พิมพ์เสน่หา 4
ตอนที่ ๔ บ่วงดวงใจ

หากพ่อค้าแม่ขายในตลาดโภคเจริญไม่รู้จักไอศวรา ลูกสาวของแม่ค้าขายพวงมาลัยที่ตั้งร้านอยู่ตรงปากทางเข้าของตลาดแล้วล่ะก็ พวกเขาคงคิดว่าภาพที่ตนเห็น เป็นภาพน้องน้อยแสนงอนที่กำลังต่อต้านพี่ใหญ่ด้วยท่าทางดื้อดึงอยู่เป็นแน่

และหากพ่อค้าแม่ขายในตลาดโภคเจริญไม่เคยเห็นศศิน ชายหนุ่มแสนซื่อที่เซ่อจนโดนเด็กหญิงขายพวงมาลัยหลอกเอาเงินไปร่วมพันบาทแล้วล่ะก็ พวกเขาคงคิดว่าภาพที่ตนเห็น เป็นภาพของพี่ใหญ่ขี้แกล้งที่ทั้งรักทั้งหวงน้องน้อยในอ้อมแขนเสียจนไม่อยากปล่อยให้หนีไปไหน

ดังนั้น เมื่อพ่อค้าแม่ขายในตลาดโภคเจริญล้วนรู้จักและเคยเห็นคนทั้งคู่ พวกเขาก็อดรู้สึกแปลกใจไม่ได้ ว่า คู่กรณีทั้งสองไปทำความรู้จักจนสนิทสนมเหมือนคนที่รู้จักกันมานานได้อย่างไร

“ปล่อยหนูลงเดี๋ยวนี้เลยนะ”

เสียงเล็กหวานที่พร่ำบอกคำเดิมซ้ำไปซ้ำมา และดวงตาที่ส่งสายตาวาวับด้วยความขัดเคืองมาให้เป็นครั้งที่เท่าไรก็ไม่อาจทราบได้ เรียกรอยยิ้มแสนซื่อจากชายหนุ่มที่มีความคิดและการกระทำที่ไม่ค่อยซื่อเท่าไร

“จะให้ปล่อยเดี๋ยวนี้เลยหรือ” ศศินถามพลางคลายวงแขนที่โอบอุ้มร่างเล็กไว้ จนคนถูกอุ้มรีบกอดคอคนตัวสูง และร้องอุทานด้วยความตกใจที่อีกฝ่ายคิดจะทิ้งเธอลงพื้นเหมือนเศษขยะชิ้นหนึ่ง

“อย่าน้า!!”

ศศินกลั้วหัวเราะขบขันกับท่าทางของไอศวรา ก่อนส่งเสียงเย้าร่างเล็กอย่างนึกสนุก “หืม...จะเอายังไงกันแน่ สาวน้อย” ชายหนุ่มเลิกคิ้วใส่เด็กหญิงที่ผละออกมาสบตาตอบ และส่งค้อนมาตาคว่ำ

“คุณแกล้งหนูนี่นา ไหนสัญญาแล้วว่าจะไม่แกล้งไง” ไอศวราส่งเสียงประท้วง และทุบบ่ากว้างแก้อาการขัดเคืองที่ไม่สามารถทำอะไรชายหนุ่มได้

“ฉันแกล้งอะไรเธอ เปล่าเสียหน่อย” คนขี้แกล้งประท้วงกลับ พลางส่งยิ้มละมุนตามแบบฉบับพ่อหนุ่มคนซื่อที่พอเด็กหญิงเห็นแล้วก็ทำหน้างอใส่

“คุณแกล้งหนู” เสียงเล็กหวานเน้นคำเดิมอย่างหนักแน่น “คุณอุ้มหนูเข้าตลาด เพราะต้องการให้หนูขายหน้าพวกลุงป้าน้าอาในตลาดใช่ไหมล่ะ” และประโยคสุดท้ายนี้เองที่เรียกเสียงหัวเราะจากศศินให้กลั้นไว้ไม่อยู่อีกต่อไป

“เธอแปลเจตนาฉันผิดไปแล้ว ไอศวรา” ชายหนุ่มเอ่ยเสียงขลุกขลัก พลางพยายามกลั้นเสียงหัวเราะไม่ให้คนที่เริ่มทำหน้าบึ้งนึกพาลอยากประทุษร้ายใส่ “ฉันแค่เห็นว่าเธอยังเจ็บขาอยู่ ถ้าเดินไปด้วยกัน เธอคงเดินตามฉันไม่ทันแน่ ฉันเลยหวังดีอุ้มเธอมาด้วยกันเสียเลย”

“หนูไม่เชื่อคุณหรอก คุณน่ะนิสัยไม่เห็นซื่อเหมือนหน้าเลย แล้วหนูก็ไม่ได้อยากเดินมากับคุณเสียหน่อย คุณบังคับพาหนูมาเอง”

“ถ้าไม่บังคับพามาด้วยกัน เธอคงไปเล่นซนที่ไหนต่อไหนอีกใช่ไหมล่ะ ลืมแล้วหรือไงว่าขาเรายังเจ็บอยู่ วิ่งไปโน่นมานี่ ไอ้ที่ควรหายก็ไม่หายกันพอดี”

แก้มใสอูมป่องด้วยความไม่พอใจ ศศินเป็นแค่คนแปลกหน้า แต่กลับทำตัวเป็นผู้ปกครองของเธออย่างหน้าไม่อาย และถึงเด็กหญิงจะคิดอย่างนั้น เธอก็ไม่ได้แสดงท่าทางอะไรออกมาให้เห็น นอกจากทำท่างอแงใส่

“ขาเจ็บก็ยังเล่นได้นี่”

“ต้องให้หายก่อนถึงจะเล่นได้” ศศินติงเสียงดุ ชายหนุ่มรู้สึกเอ็นดูร่างเล็กในวงแขนจนนึกอยากจะหอมแก้มผ่องขึ้นมาครามครัน

“มันนาน!”

“แค่อาทิตย์เดียวเอง” ชายหนุ่มโต้กลับและกลั้นยิ้มไว้ในหน้า

“ตั้งอาทิตย์หนึ่งต่างหาก” ไอศวราค้านอย่างไม่เห็นด้วย พลางย่นจมูกใส่ศศินที่ไม่มีทางเข้าใจหรอกว่า เด็กๆ นั้นชอบการละเล่นมากแค่ไหน ยิ่งเด็กหญิงไม่ได้ไปโรงเรียนแบบเด็กทั่วไป เวลาว่างของเธอจึงหมดไปกับการวิ่งขายพวงมาลัย และการวิ่งเล่นในตลาดนั่นเอง

“อดทนหน่อยน่า เดี๋ยวพอขาหายจะพาไปที่ยว” คนเคยเป็นเด็กมาก่อนเริ่มหาของมาล่อ และดวงตากลมโตก็ใสแจ๋วขึ้นมาด้วยความสนใจทันที

“ไปเที่ยวหรือ!?”

ริมฝีปากได้รูปคลี่ยิ้มละมุน พลางนึกถึงแม่หลานสาวจอมเฮี้ยวที่กลายเป็นเด็กดีขึ้นมาทันตาเห็น เมื่อชายหนุ่มพูดเรื่องเที่ยว “ใช่ ไปเที่ยว เธออยากไปเที่ยวที่ไหนล่ะ สวนสนุก สวนสัตว์ หรือเราจะไปเที่ยวทะเลกันดี”

“สวนสนุก!”

“งั้นไปไหนกันดี แดนเนรมิต ดรีมเวิลด์...”

“หนูอยากไปสวนสยาม”

“หืม...” ศศินเลิกคิ้วขึ้นด้วยความแปลกใจ แต่ไม่ใช่ว่าเพราะไม่รู้จักชื่อสวนสนุกแห่งนี้ ชายหนุ่มแค่คาดไม่ถึงว่าเด็กหญิงจะเอ่ยออกมาก่อนที่เขาจะได้ขานออกไป

“น้าที่ตลาดให้บัตรฟรีไปเที่ยวสวนสยามมา หนูเห็นในบัตรมีทั้งเครื่องเล่น มีสวนน้ำ หนูอยากไป แต่ไม่มีโอกาสได้ไปเสียที” ประโยคสุดท้ายของไอศวราหงอยลงไปเล็กน้อย เพราะเธอรู้ดีว่า ไม่มีโอกาสนั้นสำหรับเด็กหญิงที่ต้องวิ่งเร่ขายพวงมาลัยเพื่อเลี้ยงชีพ กระนั้นใจก็อดวาดหวังไม่ได้ว่าสักวันเธอคงมีโอกาสไป

“สัญญาแล้วนี่ว่าจะพาไปเที่ยว พาหนูไปนะ” สุ้มเสียงเล็กของคนช่างออดช่างอ้อน เล่นเอาศศินใจอ่อนขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้ แถมแม่หนูน้อยคงคิดว่าเขาเป็นคนขี้งกด้วยกระมัง จึงรีบพูดจาหว่านล้อมต่อ “หนูมีบัตรฟรีอยู่ห้าใบเชียวนะ คุณไม่ต้องออกเงินค่าเข้าก็ได้ ออกแต่ค่าน้ำมันรถเท่านั้นเอง”

“ช่างเจรจาจริงนะเรา” ศศินกลั้วหัวเราะกับข้อต่อรองของเด็กหญิงที่ทำหน้าจริงจังเหมือนเป็นเรื่องคอขาดบาดตาย แล้วคำพูดของชายหนุ่มก็ทำให้อีกฝ่ายยิ้มแป้น และยอมรับคำชมที่ดูไม่เหมือนคำชมเท่าไร

“ใครๆ เขาก็บอกหนูอย่างนั้น”

“จะพาไปเที่ยวก็ได้ แต่ต้องมีข้อแลกเปลี่ยนนะ”

ใบหน้าจิ้มลิ้มที่บานเสียยิ่งกว่ากระจาดขายพวงมาลัยหดลงวูบ เมื่อผู้ปกครองจำเป็นยื่นเงื่อนไขให้เด็กหญิงทำตาม ยิ่งดวงตาคมที่พราวระยับเสียยิ่งกว่าดวงดาวก็ทำให้ไม่อยากไว้ใจในเงื่อนไขที่ชายหนุ่มจะเสนอเสียเท่าไรนัก

“มีข้อแลกเปลี่ยนด้วยหรือ” ไอศวราทำเสียงอ่อย ริมฝีปากจิ้มลิ้มขยับขึ้นลงคล้ายอยากจะต่อรองกับข้อเสนอบ้าง แต่เด็กหญิงก็เปลี่ยนใจเป็นไม่พูดไป

“เธอทำได้แน่ ไอศวรา แค่อยู่เฉยๆ เป็นเด็กดี ไม่ดื้อ ไม่ซน รอให้เท้าหายก่อนสักอาทิตย์ แล้วฉันจะพาไปเที่ยวเป็นรางวัล”

แน่นอนว่ามันเป็นเงื่อนไขที่ไอศวราทำได้ ถึงกระนั้นเด็กหญิงก็เบ้ปากเบี้ยวกับการที่ตนเองต้องอยู่นิ่งเป็นเวลากว่าหนึ่งอาทิตย์ ไม่รู้ว่าศศินไปพูดอะไรกับปานแก้วก่อนหน้านี้หรือไม่ ความคิดเห็นของคนทั้งคู่จึงได้คล้ายคลึงกับแบบนี้

“เหลือสักครึ่งไม่ได้หรือ” สุดท้ายเด็กหญิงก็ขอต่อรองจนได้ และเมื่อริมฝีปากได้รูปคลี่ยิ้มนุ่มละมุนออกมา ใจจึงคิดไปว่าเขาคงอนุญาตเป็นแน่

“ถ้างั้นตอนไปเที่ยวเต็มวันก็เหลือแค่ครึ่งวันสินะ” คำพูดนี้ของศศิน ทำเอาหัวใจดวงน้อยที่กำลังพองโตเปลี่ยนเป็นห่อเหี่ยวในพริบตา แล้วดวงหน้าเล็กก็ส่ายหวืออย่างไม่ยอมที่เวลาเที่ยวของตัวเองจะถูกลดลงไป

“งั้นอย่าต่อรอง แล้วเธอจะได้เที่ยวเต็มวัน”

“คนใจร้าย”

เสียงครางละห้อยของไอศวรา เรียกรอยยิ้มเอ็นดูจากคนใจร้ายที่ได้แต่ส่ายหน้ากับการแปลเจตนาของเด็กหญิง “คนเป็นห่วงก็หาว่าใจร้าย แย่จัง”

“ใจร้าย” เด็กหญิงยังไม่เลิกกล่าวความ พลางพูดคำเดิมซ้ำไปซ้ำมาให้ศศินแยกเขี้ยวใส่ด้วยความขัดเคืองระคนขบขัน

“หาว่าคนอื่นเขาใจร้ายนัก เดี๋ยวพ่อก็จับกินเสียเลยนี่”

คำขู่นี้ได้ผลชะงัดนัก ริมฝีปากจิ้มลิ้มที่ส่งเสียงหวานรำคาญใจหุบฉับทันทีด้วยความหวาดกลัว และเมื่อเด็กหญิงส่งเสียงรบกวนหัวใจของชายหนุ่มต่อไปไม่ได้ ก็หันมาส่งสายตาค้อนคว่ำจนคนใจร้ายนึกอยากกินเด็กขึ้นมาจริงๆ





ไอศวราเดินจากศศินกลับไปหาแม่ตามคำขู่แกมหยอกของชายหนุ่มไปเนิ่นนานแล้ว แต่เขายังไม่ได้ไปไหนไกลจากจุดที่แยกกับเด็กหญิงขายพวงมาลัยนัก เพราะทันทีที่เขาเข้าสู่มุมอับสายตา กลุ่มคนที่เฝ้าจับตามองเขานับตั้งแต่ย่างเท้าเข้าไปในตลาดก็ปรากฏกายขึ้นมาทีละคนสองคน และล้อมวงเข้าหาคนต่างถิ่นที่กวาดตามองใบหน้าของแต่ละคน ที่ผ่านตาจากการเฝ้าดูมาตลอดหนึ่งอาทิตย์ด้วยท่าทางสงบนิ่ง

“แกเป็นใคร” นายเบิ้มเริ่มบทสนทนาด้วยน้ำเสียงกรรโชก เพื่อข่มขู่ให้อีกฝ่ายกลัวหงอ ยิ่งกลุ่มคนที่ยืนล้อมรอบพร้อมใจกันส่งสายตามุ่งร้ายมา คงทำให้หลายคนหวาดหวั่นจนทำอะไรไม่ถูก แต่สำหรับศศินที่เตรียมตัวเตรียมใจรับสภาพเลวร้ายหลายรูปแบบกลับยิ้มหน้าซื่อให้อีกฝ่ายรู้สึกแปลกใจแทน

“แล้วพวกคุณล่ะเป็นใครกัน”

“ข้าให้แกตอบ ไม่ได้ให้แกมาถาม!”

“แต่ผมคิดว่าไม่จำเป็นต้องตอบ” ศศินส่งยิ้มพรายไปกวนอารมณ์คนอันธพาลให้คิ้วกระตุกเล่น ทั้งที่ในใจกำลังร้อนรนมองหาทางหนีทีไล่ และนึกสรรเสริญพี่เขยที่ไม่ยอมส่งลูกน้องของตัวเองมาคอยสอดส่องดูแลความปลอดภัยของน้องภรรยา จนน่าหวั่นว่าจะถูกรุมตายก่อนที่ใครจะมาช่วยเหลือทัน

ส่วนนายเบิ้มมีอาการเหมือนโดนผึ้งต่อย เขากัดฟันกรอด แล้วโบกมือส่งสัญญาณให้ลูกน้องกรูเข้าไปจัดการคนกวนอารมณ์ทันที แต่คนไม่อยากเจ็บตัวไม่ยอมถูกรุมจนปางตายอยู่ตรงนี้แน่

ศศินพุ่งตัวเข้าหาช่องว่างที่พอจะแทรกตัวหนีออกไปจากวงล้อม หลังจากเล็งหาอยู่นานสองนาน แล้วทิ้งตัวไถลไปกับพื้นทันทีที่ถึงเป้าหมาย พร้อมทั้งวาดขาเตะเข้าข้อพับของหนึ่งในกลุ่มเจ้าถิ่นที่อยู่ใกล้ที่สุดเต็มเหนี่ยว จนร่างนั้นล้มหน้าคะมำกินฝุ่นบนพื้นคอนกรีตไปอย่างไม่เต็มใจ และจัดการเหยื่อผู้โชคร้ายรายต่อไป ไม่ให้มีสิทธิ์ได้ลุกขึ้นมาวิ่งไล่ตัวเองได้อีก ท่ามกลางอาการตกตะลึงของกลุ่มอันธพาล

เมื่อพรรคพวกถูกคนแปลกหน้าที่ไม่มีทีท่าว่าจะเอาดีด้านออกกำลังทะเลาะวิวาทกับใครเขาได้ สอยร่วงให้ไปนอนคลุกฝุ่นเหมือนใบไม้ที่ถูกปลิด คนที่พอจะตั้งตัวได้ก็ชักเอาเครื่องทุ่นแรง พร้อมทั้งส่งแววตากระหายเลือดให้ศศินที่ไม่คิดจะเล่นกับคมมีด ชายหนุ่มเผ่นหวือไปตามทางเดิมที่พาตัวเองเข้ามาให้ถูกรุม แล้วเขาก็แทบยั้งเท้าไว้ไม่ทัน เมื่อมีร่างของใครบางคนสวนผ่านเข้ามา

“ไอศวรา!”

“ดีจังที่คุณยังไม่กลับ หนูกำลังตามหาคุณอยู่พอดี”

ศศินอยากตอบกลับเหมือนกันว่า ดีใจที่ได้พบกับเด็กหญิงที่ส่งยิ้มหวานมาให้อีก แต่ต้องเป็นตอนที่ไม่มีกลุ่มอันธพาลถือมีดวิ่งไล่ตามหลังมาแบบนี้ แล้วมีดเล่มหนึ่งก็พุ่งผ่านเข้ามาทางหางตา ทำให้เขารีบคว้าร่างเล็กที่จะโดนลูกหลงไปด้วย ก่อนเบี่ยงตัวหลบปลายมีดที่ได้ฝากรอยแผลเป็นทางยาวไว้บนต้นแขนของเขาที่ยกขึ้นกันอันตรายให้เด็กหญิงขายพวงมาลัยที่เบิกตามองด้วยความตกใจ

“คุณ...เลือด!” ไอศวราไม่ได้หวีดร้องตกใจเหมือนเด็กหญิงหรือผู้หญิงคนอื่น แต่ศศินรู้สึกถึงอาการตัวแข็งเกร็งของร่างเล็กในวงแขน

“ไม่เป็นไร...แค่ถากๆ” ชายหนุ่มพูดพลางดันเด็กหญิงกลับเข้ามุมที่โผล่ออกมา ก่อนสวนหมัดเข้ากลางแสกหน้าของคนที่จ้วงมีดใส่เขา จนร่างนั้นลอยหวือกลับไปหาพรรคพวกที่วิ่งตามหลังมา

“วี้ด! กรี๊ด! ช่วยด้วยค่า...เจ้าข้าเอ๊ย! คนตีกันค่า! คุณตำรวจ!”

เสียงเล็กที่ดัดจนแหลมสูง พร้อมด้วยเสียงสังกะสีที่ถูกตีรัวจนน่าจะดังไปสามบ้านแปดบ้านทำเอาคนที่คิดจะหวดหมัดที่สองใส่อันธพาลผู้โชคร้ายสะดุ้งโหยง หมัดที่สมควรจะถูกดั้งจมูกอันธพาลจึงพลาดไปโดนโหนกแก้มของอีกฝ่ายแทน ชายหนุ่มเลยแถมเข่าให้ที่หน้าท้องอีกหนึ่งแต้ม จนร่างนั้นงอตัวลงด้วยความจุกกับเรี่ยวแรงที่ทำเอาเครื่องในกระเทือน

“ช่วยด้วยค่า! พ่อแม่พี่น้อง...ช่วยด้วย! วี้ด! กรี๊ด!”

ศศินทำหน้าผะอืดผะอมเหมือนคนกินยาขมกับเสียงแปดหลอดของเด็กหญิงขายพวงมาลัย และไม่รู้ว่าเขาควรจะขอบคุณความช่วยเหลือของแม่หนูน้อยคนนี้ดีหรือไม่ เมื่อพวกอันธพาลที่ถือมีดวิ่งไล่เขาพากันระส่ำระส่ายไม่เป็นกระบวน แล้วชายหนุ่มก็รู้สึกถึงการฉุดดึงจากด้านหลังที่พยายามลากเขาให้ออกไปจากตรงนี้

“รีบหนีสิคุณ จะให้ตำรวจมาก่อนหรือไง!” ไอศวราร้องฮื้ออย่างขัดใจที่ศศินยังไม่เข้าใจเจตนาของเธออีก แล้วเด็กหญิงก็ตะเบ็งเสียงร้องอีกครั้ง พร้อมทั้งดึงคนตัวสูงกว่าให้วิ่งตามตัวเองมา

“เฮ้ย! อย่าให้มันหนีไปได้” นายเบิ้มที่มัวแต่ลนลานกับเสียงร้องของเด็กหญิงขายพวงมาลัยเริ่มรู้สึกตัวถึงแผนการของแม่หนูน้อย เขาวิ่งผ่านกลุ่มลูกน้องที่เงอะงะทำอะไรไม่ถูกด้วยเคยโดนเจ้าของเสียงแผลงฤทธิ์ใส่กันถ้วนหน้า ก่อนเงื้อง่ามีดสปาต้าที่เหน็บซ่อนไว้ด้านหลังเข้าหาอีกฝ่าย

ศศินหันไปเห็นมีดเล่มโตที่ตามหลังมาแล้วใจหายวาบ ระยะห่างกับแรงโถมของนายเบิ้มที่พุ่งเข้ามาเต็มแรง โดยไม่คิดเผื่อความผิดพลาดที่อาจตามมาในภายหลังแบบนี้ ต่อให้ชายหนุ่มเก่งเรื่องหมัดมวยแค่ไหนคงหลบไม่ทันแน่

ดังนั้น สิ่งที่ศศินคิดออกในเวลานี้คือ การเป็นโล่กำบังให้เด็กหญิง ที่พยายามชักจูงเจ้าของมือใหญ่ให้หนีออกจากความชุลมุน แต่ดูเหมือนศศินจะพอมีโชคอยู่บ้าง เมื่อแผ่นสังกะสีจากที่ไหนไม่รู้ ลอยหวือข้ามศีรษะไปสกัดหน้านายเบิ้ม จนร่างสูงใหญ่ปะทะเข้ากับมันดังปัง

อาการชะงักชั่วครู่ของอันธพาลร่างยักษ์ เป็นช่วงเวลาที่มากพอให้ชายหนุ่มตั้งหลักรับแรงโถมนั้นได้ เขาตวัดขาเตะมีดในมือหัวหน้าอันธพาลให้กระเด็นหลุดออกไปก่อนเป็นอันดับแรก แล้วหมุนตัวตวัดปลายเท้า โดยมุ่งเป้าไปที่คางอีกฝ่ายจนร่างนั้นล้มหงายหลังตึง

ทุกอย่างเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว และแทบไม่มีใครตั้งตัวทัน ไอศวราที่หันกลับไปมองดูเหตุการณ์ตรงหน้า ยังเห็นเพียงร่างของนายเบิ้มที่ลงไปนอนกองกับพื้นแล้วเท่านั้น พอเด็กหญิงกะพริบตาอีกครั้ง เธอก็ถูกคนตัวใหญ่ตวัดร่างให้ไปอยู่ในอ้อมแขนแข็งแรง พร้อมทั้งเผ่นไปจากความวุ่นวายตรงหน้าชนิดไม่เห็นฝุ่น





ศศินไม่รู้ว่าตัวเองวิ่งหนีความวุ่นวายมาไกลแค่ไหน และเป็นเวลานานเท่าไร สิ่งที่ชายหนุ่มรู้ในตอนนี้มีเพียงเสียงเล็กหวานที่เฝ้าบอกทางหนี จนสุดท้ายก็มาหยุดอยู่หน้าบ้านไม้เก่าหลังซอมซ่อที่ทำให้เขางุนงงอยู่ไม่น้อยว่า ตนเองเข้ามาในเขตสลัมของชุมชนโภคเจริญได้อย่างไร แต่เสียงฝีเท้าอีกคู่ที่ศศินจำได้ว่าวิ่งไล่ตามหลังมาตลอดชนิดกัดไม่ปล่อย ทำให้เขารีบวางร่างเล็กในอ้อมแขน แล้วตวัดเท้าเตะไปยังร่างที่โผล่ออกมาจากเงามืด โดยไม่คิดไต่ความให้เสียเวลา

“เฮ้ย! เดี๋ยวๆๆๆ”

“คุณ...อย่า!”

สองเสียงที่ดังขึ้นพร้อมกัน ทำให้ศศินชะงักงันไปครู่หนึ่ง แต่ชายหนุ่มก็ไม่สามารถรั้งแรงที่ปล่อยออกไปแล้วได้ เจ้าของเสียงปริศนาเลยโดนปลายเท้าทักทายเข้าที่ใบหน้า จนล้มดังตึงไปเหมือนกับพลพรรคอันธพาลของนายเบิ้ม

โชคดีนักที่แรงส่งถูกปล่อยออกไปเพียงครึ่งเดียวจากการที่ถูกทักเมื่อครู่ ไม่อย่างนั้นอีกฝ่ายคงได้นอนนับดาวไปนานหลายชั่วโมง

“ว้าย! ลุงผันเป็นไงบ้าง” ไอศวราร้องตกใจเสียงหลง ก่อนผวาเข้าไปประคองชายวัยสามสิบต้นรูปร่างผอมเก้งก้างที่ตอนนี้กำลังส่ายหน้าไปมา เพื่อสลัดอาการเมาปลายเท้าของศศิน

“โอย...ตีนหนักจริงๆ พับผ่าสิ” ผันครางอือกับตัวเอง และไม่วายบ่นให้เจ้าของปลายเท้าส่งยิ้มจืดเจื่อนตอบกลับมา

“ขอโทษครับ ผมนึกว่าเป็นอันธพาลพวกนั้น”

“ไม่เป็นไรคุณ ผมก็มาแบบไม่ให้สุ้มให้เสียง โดนทักทายแบบนี้ก็ไม่แปลกนักหรอก” ผันโบกไม้โบกมือวุ่น แล้วฉีกยิ้มกว้างให้ศศินโดยไม่มีทีท่าถือโทษโกรธเคืองเช่นเด็กหญิงข้างกาย “แต่ถ้ายั้งๆ เท้าคุณไว้หน่อยจะดีกว่านี้มากทีเดียว ผมนึกว่าจะได้ลาโลกไปเฝ้ายมบาลแล้วเชียว”

ถ้อยคำของผันทำให้ศศินชักจะยิ้มไม่ออก ชายหนุ่มจึงยื่นมือเพื่อดึงอีกฝ่ายให้ลุกขึ้นยืนแก้เก้อ แล้วสังเกตรายละเอียดของชายแปลกหน้าที่ส่ายศีรษะไปมาอีกครั้ง เมื่อเท้าของเขายังคงฝากอาการมึนงงไว้ไม่คลาย

“ให้ตายเถอะ ท่าทางคุณไม่เห็นบอกเลยว่าเก่งเรื่องพวกนี้ด้วย ตอนที่ผมเห็นคุณถูกพวกไอ้เบิ้มล้อม นึกว่าจะโดนยำเละเหมือนไอ้หนุ่มคนอื่นที่เข้ามายุ่งกับแก้วเสียอีก”

นี่ไงล่ะ! คำตอบของคำถามที่ศศินนึกสงสัยว่า เหตุใดนายเบิ้มจึงยกพวกมารุม ทั้งที่ชายหนุ่มมั่นใจว่าไม่ได้ทำตัวประเจิดประเจ้อ เผยตัวออกไปให้ใครรู้ว่าเขาเป็นสายให้ตำรวจ แต่เรื่องราวของนายเบิ้มไม่ได้ทำให้เขานึกสะกิดใจเท่ากับคำบอกเล่าของผันที่ส่งยิ้มยิงฟันตอบกลับมาด้วยท่าทางที่เดาถึงความสงสัยในใจอันนั้นได้

“ความจริงผมก็อยากออกไปช่วยคุณอยู่หรอกนะ ถ้าคู่กรณีของคุณไม่ใช่ไอ้เบิ้ม แต่คุณนี่ดวงดีสุดยอดเลยนะที่มาเจอยัยหนูไอศวรา ไม่อย่างนั้นผมคงไม่ช่วยเคาะสังกะสีให้หรอก”

นี่คงเป็นอีกคำตอบหนึ่งของเสียงเคาะปริศนา และแผ่นสังกะสีที่ลอยมาช่วยชีวิตไว้ได้ทันท่วงที แต่คนที่รู้จักนิสัยของผันอย่างไอศวรากลับย่นจมูกใส่อีกฝ่ายที่พูดเป็นทำนองทวงบุญคุณให้ศศินรู้สึกซาบซึ้ง ทั้งที่ในความเป็นจริงแล้วกลับเป็นสิ่งที่ตรงกันข้าม

“อย่ามาพูดเลย ถ้าหนูไม่หันไปเห็นลุงก่อน มีหรือจะยอมเคาะสังกะสีช่วย อย่าพูดเอาดีเข้าตัวนะ”

ผันส่งเสียงจิ๊จ๊ะกับคำขัดที่ไม่ไว้หน้าของเด็กหญิง ก่อนหันไปยิ้มแป้นให้ศศินที่ยังยิ้มน้อยไม่พูดอะไร แต่ท่าทางนี้ทำเอาเขารู้สึกร้อนๆ หนาวๆ อย่างไรพิกล เขาจึงเร่งฝีเท้าเดินไปเคาะประตูบ้านไม้เก่า พร้อมทั้งเอ่ยเรียกชื่อเจ้าของบ้านด้วยน้ำเสียงที่ไม่ดังเกินไปนัก

“แก้ว...แก้วเปิดประตูให้หน่อย ฉันผัน...เอาลูกสาวเธอมาส่ง”

สิ้นเสียงของผัน ร่างบอบบางของเจ้าของบ้านก็โผล่ออกมา ปานแก้วมองดูลูกสาวที่ทำหน้ามุ่ย ยามถูกคนตัวโตดันให้มาเผชิญหน้ากับเธอ ก่อนเงยหน้าขึ้นมองชายหนุ่มที่ส่งรอยยิ้มกว้างขวางกลับมา แล้วจบลงที่ศศินที่คลี่ยิ้มด้วยอาการงุนงง แต่เธอก็ไม่ได้ถามอะไรมากความ เมื่อเห็นรอยเลือดบนแขนของชายหนุ่ม นอกจากเปิดประตูออกกว้าง แล้วหลีกทางให้ผู้มาเยือนเข้ามา ก่อนปิดประตูลงดาลแน่นหนา

“ไอศวรา ไปเอาอะไรก็ได้ที่มีอยู่ในบ้านมาทำแผลเขาคนนั้นหน่อย” พอผันได้เข้ามาข้างในก็ออกคำสั่งราวกับตัวเองเป็นเจ้าของบ้าน ไอศวราได้แต่ย่นจมูกใส่ แล้วเดินไปยังชั้นวางของที่ทำจากพลาสติกที่มีอุปกรณ์ทำแผลครบครัน คล้ายกับว่าคนในบ้านหลังนี้ได้รับบาดเจ็บบ่อย จนต้องเอามันขึ้นเป็นยาสามัญประจำบ้าน

“คุณน่ะ นั่งตรงไหนก็ได้ เลือกได้ตามใจชอบเลย”

ศศินนั่งลงบนพื้นตามการชี้นิ้วของผันด้วยท่าทางเงอะงะ ก่อนมองสำรวจบ้านหลังน้อยที่แทบไม่มีเครื่องเรือนให้เห็นสักชิ้น นอกจากชั้นวางของผุๆ พังๆ เหมือนเก็บมาจากกองขยะ ตู้เสื้อผ้าพลาสติกที่มีแต่โครงเหล็ก หม้อหุงข้าวขนาดเล็ก และที่นอนลูกฟูกที่เก่าซีดเสียจนไม่น่าใช้ ทำเอาคนอยู่ดีกินดีรู้สึกสะท้านขึ้นมาในใจ

“นี่มันเรื่องอะไรกัน พี่ผัน” ปานแก้วนั่งพับเพียบลงข้างชายร่างผอม แล้วหรี่ตามองอีกฝ่ายที่เกาคางแกรก ทำท่าไม่รู้ว่าจะเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นออกไปอย่างไรดี

“อาเบิ้มน่ะสิแม่ เขามาหาเรื่องคุณศศิน” แม้ไอศวราจะไม่ชอบนายเบิ้มมากแค่ไหน แต่เธอยังเรียกเขาว่าอาตามคำสอนของแม่ ซึ่งทำให้เธอคันปากทุกครั้งยามเอ่ยถึงคนที่ไม่เคยทำตัวให้สมกับคำยกย่องอันนั้น

“ตายจริง” หญิงสาวยกมือขึ้นทาบอก เธอเข้าใจแล้วว่าแผลบนท่อนแขนของชายหนุ่มเกิดจากอะไร

“ฝ่ายที่ตายคือทางโน้นต่างหาก แก้วน่าจะไปเห็นตอนคุณคนนี้ตวัดเท้าเตะไอ้เบิ้มนะ” ผันหัวเราะคิกคักยามนึกถึงภาพของศศินที่ทำตัวเหมือนบรู๊ซ ลี ดาราบู๊ขวัญใจของเขา “แม่เจ้า! แค่คุณคนนี้เตะไปเบาๆ ไอ้เบิ้มก็ลงไปนอนนับดาวบนพื้นเลยล่ะ”

ศศินรู้สึกกระอักกระอ่วนกับสายตาสามคู่ที่มองมาเหมือนกับว่าตัวเขาเป็นคนประหลาด โดยเฉพาะไอศวราที่มือคอยทำแผลให้เขาไป ส่วนดวงตากลมโตก็จ้องหน้าของเขา ด้วยแววตาที่อ่านออกว่าแม่หนูน้อยกำลังชื่นชมในความเก่งกาจของเขาที่สามารถล้มอันธพาลที่ไม่มีใครกล้าไปตอแยอย่างนายเบิ้มได้ แต่พอโดนจ้องนานเข้าก็ทำให้เขารู้สึกเขินขึ้นมา

“คุณสอนหนูบ้างได้ไหม หนูจะได้เอาไปเตะอาเบิ้มบ้าง”

“มันไม่ได้เอาไว้ใช้ทะเลาะวิวาท” ชายหนุ่มพูดพลางคลี่ยิ้มน้อย เขาไม่คิดสนับสนุนให้เด็กหญิงเอามันไปใช้ในทางที่ผิด

“แหม...คุณไม่ได้เป็นแบบเราก็พูดได้นี่ อาเบิ้มเป็นคนไม่ดี เขารังแกคนในตลาด ข่มเหงแม่ แล้วก็ทำให้เพื่อน ๆ ของหนูติดยา หนูไม่ชอบอาเบิ้ม”

“ลูกจ๋า ถึงพูดไป เราก็ทำอะไรไม่ได้ แล้วหนูจะพูดไปทำไม”

“แต่ไอศวราก็ช่วยไม่ให้เพื่อนของเขากลายเป็นคนติดยา ไม่ต้องเป็นเครื่องมือของนายเบิ้ม คนแถวนี้ต่างขอบคุณลูกสาวเธอทุกขณะจิตที่ทำให้ลูกของพวกเขาไม่ต้องเป็นทาสของพวกมัน”

ถ้อยคำของผันทำให้ปานแก้วหาคำอะไรมาตอบโต้ไม่ได้ บางครั้งเธอเคยนึกสงสัยอยู่ไม่น้อยว่า ชายผอมแห้ง หน้าตาเสี้ยมตอบเหมือนคนติดยาคนนี้เป็นใคร หลายคราเขาก็พูดแบบคนมีการศึกษา บ้างก็ดูเป็นปรัชญาเสียจนไม่น่าเชื่อว่า เป็นคนเดียวกับชายขี้เมาที่เก็บของเก่าตามกองขยะไปขาย เพื่อเลี้ยงปากเลี้ยงท้องของตัวเองไปวันๆ

“ถึงยังไงก็อันตราย ถ้าวันดีคืนดีพี่เบิ้มหมดความอดทน แล้วคิดทำร้ายไอศวราขึ้นมาจะทำยังไง พี่ผันช่วยลูกฉันได้หรือ” หญิงสาวยังไม่วางใจไปเสียทั้งหมดนัก เพราะแม้นายเบิ้มจะทำท่าชอบพอเธอ แต่ความชอบของเขาก็ไม่ได้เผื่อแผ่ไปยังลูกสาวตัวน้อยของเธอเลย

“ฉันไม่จำเป็นต้องช่วยแล้วกระมัง” ผันพูดพลางปรายตามองไปทางศศินที่หรี่ตาลงกับเสียงหัวเราะเจ้าเล่ห์ของชายเก็บของเก่าขาย ปานแก้วเองก็ไล่มองตามสายตาของอีกฝ่ายจนหยุดลงที่ผู้ชายอีกคนที่ยังไม่รู้ถึงเจตนาการมาเวียนวนอยู่ในพื้นที่ที่ไม่ใช่ถิ่นของตัวเอง

“พี่ผันอย่าพูดกำกวมแบบนี้สิ ฉันไม่เข้าใจ”

“ลองถามคุณคนนี้เอาเองสิ ฉันเห็นเขาไปๆ มาๆ แถวนี้ได้อาทิตย์หนึ่งแล้ว แถมยังมาหลอกถามเอาข้อมูลต้องห้ามไปจากพ่อค้าแม่ขายในตลาด โดยที่เจ้าตัวยังไม่รู้เลยว่าเผลอพูดออกไปได้ยังไง”

ศศินถอนหายใจเฮือกกับการคาดคะเนของผันที่เดาได้ตรงความจริงมากที่สุด ชายหนุ่มนึกออกแล้วว่าเขาเคยเห็นชายขี้ก้างคนนี้จากที่ไหน ชายคนนี้เป็นคนเดียวกับชายขี้เมาที่ไปนั่งซดกาแฟแก้อาการเมาค้าง อยู่ในร้านที่เขาไปหลอกถามข้อมูลเกี่ยวกับพวกนายเบิ้มนั่นเอง

ส่วนผันก็ดูจะชอบอกชอบใจที่ศศินพอจะจดจำเขาขึ้นมาได้บ้าง และเฝ้าสังเกตต่อไปว่า ชายหนุ่มคนซื่อที่เซ่อโดนให้เด็กหญิงขายพวงมาลัยหลอกซ้ำถึงสองครั้งสองครา จนถูกพ่อค้าแม่ขายหัวเราะเยาะมาแล้วถ้วนหน้าจะจัดการกับสถานการณ์ตรงหน้าอย่างไร เพราะเขาเชื่อว่าอีกฝ่ายเป็นคนที่เอาเรื่องพอตัว

ตอนแรกศศินคิดว่า จะเฝ้าดูนายเบิ้มต่อไปอีกสักระยะ แต่พอเกิดเหตุการณ์วิวาทกับเป้าหมายของตัวเอง แผนนกต่อของปรีดีที่คิดจะให้เขาล่อซื้อยาจากอีกฝ่ายก็มีอันต้องพังครืนลงตั้งแต่ยังไม่เริ่มแผนการ และนายเบิ้มคงตามราวีไม่เลิกแน่ หากยังเห็นศัตรูหัวใจป้วนเปี้ยนอยู่ในชุมชนแห่งนี้

ชายหนุ่มเงยหน้าขึ้นมองผันและไอศวราอย่างชั่งใจ แล้วนึกถึงบทสนทนาเมื่อครู่ที่พอจับได้ว่า เด็กหญิงขายพวงมาลัยอาจมีข้อมูลบางอย่างที่ตำรวจต้องการ และหากเขาเปิดเผยตัวเองว่าเป็นสายให้กับตำรวจจะได้รับปฏิกิริยาอะไรตอบกลับมา

คงมีแต่ต้องเสี่ยงดวงดูเท่านั้น ศศินคิดกับตัวเองในใจ ก่อนตัดสินใจเล่าถึงจุดประสงค์การมาวนเวียนอยู่ในสถานที่แห่งนี้ให้คนทั้งสามทราบอย่างไม่มีการปิดบัง พร้อมทั้งวาดหวังว่าจะได้รับแนวทางที่จะทำให้เขาและพี่เขยได้ช่วยเหลือผู้คนแห่งนี้ให้หลุดพ้นจากการควบคุมของมารสังคมเสียที




Create Date : 18 มีนาคม 2555
Last Update : 20 มกราคม 2557 16:12:49 น.
Counter : 248 Pageviews.

3 comments
  
ขอบคุณค่า
โดย: พลอย IP: 71.56.232.26 วันที่: 19 มีนาคม 2555 เวลา:2:28:34 น.
  
Sanook mak ka.
โดย: O IP: 2.103.144.223 วันที่: 19 มีนาคม 2555 เวลา:2:52:17 น.
  
ขอบคุณที่แวะเวียนเข้ามาเยี่ยมกันนะคะ
โดย: ฌา วันที่: 19 มีนาคม 2555 เวลา:20:50:23 น.
ชื่อ :
Comment :
 *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

ฌา
Location :
  

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]



New Comments
All Blog