พิษเสน่หา 21
๒๑ ความรักของพระจันทร์

การพบกันของเธอกับเขาคงเป็นชะตาฟ้าลิขิต และการที่เธอใจเต้นตึกตักยามมองเขาในแต่ละที คงเป็นเพราะพระพรหมเข้ามาขย่มหัวใจเธอ บริมาสไม่เคยคิดเลยว่าอาการรักแรกพบจะเกิดขึ้นได้อย่างง่ายดายเพียงนี้ แม้ว่าเธอจะยังไม่ได้เห็นหน้าเขาเลยก็ตาม

หลังจากที่บริมาสขอร้องให้อีกฝ่ายช่วยพาเธอออกไปจากป่าอย่างไม่อายปาก คนแปลกหน้าก็จัดการอุ้มเธอให้ขึ้นไปนั่งบนหลังหวานใจ โดยที่มันไม่แสดงอาการอยากหนีไปให้ห่างอย่างที่เคยทำกับเธอเป็นประจำ อีกทั้งมันยังดูเชื่องกับผู้ชายคนนี้ราวกับเขาเป็นเจ้านายของมัน ซึ่งหลักฐานนั้นก็คือการที่เขาเรียกม้าตัวโปรดด้วยชื่อที่เธอไม่รู้จัก และมันก็ขานรับ

“ท่านเป็นเจ้าของหวานใจนานหรือยัง” หญิงสาวถามอย่างอยากรู้อยากเห็น หลังจากที่เขาเริ่มจูงม้าเดิน

“หวานใจ?” เสียงทุ้มดุบ่งบอกถึงความสงสัยเด่นชัด และบริมาสก็ตอบคำถามนั้นด้วยการตบลงบนต้นคอของม้าหนุ่ม

“เจ้าหนุ่มนี่ไง หวานใจของข้า”

ดวงตาสีน้ำเงินเหลือบมองหญิงสาวนิสัยแปลกที่กำลังมองม้าของเขาด้วยแววตาหลงใหล และสรรพนามที่เธอใช้ก็จุดรอยยิ้มให้กับเขาโดยไม่รู้ตัว

“เรวันตะน่ะหรือ”

“มันอาจจะเป็นเรวันตะของท่าน แต่สำหรับข้ามันคือหวานใจ”

คำตอบของบริมาสเรียกเสียงหัวเราะจากคนที่ซ่อนพักตร์ไว้ใต้ผ้าคลุม ดูจากท่าทางและแววตาของเธอก็รู้แล้วว่าอยากได้ม้าของเขาใจแทบขาด แล้วจะว่าไปท่าทางของเรวันตะก็ดูคุ้นเคยกับผู้หญิงคนนี้ดี ทั้งที่นิสัยของมันไม่ค่อยยอมสนิทสนมกับใคร แม้แต่กับคนเลี้ยงม้าของเขา

“แม่ของเรวันตะเป็นม้าประจำตัวของข้า แต่นิสัยของมันน่ะช่างพยศ ไม่ยอมเชื่องกับใครสักคนนอกจากข้า มันดีดคนเลี้ยงจนบาดเจ็บมาหลายคนแล้ว ข้าเลยปล่อยให้มันมาหากินเองที่ป่านี้”

บริมาสหัวเราะคิกกับประวัติของม้าตัวโปรด พลางลูบขนคอของมันอย่างเอ็นดู “ข้าก็รู้ว่าหวานใจหยิ่งแสนหยิ่ง ไม่ยอมให้ใครเข้าใกล้ ข้าน่ะเพียรตามมันมาตั้งนาน ลดระยะห่างลงไปก็ตั้งเยอะ แต่มันไม่ยอมให้ข้าได้ขึ้นนั่งแบบครั้งนี้เลยสักครั้ง”

“เจ้ามาที่ป่านี้บ่อยหรือ”

“ข้าเข้าป่าไม่บ่อยหรอก แต่ถ้าเป็นทุ่งทุงกุล่ะก็มาบ่อย ข้ากับเพื่อนชอบมาเล่นกับม้าที่นี่เป็นประจำ” หญิงสาวตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงกระตือรือร้น การถูกเขาถามเรื่องส่วนตัวก็เหมือนกับเป็นสัญญาณบอกว่าเขาเริ่มสนใจเธอแล้ว

ผู้ชายคนนี้เป็นคนแปลก เขาไม่ได้ตะลึงงันไปกับรูปโฉมของเธอยามแรกพบเหมือนกับผู้ชายคนอื่น แววตาที่เขามองบอกว่าเธอก็ไม่ได้แตกต่างจากผู้หญิงทั่วไป อีกทั้งยังไม่ค่อยสนใจเธอเท่าไร ซึ่งเธอพึงใจกับท่าทางของเขามาก แต่ในส่วนลึกก็อดกลัวขึ้นมาไม่ได้ว่าหากเขารู้ถึงฐานะของเธอแล้ว จะแสดงท่าทางออกมาอย่างไร

“แปลกนะ ข้าก็ออกไปที่ทุ่งกุบ่อย แต่ทำไมถึงไม่เคยเห็นเจ้า”

มันก็น่าจะไม่เคยเห็นอยู่หรอก ในเมื่อทุกครั้งที่มายังป่าปัจฉิม บริมาสมักปลอมตัวเป็นจันทร เด็กหนุ่มหน้าแฉล้มที่เป็นคู่อริกับสิรี เพิ่งมีครั้งนี้นี่แหละที่เธอมาในฐานะของบุตรีเสนาบดีมหาดไทย

“คงเพราะยังไม่ถึงเวลาที่เราต้องพบกันกระมัง” คนงามส่งยิ้มหวานให้กับเจ้าของดวงตาสีน้ำเงินที่เหลือบมองมาด้วยแววตาสงสัยกับถ้อยคำที่แฝงความนัยบางอย่าง และมันก็ทำให้อีกฝ่ายอดขำขึ้นมาไม่ได้ เขากำลังถูกผู้หญิงนิสัยแปลกคนนี้เกี้ยวอยู่หรือเปล่านะ

“ถึงชายป่าแล้ว ที่เหลือเจ้าเดินไปเองได้หรือไม่” ชายหนุ่มส่งสัญญาณให้ม้าหยุด พลางหันไปมองหญิงสาวที่ส่งสายตาเสียดายกับระยะทางที่สั้นเกินไป จนไม่มีเวลาแม้แต่จะทำความรู้จักกับอีกฝ่าย

“ท่านไม่ออกไปด้วยหรือ”

“ข้ามีธุระอยู่ที่ป่าอีกด้าน ต้องรีบไป”

ดวงตาสีน้ำเงินทอดมองหญิงสาวที่งดงามเหมือนนางไพรด้วยสายตาเอื้อเอ็นดู ความจริงเขาต้องมนต์เสน่ห์ของเธอ นับตั้งแต่เห็นร่างบอบบางวิ่งตามเรวันตะมา ครั้นได้สบกับดวงตาสีมรกตที่กล้าประจันสายตากับเขา โดยไม่ยอมหลบ ก็ยิ่งสร้างความพึงใจให้กับเขาไม่น้อย แต่เธอยังเยาว์นัก อีกทั้งดูก็รู้ว่าเติบโตมาในครอบครัวแสนสุข ไม่เหมือนกับเขาที่มีแต่กลิ่นเลือด และคลุกคลีกับสิ่งแวดล้อมที่มีแต่เสียงร่ำไห้

“ถ้าอย่างนั้นข้าขอทราบชื่อของท่านได้ไหม” บริมาสรอลุ้นคำตอบด้วยหัวใจที่เต้นระทึก แต่เขาไม่ได้พูดอะไร นอกจากอุ้มเธอลงมาจากหลังม้า หญิงสาวจึงก้มหน้าลงมองพื้น เพื่อปิดแววตาผิดหวังที่กำลังแสดงออกมา

“วิวัสวัต”

“วิวัสวัต...” คนงามพึมพำชื่อของคนแปลกหน้าซ้ำไปซ้ำมา แล้วเงยหน้าขึ้นมองดวงตายิ้มได้ด้วยใบหน้าที่แสดงอาการดีใจอย่างไม่ปิดบัง “ข้า...บริมาสค่ะ”

“อ้อ! พระจันทร์สินะ” ชายหนุ่มครางอือในลำคอ และเริ่มเข้าใจแล้วว่าทำไมเขาจึงถูกชะตากับเธอนับตั้งแต่แรกพบ

เพราะเธอคือพระจันทร์ ส่วนเขาคือพระอาทิตย์นั่นเอง!

“ถ้าอย่างนั้นก็กลับบ้านดี ๆ นะ คุณหนูพระจันทร์ ข้าไปล่ะ”

บริมาสทอดสายตามองตามแผ่นหลังกว้างที่เดินนำเจ้าหวานใจของเธอไปอย่างเลื่อนลอย เมื่อครู่เธอไม่ได้ตาฝาดไปแน่ เธอรู้สึกเหมือนกับว่าเขาส่งยิ้มมาให้ และถ้าไม่มีผ้าปิดหน้า เธอคงจะได้เห็นว่ารอยยิ้มของเขาเป็นอย่างไร

“ท่านพระอาทิตย์!” หญิงสาวตะโกนเรียกอีกฝ่ายที่กำลังจะหายลับไปกับพงไพร ซึ่งเสียงเรียกของเธอก็ทำให้เขาหันกลับมามอง “เราจะได้เจอกันอีกไหม พระจันทร์อยากเจอท่าน!”

วิวัสวัตคลี่ยิ้มเล็กน้อยกับคำถามของคุณหนูพระจันทร์ รักแรกพบคงเป็นแบบนี้กระมัง ไม่มีเหตุผล และบรรยายความรู้สึกออกมาไม่ได้ นอกจากบอกได้เพียงคำเดียวว่ารัก “ถ้าถึงเวลา เราคงได้พบกัน คุณหนูพระจันทร์”

- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -


“มองอะไรอยู่น่ะ บริมาส”

เสียงของสิริกัญญาช่วยฉุดสติของบริมาสให้กลับคืนสู่ความจริงอีกครั้ง หญิงสาวหันไปมองเพื่อนสีน้ำเงินที่ขมวดคิ้วมองด้วยความสงสัย แล้วสิริกัญญาก็สะดุ้งด้วยความตกใจ เมื่อคุณหนูพระจันทร์ปล่อยน้ำตาไหลพราก

“เป็นอะไรไปน่ะ บริมาส!”

“ข้าเจอแล้วล่ะ สิรี” บริมาสตอบเสียงอู้อี้ แล้วปล่อยโฮออกมาจนอีกฝ่ายทำอะไรไม่ถูก และไม่เข้าใจด้วยว่าเธอกำลังพูดถึงอะไร

“เจ้าเจออะไรน่ะ”

“ผู้ชายเพียงคนเดียวของข้า...ข้าเจอแล้ว”

“หา!?” เจอคุณหนูพระจันทร์พูดมาแบบนี้ สิริกัญญาก็ได้แต่งงเป็นไก่ตาแตก

“ข้าบอกว่าข้าเจอผู้ชายเพียงคนเดียวของข้าแล้วไงล่ะ สิรี...ข้าเจอแล้ว!” บริมาสกุมมือเพื่อน แล้วเขย่าไปมาด้วยความดีใจ พร้อมทั้งปล่อยโฮออกมาอีกระลอก

“เดี๋ยวก่อนนะบริมาส จะดีใจหรือร้องไห้ก็เลือกเอาสักอย่างเถอะ แล้วเจ้าช่วยเล่าให้ข้าฟังตั้งแต่ต้นทีว่าเกิดอะไรขึ้น” สิริกัญญาพูดพลางลูบหลังเพื่อนที่โผเข้ามาร้องไห้ซบกับบ่าไปมา

“ข้าไล่ตามหวานใจจนหลงเข้าไปในป่าลึก” บริมาสหยุดเสียงสะอื้น พลางเล่าเหตุการณ์ที่เธอเพิ่งประสบพบเจอให้ฟัง “เกือบถูกงูกัด แต่เขาก็เข้ามาช่วยข้าพร้อมกับหวานใจ”

“แล้วเจ้าร้องไห้ทำไม”

“ก็ข้าเสียดายที่ไม่ได้เห็นหน้าเขาน่ะสิ ไม่รู้หน้าค่าตาจะไปตามหาเขาได้ยังไง แถมยังรู้จักแค่ชื่อ ข้านี่บ้าจริงเชียว” หญิงสาวสูดจมูกฟึดฟัดด้วยความขัดใจ และดูจากการแต่งกายของเขาแล้วก็ไม่น่าใช่ชาวปามะห์ ยิ่งทำให้เธอตามหาพระอาทิตย์ของเธอยากเย็นขึ้นไปอีก

“ที่เจ้าเล่ามาข้าไม่เข้าใจเลยสักนิด ไม่เห็นหน้าแล้วจะรู้ได้ยังไงว่าคือคนที่เจ้าคิดว่าใช่” สิริกัญญาถอนหายใจเฮือกอย่างไม่เข้าใจในความรักของเพื่อน เจอกันแค่ครู่เดียว มันจะเกิดความรู้สึกรักกันได้เลยอย่างนั้นหรือ

“เขาเรียกว่ารักแรกพบ” บริมาสตอบกลับด้วยท่าทางเพ้อฝัน ไม่สนใจอาการขมวดคิ้วนิ่วหน้าของเพื่อนที่ส่งภาษาทางสายตามาว่าให้เธอเลิกฝันเสียที “แค่เพียงได้สบตาก็เหมือนกับมีฟ้าผ่าลงกลางใจ เจ้าไม่เคยรู้สึกยามมองตาเจ้าปาเยนทร์บ้างหรือไง แบบว่าอยากมองดวงตาคู่นั้นของเขาต่อไปนาน ๆ”

สุดท้ายคุณหนูคนงามก็พาวกเข้าเรื่องของสิริกัญญากับราเชนจนได้ และโชคดีที่คนเพ้อฝันไม่สังเกตเห็นว่าเพื่อนสีน้ำเงินเกิดอาการสะดุ้ง ตอนที่ถูกถามเรื่องครั้งที่ได้สบตากับเจ้าปาเยนทร์ครั้งแรก อีกทั้งน่าเสียดายที่เจ้าตัวไม่ได้เห็นใบหน้าที่แดงก่ำ ราวกับคำพูดนั้นจี้เข้ามาถูกจุด

“ไร้สาระ ใครจะไปอยากจ้องตาเจ้าปาเยนทร์กัน”

บริมาสส่งสายตาค้อนคว่ำให้กับเพื่อนที่ไม่มีท่าทางคล้อยตามอารมณ์รักบังเกิดของเธอเลยสักนิด และเธอก็อดไม่ได้ที่จะประชดเพื่อนตอบกลับไป “ไม่ถึงทีเจ้าบ้างก็แล้วไป คนที่พูดแบบนี้ไม่เคยอยู่โสดสักคน เดี๋ยวข้าจะอวยพรให้ล่วงหน้าเลย”

สิริกัญญาเม้มริมฝีปากแน่น พลางตีเพื่อนแก้อาการวูบวาบที่เกิดขึ้นในใจ “ปากเสีย! ข้าบอกแล้วไงว่าจะบวชชี ข้าไม่แต่งงานหรอก”

“เชื่อเถอะว่าเจ้าได้แต่งงานแน่ แล้วเจ้าบ่าวก็เป็นเจ้าปาเยนทร์”

“บริมาส!”

คนงามหัวเราะร่า พลางหนีฝ่ามือเพื่อนที่จะตีลงมาบนแขนเป็นรอบที่สอง ก่อนส่งสายตาล้อเลียนเพื่อนที่ตอนนี้หน้าแดงก่ำอย่างกับลูกตำลึงสุก ซึ่งเธอไม่รู้ว่ามันเป็นเพราะความอายหรือความโกรธกันแน่

“หัดยอมรับความจริงบ้างเถอะแม่คนปากแข็ง ชอบเขาเข้าแล้วก็บอกมา ข้าจะเป็นแม่สื่อให้”

“หยุดพูดได้แล้วบริมาส ข้าไม่ได้ชอบเจ้าปาเยนทร์” สิริกัญญาโต้กลับอย่างหัวเสีย แต่ยิ่งเธอปฏิเสธเท่าไร บริมาสก็ดูจะส่งสายตาล้อเลียนเธอมากขึ้นเท่านั้น

“จ้างก็ไม่เชื่อ ข้าจะไปบอกพี่ปลายมาศว่าเจ้าชอบเจ้าปาเยนทร์” คุณหนูจอมซนพูดพลางวิ่งออกไปนอกป่า โดยมีสิริกัญญาวิ่งตามหลัง และตะโกนเรียกเพื่อนที่ทิ้งเสียงหัวเราะร่าให้คนที่ได้ยินรู้สึกเจ็บใจเล่น

“หยุดนะบริมาส! ห้ามบอกพี่ปลายมาศนะ!”

- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -


เสียงกลั้วหัวเราะจากเจ้าของดวงเนตรสีน้ำเงิน ที่คิดเฝ้ามองส่งคุณหนูพระจันทร์ให้ออกนอกป่าไปอย่างปลอดภัย แต่กลับได้ยินบทสนทนาของสาวน้อยช่างฝันอย่างไม่คาดคิด ทำให้ชายฉกรรจ์อีกสามคนที่คลุมผ้าปิดหน้ามิดชิด หันไปมองเจ้านายของตัวเองด้วยความแปลกใจ เพราะนับตั้งแต่ทำงานรับใช้เจ้าชีวิตของตัวเอง พวกเขายังไม่เคยเห็นอีกฝ่ายหัวเราะให้ได้ยินสักครั้ง

“ฝ่าบาท...”

“เป็นเด็กที่ร่าเริงดีนะ” สุรเสียงทุ้มดุดังขึ้นเนิบนาบ หลังจากเผลอปล่อยองค์หลุดเสียงสรวลออกมา

“ฝ่าบาทดูจะทรงโปรดสาวน้อยพระจันทร์มาก” เสนาบดีหนุ่มแห่งกระทรวงกลาโหมเอ่ยขึ้นอย่างแช่มช้า พลางเบือนสายตามองไปยังทิศทางที่สองสาววิ่งจากไปอย่างครุ่นคิด

“นางยังเด็ก” เจ้าหลวงวิวัสวัตส่ายพักตร์อย่างไม่ยอมรับนักว่าทรงต้องพระทัยในตัวหญิงสาวพระจันทร์อย่างไม่เคยเป็นมาก่อน

“นางเป็นสาวแล้วพระเจ้าค่ะ แต่งงานได้แล้ว”

ดวงเนตรสีน้ำเงินหรี่ลงเล็กน้อยกับคำเกริ่นของเสนาบดีหนุ่ม ซึ่งอีกสองคนที่เหลือที่คนหนึ่งเป็นถึงผู้บัญชาการกองทหารรักษาพระองค์ อีกคนเป็นทูตประจำกระทรวงการต่างประเทศก็พยักหน้ารับอย่างเห็นด้วย เพราะจะว่าไป เจ้าหลวงแห่งกูรายังไม่มีพระมเหสีหรือพระสนมสักคน แม้พระชันษาจะล่วงเข้าสามสิบกว่าไปแล้ว หากพวกเขาคะยั้นคะยอให้ทรงสนพระทัยหญิงสาวที่เปรียบเหมือนเจ้าแห่งพงไพรประทานมาให้ เห็นทีเหล่าไพร่ฟ้าจะได้เห็นราชินีของตนเองสมใจอยากเสียที

“ข้ายังไม่สนใจเรื่องพวกนี้” คำตรัสกับสายพระเนตรที่ยังจดจ้องไปยังทิศทางที่คุณหนูพระจันทร์วิ่งจากไปช่างไม่ตรงกันเลยสักนิด เรียกเสียงหัวเราะจากเสนาบดีผู้รู้พระทัยเจ้าเหนือหัวดียิ่งกว่าตัวพระองค์เอง

“เขาว่าโฉมงามมักโดดเดี่ยวได้ไม่นาน เดี๋ยวก็มีบุรุษเข้ามาขอสานไมตรีไม่ว่างเว้น แม้นางอาจยังไม่มีทีท่าชอบใคร แต่เกิดพ่อแม่ของนางต้องตาต้องใจบุรุษผู้ใดขึ้นมา มิจับมั่นหมายนางกับบุรุษผู้นั้นเสียก่อนหรือพระเจ้าค่ะ”

เจ้าหลวงวิวัสวัตส่งเสียงสรวลแผ่วเบา หลังจากที่เสนาบดีหนุ่มพูดจบ มันเป็นประโยคที่ยาวที่สุดที่อีกฝ่ายเคยพูดเลยทีเดียว “น่าถอดยศจากเสนาบดีกลาโหมไปเป็นเสนาบดีการต่างประเทศแทนนะ กล่อมเก่งเหลือเกิน”

เสนาบดีหนุ่มค้อมคำนับรับคำนายเหนือหัว พลางคลี่ยิ้มน้อย “กระหม่อมจะถือว่าเป็นคำชมพระเจ้าค่ะ”

“เรื่องของคุณหนูพระจันทร์ ข้าจะเก็บเอาไปคิดตามที่เจ้าว่า แต่ตอนนี้เรามาคิดอีกเรื่องหนึ่งกันก่อนดีกว่า” เจ้าหลวงวิวัสวัตตรัสพลางถอนปัสสาสะออกมาแผ่วเบา การมายังชายแดนของพระองค์ในครั้งนี้ มาเพื่อสอดแนมดูการเคลื่อนไหวของฝั่งปามะห์โดยเฉพาะ ด้วยงานเทศกาลล่าม้าที่มีของรางวัลล่อตาล่อใจ ได้ดึงดูดคนทั่วสารทิศให้มารวมตัวกัน จนแยกไม่ออกว่าฝ่ายไหนเป็นฝ่ายไหน และพระองค์ไม่คาดเลยว่าการมาด้วยเรื่องหนึ่ง จะทำให้ได้อีกเรื่องหนึ่งกลับไป

หากเจ้าหลวงวิวัสวัตไม่ทรงอยู่รอส่งบริมาให้ออกไปอย่างปลอดภัย พระองค์ก็จะไม่มีวันได้ทอดพระเนตรเห็นสายเลือดที่ตามหามาเนิ่นนาน เพียงแวบแรกที่หญิงสาวผู้นั้นก้าวเข้ามาในสายพระเนตร เงาของพระเชษฐภคินีก็ซ้อนทับลงมาราวกับภาพฝัน

“เมื่อครู่ดูเหมือนคุณหนูพระจันทร์จะเอ่ยถึงชื่อเจ้าปาเยนทร์ด้วย” เสนาบดีหนุ่มเอ่ยขึ้นแผ่วเบา พลางหันไปมองเจ้าชีวิต ที่ดูเหมือนจะปล่อยสติให้หลุดลอยไปยังอดีตทุกครั้ง ยามที่มีหลักฐานสืบสาวไปยังพี่น้องที่สาบสูญ

“ฝ่าบาท...”

เสียงเรียกของเสนาบดีหนุ่มช่วยรั้งสติของเจ้าหลวงวิวัสวัตให้กลับคืนมาอีกครั้ง พระองค์ครางอือในพระศอ พลางแย้มโอษฐ์เพื่อขอลุแก่โทษที่เหม่อลอยไป “ขอโทษที หน้าของนางคล้ายกับพี่สร้อยแสงจันทร์มาก...มากจนข้าคิดว่าพระองค์กลับมายืนต่อหน้าข้าอีกครั้ง”

“กระหม่อมเคยตามรอยของพระองค์เจ้าสร้อยแสงจันทร์มาหลายครั้งแล้ว เพราะสายลับยืนยันมาว่าทรงหนีไปกับกลุ่มของสมเด็จพระราชินี แต่ร่องรอยทุกอย่างกลับหายไปในปามะห์ ไม่มีฝ่ายไหนตามรอยได้เลยจนถึงเดี๋ยวนี้” ผู้บัญชาการกองทหารรักษาพระองค์เอ่ยขึ้นมาบ้าง หลังจากปิดปากเงียบมานาน และงานตามรอยเจ้าชีวิตที่หลบหนีไปตั้งแต่กบฎครั้งก่อนก็เป็นหน้าที่ของเขา

“บางทีอาจเป็นปามะห์นั่นแหละที่ปกปิดร่องรอยเอาไว้” เจ้าหลวงวิวัสวัตตรัสเสียงขรึม กบฎสิงหนาทเกิดขึ้นในสมัยที่ยังทรงพระเยาว์ แต่พระองค์ก็ไม่เคยลืมปราสาทเทพบันเทิง และความสัมพันธ์ฉันมิตรของเจ้าหลวงฑิคัมพรกับอดีตเจ้าชายปัฐวิกรณ์

“เสด็จพี่ฑิคัมพรเป็นพระสหายกับเจ้าชายปัฐวิกรณ์ อีกทั้งเสด็จพี่ยังช่วยให้ทางฝ่ายนั้นปราบดาภิเษกเป็นเจ้าหลวงด้วย บางทีการที่เราไม่ได้ข่าวเสด็จพี่องค์อื่น ๆ ที่หนีเข้ามาในปามะห์เลยก็อาจเป็นฝีมือของเขา”

“แต่กระหม่อมไม่คิดว่าการซุกซ่อนเหล่าพระองค์เจ้าจะเป็นฝีมือของเจ้าหลวงปัฐวิกรณ์เพียงพระองค์เดียว อย่างน้อยต้องมีผู้ทรงอิทธิพลที่สามารถต่อกรกับอำนาจของทาลางทูรคอยช่วยเหลือด้วยแน่”

“เจ้าปาเยนทร์คนก่อน” ท่านทูตผู้มีรอยยิ้มพิมพ์ใจเอ่ยต่อคำพูดของผู้บัญชาการกองทหารรักษาพระองค์แผ่วเบา พลางควงท่อนไม้แห้งที่หักมาจากข้างทางเล่นไปมา “ได้ยินมาว่าเป็นถึงเสนาธิการในการวางแผนทำสงครามกับทาลางทูร ต่อมาก็เป็นท่านมานัย นักแสวงบุญผู้รอบรู้ ได้ยินแว่วมาว่าสมัยก่อนเคยเป็นตัวเก็งที่จะรับตำแหน่งพระมหาสังฆราชองค์ต่อไป แต่เนื่องจากยังตัดทางโลกไม่ขาดจึงร่อนเร่ไปมา แล้วที่น่าสนใจที่สุดคงเป็นมหาเสนาบดีผู้ลึกลับ”

หากไม่นับเสียงเสียดสีของใบไม้ เพลงบรรเลงของสายลม และฝีเท้าของเหล่าอาชาผู้หยิ่งผยอง ทุกอย่างก็ดูเงียบกริบลงทันทีที่ท่านทูตหยุดพูดไป ดวงตาเรียวชายมองอดีตสหายร่วมศึกที่พากันถลึงตาจ้องจนดูน่าขัน ชายหนุ่มกลั้วหัวเราะเล็กน้อย พลางเอ่ยต่อไป

“คงจำกันได้ว่าพ่อของข้าเป็นเสนาบดีการต่างประเทศ สมัยก่อนที่กูรากับปามะห์ยังมีการติดต่อสัมพันธ์กันอยู่ ท่านพ่อเคยได้เข้าเฝ้าทั้งเจ้าหลวงในพระบรมโกศกับเจ้าหลวงองค์ปัจจุบัน ท่านได้ยินข่าวลือเกี่ยวกับมหาเสนาบดีผู้ลึกลับมา”

“นักการทูตนี่มันต้องพูดเยิ่นเย้อกันทุกคนเลยหรือเปล่าวะ” ผู้บัญชาการกองทหารรักษาพระองค์เลือดร้อนคำรามลอดไรฟันออกมา เมื่อเพื่อนเก่าชักพูดเยิ่นเย้อกินเวลา และคนถูกแขวะก็หัวเราะตอบกลับไปอย่างไม่ทุกข์ร้อน

“ถ้าข้าไม่รีบสรุปความคงโดนใครบางคนต่อยปากสินะ”

“เออ!”

บทโต้ตอบของคนที่มีนิสัยต่างกันสุดขั้ว แต่ไม่รู้คบเป็นเพื่อนกันมาได้อย่างไร เรียกเสียงหัวเราะจากเสนาบดีหนุ่มแห่งกระทรวงกลาโหม ส่วนเจ้าหลวงวิวัสวัตได้แต่แย้มโอษฐ์เล็กน้อย พลางส่ายพักตร์ไปมาอย่างอิดหนาระอาใจ

“เล่ามาเถอะว่ารู้อะไรบ้าง”

ท่านทูตหนุ่มค้อมคำนับรับคำ ก่อนเล่าส่วนต่อไป “มหาเสนาบดีคือแม่ทัพใหญ่ที่ประจันศึกต่าง ๆ กับทาลางทูร บัญชาการรบตามแผนการของเสนาธิการอย่างเจ้าปาเยนทร์ได้อย่างรวดเร็วและดุดัน ประสานงานกับฝ่ายการข่าวอย่างท่านมานัยได้ดีเยี่ยม แต่น่าเสียดายที่ไม่มีใครเคยเห็นโฉมหน้าของมหาเสนาบดีคนนี้ ทั้งที่เขาก็ออกรบร่วมกับเหล่าทหารในสมรภูมิแทบทุกครั้ง ความลึกลับของเขาทำให้กระหม่อมคิดว่าเขานี่ล่ะที่มีส่วนในการซุกซ่อนเหล่าพระองค์เจ้าของเราด้วยมากที่สุด โดยอาจมีการร่วมมือกันระหว่างเจ้าปาเยนทร์ ผู้แสวงบุญและเจ้าหลวงปัฐวิกรณ์”

“แล้วเจ้ามีหลักฐานเกี่ยวกับส่วนนี้หรือยัง” เจ้าหลวงวิวัสวัตตรัสถามอย่างสนพระทัย และกระตือรือร้นเป็นที่ยิ่ง ด้วยเวลาสิบกว่าปีที่ผ่านมา พระองค์ทรงยุ่งอยู่กับการพัฒนาเมือง กอปรกับออกตรวจตราความเป็นอยู่ของเหล่าราษฎรมาตลอด

จวบจนวันนี้ เจ้าหลวงวิวัสวัตได้ทอดพระเนตรเห็นว่าเหล่าประชาราษฎร์ของพระองค์อยู่เย็นเป็นสุขมากขึ้น มีการประกอบสัมมาชีพเป็นหลักแหล่งและมั่นคง พระองค์จึงทรงวางมือจากงานเมืองให้ฝ่ายพัฒนาคนอื่นจัดการต่อ แล้วหันมาจับงานตามหาเหล่าพี่น้องที่ต้องแตกซ่านกระเซ็นจากภัยกบฎให้กลับคืนสู่มาตุภูมิโดยเร็ว

“กระหม่อมยังไม่มีหลักฐาน แค่สนใจในตัวมหาเสนาบดีผู้นี้เป็นพิเศษ เพราะขนาดสายลับที่ดีที่สุดของเรายังไม่อาจทราบได้ว่าเขาเป็นใคร ดังนั้นคำตอบเกี่ยวกับเหล่าพระองค์เจ้าที่หายสาบสูญยามล่วงเข้าเขตปามะห์ก็อาจอยู่ที่เขา และตอนนี้เราก็มีร่องรอยที่จะสืบหาความลับของมหาเสนาบดีผู้นี้แล้ว”

“ถามราเชนคงจะดีที่สุด และรวดเร็วที่สุดกระมัง” เจ้าหลวงวิวัสวัตตรัสขึ้นแผ่วเบา พลางนึกไปถึงสหายเก่าแก่ที่ทรงได้ข่าวมาว่านอนเจ็บอยู่ในอารามแห่งหนึ่งในบูกิต และข่าวนี้ก็ทำให้สหายเก่าอีกคนหนึ่งทิ้งงานของตัวเองมา เพื่อไปดูอาการคนเจ็บถึงบูกิต

“เจ้าชัยคงรู้อะไรบ้างไม่มากก็น้อยล่ะ ข้าคงได้คุยอะไรกับเขามากมายเลยทีเดียว”

- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -


ข่าวการบาดเจ็บของราเชน ปาเยนทร์กระจายไปสู่ผู้ที่ซุกซ่อนทั่วปามะห์อย่างรวดเร็ว ซึ่งไม่มีใครรู้เลยว่าคนที่กระจายข่าวนี้เป็นผู้ใด และคนกระจายข่าวที่ว่าก็กำลังเดินวนไปวนมาอยู่ในห้องกว้างของบ้านร้าง ซึ่งเคยเป็นสถานพยาบาลผู้ติดโรคระบาดในสมัยก่อนกลางป่าใหญ่ อันเป็นสถานที่นัดพบของกลุ่มโจรที่กำลังอาละวาดอยู่ตามชายแดนในขณะนี้

“หยุดเดินทีเถอะ ข้าเวียนหัวจะแย่แล้ว” เสียงห้าวห้วนแฝงความรำคาญดังมาจากมุมมืดหนึ่ง เมื่อคนที่เดินวนไปวนมาอยู่กลางห้องไม่มีทีท่าว่าจะหยุดเดินเสียที

“อย่าไปห้ามมันเลย อีกเดี๋ยวนายท่านจะมา มันต้องหาข้อแก้ตัวเรื่องเจ้าปาเยนทร์”

อีกเสียงหนึ่งดังมาจากอีกมุม และคราวนี้ก็มีเสียงหัวเราะจากผู้ที่หลบซ่อนอยู่ในเงามืดอีกร่วมสิบคนดังประสานขึ้นพร้อมกัน ทำให้คนขี้วิตกถลึงตาใส่พรรคพวกที่ไม่มีใครทุกข์ร้อนกับผลงานที่ผิดพลาดของตัวเองสักคน แต่พอเขาจะโต้ฝีปากกลับไปบ้าง เสียงฝีเท้าสองคู่ของผู้มาใหม่ก็ขัดขึ้นเสียก่อน

ทุกคนที่อยู่ในห้องลุกขึ้นยืนทำความเคารพอย่างพร้อมเพรียง เมื่อเห็นเงาของผู้มาใหม่ปรากฏขึ้นหลังฉากกั้น พวกเขารอจนกระทั่งหนึ่งในสองคนนั่งลงบนเก้าอี้ จึงนั่งลงประจำที่ของตัวเองตามเดิม

“เล่นกันแรงเหมือนกันนะ” เสียงนุ่มละมุนหลังฉากกั้นดังขึ้นแผ่วเบา และนั่นก็ทำให้คนที่ยืนโดดเด่นกลางห้องโค้งตัวลงต่ำยิ่งกว่าเดิม

“พวกเจ้าไม่น่าเล่นกับคนที่ไม่ควรเล่นเลย”

ใคร ๆ ต่างก็รู้ว่าราเชน ปาเยนทร์เก่งกาจเพียงไร แล้วการที่เขาถูกโจรป่าทำร้ายจนบาดเจ็บสาหัส กระทั่งป่านนี้ยังนอนไม่ได้สติอยู่ในอารามแห่งหนึ่งในบูกิต ก็เป็นการบ่งบอกแล้วมีฝีมือของคนที่ทำร้ายเขาอยู่ในระดับใด

“ข้าพลาดเองครับ” ชายหนุ่มกลางห้องเอ่ยเสียงเบาหวิว ความผิดพลาดเรื่องที่ถูกตามรอยมายังที่ซ่อนยังพออภัยให้ได้ แต่ความผิดพลาดเรื่องที่เขาไม่สามารถควบคุมลูกน้อง ไม่ให้กระทำรุนแรงเกินเหตุ แม้ว่าสิ่งนั้นจะทำไปเพื่อปกป้องเขาที่พลาดพลั้ง จนเกือบโดนเจ้าปาเยนทร์ทำร้าย ทำให้เขาไม่สามารถอภัยให้ตัวเองได้เลย

“ข้าไม่ได้มาที่นี่เพื่อกล่าวโทษ” น้ำเสียงของชายหลังฉากกั้นไม่มีแววถือโทษโกรธเคือง นอกจากจะมีรอยกังวลในความปลอดภัยของคนเหล่านี้ ที่จะต้องถูกหมายหัวจากทุกรัฐที่เริ่มระแวงภัยในมือที่สาม “และการปล่อยข่าวของเจ้ามีส่วนดีอยู่ไม่น้อย เพราะทำให้ผู้ที่ยังหลบซ่อนอยู่เริ่มเคลื่อนไหว แต่ต่อไปนี้ทั้งสามรัฐคงไม่คิดว่าเราเป็นแค่โจรธรรมดาอีกต่อไป พวกเจ้าจึงต้องระวังไว้ให้มาก”

ความห่วงใยของชายหลังฉากกั้น ทำให้ทุกคนที่อยู่ในนี้ตื้นตันใจอย่างบอกไม่ถูก หากจะกล่าวตามความจริง พวกเขาก็ถูกคนอื่นกล่าวหาว่าเป็นเศษเดนของสังคมมาตั้งแต่เด็ก ออกเที่ยวลักเล็กขโมยน้อย ก่อความวุ่นวาย จนถูกทางการของรัฐจับกุมและลงโทษไปหลายต่อหลายครั้ง กระทั่งชายผู้นี้โผล่มาและเก็บพวกเขาไปเลี้ยง ส่งคนมาอบรมบ่มสอนให้มีความรู้ขั้นพื้นฐาน ฝึกทักษะให้มีความชำนาญเฉพาะตัวตามความสามารถของแต่ละคน

“พวกข้าจะระวังตัวให้มากขอรับ”

คำรับรองนั้นพอทำให้เบาใจลงได้บ้าง เพราะฝีมือของคนพวกนี้ถูกฝึกมาให้แพ้ไม่เป็นอยู่แล้ว “ดีมาก...แล้วอย่าให้ใครล่วงผ่านเข้าไปในเขตต้องห้าม ไม่ว่าจะเป็นพวกสีแดง สีทองหรือแม้แต่สีน้ำเงิน และข้าขอร้อง...อย่าทำร้ายใครโดยไม่จำเป็น”

“แต่คนพวกนั้นจ้องจะทำร้ายพวกเราอยู่น่ะสิขอรับ” เสียงหนึ่งในความมืดดังโอดครวญขึ้นมา เรียกเสียงหัวเราะครืนจากพลพรรคที่ต่างรู้ไส้รู้พุงกันดีว่าแต่ละคนไม่อินังขังขอบต่อภัยนี้เท่าไรนัก

“ข้าวางใจในตัวพวกเจ้าเสมอ ขออวยพรให้มีชีวิตรอดกันทุกคน”

ทุกคนต่างลุกขึ้นยืนทำความเคารพอีกครั้ง เมื่อเงาของคนหลังฉากกั้นลุกขึ้นเดินจากไป และเพียงเวลาไม่นาน ทั่วบ้านร้างก็ไม่มีวี่แววของมนุษย์อีก ที่มีก็คงเป็นเพียงความวังเวง และเสียงเพลงแผ่วเบาของใครบางคนทิ้งไว้เท่านั้น







เฮ่อ ๆ มัวแต่เขียนเพลินจนลืมพิมพ์ เรื่องนี้เลยทำพิษให้ตัวเองสมชื่อ ปวดมือเพราะพิมพ์ไปตั้ง 5 ตอนรวด กลิ่นยานวดฉุนไปทั้งร้านเลย

ตอนนี้มีตัวละครใหม่เพิ่มเข้ามา คนทำให้หลายคนต้องมึนหัวกับตัวละครว่าตัวไหนเป็นตัวไหนอีกแน่ ๆ เลย นี่จะเป็นตัวละครใหม่ที่เริ่มมีบทเด่นเข้ามาในช่วงหลัง จนถึงตอนจบ และจะเป็นตัวช่วยคลายปมแต่ละปมที่ทิ้งไว้ตั้งแต่ตอนต้นออกมาทั้งหมด

สำหรับสองตอนใหม่ที่โพสต์นี้ ตอนแรกตั้งใจว่าจะเก็บไว้ตอนหนึ่งให้ค้างเรื่องพระอาทิตย์กับพระจันทร์ไปเล่น ๆ ก่อน แต่ก็เอาเถอะ ด้วยความอยากอวดนิยายที่เพิ่งพิมพ์เสร็จ ก็เลยแปะมันสองตอนรวดเลย หากมีตรงไหนอ่านแล้วติด ๆ ขัด ๆ ก็ขอแก้ตัวว่าเพิ่งรีเช็คไปได้แค่ครั้งเดียวเองค่ะ มีพลาด มีหลง มีหลุดบ้างตามประสาคนเอ๋อ ๆ

สำหรับเจ้าปาเยนทร์ที่เฝ้ารอ ตอนหน้าก็เริ่มปรากฏตัวแล้ว แถมยังยึดความเด่นไปตั้งสองตอนรวด และคุณหนุ่มยังมีช่วงแอบโรแมนติกให้เห็นวับ ๆ แวม ๆ ไว้กินเล่นก่อนเสริ์ฟของหวานก่อนนะคะ



Create Date : 31 มกราคม 2551
Last Update : 31 มกราคม 2551 20:28:31 น.
Counter : 947 Pageviews.

6 comments
  
KA Thank you Ka ^_^
โดย: Jintana IP: 71.125.196.235 วันที่: 31 มกราคม 2551 เวลา:21:57:33 น.
  
แม่สิรีชื่อสร้อยแสงจันทร์ งั้นวิวัสวัทก็เป็นคุณน้าของสิรีล่ะสิแล้วยังมีแววว่าจะเป็นพระเอกของคุณหนูพระจันทร์ด้วยนะเนี่ย

โดย: On^^eeH IP: 203.113.37.11 วันที่: 31 มกราคม 2551 เวลา:23:08:37 น.
  
ทำไมชอบทำให้คนอ่านเศร้าอยู่เรื่อยเลย เอาขนมมาล่อแต่ก็ไม่ได้กิน คราวหน้าถ้าไม่ให้กินโกรธจิงด้วย
โดย: น้อง IP: 124.121.182.230 วันที่: 1 กุมภาพันธ์ 2551 เวลา:8:36:24 น.
  

ดีใจกับหนูพระจันทร์ด้วยที่เจอชายในฝัน

ตอนนี้เริ่มจะรู้ชาติกำเนิดของสิรีแล้วซิ

ได้อ่านสองตอนยาวดีค่ะ
โดย: nekojung IP: 58.9.79.165 วันที่: 1 กุมภาพันธ์ 2551 เวลา:11:43:22 น.
  
ปมเยอะเหลือเกินนะคะ เรื่องนี้ เมื่อไหร่จะถึงเวลาคลายปมซักทีล่ะคะ
ใกล้จบหรือยังคะ เห็นว่าเรื่องนี้มีชื่ออยู่ในลิสต์ที่จะพิมพ์จำหน่ายของ come on ด้วยใช่มั๊ยคะ
โดย: pumpam IP: 58.8.78.240 วันที่: 1 กุมภาพันธ์ 2551 เวลา:11:55:57 น.
  
สนุกจังค่ะ......
เนื้อเรื่องก็เริ่มจะโรแมนติกมากขึ้น........
ตอนต่อไปอย่าให้รอนานนะคะ จะรออ่านค่ะ........
โดย: เหมียว เหมียบ IP: 203.113.76.8 วันที่: 3 กุมภาพันธ์ 2551 เวลา:5:22:28 น.
ชื่อ :
Comment :
 *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

ฌา
Location :
  

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]



New Comments
All Blog