่ลามไล้โครงหน้าหวานซึ้งตวัดบีบปลายคางมนแน่น ก่อนยื่นหน้าเข้าไปใกล้ “ปากดีนักนี่ ข้าคงต้องสั่งสอนให้รู้สำนึกบ้างเสียแล้วมั้ง เจ้าหญิง...”

สิริกัญญาตบใบหน้าคมกร้านก่อนที่อีกฝ่ายจะเข้ามาล่วงเกิน แต่หญิงสาวก็ต้องร้องครางออกมา เมื่อมือหนาก็ตวัดลงมาบนใบหน้า จนร่างบอบบางพลัดตกลงมาจากเก้าอี้ทรงกลมที่ตัวเองนั่ง สิงหนาทปาดเช็ดเลือดตรงมุมปาก ก่อนกระชากต้นแขนร่างที่ฟุบอยู่บนพื้นขึ้นมา แล้วเหวี่ยงให้ขึ้นไปนอนจุกอยู่บนโต๊ะทรงกลม ที่กระเทือนตามแรงกระแทก

“โอย...” หญิงสาวครางออกมาแผ่วเบา กับความปวดร้าวบริเวณบาดแผล ที่ถูกกระแทกซ้ำกันถึงสองครั้งสองครา แล้วร่างบอบบางก็ถูกจับพลิกหงาย โดยมีร่างกำยำทาบทับลงมา

สิงหนาทขยุ้มปลายคางมน ให้หันมาสบกับดวงตาคมกริบ ก่อนแสยะยิ้มเหี้ยม “ข้าคิดว่าจะทนุถนอมและเอ็นดูเจ้าให้เหมือนกับแม่เจ้าเสียหน่อย แต่ดูจากท่าทางของเจ้าแล้วคงอยากถูกทำลายสินะ” พอพูดได้แค่นั้น ริมฝีปากหนาก็บดขยี้ลงมาบนกลีบปากบางตามแรงอารมณ์ที่โหมปรือ สองมือฉีกคอเสื้อออกเป็นทางยาว เผยให้เห็นผิวขาว และผ้าพันแผลที่มีรอยเลือดซึมเป็นดวง

สิริกัญญากรีดร้องอยู่ในลำคอกับสัมผัสที่ไม่ใช่ของผู้ชายที่เธอยอมรับ หญิงสาวพยายามผลักไสใบหน้าอีกฝ่ายออกไป ก่อนขบฟันลงบนริมฝีปากจาบจ้วงที่ล่วงเกินเต็มแรง เรียกรอยเลือดจากนายพลกบฎที่ผงะออกมาด้วยความเจ็บระคนตกใจ กับการกระทำของคนที่อยู่ใต้ร่าง แล้วมือหนาก็ตบลงบนใบหน้าขาว เพื่อระบายความโกรธเกรี้ยวที่ถูกกระทำ จนดวงหน้างามแดงช้ำด้วยแรงมือของคนเหี้ยม

“ถ้าเจ้าไม่ใช่ลูกสาวของคนผู้นั้น ข้าคงฆ่าเจ้าไปแล้ว!” สิงหนาทตะโกนใส่หญิงสาวที่ยังมึนกับแรงตบ ก่อนยกมือขึ้นปาดเช็ดเลือดที่ยังไม่ยอมหยุดไหลด้วยท่าทางกระฟัดกระเฟียด พลางบ่นพึมพำกับตัณหาที่หดหาย

“หนอย! กัดลงมาได้...”

“นายท่าน...มีคนกลุ่มหนึ่งมาทางนี้...ไม่ใช่พวกเรา”

เสียงหนึ่งดังขัดขึ้นก่อนที่สิงหานาทจะฟาดหลังมือลงบนใบหน้าของสิริกัญญา เพื่อระบายอารมณ์โกรธเกรี้ยวอีกครั้ง นายพลกบฎชะงักมือที่ง้างขึ้น ก่อนตวัดสายตาไปยังผู้เข้ามาใหม่ แล้วคำรามด้วยท่าทางขัดใจ

“เผาค่ายนี้ให้วอด ฆ่าให้หมดทุกคน แล้วถอนตัว” สิงหนาทสั่งเสียงเรียบ ก่อนหันไปทางสิริกัญญาที่เบิกตากว้างกับสิ่งที่ได้ยิน นายพลกบฎแสยะยิ้มเหี้ยม เมื่อนึกเรื่องชั่วร้ายขึ้นมาได้ มือหนาคว้าต้นแขนบอบบาง แล้วรั้งร่างเล็กเข้ามาอยู่ในวงแขนกำยำ

“เราไปดูวาระสุดท้ายของคนข้างนอกกันเถอะ เจ้าหญิง”

- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -


ดวงตาสีถ่านกวาดมองหาหัวหน้าทหารรับจ้างที่หายตัวไปด้วยจิตใจร้อนรน แส้ที่เคยใช้อยู่เมื่อครู่ แปรเปลี่ยนเป็นดาบสองมือที่ทำทั้งตั้งรับและรุกไล่คู่ต่อสู้ จนอีกฝ่ายต้องแตกกระบวนพ่ายไป ยิ่งชายหนุ่มได้จับคู่กับหัวหน้ากองเกวียนหญิง ทหารรับจ้างที่ว่าแน่ก็ยังต้องถอยร่นกลับแทบไม่ทัน

แต่ความยินดีในชัยชนะก็อยู่กับเหล่าสมาชิกกองเกวียนหญิงได้ไม่นานนัก เมื่อธนูไฟจากกลุ่มที่ซุ่มยิงอยู่ด้านนอกพุ่งเข้ามาในค่าย พร้อมกับการถอยร่นของหน่วยหน้าที่ได้ยินเสียงสัญญาณให้ถอย กระโจมแต่ละหลังเริ่มลุกติดไฟ ไม่เว้นแม้แต่ร่างของสมาชิกหญิงที่เป็นเป้าคมธนูนี้ด้วย

เสียงกรีดร้องดังขึ้นทั่วบริเวณ พร้อมกับร่างของสมาชิกหญิงที่ล้มตัวลงดับไฟกับพื้น ซึ่งเท่ากับเป็นการเปิดช่องว่างให้ฝ่ายศัตรูเข้ามาคร่าชีวิตตนเองได้อย่างง่ายดาย บางคนก็ไหวตัวทัน หลบหลีกคมดาบนั้นได้ แต่พวกเธอก็ต้องพบกับเพลิงผลาญที่เริ่มไหม้ลามไปทั่วร่างจนยากจะดับได้อีก ซึ่งการถูกปลิดชีวิตด้วยดาบ อาจจะเป็นหนทางแห่งความตายที่ดีที่สุด

“คนของข้า!...”

สารัสสะเค้นเสียงออกมาอย่างเจ็บปวด เมื่อเห็นสมาชิกหญิงของตัวเองต้องดับดิ้นชีวาไปต่อหน้า โดยที่เธอไม่สามารถเข้าไปช่วยเหลืออะไรได้ เพราะตอนนี้เธอก็ถูกรุมกระหน่ำด้วยธนูไฟจนหลบหลีกแทบไม่ทัน และโชคดีที่ได้ราเชนคอยปกป้อง เธอจึงยังมีชีวิตรอด เพื่อดูการจากไปของแต่ละคน

ฝ่ายราเชนนั้นก็ห่วงสิริกัญญาใจแทบขาด แต่เขาก็ไม่อาจผละไปจากหัวหน้ากองเกวียนหญิงได้เช่นกัน ชายหนุ่มดึงร่างอวบอัดเข้ามาหลบอยู่ด้านหลัง เพื่อปัดป้องธนูเพลิงที่พุ่งเข้ามาล้างผลาญชีวิต แล้วเขาก็เบิกตากว้างขึ้น เมื่อสายตาพลัดไปเห็นสิริกัญญาที่ดิ้นรนไปมาอยู่ในวงแขนกำยำของหัวหน้ากลุ่มกองทหารรับจ้าง

สิงหนาทฉีกยิ้มเยาะเย้ยให้กับราเชน ที่ต้องมองว่าที่คู่หมั้นของตัวเองอยู่ในเงื้อมมือของชายอื่น และนายพลกบฎก็ตอกย้ำความเจ็บใจนั้น ด้วยการบดขยี้ริมฝีปากเรียวบางของคนในวงแขนให้ดูต่อหน้า อีกทั้งมือหนาก็ขยุ้มทรวงอกอิ่มให้ดูเป็นของแถมท้าย ก่อนตวัดตัวขึ้นบนหลังม้าพร้อมกับร่างบอบบางในวงแขน ที่ได้แต่เบิกตามองดูความวอดวาย โดยที่ตัวเองไม่สามารถทำอะไรได้เลย

“ฆ่ามัน!”

คำสั่งเด็ดขาดของหัวหน้าทหารรับจ้างดังก้องไปทั่วบริเวณ ซึ่งเป้าธนูที่เหลืออยู่ในตอนนี้ก็มีแต่ราเชนกับสารัสสะที่เหลือรอดเป็นคู่สุดท้าย ธนูเพลิงถูกเปลี่ยนเป็นธนูธรรมดา แล้วคมศรนับสิบก็พุ่งออกจากแล่งเข้าหาเป้ามีชีวิตที่ไม่มีแม้แต่ทางหนี เมื่อรอบด้านมีแต่เปลวไฟ

“ราเชน!”

สองเสียงดังขึ้นพร้อมกัน เสียงหนึ่งเป็นของสิริกัญญาที่ได้แต่เอื้อมมือไปหาร่างในกองเพลิงที่อยู่ไกลเกินไขว่คว้า และทำได้แค่มองดูร่างสองร่างที่ถูกคมธนูนับสิบปักตรึงลงบนร่างกาย ก่อนล้มลงแน่นิ่งกับพื้น ซึ่งไม่มีใครบอกได้ว่าคนทั้งคู่ยังมีชีวิตอยู่อีกหรือไม่

ส่วนอีกเสียงเป็นของสารัสสะที่ใช้ร่างของตัวเองรับคมธนูแทนชายหนุ่ม ร่างอวบอัดกระตุกเฮือกกับคมศรบางดอกที่ทะลุผ่านร่างกาย ก่อนล้มทับร่างสูงที่หงายหลังไปตามแรงกระแทก ซึ่งเธอไม่ได้รู้สึกเสียใจกับความตายที่กำลังจะมาเยือนตนเองในครั้งนี้เลย เมื่อเธอกำลังจะได้ตายในอ้อมแขนของคนที่รัก

ฝ่ายราเชนนั้นก็ดูเหมือนจะหมดสติไปวูบหนึ่ง กับการล้มเอาศีรษะกระแทกพื้น ครั้นชายหนุ่มรู้สึกตัวขึ้นมา เขาก็ได้ยินเสียงม้าของกลุ่มทหารรับจ้างวิ่งจากไป โดยมีเสียงกรีดร้องของสิริกัญญาที่เรียกหาแต่ชื่อของเขาดังแว่วมา พร้อมกับเสียงหัวเราะเยาะเย้ยของนายพลกบฎ ที่ทำให้เขารู้สึกเจ็บแค้นจนแทบกระอักเลือด

“สารัสสะ!” ชายหนุ่มรีบประคองร่างของคนที่เป็นเป้าธนูแทนเขาเข้ามาไว้ในวงแขน พลางตบดวงหน้างามแผ่วเบา เพื่อเรียกสติของอีกฝ่ายกลับคืนมา

หัวหน้ากองเกวียนหญิงขมวดคิ้วมุ่น ก่อนกระอักไอออกมาเป็นลิ่มเลือดทันทีที่รู้สึกตัว เปลือกตาที่ปิดสนิทอยู่เมื่อครู่ปรือเปิดขึ้น ซึ่งทำให้หญิงสาวได้เห็นภาพใบหน้าของราเชนอยู่ในครรลองสายตาอีกครั้ง แต่ครั้งนี้เธอกลับมองหน้าเขาไม่ชัดเอาเสียเลย

“สารัสสะ!...” ราเชนเอ่ยเรียกชื่อหัวหน้ากองเกวียนหญิงด้วยน้ำเสียงร้อนรน เมื่อเห็นแววตาของคนในอ้อมแขนเริ่มเลื่อนลอย

เจ้าของชื่ออยากจะขานรับเสียงเรียกนั้นออกไปใจแทบขาด แต่บางสิ่งบางอย่างก็อุดตันอยู่ในลำคอจึงทำได้แค่เพียงยิ้มตอบกลับไป หญิงสาวรู้ดีว่าวาระสุดท้ายของตัวเองกำลังจะมาถึงในไม่ช้า และเธอก็ไม่อาจฝืนลิขิตชะตาได้

มือเรียวยกขึ้นสัมผัสใบหน้าคมคายที่ดูพร่าเลือนในสายตาด้วยอาการสั่นเทา หากต้องไปปรโลก เธอก็ขอจดจำใบหน้านี้ไว้ เพื่อเป็นเครื่องยึดเหนี่ยวในจิตใจ ราเชนยกมือขึ้นกุมแน่น พลางเขย่าร่างที่เริ่มหายใจรวยริน พลางเรียกชื่อของอีกฝ่ายอีกครั้ง

...และอีกครั้ง

“สารัสสะ...สารัสสะ!...”

“ร...” หัวหน้ากองเกวียนหญิงพยายามเค้นเสียงออกมา เพื่อพูดคำบางคำที่ยังค้างอยู่ในใจ แต่สิ่งที่ออกมาก็มีแต่เลือด เธอจึงได้แต่ขยับปากให้คำนั้นออกมาโดยไร้เสียง

...ข้ารัก...ท่าน

ใช่...รักตั้งแต่แรกพบ และยิ่งรักมากขึ้นเมื่อได้คบหา รักจนยอมทำได้ทุกอย่าง เพื่อให้เขามีแต่ความสุขสมหวัง รักของเธอมอบได้แม้แต่ชีวิต...ลมหายใจของเธอมีไว้เพื่อเขาคนเดียว

ราเชน ปาเยนทร์...

“สารัสสะ!” ราเชนตะโกนเรียกคนในวงแขนลั่น หยาดน้ำตาที่ไม่เคยไหลให้ใครต้องหลั่งออกมา เมื่อมือเรียวบางที่สัมผัสดวงหน้าของเขา ร่วงหล่นลงกับพื้นราวกับใบไม้ที่ถูกปลิด อ้อมแขนแข็งแรงรั้งร่างอวบอัดเข้ามากระชับกอดแน่น พลางซบหน้าลงบนบ่าที่ไร้การไหวติง

“สารัสสะ...” ชายหนุ่มข่มฟันเรียกชื่อหัวหน้ากองเกวียนหญิงช้ำไปมา และเพิ่มแรงกอดรัดเพื่อระบายความอัดอั้นที่อยู่ในใจ

ภาพของผู้รอดชีวิตที่กอดร่างไร้ชีวาท่ามกลางเปลวเพลิง ได้ตรึงสายตาของผู้มาใหม่และบีบคั้นหัวใจ จนไม่อาจเอ่ยปากเรียกเจ้าของบรรยากาศหม่นเศร้าให้หลุดออกมาจากวังวนนั้นได้ เขาได้แต่เบือนสายตาไปจากภาพนั้น แล้วหันไปมองสมาชิกคนอื่นที่เพิ่งควบม้ามาถึงด้วยสายตาอ่อนล้า

“ข้ามาช้าไป...” เสียงทุ้มนุ่มของชายหนุ่มท่าทางสุภาพ ที่ได้มาเห็นภาพชวนสลดใจเอ่ยขึ้นแผ่วเบา “ถ้าข้ารู้ตัวเร็วกว่านี้ ก็คงช่วยชีวิตใครต่อใครได้มากมาย”

- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -


ภาพของราเชนที่ล้มลงยามต้องธนู ยังเด่นชัดอยู่ในความทรงจำของสิริกัญญา เธอได้แต่ร้องไห้ โดยไม่มีเสียงสะอื้น เมื่อนึกว่าหลังจากนี้จะไม่มีคนช่างบังคับ ที่ชอบปั่นป่วนหัวใจของเธออีกต่อไป ซึ่งเธอก็เพิ่งมารู้ว่าตัวเองยังไม่เคยบอกรักเขาออกไปเลยสักคำ ไม่เคยแม้แต่จะยอมทำตัวให้ตรงกับใจ จนสุดท้ายก็ต้องมาร้องไห้เสียใจกับความสูญเสียที่ไม่มีวันหวนกลับ

หญิงสาวจมปลักอยู่กับความเศร้า จนไม่รู้เลยว่าตัวเองถูกพาเข้ามายังคฤหาสน์ส่วนตัวของสิงหนาทแล้ว และนายพลกบฎก็อุ้มเธอไปยังห้องส่วนตัวของตนเอง พลางวางร่างบอบบางที่ทำสายตาเลื่อนลอยลงบนเตียง และไม่รับรู้เลยว่าเสื้อผ้ากำลังจะถูกปลดออก จนกระทั่งเธอรู้สึกถึงริมฝีปากที่แตะลงมาบนเนินอก

ดวงตาสีน้ำเงินเริ่มกลับมามีแววอีกครั้ง พร้อมกับความแค้นที่ต้องชำระ ซึ่งไม่ได้มีแต่ของราเชนเพียงคนเดียว มันยังมีของสารัสสะและเหล่าสมาชิกหญิงที่ต้องวายชีวาไป ด้วยฝีมือของผู้ชายที่กำลังรุกรานอยู่บนตัวเธอ

ริมฝีปากเรียวบางปิดเม้มเข้าหากันแน่น สายตาเริ่มสอดส่ายหาอาวุธ และอดกลั้นต่อมือที่ยุ่มย่ามอยู่บนตัว หญิงสาวจำต้องทน เพื่อให้ได้ในสิ่งที่ตัวเองต้องการ จนกระทั่งดวงตาพลัดไปเห็นมีดสั้นของอีกฝ่ายที่เหน็บอยู่ใต้ผ้าคาดเอวด้านหลัง

มือเรียวบางเอื้อมไปยังอาวุธที่ตัวเองหมายตาอย่างเชื่องช้าและระมัดระวัง จนกระทั่งนิ้วเรียวได้แตะสัมผัสบนด้ามมีด หญิงสาวก็ใช้ช่วงที่อีกฝ่ายเผลอเรอ เริงเล่นอยู่บนเรือนกายของเธอชักมีดสั้นเล่มนั้นออกมา ก่อนจ้วงแทงลงบนลำคออวบหนา แต่สิงหนาทก็ไหวตัวทัน เขายกมือขึ้นปัดป้อง จนลำแขนได้รับบาดแผลแทน

สิงหนาทคำรามอย่างโกรธเกรี้ยว ก่อนยื่นมือไปยื้อแย่งอาวุธจากมือเรียวบาง แต่นายพลกบฎก็ต้องคำรามลั่นออกมาอีกครั้ง เมื่อตนถูกจ้วงแทงอีกครั้ง สิริกัญญาตวัดมีดสั้นป้องกันตัวไปมา พลางถอยห่างจากร่างกำยำ โดยไม่สนใจหน้าอกเปลือยสล้างที่อวดเด่นอยู่ในดวงตาคมกริบ

มันเป็นความโชคดีของสิริกัญญาที่สิงหนาทไม่รู้ว่าเธอมีวิชาติดตัว หญิงสาวข่มความเจ็บที่ลามไล้ไปทั่วหัวไหล่ พลางจ้องมองนายกบฎด้วยสายตาระแวดระวัง และไม่เปิดช่องว่างให้อีกฝ่ายผลุนผลันเข้ามาได้

“คิดว่าทำแบบนี้ แล้วจะรอดพ้นมือข้างั้นหรือ มันรังแต่จะทำให้เจ้าเจ็บตัวมากขึ้น” สิงหนาทพูดขู่ด้วยน้ำเสียงเหี้ยมเกรียม และหวังให้หญิงสาวหวาดกลัวต่อคำขู่นั้น ซึ่งน่าเสียดายที่มันไม่มีผลอะไรกับเธอเลย

“...และข้าจะทำให้เจ้ารู้ว่านรกทั้งเป็นมันเป็นยังไง!”

สิริกัญญาแค่นยิ้มกับนรกที่ตัวเองเจอมาตั้งแต่เด็ก แล้วหญิงสาวก็นึกถึงคำพูดของพี่ชายขึ้นมา การที่เธอต้องเจอกับเรื่องโหดร้ายมาตลอด ก็เพื่อเตรียมพร้อมกับสิ่งที่โหดร้ายยิ่งกว่า ซึ่งมันก็ได้มาอยู่ตรงหน้าเธอแล้ว

“ดูเหมือนท่านจะไม่ยอมขู่เอาชีวิตข้าบ้างเลยนะ งั้นก็แสดงว่าชีวิตของข้ายังมีความสำคัญอยู่”

สิงหนาทชักสายตาขึงใส่กับความช่างสังเกตของหญิงสาว แม้หน้าตาเธอจะถอดแบบออกมาจากพระองค์เจ้าสร้อยแสงจันทร์มากเพียงใด แต่นิสัยของเธอก็ไม่เหมือนมารดาเอาเสียเลย นายพลกบฎได้แต่เข่นเขี้ยวด้วยความขัดใจ เมื่อรู้ดีว่าหากสุ่มสี่สุ่มห้าเข้าไปอีก ตัวเขาก็อาจจะได้รับบาดเจ็บเพิ่ม ซึ่งมันดูไม่คุ้มเท่าไรนัก

“เจ้าเก่งไม่ได้ตลอดหรอกนะ!”

ริมฝีปากเรียวบางคลี่ยิ้มออกมาเล็กน้อย ก่อนหันคมมีดเข้าหาตัวเอง หลังจากที่รู้สึกถึงเงาคนผ่านวูบเข้ามาทางหางตา แล้วมือเรียวก็กดปลายคมลงบนลำคอระหง จนเลือดไหลซึมออกมาจากรอยแผล

“ออกไป! ไม่งั้นท่านได้ข่มขืนศพข้าแทนแน่” สิริกัญญาขู่เสียงกร้าว พลางกดคมมีดลึกลงไปในผิวเนื้อมากขึ้น “แล้วก็เอาคนของท่านออกไปด้วย ไม่อย่างนั้นจะหาว่าข้าไม่เตือนนะ”

บทโต้ตอบของสิริกัญญาบอกให้รู้ว่าทำจริงตามคำขู่ สิงหนาทที่คิดจะใช้คนของตัวเองเข้าไปแย่งมีดจากหญิงสาว จำต้องเปลี่ยนแผนการแล้วหันมาใช้วิธีประนีประนอมแทน เขายกมือส่งสัญญาณไม่ให้คนของตัวเองทำอะไร พลางขยับตัวลงจากเตียงด้วยท่าทางคับแค้น หากเขาไม่เห็นว่าชีวิตของเธอยังมีความสำคัญอยู่ เขาจะไม่ลังเลที่จะกระทำเรื่องรุนแรงเลย

“รอให้เจ้าหมดความสำคัญก่อนเถอะ แล้วเราจะได้เห็นดีกัน!” ไม่วายที่นายพลกบฎจะขู่ตบท้าย เรียกรอยยิ้มหมิ่นจากคนถูกขู่ที่ไม่รู้สึกเกรงกลัวเลยสักนิด

“ไว้ให้ถึงตอนนั้นก่อนแล้วกัน” ...ซึ่งหญิงสาวก็ไม่คิดจะมีชีวิตอยู่ เพื่อรอดูผลร้ายที่จะเกิดขึ้นกับตัวเองแน่ เธอยอมตายดีกว่าจะทนถูกข่มเหง

สิงหนาทพยักหน้ากับคำฝากฝังนั้น ก่อนเดินตึงตังออกนอกห้องไป พร้อมกับบุคคลที่สามที่หายลับไปทางระเบียงตามคำสั่งของเจ้านาย ดวงตาสีน้ำเงินกวาดมองไปรอบห้องด้วยท่าทางระแวดระวัง และเมื่อรู้ว่าตัวเองได้อยู่ตามลำพัง ความกลัวที่กดทับไว้เมื่อครู่ก็ล้นทะลักออกมา

สิริกัญญาปล่อยมีดลงบนเตียง ก่อนใช้ท่อนแขนโอบกอดรอบตัวที่สั่นสะท้านด้วยความกลัว น้ำตาที่สะกดกลั้นไว้รินไหลออกมาอย่างห้ามไม่อยู่ พร้อมกับเสียงสะอื้นไห้ยกใหญ่

“ราเชน...ราเชน!” หญิงสาวรู้ดีว่าแม้จะพร่ำเรียกเจ้าของชื่อ แต่อีกฝ่ายก็ไม่มีวันมาหาเธอได้ กระนั้นเธอก็ยังอยากเรียกหาเขา เพื่อให้ชื่อนั้นช่วยเยียวยาใจอันอ่อนล้าของเธอ

“ราเชน...ช่วยข้าด้วย...ช่วยด้วย!”



Create Date : 18 มีนาคม 2551
Last Update : 18 มีนาคม 2551 22:39:22 น.
Counter : 320 Pageviews.

6 comments
  
โอ๊ยยยยยย

ช่วยสิรีด้วยนะ ราเชน
ตื่นเต้นมากๆ
โดย: L_K IP: 125.24.26.228 วันที่: 18 มีนาคม 2551 เวลา:23:59:59 น.
  
โดย: Jintana IP: 71.125.218.249 วันที่: 19 มีนาคม 2551 เวลา:3:54:35 น.
  
รีบช่วยสิรีด้วย และก็ขอเหอะ อย่าให้สิรีโดนลวนลามมากกว่านี้เลย รู้สึกขยะแขยงแทน ขอร้อง และก็รับมาเร็วๆนะคะ หัวใจมันจะสลายตามสิรีอยู่แล้ว
โดย: น้อง IP: 124.121.184.123 วันที่: 19 มีนาคม 2551 เวลา:9:15:38 น.
  
โอย รีบมาต่อเร็วๆเถอะค่ะ คนอ่านจะทนไม่ไหวแล้ว
โดย: pumpam IP: 58.8.69.46 วันที่: 19 มีนาคม 2551 เวลา:16:16:59 น.
  
ปาเยนทร์ช่วยสิรีด้วย

แล้วคนเขียนก็รีบมาอัพด้วยนะค่ะ แบบว่า อยากอ่านๆๆ

ช่วงนี้อ่านหนังสือสอบค่ะ แต่อดไม่ได้ต้องแว่บมาอ่านจนได้ เฮ้อ
โดย: ตัวเล็ก IP: 202.142.204.1 วันที่: 20 มีนาคม 2551 เวลา:17:37:17 น.
  
ราเชนรีบไปช่วยสิรีเร็วๆ นะ
โดย: รัตติกาล IP: 117.47.63.177 วันที่: 23 มีนาคม 2551 เวลา:23:31:26 น.
ชื่อ :
Comment :
 *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

ฌา
Location :
  

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]



New Comments
All Blog