พิษเสน่หา 46
๔๖ สังหารนายพล

ราเชนรู้สึกแปลกใจเล็กน้อย หลังจากที่ออกมาภายนอกแล้วไม่พบกับเหตุการณ์วุ่นวายตามที่คาด ดูเหมือนหน่วยพิฆาตจะเข้าควบคุมทุกอย่างได้รวดเร็วจนเหลือเชื่อ ทั้งที่จำนวนทหารรับจ้างของที่นี่มีมากกว่าผู้บุกรุกหลายเท่าตัว ซึ่งต่อให้มีฝีมือเก่งกาจเพียงใด ก็ไม่มีทางจัดการทุกอย่างให้เรียบร้อยในเวลาเพียงครึ่งชั่วยาม ที่เขาเข้าไปตามหาตัวสิริกัญญาได้

“นั่น! ท่านพ่อกับสิงหนาท” สิริกัญญาอุทานออกมา เมื่อสายตาพลัดไปเห็นท่านจินดาถูกสิงหนาทพาตัวออกมาจากประตูทางทิศตรงกันข้าม โดยมีกองทหารรับจ้างคอยคุ้มกันหน้าหลังให้นายพลกบฎ และผู้ที่ตามติดมาก็คือเจ้าชายชัยนเรนทร์กับปลายมาศ ที่ยังอยู่ในรูปของสาวใช้หน้าอัปลักษณ์

และทันทีที่กลุ่มกองทหารรับจ้างออกมาเบื้องนอก หน่วยพิฆาตที่ควบคุมทุกอย่างไว้เรียบร้อยก็ตีวงเข้าล้อมรอบกองทหารรับจ้างทันที ซึ่งดูจากรูปการณ์แล้ว ถ้าไม่นับตัวประกันที่อยู่ในมือของนายพลกบฎ ฝ่ายของจอมโฉดก็กำลังตกเป็นฝ่ายเสียเปรียบ เมื่อจำนวนคนของตัวเองเหลืออยู่ไม่ถึงครึ่งของที่มีอยู่ทั้งหมด

เจ้าชายชัยนเรนทร์สบเนตรกับราเชนที่รั้งร่างบอบบาง ที่จะวิ่งเข้าไปหาท่านจินดาอย่างขาดสติมาไว้ในวงแขน ซึ่งทางฝ่ายพระองค์ก็ประสบกับปัญหาอย่างเดียวกับพระสหาย เมื่อคนสุขุมคลายความเยือกเย็นของตนเองออกหมด หลังจากที่เห็นตัวประกันคนสำคัญถูกดาบพาดคอ และทำท่าจะวิ่งฝ่าวงล้อมเข้าไป หากไม่ถูกพระองค์รั้งไว้

หน่วยพิฆาตไม่ได้ผลีผลามเข้าไปจับกลุ่มกองทหารรับจ้าง อย่างที่เจ้าชายชัยนเรนทร์ทรงกังวลแบบเดียวกับราเชน เพราะคำสั่งที่หน่วยพิฆาตได้รับมา คือทำทุกวิถีทางในการจับเป็นสิงหนาท อันรวมไปถึงวิธีที่ไม่คำนึงในความปลอดภัยของตัวประกัน ที่อยู่ในมือของนายพลกบฎ ซึ่งท่านจินดาได้วางแผนไว้ตั้งแต่แรกแล้วว่าจะใช้ตนเองเป็นเหยื่อล่อปลา

แต่ดูเหมือนว่าท่านจินดาจะมีความสำคัญมากไปหน่อย หน่วยพิฆาตที่ขึ้นชื่อด้านทำทุกอย่างให้สำเร็จตามเป้าหมายโดยไม่สนใจวิธีการ จึงยังไม่ลงมือทำอะไร เมื่อเห็นว่าคมดาบที่พาดอยู่บนคอของท่านเรียกเอาเลือดสีแดงรินไหลออกมา

“ถอยไป!” สิงหนาทขู่กรรโชกเสียงดังก้อง ซึ่งน่าแปลกที่หน่วยพิฆาตพร้อมใจกับถอยห่างอย่างว่าง่าย

ท่านจินดาถอนหายใจเฮือกกับความภักดีที่มีมากเกินไปของหน่วยพิฆาต ทั้งที่ท่านได้สั่งไปแล้วว่าให้ทุกคนบุกเข้าจับตัวสิงหนาท โดยไม่ต้องสนใจในความปลอดภัยของท่าน เพราะการบาดเจ็บเล็ก ๆ น้อย ๆ เพื่อแลกกับการจับกุมนายพลกบฎนั้นดูคุ้มค่าเสียยิ่งกว่าอะไร เพื่อที่ทุกอย่างจะได้ยุติลงเสียที

“ท่านพ่อ! ระวัง!”

เสียงหวีดร้องของสิริกัญญาดังลั่นไปทั่วบริเวณ พร้อมกับธนูดอกหนึ่งที่พุ่งไปทางท่านจินดา แต่เป้าของมันไม่ได้เป็นองคมนตรีเฒ่าอย่างที่หลายคนคาด เมื่อธนูดอกนั้นเฉียดผ่านหัวไหล่ของท่าน แล้วแทงทะลุอกคนที่อยู่ด้านหลัง อันตรงกับตำแหน่งหัวใจอย่างพอดิบพอดี ท่านหันไปมองสิงหนาทที่ก้มมองคมศรที่ฝังอยู่ในร่างกายด้วยท่าทางคาดไม่ถึง แล้วเงยหน้าขึ้นมองสบตากับท่านก่อนหงายหลังล้มตึงไป

ท่านจินดาหันขวับไปยังทิศทางของธนูที่ถูกปล่อย และท่านก็เห็นแผ่นหลังไว ๆ ของมือธนูที่ผละจากไปทันทีที่งานของตัวเองสำเร็จ ซึ่งท่านก็สังเกตเห็นว่าฝ่ายนั้นไม่ได้แต่งกายอย่างชาวปัญจปุระ และเมื่อกองทหารรับจ้างกลุ่มนี้ไร้ผู้นำ หน่วยพิฆาตก็ไม่รีรอที่จะกวาดล้างเหล่าคนบังอาจ ที่ทำให้เจ้านายของตัวเองต้องตกเลือดทันที

“ท่านพ่อ!”

เสียงหวานนุ่มที่ดังมาแต่ไกล ฉุดสติของท่านจินดาให้กลับคืนมา องคมนตรีเฒ่ามองดูบุตรีคนที่สิบเก้าที่วิ่งตรงมาชนิดลืมเจ็บ ก่อนอ้าแขนกว้างรับร่างที่โถมกอดเข้ามาเต็มแรง ท่านกระชับกอดร่างบอบบางที่ซุกหน้าร้องไห้อยู่กับอกของท่านแน่น พลางถอนหายใจเฮือกที่ลูกสาวยังมีสภาพครบสามสิบสอง ถ้าไม่นับผ้าพันแผลที่พันเต็มสองแขน

“สาวน้อยของพ่อ...พ่อเป็นห่วงเจ้าเหลือเกิน”

“สิรีไม่เป็นอะไร แต่ท่านพ่อ...” สิริกัญญาตอบเสียงอู้อี้กับแผ่นอกของบิดา ก่อนเงยหน้าขึ้นมองดูบาดแผลที่มีเลือดไหลซึมออกมาจากลำคอ

“พ่อไม่เป็นอะไรจ้ะ แผลแค่นี้เล็กน้อยมาก” ท่านจินดาคลี่ยิ้มตอบอย่างไม่สนใจบาดแผลเท่าไร

“แต่หาผ้าซับเลือดหน่อยเถอะท่านจินดา ข้ากลัวหัวใจวายตายก่อนที่เลือดของท่านจะหมดตัว” เจ้าชายชัยนเรนทร์ตรัสขัดบทสนทนาของสองพ่อลูกด้วยสีพระพักตร์บิดเบี้ยว หลังจากที่ทรงจัดการกับกลุ่มทหารรับจ้างเรียบร้อย แล้วพระองค์ก็ผินพระพักตร์จากองคมนตรีเฒ่า ไปยังศพของสิงหนาทที่นอนตายตาไม่หลับ ซึ่งก็สมกับกรรมที่อีกฝ่ายได้ก่อไว้กับทุกคน

ราเชนกับปลายมาศเดินเข้ามาสมทบเป็นคู่ถัดไป โดยฝ่ายหลังเข้าไปชันสูตรดูศพของนายพลกบฎที่ไม่มีใครคิดจะปิดตาให้ สายตาทุกคู่จับจ้องไปยังธนูที่ปลิดชีพนายพลผู้กลายเป็นอดีตด้วยสายตาที่มีแต่คำถาม ไม่มีใครสักคนที่รู้สึกถึงการคงอยู่ของเจ้าของธนูดอกนี้ และไม่มีใครรู้ว่ามันถูกปล่อยออกมาเมื่อไร จนกระทั่งได้ยินเสียงของสิริกัญญาร้องออกมา แต่ทุกคนก็ทำอะไรไม่ได้ เมื่อมันพุ่งเข้าหาเป้าหมายอย่างรวดเร็วจนตั้งตัวไม่ทัน

กระนั้นก็ไม่มีใครบอกได้ว่าเจ้าของธนูปริศนายิงมาถูกเป้าหรือผิดเป้ากันแน่!

“อะไรกัน! พวกเราตามล่ามันอย่างยากลำบาก สูญเสียคนไปตั้งมากมาย แต่ทำไมถึงคราวตาย มันถึงตายง่ายดายขนาดนี้ล่ะ”

ไม่มีใครตอบคำถามนี้ของเจ้าชายชัยนเรนทร์ นอกจากให้ความเงียบเป็นผู้ตอบคำถาม เจ้าชายถอนปัสสาสะด้วยท่าทางฉุนเฉียว ด้วยส่วนลึกในหทัยสุดแสนจะยินดีปรีดาที่อีกฝ่ายตายไปเสียได้ แต่เมื่อตายไปเช่นนี้ก็ไม่มีผู้รับผิดชอบต่อสิ่งที่กำลังเกิดขึ้น โดยเฉพาะความคับแค้นของประชาชนจากทั้งสามรัฐ ที่ถูกพรากชีวิตไปมากมาย

“นี่เป็นฝีมือของใครกัน”

“ฝีมือของพวกต่างแคว้นพระเจ้าค่ะ”

เสียงทุ้มนุ่มของใครบางคนเอ่ยขึ้นช้าชัด เรียกสายตาทุกคนให้หันไปมองผู้ตอบคำถาม ที่เดินผ่านหน่วยพิฆาตเข้ามา พร้อมกับผู้ติดตามที่อยู่ในชุดขมุกขมอมเปื้อนฝุ่น ซึ่งทั้งคู่มีสีหน้าเหนื่อยล้าคล้ายกับเพิ่งผ่านการรีบเร่งเดินทางมาตลอดวันตลอดคืน

“แสงอรุณ!” เจ้าชายทรงอุทานลั่นด้วยความตะลึงพรึงเพริดไม่แพ้คนอื่น เมื่อคนที่อยู่ตรงหน้านี้สมควรป่วยตาย และถูกฝังอยู่ในบูกิตตามที่ทุกคนรับรู้ และด้วยความที่ทรงมีพระนิสัยช่างเฉลียว จึงผินพักตร์ไปทางท่านจินดาทันที

“นี่มันอะไรกันท่านจินดา”

“กระหม่อมขอตอบคำถามนั้นแทนท่านพ่อดีกว่า” แสงอรุณคลี่ยิ้มออกมาเล็กน้อย พลางหันไปมองปลายมาศที่เป็นอีกคนหนึ่ง ที่รู้ว่าเขาไม่ได้ป่วยตายตามที่หลายฝ่ายเข้าใจ น้องชายที่บิดาเปรียบเปรยว่าเป็นดั่งแสงและเงาของเขา

เจ้าชายชัยนเรนทร์เหลือบเนตรไปทางองคมนตรีเฒ่า ที่จนแล้วจนรอดก็ยังมีความลับเก็บไว้มากมาย ซึ่งต้องให้เกิดเรื่องก่อนถึงจะรู้ว่าอะไรเป็นอะไร และตอนนี้ท่านก็ยังติดค้างเรื่องเหตุใดสิงหนาทจึงยึดติดกับท่านมากนัก และพระองค์กำลังรอให้ทุกอย่างเรียบร้อย แล้วจะซักฟอกให้ขาวสะอาดถึงเบื้องหลังอันแท้จริงของประองคมนตรีผู้นี้ว่าเป็นใครกันแน่

“งั้นก็ว่าไป”

แสงอรุณค้อมตัวลงเล็กน้อย ก่อนปรายตาไปทางกลุ่มตัวประกันที่ถูกพาออกมาสมทบ ซึ่งหนึ่งในนั้นก็มีแม่เลี้ยงที่กุมความลับไว้มากมายไม่แพ้บิดา “เรื่องของสิงหนาทนั้น ท่านพ่อระแคะระคายตั้งแต่แรกแล้วว่าเขายังไม่ตาย แต่สิ่งที่ท่านพ่อสงสัยมากที่สุด คือจำนวนของทหารรับจ้างจากต่างแคว้นที่สิงหนาทพาเข้ามา มันมีมากเกินกว่าที่คนเพียงผู้เดียวจะรวบรวมมาในระยะเวลาอันสั้นได้ ท่านพ่อจึงส่งกระหม่อมให้ไปสืบเรื่องนี้”

“ทำไมต้องเป็นเจ้า” พอถึงคราวสงสัย เจ้าชายก็ทรงซักอย่างละเอียด ชนิดไม่ยอมให้มีส่วนใดรอดพ้นพระเนตรพระกรรณได้

“เพราะหากเป็นสายลับทั่วไปจะถูกจับได้ง่าย ตัวอย่างก็มิให้เห็นที่บูกิตแล้ว” ท่านจินดาเอ่ยขึ้นอย่างเชื่องช้า และคำตอบของท่านก็ทำให้คนเคยเจอฤทธิ์โจรป่าตาลุกวาวขึ้นมา “แวดวงสายลับในบ้านเรามันแคบนัก ใครหายไปทำอะไรที่ไหนแป๊บเดียวก็สืบได้ แต่ถ้าเป็นคนธรรมดาแถมยังตายไปแล้วอย่างแสงอรุณ ก็ไม่มีใครคิดระแคะระคายว่าเขาหายไปที่ไหน”

ทุกคนได้แต่นิ่งอึ้งไปกับแผนการของท่านจินดาที่วางไว้อย่างซับซ้อนซ่อนกล และมันก็อดไม่ได้ที่สายตาทุกคู่จะเบนไปทางปลายมาศที่ถอดรูปสาวใช้หน้าอัปลักษณ์ออกไป เหลือเพียงหญิงสาวที่มีดวงหน้าพริ้มเพราที่ยิ้มตอบกลับมา

“งั้นเรื่องที่ปลายมาศออกแสวงบุญ...” เจ้าของคำถามนี้คือเจ้าชายชัยนเรนทร์ ที่ถูกรับมอบให้เป็นผู้ซักถามตลอดรายการ

“กระหม่อมออกแสวงบุญจริงพระเจ้าค่ะ เพียงแต่เพิ่มผลพวงบางอย่าง เช่นการสืบข่าวต่าง ๆ ระหว่างเดินทางเข้ามาด้วยแค่นั้น”

“มันก็เข้าข่ายเดียวกันกับพวกสายลับไม่ใช่หรือไง!” เจ้าชายแยกเขี้ยวใส่คำตอบเรื่อยสบายของผู้แสวงบุญจอมปลอม ก่อนผินพักตร์ไปทางคนตายไม่จริง ที่ไม่แสดงอารมณ์ออกมาทางสีหน้าว่าตอนนี้กำลังรู้สึกอย่างไร

“เล่าต่อไปสิว่าสืบได้อะไรมาบ้าง”

คำถามนี้ทำให้แสงอรุณทำหน้าเครียดขึ้นมาทันใด ชายหนุ่มหันไปมองบิดาที่พยักหน้าบอกให้เขาเอ่ยออกมาได้ ก่อนถอนหายใจเฮือก “ทหารรับจ้างพวกนี้มาจากแคว้นข้างเคียงของเราเองพระเจ้าค่ะ สิงหนาทได้ไปตกลงบางอย่างกับเจ้าผู้ครองแคว้น ทำให้เขาได้กองกำลังสนับสนุนที่อยู่ในรูปของกองทหารรับจ้างมา ตอนที่กลุ่มของท่านพ่อกับเจ้าชายเข้ามาโจมตีคฤหาสน์ คนของเจ้าผู้ครองแคว้นข้างเคียงก็ถอนกำลังออกทันที ซึ่งรายละเอียดทั้งหมดที่กระหม่อมรู้มา อาจจะมีน้อยกว่าของท่านแม่แสงสุรีย์”

พอสิ้นคำบอกเล่า เป้าสายตาที่เคยตกอยู่กับแสงอรุณก็เบี่ยงไปทางแสงสุรีย์ทันที เธอจ้องมองลูกเลี้ยงที่ส่งสายตาเรียบเฉยตอบกลับมา ด้วยแววตาที่ทุกคนเดาไม่ออกว่ามันมีความหมายเช่นไร แต่มันคงไม่ใช่สายตาที่แสดงความรู้สึกดี ๆ ให้แน่

“สิ่งที่ข้ารู้คือเจ้าผู้ครองแคว้นข้างเคียงต้องการขยายอำนาจมาทางปัญจปุระ ฝ่ายนั้นจึงพยายามวางแผนและทำทุกอย่างที่จะให้เราเป็นแคว้นในอาณานิคม สิงหนาทเองก็เป็นหนึ่งในแผนการนั้น”

หลายคนรู้ดีว่าประเทศมหาอำนาจทั้งหลายต้องการประกาศศักดาของตนเอง โดยการบุกเข้ายึคครองแคว้นที่มีกำลังน้อยกว่าตัว และปัญจปุระก็ถือว่าเป็นแคว้นเล็กที่อาณาจักรน้อยใหญ่อยากได้มาไว้ใต้อาณานิคม แต่ก็ใช่ว่าอาณาจักรเหล่านั้นจะเข้ามายึดแคว้นเล็กอย่างปัญจปุระได้ตามใจคิด

ทางเหนือมีทาลางทูรคอยเป็นนายหน้าด่าน ป้องกันระวังภัยไม่ให้แคว้นที่อยู่ด้านบนเข้ามารุกราน ส่วนทางตะวันตกก็ถูกกั้นอาณาเขตด้วยทิวเขาหลายลูก อันไม่เหมาะกับการยกทัพเข้าบุกรุก และเจ้าบ้านที่ซ่อนอยู่หลังไพรทึบนั้น ก็จัดการคนสอดแนมที่แคว้นเหนือส่งเข้ามาไปได้มากมาย จนผู้รุกรานต้องล่าถอยกลับไปหลายครั้ง

และทางด้านอาณาเขตที่ติดกับทะเล ซึ่งมีความเสี่ยงภัยต่อการถูกรุกรานของอาณาจักรอื่น ก็มีชื่อเสียงของท่านจินดากับราเชนที่ทำให้พ่อค้าหลายฝ่าย รวมถึงขุนนางต่างแคว้นบางคนคอยเกรงใจ อีกทั้งยังมีเหล่าลานุนที่อยู่ใต้ปกครองของกูรามาเนิ่นนาน เป็นปราการสำคัญที่ไม่มีอาณาจักรใดกล้ายกกองเรือติดอาวุธเข้ามาตีประชิด ด้วยชื่อเสียงกองโจรแห่งท้องทะเลสีน้ำเงินระบือไปไกลถึงเจ็ดคาบมหาสมุทร

เพราะอย่างนี้ แคว้นปัญจปุระจึงยังอยู่รอดมาได้จนถึงปัจจุบัน!

“แต่สิงหนาททำงานพลาดมาหลายครั้งแล้ว ครั้งนี้เขาเลยถูกเก็บ” แสงอรุณเสริมต่อเมื่อแสงสุรีย์ไม่ยอมพูดต่อ

“ข้าก็พอเข้าใจเรื่องที่เกิดขึ้นแล้วหรอกนะ” เจ้าชายชัยนเรนทร์ถอนปัสสาสะออกมาเฮือกใหญ่ พลางนึกถึงสิ่งที่ทรงกังวลขึ้นมา “แต่พอสิงหนาทตายไปแบบนี้ ใครจะมารับผิดชอบเรื่องราวที่เกิดขึ้นล่ะ ชีวิตของคนหลายร้อยหลายพันคนที่จากไป ใช่ว่าจะให้เรื่องมันแล้วไปแล้วได้นะ” แล้วพระองค์ก็ปรายสายพระเนตรไปยังสตรีสีแดงที่ยังทำหน้าไร้อารมณ์เช่นเดิม

“ถ้าจะหาคนมารับผิดชอบต่อจากสิงหนาท ก็เห็นจะมีแต่ทาลางทูรเท่านั้น ถึงข้าจะเห็นใจทางฝ่ายนั้นที่ต้องมารับผลในสิ่งที่ตัวเองไม่คิดตั้งใจก่อ แต่ประชาชนของข้ากับกูราคงไม่ยอมเข้าใจแบบพวกเราหรอกนะ ท่านแสงสุรีย์”

“ทาลางทูรก็แพ้ไม่ได้เช่นกันเพคะ” แสงสุรีย์ตอบกลับเสียงเรียบ ดวงตาสีแดงทอแววบางอย่างที่พอท่านจินดาได้เห็นแล้วก็รู้สึกตื่นตระหนกขึ้นมา ด้วยรู้แล้วว่าภรรยาเอกคิดจะทำอะไร

“อย่านะแสงสุรีย์!”

“หม่อมฉันจะรับผิดชอบเรื่องนี้เองเพคะ”

เสียงร้องห้ามของท่านจินดา ดังขึ้นพร้อมกับคำที่แสดงถึงการตัดสินใจของแสงสุรีย์ หลายคนได้แต่มองหน้าสองสามีภรรยาสลับกันไปมา ด้วยความรู้สึกหลายอย่างระคนกัน มีทั้งแปลกใจ บ้างก็ไม่คาดคิดว่าเธอจะยอมเป็นแพะรับบาปง่ายดายเพียงนี้ และที่เห็นจะมีความรู้สึกตรงกันก็คือความรู้สึกสงสารปนสังเวช เพราะท่านจินดาทำหน้าเหมือนกับสัตว์ที่ได้รับบาดเจ็บ และผู้ที่ทำร้ายท่านก็คือแสงสุรีย์

“คิดว่าจะมีคนเชื่อว่าท่านเป็นผู้บงการหรือไง” แม้เจ้าชายจะไม่ทรงโปรดแสงสุรีย์ ด้วยเธอทำให้ปลายมาศบาดเจ็บอยู่บ่อยครั้ง ไม่ทางตรงก็ทางอ้อม แต่พระองค์ก็ยังทรงมีเหตุผลพอที่จะไม่ยัดเยียดโทษในสิ่งที่อีกฝ่ายไม่ได้ทำให้

แสงสุรีย์กระตุกยิ้ม พลางเอียงคอมองเจ้าชายที่เข้าพระทัยอะไรได้ช้าเหลือเกิน “หลักฐานก็มีให้เห็นอยู่นี่ไงเพคะ หม่อมฉันมาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร ถ้าไม่ได้เป็นผู้สมรู้ร่วมคิดกับสิงนาท สายลับของแต่ละฝ่ายต่างก็รู้ว่าหม่อมฉันติดต่อกับทาลางทูร หรือแท้ที่จริงแล้วก็คือสิงหนาทที่บงการอยู่เบื้องหลัง”

เจ้าชายชัยนเรนทร์ครางในพระศอแผ่วเบา สิ่งที่แสงสุรีย์กระทำมาตั้งแต่ต้นจนจบก็เพราะคาดเดาเหตุการณ์ล่วงหน้ามาถึงเพียงนี้เชียวหรือ แต่กระนั้นก็ยังไม่เข้าพระทัยอยู่ดีว่าอีกฝ่ายทำอย่างนี้เพื่อใคร เธอไม่มีทีท่าว่าจะชื่นชอบทาลางทูรเท่าไรนัก กับปามะห์ก็คงไม่ต้องพูดถึงกระมัง ในเมื่อเจ้าแผ่นดินสีทองเป็นไม้เบื่อไม้เมากับภรรยาเอกของท่านจินดา ชนิดเจอหน้าต้องพูดว่ากระทบให้อีกฝ่ายแทบเต้นผาง ทุกคนต่างก็รู้ดีทั้งนั้น

“ข้าควรจะถามเหตุผลข้อไหนก่อนดี ระหว่างอะไรที่ทำให้ท่านคิดร่วมมือกับสิงหนาท หรืออะไรที่ทำให้ท่านยอมรับผิดเรื่องนี้ ทั้งที่ท่านจะปัดว่าไม่ใช่ความผิดของท่านก็ทำได้”

“เหตุผลข้อที่สอง หม่อมฉันได้ตอบไปแล้ว...ทาลางทูรจะไม่ใช่ผู้ผิด ทาลางทูรจะไม่ใช่ผู้แพ้” แสงสุรีย์ตอบด้วยน้ำเสียงราบเรียบ ก่อนปรายตาไปทางท่านจินดาที่ทำสายตาเจ็บช้ำ ด้วยเดาถึงคำตอบอีกข้อหนึ่งได้

“ส่วนเหตุผลข้อแรกนั้นเป็นเพราะหม่อมฉันเกลียดทาลางทูร เกลียดกูรา...”

“เวลาที่ผ่านมาไม่ได้ช่วยให้ความเกลียดชังของเจ้าลดน้อยลงเลยหรือ แสงสุรีย์” ท่านจินดาถามภรรยาเอกด้วยน้ำเสียงแหบเครือ พลางยกมือขึ้นกุมดวงใจที่ปวดร้าวอยู่ในอก “ข้าไม่สามารถแทนที่ฑิคัมพรได้เลยหรือ”

ดวงตาสีแดงสบจ้องกับดวงตาสีฟ้าครามที่มองแต่ตัวเองมาตั้งแต่อดีต ดวงตาที่มักทอแววหวานเสียจนคิดว่าอาจจะใจอ่อนให้เขาเข้าสักวัน แม้ความเกลียดจะเลือนหายไปแล้ว แต่เธอก็ไม่ได้รัก...ไม่เคยคิดอยากรักคนที่พรากความรักและความหวังเพียงหนึ่งเดียวไปจากเธอ

“ท่านแทนที่ฑิคัมพรไม่ได้”

ถึงเจ้าชายชัยนเรนทร์จะทรงสงสัยบทสนทนาที่สองสามีภรรยาใช้โต้ตอบกัน แต่บรรยากาศก็ไม่ชวนให้คนขี้สงสัยอย่างพระองค์ตรัสขัดออกไปได้เลย เจ้าชายจึงทรงเก็บงำเรื่องนี้ไว้ แล้วเบนเป้าไปถามพระบิดาที่น่าจะรู้เรื่องราวในอดีตเกี่ยวกับท่านจินดามากพอควร

“ข้าไม่มีสิทธิ์ตัดสินในเรื่องนี้ แต่คงต้องขอกุมตัวท่านแสงสุรีย์เพื่อสืบหาความผิด ข้าขออนุญาตจับกุมภรรยาของท่านนะ ท่านจินดา”

สิริกัญญารีบเข้าไปประคองท่านจินดา เมื่อเห็นท่านยืนซวนเซทำท่าจะล้มลง หญิงสาวบีบกุมมือบิดาที่ยึดจับท่อนแขนของเธอแน่น ก่อนหันไปมองเจ้าชายชัยนเรนทร์ที่ออกคำสั่งให้หน่วยพิฆาตคุมตัวแสงสุรีย์ไว้ แล้วหญิงสาวก็หันไปมองคนอื่นที่ไม่มีใครคิดปริปากห้ามอะไร รวมถึงตัวเธอที่ไม่รู้ว่าจะหาคำใดมากล่าวค้าน

“สำหรับเจ้า ที่ทุกอย่างมันสายไปหมด เพราะรู้ว่ามันจะเป็นแบบนี้ตั้งแต่แรกสินะ แสงสุรีย์” ท่านจินดาเอ่ยถามภรรยาเอกที่จ้องมองตอบกลับมาโดยไม่พูดอะไร แล้วท่านก็สะอื้นออกมาแผ่วเบา “แล้วสัญญาของเราล่ะ เจ้าจะจัดการอย่างไร เรายังมีหนี้ที่ติดค้างกันอยู่นะ”

“ข้าไม่เคยผิดสัญญา” แสงสุรีย์ตอบกลับด้วยน้ำเสียงราบเรียบดุจเดิม ก่อนเดินตามหน่วยพิฆาตที่นำไปอีกทาง ทิ้งให้สามียืนไหล่ตกอยู่ในวงแขนของบุตรีคนที่สิบเก้าที่โอบประคองด้วยความห่วงใย

เจ้าชายชัยนเรนทร์ถอนปัสสาสะออกมาอย่างหนักอก เรื่องตรงหน้านี้ลึกซึ้งเกินกว่าที่พระองค์จะทรงเข้าพระทัยได้ จึงไม่รู้ว่าจะทรงตรัสเพื่อปลอบใจองคมนตรีเฒ่าอย่างไรดี “เอาล่ะ! เรื่องตรงนี้จบแล้ว ก็เหลือทางฝั่งโน้นที่ต้องจบบ้างสินะ” เจ้าชายทรงดึงความสนใจของทุกคนออกจากท่านจินดา พลางสบสายพระเนตรกับราเชน ที่ไม่รู้ว่าจะทำหน้าเช่นไรเหมือนกับพระองค์ ที่ดันมารับรู้เรื่องราวที่ผิดคาดไปมากเช่นนี้

“เราจะส่งใครเป็นม้าเร็วไปบอกพ่อของข้าที่อยู่ทางฝั่งโน้นดี”

“เรื่องนั้นกระหม่อมจัดการให้เรียบร้อยแล้วพระเจ้าค่ะ คาดว่าตอนนี้เจ้าหลวงทั้งสองพระองค์คงกำลังสรุปเรื่องราวว่าจะจัดการปัญหาที่เกิดขึ้นนี้ต่อไปอย่างไรดี” ดูเหมือนว่าแสงอรุณจะเป็นเพียงคนเดียวที่ควบคุมความรู้สึกของตนเองได้ดีที่สุด เขาตอบด้วยท่าทางเรียบเฉย ราวกับว่าภาพเหตุการณ์นี้ไม่มีผลอะไรกับตัวเขาเช่นคนอื่น

“ถ้างั้นก็ได้เวลากลับบ้านแล้วสินะ” เจ้าชายตรัสตอบด้วยสุรเสียงแผ่วเบา พลางทอดพระเนตรไปยังทุกคนที่มีสภาพเศร้าซึมไม่แตกต่างไปจากพระองค์เท่าไร เพราะหากจะถามว่าสงครามครั้งนี้ ทางฝ่ายปามะห์เป็นผู้ชนะหรือไม่ คำตอบมันออกมาแล้วว่าปามะห์เป็นผู้แพ้เหมือนกับทาลางทูรและกูรา

แสงสุรีย์ได้ทำให้ทั้งสามรัฐที่ทั้งเย่อหยิ่งและไว้ศักดิ์พบกับความพ่ายแพ้ที่ต้องจารจำลงในหัวใจ!

- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -


บทสรุปของโศกนาฏกรรมสามดินแดน ถูกตัดสินโดยคณะเสนาบดีและเจ้าหลวงทั้งสามรัฐให้แสงสุรีย์ ภรรยาเอกของท่านจินดาเป็นกบฎ และลงโทษประหารชีวิต ซึ่งจะจัดขึ้นที่ทุ่งทุงกุอันเป็นส่วนที่มีอาณาเขตติดต่อกับทั้งสามแดนในอีกเจ็ดวันข้างหน้า แต่คำตัดสินนี้ก็ไม่ได้ทำให้ผู้ที่รู้เบื้องหน้าเบื้องหลังรู้สึกดีเสียเท่าไรนัก ด้วยทุกคนต่างรู้ดี ว่านี่คือแพะที่จะถูกจับบูชายัญแทนคนผิดตัวจริงที่รีบเร่งลงปรโลกไปก่อนแล้ว

การประชุมหาบทสรุปโศกนาฏกรรมที่ถูกจัดขึ้นในปามะห์ เป็นไปอย่างเคร่งเครียดตลอดสามวันสามคืน และยิ่งเครียดหนักขึ้น เมื่อพูดกันถึงเรื่องการเชื่อมสัมพันธไมตรีของทั้งสามรัฐ ที่ลงเอยด้วยการส่งเจ้าหญิงของตนไปอภิเษกกับเจ้าชายอีกสองรัฐ ซึ่งทางปามะห์ไม่มีปัญหาอะไรในด้านนี้ เนื่องจากมีเจ้าชายเจ้าหญิงให้เลือกเหลือเฟือ ฝ่ายทาลางทูรนั้นก็ขาดแคลนเจ้าหญิง ด้วยเจ้าหลวงมิได้มีนางในมากมายเช่นเจ้าหลวงแห่งปามะห์ ส่วนกูราก็มีสภาพไม่แตกต่างกันเท่าไร

“ถ้าไม่มีเจ้าหญิงก็เอาท่านหญิงแทนก็ได้ และเพื่อความเสมอภาคก็เป็นเจ้าหญิงหนึ่งพระองค์กับท่านหญิงหนึ่งคนเป็นไง” เจ้าหลวงปัฐวิกรณ์ทรงเสนอความคิดของพระองค์ที่จัดเตรียมไว้เนิ่นนานออกมา พลางแย้มโอษฐ์ไปยังเจ้าหลวงอีกสองพระองค์ที่จำต้องรีบรับข้อเสนอนี้ เพื่อตัดปัญหาที่เหล่าเสนาบดีของตนเองยกมากล่าวอ้าง

และเหตุผลสำคัญที่สุดก็คือจะได้เลิกฟังเหล่าเสนาบดีทะเลาะกันเสียที!

“งั้นขอปามะห์ที่พร้อมที่สุดก่อนแล้วกันนะ” เจ้าหลวงทรงพระสรวลแผ่วเบา โดยไม่สนพระทัยดวงเนตรจากสองเจ้าหลวง ที่หากสายพระเนตรของทั้งสองพระองค์ฆ่าคนได้ ก็คงอยากฆ่าเจ้าหลวงแห่งปามะห์ก่อนเป็นพระองค์แรก

“ทาลางทูรมีเจ้าชายสองพระองค์เองนี่นะ งั้นข้าขอองค์เล็กแล้วกัน ทรงมีพระชันษาเท่าไรแล้วล่ะ”

เจ้าหลวงแห่งทาลางทูรหรี่สายพระเนตรไปทางเจ้าหลวงแห่งปามะห์ ที่ทำพักตร์ซื่อเสียจนน่าหมั่นไส้ พระองค์ยังทรงจำเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในงานเทศกาลจับม้าได้ดี ว่าอีกฝ่ายรู้จักเจ้าฟ้าชายแห่งทาลางทูร ทั้งที่ไม่เคยได้พบพระพักตร์กันมาก่อน แล้วมีหรือที่จะไม่รู้ว่าธิดากับโอรสอีกสองพระองค์มีพระชันษาเท่าไร

“ห้าขวบ”

“อื้อหือ อ่อนกว่าแสงอัปสรตั้งหกปี คงอีกนานเลยกว่าจะเข้าพิธีอภิเษกได้” เจ้าหลวงปัฐวิกรณ์ทรงครางในพระศออย่างครุ่นคิด “งั้นเอาเป็นว่าหมั้นหมายกันไปก่อน รอให้เจ้าชายบรรลุนิติภาวะ แล้วค่อยอภิเษก ทรงเห็นด้วยไหม”

แม้คำตรัสถามจะบอกว่าให้แย้งได้ถ้าไม่เห็นด้วย แต่ดวงเนตรของเจ้าหลวงแห่งปามะห์กลับบอกว่าห้ามปฏิเสธเด็ดขาดเชียว แล้วฝ่ายทาลางทูรที่รอดพ้นข้อกล่าวหาต่าง ๆ เพราะมีคนรับโทษนั้นแทน จะเอ่ยค้านอะไรได้ นอกเสียจากว่าต้องยอมรับข้อเสนอที่ปามะห์ยัดเยียดมาอย่างเสียไม่ได้เท่านั้น

“ยังไงก็ได้”

เจ้าหลวงปัฐวิกรณ์แย้มโอษฐ์อย่างเห็นพระทัยเล็กน้อย แต่หมากของพระองค์ก็เดินกันมาถึงจุดสุดท้ายกันหมดแล้ว ซึ่งแม้จะพลาดไปบางจุดก็ไม่ได้สร้างความเสียหายอะไรให้มากมาย นอกจากความเสียหายในจิตใจของประธานองคมนตรี ที่นั่งซึมกระทืออยู่ข้างพระองค์โดยไม่ยอมพูดยอมจาอะไรกับใคร

“งั้นต่อไปก็เป็นฝ่ายกูราสินะ”

“กระหม่อมขอระบุตัวท่านหญิงเองได้ไหมพระเจ้าค่ะ” เจ้าหลวงวิวัสวัตทรงตรัสขึ้นกลางที่ประชุม หลังจากที่ปล่อยให้ทูตหนุ่มหน้าเป็นกับเสนาบดีหนุ่มแห่งกระทรวงกลาโหม พูดแทนพระองค์อยู่ตลอดวาระการประชุม เรียกเสียงฮือจากทุกคนที่ไม่คาดคิดว่าจะทรงกล้าเอ่ยเช่นนี้ และเจ้าหลวงปัฐวิกรณ์ก็แสยะโอษฐ์อย่างเจ้าเล่ห์

“ทรงไม่พอใจที่ข้าจะเลือกคู่ให้หรือ”

เจ้าหลวงวิวัสวัตแย้มโอษฐ์นุ่มละมุน และไม่สะทกสะท้านต่อสุรเสียงที่แฝงแววข่มขู่ออกมาเล็กน้อย “กระหม่อมมีคู่หมั้นคู่หมายอยู่แล้ว หากรับท่านหญิงคนอื่นมาเป็นพระชายา กระหม่อมเกรงว่าการเชื่อมสัมพันธไมตรีระหว่างเราครั้งนี้คงไร้ความหมาย เพราะกระหม่อมคิดจะมีพระมเหสีเพียงคนเดียว”

คำประกาศของเจ้าหลวงแห่งกูรา คล้ายกับจะจุดชนวนสงครามที่เพิ่งดับให้ปะทุขึ้นมาอีกหน และทำให้ที่ประชุมถูกกดดันด้วยบรรยากาศตึงเครียด เหล่าคณะเสนาบดีจากทั้งสามรัฐมองเจ้าหลวงสองพระองค์ที่ยังสบเนตรกันนิ่ง ซึ่งสร้างความหวาดหวั่นให้กับผู้อยู่ในเหตุการณ์เสียจนนั่งไม่ติดเก้าอี้

“ยังไม่รู้เลยว่าข้าจะยกท่านหญิงคนไหนให้ ไม่รอฟังก่อนหรือ เผื่อจะทรงถูกพระทัย”

“กระหม่อมเกรงพระทัยพระเจ้าค่ะ” แม้เจ้าหลวงวิวัสวัตจะตรัสตอบไปอย่างนั้น แต่ในหทัยรู้ดีว่ามันเป็นการยัดเยียดที่ห้ามปฏิเสธเด็ดขาดเหมือนของทาลางทูรนั่นแหละ

“นางเป็นสาวงามเชียวนา แถมยังเป็นถึงบุตรีเสนาบดีมหาดไทย ไม่สนใจเลยหรือ”

“ไม่ได้นะ ฝ่าบาท!” บิดาของสาวงามร้องค้านขึ้นกลางที่ประชุม ทำให้สายตาทุกคู่จ้องมองมายังท่านที่รู้ดีว่าเป็นการไม่สมควรอย่างยิ่ง แต่ลูกสาวของท่านมีคู่หมั้นคู่หมายอยู่แล้ว ซึ่งก็เป็นโอรสของเจ้าแผ่นดินสีทอง พระองค์จะยังส่งคนรักของโอรสไปให้คนอื่นอีกอย่างนั้นหรือ

“บริมาสมีคู่หมั้นแล้วนะพระเจ้าคะ พระองค์ก็ทรงรู้”

“คู่หมั้น?” เจ้าหลวงปัฐวิกรณ์เลิกพระขนงขึ้น ทำท่าเหมือนไม่รู้เสียเต็มประดาว่าคู่หมั้นของสาวงาม ที่จะส่งไปเชื่อมสัมพันธไมตรีนั้นเป็นใคร แต่เรียวโอษฐ์ที่แสยะยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์นี่สิ ที่ทำให้เสนาบดีมหาดไทยใจไม่ดีเอาเสียเลย

“พูดอย่างกับข้าไม่รู้ว่าคู่หมั้นของลูกเจ้าเป็นใคร”

“ทรงรู้อย่างนั้นแล้วยังจะส่งลูกของกระหม่อมไปอีกหรือพระเจ้าค่ะ จะพรากคนที่รักกัน...” เสนาบดีเฒ่าหยุดส่งเสียงตัดพ้อ เมื่อเจ้าหลวงทรงพระสรวลอย่างกลั้นไว้ไม่อยู่

“พรากคนรักนี่นะ! ให้ตายเถอะภานุ เจ้าคิดได้อย่างไรกัน...” เจ้าหลวงทรงกรรสะแผ่วเบา เมื่อสำลักพระเขฬะ ก่อนทรงพระสรวลอีกครั้ง “ขืนข้าไม่ส่งลูกเจ้าไปกูรา จะได้ถูกกล่าวหาว่าพรากคนรักกันปะไร...ให้ตายเถอะ นี่ลูกเจ้ายังไม่บอกอีกหรือว่าคู่หมั้นจริง ๆ ของตัวเองเป็นใครกันแน่” ท่อนสุดท้ายนี้เจ้าหลวงทรงรำพึงกับองค์เองแผ่วเบา พลางส่ายพักตร์ไปมากับความลับของคุณหนูพระจันทร์ที่ไม่ยอมบอกใครเสียที แถมเจ้าชายชัยนเรนทร์ยังบ้าจี้เล่นตามข่าวลือไปด้วยอีก ทุกคนจึงถูกหลอกกันหมด

เสนาบดีมหาดไทยยังคงทำหน้างุนงง จับต้นชนปลายไม่ถูกว่าอะไรเป็นอะไรกันแน่ และท่าทางน่าสงสารของท่าน ทำให้เจ้าหลวงวิวัสวัตจำต้องเฉลยความจริง

“ขอโทษนะท่านเสนาบดีมหาดไทย คู่หมั้นที่ข้ากล่าวถึงน่ะคือลูกสาวของท่านเอง และก็ขอโทษอีกครั้งที่หมั้นหมายนางตามใจชอบ โดยไม่ขออนุญาตจากท่านเสียก่อน”

“คู่หมั้น!?...คู่หมั้น...” เสนาบดีมหาดไทยได้แต่เบิกตากว้าง ทวนคำพูดซ้ำไปซ้ำมา ก่อนหันไปมองเจ้าชีวิตที่พยักพักตร์รับรองคำตรัสของเจ้าหลวงวิวัสวัต ว่าคู่หมั้นที่แท้จริงของลูกสาวท่านคือใคร แล้วท่านก็ทรุดนั่งลงอย่างเชื่องช้า คล้ายจะซึมซับความเข้าใจอันนั้น ก่อนพยักหน้าอย่างยอมรับความจริงโดยไม่บ่นอะไรอีก

ฝ่ายของทาลางทูรเรียกได้ว่าไม่มีโอกาสได้เผยอปากพูดเลยว่าจะส่งใครไป ในเมื่อเจ้าหลวงปัฐวิกรณ์เป็นฝ่ายตรัสเองเสร็จสรรพ พระองค์ตรัสยกเจ้าฟ้าหญิงสวาตีให้กับเจ้าชายชเยนทรที่มีพระชันษาเท่ากัน ราวกับว่าทรงเป็นพระบิดาของเจ้าหญิงน้อย ทำเอาพระบิดาตัวจริงตวัดดวงเนตรขุ่นเคืองใส่ จนบรรยากาศในห้องประชุมหนักอึ้งขึ้นมาอีกครั้ง และมันก็ยิ่งทำให้เหล่าคณะเสนาบดีพากันหายใจไม่ออก เมื่อเจ้าหลวงวิวัสวัตทรงขอระบุตัวท่านหญิงด้วยองค์เองอีกครั้ง

โชคดีที่ทางเสนาบดีกลาโหมของทาลางทูร ผู้เป็นบิดาของท่านหญิงที่ถูกระบุตัว เป็นคนเข้าใจอะไรได้ง่าย ท่านพอรู้อยู่ว่าลูกสาวของตนเองรักใคร่อยู่กับท่านทูตหนุ่ม ที่ท่านหลงเข้าใจผิดว่าเป็นวณิพกพเนจรมาตลอด ซึ่งเจ้าตัวก็โดนสายตาว่าที่พ่อตาจ้วงแทงมา จึงได้แต่ยิ้มแหยตอบกลับไป เพราะตัวเองเคยไปก่อวีรกรรมไว้ที่นั่นมากมาย และเกือบหัวร้างข้างแตกด้วยฝีมือคนหวงลูกมาแล้ว

ครั้นพอถึงฝ่ายกูราบ้าง ทุกอย่างที่ผ่านไปด้วยดีมาตลอดก็ต้องสะดุดกึก หลังจากที่ทุกคนรับรู้ว่ากูราไม่มีฝ่ายในที่จะส่งมาเชื่อมสัมพันธไมตรีเลยสักคน คนที่พอจะนับกล้อมแกล้มว่าเป็นฝ่ายในได้ ทั้งที่ไม่เคยอยู่ที่ตำหนักฝ่ายในของกูรามาก่อน ก็เห็นจะมีแต่สิริกัญญา ซึ่งเป็นที่รับรู้กันทั่วเมืองปามะห์แล้วว่าถูกจับหมั้นกับราเชนไปเรียบร้อย ดังนั้นกูราจึงขาดท่านหญิงอีกคนที่จะส่งไปทาลางทูร

“จะมีใครขัดข้องไหม ถ้าข้าจะส่งรังสิมา ลูกสาวของข้าเป็นท่านหญิงแห่งกูราเพื่อไปทาลางทูร” ท่านจินดาที่นั่งเงียบมาตลอดการประชุมเอ่ยขึ้นช้าชัด เรียกสายตาจากทุกคนให้หันไปมองท่านเป็นตาเดียว

“ถ้าไม่นับเรื่องที่ท่านมีภรรยาเป็นสตรีสีน้ำเงิน ท่านก็ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับกูราเลยสักอย่าง เสนอตัวไปแบบนั้น ไม่กลัวถูกปฏิเสธกลับมาหรืออย่างไร” ดูเหมือนเสนาบดีมหาดไทยจะฟื้นตัวเรื่องลูกสาวได้เร็ว จึงยังมีอารมณ์ไปเหน็บกัดประธานองคมนตรี ที่ส่งยิ้มนุ่มละมุนตอบกลับมา ซึ่งท่านไม่รู้เลยว่าจะต้องพบกับเรื่องที่น่าตกตะลึงยิ่งกว่าเรื่องของบริมาสที่มีคู่หมั้นเป็นเจ้าหลวงวิวัสวัต

“หึ! เกี่ยวข้องเต็ม ๆ เลยต่างหาก” เจ้าหลวงแห่งทาลางทูรทรงพระสรวลเสียงต่ำ ก่อนปรายสายพระเนตรไปยังเจ้าแผ่นดินสีทองที่ยังตีพักตร์เฉย “ในเมื่อท่านผู้นั้นเป็นถึงผู้สืบทอดสายเลือดดั้งเดิมของกูรา เป็นศูนย์รวมศรัทธาของประชาชน ที่ถูกใครบางคนลักพาตัวไป นับว่าเป็นเกียรติของทาลางทูรที่จะได้เกี่ยวดองกับเชื้อสายดั้งเดิมของกูรา”

เสียงฮือของผู้ไม่รู้ดังขึ้นระงม เมื่อประธานองคมนตรีที่อยู่กับปามะห์มาเนิ่นนาน กลายเป็นคนสำคัญของกูราไปเสียได้ โดยเฉพาะเสนาบดีมหาดไทยที่ตาแทบจะถลนออกมาจากเบ้า กับความลึกลับขององคมนตรีเฒ่าที่ถูกเปิดเผย ท่านหันไปมองเจ้าแผ่นดินสีทองที่ส่งสายพระเนตรประท้วงไป ว่ามันไม่ได้เป็นอย่างที่เจ้าหลวงแห่งทาลางทูรตรัส ซึ่งสายพระเนตรนั้นก็พอทำให้ท่านใจชื้นขึ้นมาบ้างว่ามันอาจเป็นความเข้าใจผิด แต่คำตรัสตอบที่ได้ยินทำเอาท่านอยากจะกลั้นใจตายแทน

“ใครว่าข้าลักพาตัวเขามา ก็เจ้าตัวเขาไม่อยากอยู่ที่นั่น ข้าเลยอาสาพาหนีมาเท่านั้น”

“ฝ่าบาท...” ท่านจินดากระแอมเสียงเบา พลางส่งยิ้มที่ดูหวานอย่างไรพิกลอยู่ แต่ไม่รู้ทำไมคนถูกจ้องจึงรู้สึกหนาวยะเยือกมากกว่าจะเคลิ้มตามรอยยิ้มนั้น “อย่าตรัสอีกเลยดีกว่าพระเจ้าค่ะ กระหม่อมรู้สึกว่าความหมายเดิมมันจะเปลี่ยนไปก็เพราะคำตรัสของพระองค์นี่ล่ะ”

“แต่ข้าไม่ได้ลักพาตัวเจ้ามา” เจ้าหลวงทรงแย้งอย่างไม่ยอมรับข้อกล่าวหา

“แต่กระหม่อมก็ไม่ได้หนีตามพระองค์มา”

“เจ้าหนีมา...”

คนที่เคยมีประวัติหนีออกจากบ้านบ่อยครั้งถอนหายใจเฮือก กับรอยแย้มสรวลอย่างเจ้าเล่ห์ของเจ้าแผ่นดินสีทอง ก่อนเลิกคิดจะต่อปากต่อคำกับคนที่รั้นจะเอาชนะให้ได้ ท่านหันไปมองเหล่าคณะเสนาบดีที่พากันทำหน้าแปลก กับบทโต้เถียงที่ชวนให้รู้สึกเป็นส่วนเกินอย่างไรพิกล

“ข้า...จิรัฐจินดา เจ้าผู้ปกครองน่านฟ้ามืดแห่งกูรา ขอถามทุกคนในที่ประชุมนี้ว่ามีใครคัดค้านเรื่องบุตรีของข้ากับเจ้าฟ้าชายอารยมันบ้าง”

มีใครบ้างที่จะกล้าปฏิเสธความต้องการของเทพราชา ผู้มีประวัติอันบ้าคลั่ง ยิ่งโดนท่านจินดาเจาะจงคู่อภิเษกที่แม้จะรู้ว่าเหลือเจ้าฟ้าชายอารยมันเพียงองค์เดียว แต่ก็พากันอดคิดไม่ได้ว่ามันเป็นการจงใจเกินไปหรือไม่ และเมื่อไม่มีใครเอ่ยปากค้าน เจ้าหลวงปัฐวิกรณ์ก็กล่าวสรุป ก่อนปิดการประชุม



Create Date : 02 เมษายน 2551
Last Update : 2 เมษายน 2551 19:55:23 น.
Counter : 357 Pageviews.

0 comments
ชื่อ :
Comment :
 *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

ฌา
Location :
  

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]



New Comments
All Blog