พิมพ์เสน่หา 1
ตอนที่ ๑ แรกพบ

ดวงตากลมโตกำลังจ้องมองเรียวนิ้วสวย ที่เรียงร้อยดอกมะลิเข้าเป็นพวงพุ่มด้วยสายตาอัศจรรย์ใจทุกครั้ง เพราะเจ้าของเรียวนิ้วนั้นมักจะทำให้ดอกมะลิที่อยู่ในถุงพลาสติกใบใหญ่ กลายเป็นพวงมาลัยที่พร้อมจะให้เจ้าของดวงตาใสแจ๋วเร่ออกไปขายได้อีกครั้ง หลังจากกลับมานั่งพักได้ไม่ถึงสิบนาที

“ลูกจ๋า...” หญิงสาวเอ่ยเรียกลูกสาวตัวน้อยด้วยสุ้มเสียงแผ่วเบา พลางทอดสายตาคนที่เงยหน้าขึ้นมาสบตาตอบด้วยท่าทางไร้เดียงสา ซึ่งเธอได้ยินมาว่ามันเป็นสีหน้าท่าทางที่คนแถวนี้ทั้งรักทั้งชังเลยทีเดียว

“วันนี้ลูกขายพวงมาลัยกับใครไปบ้างจ๊ะ”

คำถามที่ไม่ได้เจาะจงจำนวนพวงมาลัยที่ขาย แต่เป็นจำนวนคนซื้อ ทำให้เด็กหญิงตัวน้อยเสหลบสายตาผู้เป็นแม่ที่ยังทอดมองด้วยสายตาอ่อนโยน ก่อนหันมาสบตาใหม่พร้อมกับยิ้มกว้างตอบกลับมา

“ก็ขายให้กับคนแถวนี้แหละจ้ะ”

ถ้อยคำฉลาดเฉลียวเกินวัย มิได้พาซื่อบอกจำนวนคนซื้อ ทำให้หญิงสาวถอนหายใจออกมาเล็กน้อย เธอไม่อยากเค้นถามลูกสาวให้ตอบคำถามมาตามตรง เพราะตัวเองก็มีส่วนผิดที่ปล่อยปละให้ลูกสาวประพฤติผิดมาจนถึงป่านนี้ โดยไม่เคยกล่าวติเตียนถึงการกระทำนั้นเลยสักครั้ง ซึ่งอาจเป็นเพราะรายได้ที่มาจากการขายพวงมาลัย และรับจ้างทำงานฝีมือจิปาถะแทบจะไม่พอยาไส้ เธอเลยมองผ่านวิธีหาเงินของลูกสาวไป

“ลูกไม่ต้องขายพวงมาลัยให้หมดในรอบเดียวก็ได้ พอเหนื่อยก็หยุดพักแล้วขายต่อ แม่ไม่อยากให้หนูรีบเร่งจนเกินไปนัก”

ใช่ว่าเด็กหญิงจะไม่รู้ความหมายที่ซ่อนอยู่ในคำของแม่ แต่เธอก็เลือกที่จะทำท่าไร้เดียงสา และเอ่ยตอบกลับด้วยท่าทางไม่รู้จากใจจริง “แต่ถ้าหนูขายหมดก็ดีไม่ใช่หรือจ๊ะ เราจะได้มีเงินเก็บไว้ใช้ไปหลายวัน”

คำของลูกทำให้หญิงสาวสะอึก แล้วลอบกลืนก้อนสะอื้นลงคอ เธอรู้สึกเสียใจที่ทำให้แก้วตาดวงใจของชายที่รักต้องมาตกระกำลำบากด้วยทิฐิของตนเอง เธอหนีจากคนที่ถือว่าเป็นญาติผู้ใหญ่เพียงคนเดียว และหนีจากข้อกล่าวหาว่าแย่งสามีชาวบ้านมาหลบซ่อน แล้วใช้ชีวิตอยู่ในสลัมเล็ก ๆ ทนอยู่ในสภาพที่ตนไม่เคยอยู่ จนมือที่นุ่มนิ่มจากการไม่เคยกรำงานหนัก ต้องมาสากกระด้างเหมือนหิน เพื่อพาตนและลูกให้มีชีวิตอยู่รอดต่อไป

เงินเก็บก้อนเล็กที่มีอยู่น้อยนิด ถูกใช้หมดไปนับตั้งแต่คลอดลูกน้อย ซึ่งเธอไม่เคยนึกเสียใจที่ให้กำเนิดชีวิตหนึ่งขึ้นมา เธอเฝ้าอบรมสั่งสอนลูกสาวในสิ่งที่ตนเคยเรียนรู้ เพื่อทดแทนการไม่ได้ไปเรียนหนังสือเหมือนเด็กทั่วไป อันเป็นเรื่องเดียวที่ทำให้เธอรู้สึกเสียใจมาตลอด

“แต่หนูชอบเจ็บตัวเพราะรีบขายพวงมาลัยไม่ใช่หรือจ๊ะ”

เด็กหญิงฉีกยิ้มกว้างกว่าเดิม พลางลูบปลอบมือเรียวที่วางทาบบนหน้าตักไปมา “เป็นแผลเดี๋ยวก็หาย แล้วก็ไม่ได้เจ็บอะไรมากเลยจ้ะ”

“แต่...” หญิงสาวพยายามหาทางคัดค้าน แต่ลูกสาวตัวน้อยของเธอก็ผุดลุกขึ้น พร้อมทั้งแบกกระจาดใส่พวงมาลัยขึ้นเทินบนศีรษะ และเอ่ยตัดถ้อยคำของแม่ไม่ให้พูดต่อ

“พวงมาลัยเต็มกระจาดแล้ว เดี๋ยวหนูจะออกไปขายอีกรอบนะจ๊ะ ไปล่ะ”

“เดี๋ยว...เดี๋ยวก่อน! ไอศวรา!”

ร่างเล็กปราดเปรียววิ่งหายไปจากสายตาแล้ว ปล่อยให้หญิงสาวทอดมองทางที่ลูกสาววิ่งลับไปด้วยสายตาห่วงใย แก้วตาดวงใจของเธอจะรู้ไหมนะว่าวิธีการของตัวเองนั้น ถ้าพลาดพลั้งไปจะกลายเป็นเจ็บหนัก หรือหากโชคร้ายก็อาจถึงขึ้นเสียชีวิต เธอก็ได้แต่ขอคุณพระคุณเจ้าให้คุ้มครองลูกน้อยที่ไม่ประสีประสาให้แคล้วคลาดจากภยันตรายทั้งปวง

และหลังจากที่ขอพรเทพยดาฟ้าดินเพื่อคุ้มครองลูกสาวเสร็จสิ้น หญิงสาวก็รู้สึกจุกแน่นในหน้าอก แล้วไอออกมาอย่างหนักหน่วง ซึ่งแต่ละทีที่ไอ เธอก็รู้สึกเจ็บร้าวข้างในคล้ายมีมือใหญ่คอยบีบรัดอวัยวะภายในให้แหลกเละ เธอส่งเสียงหายใจหนักด้วยท่าทางเหนื่อยหอบ เมื่อการไอที่ทรมานหยุดลง พร้อมกับลิ่มเลือดที่ไหลออกมาเต็มฝ่ามือ เธอเช็ดปากและฝ่ามือทีเปรอะเปื้อนเลือด ก่อนรำพึงกับสิ่งศักดิ์สิทธิ์อีกครั้ง

...ท่านเจ้าขา อย่าเพิ่งพาดิฉันไปเลย ไอศวรายังต้องการที่พึ่งพิง อย่าเพิ่งพรากดิฉันไปจากลูกเลย...





ภาพเด็กหญิงเดินฮัมเพลง พลางเทินกระจาดใบเล็กไว้บนศีรษะ สายตาก็สอดส่ายหาคนที่จะมาเป็นลูกค้าของตัวเอง เป็นภาพที่คุ้นตาของคนในตลาดโภคเจริญเป็นอย่างดี บางคนนึกเอ็นดูอยากให้ค่าขนมเด็ก ก็ช่วยซื้อไปคนละพวงสองพวง บ้างก็ให้เปล่า ซึ่งเด็กหญิงก็รับมันมาด้วยท่าทางยินดี และไม่เคยปฏิเสธกับความใจดีของคนเหล่านั้นสักราย

แต่ก็มีบางเรื่องของเด็กหญิงที่คนแถวนี้ต่างเอือมระอาอยู่ นั่นคือเรื่องวิธีบังคับซื้อพวงมาลัยจากคนแปลกหน้าผู้โชคร้าย ที่มีมาให้แม่หนูน้อยแห่งตลาดโภคเจริญหลอกได้ทุกวี่ทุกวัน

“น้าขา...วันนี้เป็นวันพระนะคะ ไม่ซื้อพวงมาลัยไปไหว้พระที่บ้านหน่อยหรือคะ”

หากเป็นวันพระ นี่ก็ถือว่าเป็นประโยคประจำของไอศวราที่มักมีรอยยิ้มพิมพ์ใจ และดวงตาเป็นประกายสดใสส่งมาให้เป็นของแถม คนที่เคยโดนอาวุธสองสิ่งนี้ของเด็กหญิง ก็พอจะมีภูมิคุ้มกันต้านทานท่าทางกึ่งบังคับนี้ได้อยู่บ้าง แต่บางทีก็ต้องกัดฟันซื้อ เมื่อเห็นดวงตากลมโตรื้นชื้นด้วยหยาดน้ำตา และแน่นอนว่าคนที่ไม่มีภูมิคุ้มกันต้านทานอาวุธร้ายของแม่หนูน้อยคนนี้ ก็มีอันต้องเสียเงินในกระเป๋าไปกับพวงมาลัยของเธอทุกราย

“เอ็งขายข้ามาสองรอบแล้วนะเว้ย! ไปขายคนอื่นบ้างไป๊!”

ไอศวรายักไหล่กับคำไล่ที่ไม่ถือเป็นจริงเป็นจังเท่าไร พลางมองหาลูกค้ารายใหม่ด้วยท่าทางกระตือรือร้นเฉกเดิม ซึ่งดวงตากลมโตก็ไปหยุดที่รถเบนซ์สีครีมอ่อนที่ขัดถูกเสียมันปลาบ กำลังแล่นผ่านเข้ามาในตลาด แล้วริมฝีปากจิ้มลิ้มก็ฉีกยิ้มออกมาทันที เมื่อเธอเห็นปลาตัวโตของเธอแล้ว

“ว้าย! เอี๊ยด!!”

เสียงแรกเป็นของเหล่าคนที่เห็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ซึ่งแน่นอนว่าทุกคนเห็นเด็กหญิงขายพวงมาลัยสะดุดล้มลงหน้ารถ และเทกระจาดตัวเองลงบนพื้น เพื่อให้พวงมาลัยรองรับร่างเล็กที่กำลังล้มไม่ให้รับบาดเจ็บมากเกินไปนัก แต่คนบนรถไม่ได้เห็นแบบเดียวกับคนข้างนอก จึงรีบเหยียบเบรกตัวโก่ง ส่วนใจก็กระเด็นไปไกล เมื่อคิดว่าตัวเองชนเด็กเข้าเสียแล้ว

ศศินรีบเปิดประตูรถออกมา แล้วก้าวพรวดไปยังเด็กผู้หญิงวัยประมาณสิบขวบต้น ที่ใช้เข่ายืนแทนขา พลางปัดเศษฝุ่นที่เปื้อนไปตามข้อศอก และรอยถลอกที่มีเลือดซึมไหลออกมาเล็กน้อยด้วยอาการหน้านิ่วคิ้วขมวด

“เป็นอะไรหรือเปล่าครับน้อง” น้ำเสียงห่วงใยที่แสดงออกมาอย่างจริงใจ ทำให้ไอศวราประเมินท่าทางคนตรงหน้าอย่างรวดเร็ว แล้วแย้มยิ้มหวานที่ทำเอาคนถามสะดุดกึกกับรอยยิ้มนั้นอย่างไม่ตั้งใจ

“ยังครบสามสิบสองอยู่ค่ะ”

ท่าทางร่าเริงของเด็กหญิงตรงหน้า พอทำให้ศศินเบาใจลงได้หน่อยว่าอีกฝ่ายไม่ได้เป็นอะไรมากมาย นอกจากรอยถลอกเล็กน้อยบนข้อศอก ชายหนุ่มล้วงเอาผ้าเช็ดหน้าในกระเป๋ากางเกง แล้วดึงข้อศอกเล็กเข้าหาตัว เพื่อเช็ดรอยเลือดให้อย่างเบามือ ซึ่งท่าทางบรรจงเช็ดด้วยท่าทางทะนุถนอม ราวกับแขนเรียวเล็กเป็นแก้วเนื้อบาง ทำให้ไอศวรามองตาปริบ

“โชคดีที่ไม่ได้เป็นอะไรมากมาย แต่พี่ว่าเด็กผู้หญิงไม่ควรมีแผลเลยจะดีกว่านะ” ศศินพูดพลางคลี่ยิ้มที่ดูหวานละมุนไม่แพ้กัน จนไอศวราหัวใจกระตุกวูบไปกับรอยยิ้มของชายหนุ่มที่กำลังจะถูกเธอดูดเงิน

“หนูไม่ได้เป็นอะไรมาก” ไอศวราตอบกลับไปอ้อมแอ้ม พลางดึงข้อศอกของตัวเองออกจากอุ้งมือใหญ่ ก่อนเสก้มเก็บพวงมาลัยที่ช้ำจากการถูกเธอล้มทับ แล้วแสร้งทำท่าเงื่องหงอยออกมา “แต่...พวงมาลัยของหนูสิช้ำหมดเลย สงสัยว่าวันนี้คงขายอะไรไม่ได้แล้ว”

ดวงตากลมโตเริ่มเอ่อคลอด้วยน้ำตาที่ดูแล้วน่าสงสารสำหรับคนมอง และท่าทางนั้นทำให้ศศินใจไม่ดีเท่าไร ชายหนุ่มอยากจะใช้ผ้าเช็ดหน้าซับน้ำตาให้ แต่ก็ดันเอามันมาซับเลือดแทนเสียแล้ว เขาจึงถือวิสาสะใช้นิ้วเกลี่ยเม็ดน้ำตาออกจากดวงหน้าเล็ก แล้วลูบเรือนผมสีดำที่ม้วนเป็นมวยไว้กลางศีรษะอย่างปลอบโยน

“อย่าร้องไห้นะ เดี๋ยวพี่เหมาพวงมาลัยทั้งกระจาดแล้วกัน” ชายหนุ่มพยายามหาทางปลอบเด็กหญิงแปลกหน้า แล้วช่วยเก็บพวงมาลัยใส่กระจาดใบเล็ก

“ไม่เป็นไรหรอกค่ะ หนูไม่ระวังเอง เลยไม่ทันมองว่ามีรถวิ่งผ่านมา”

“อย่าเกรงใจไปเลยน่า พี่เองก็ผิดส่วนหนึ่งล่ะที่ขับรถไม่ระวังเหมือนกัน เอาเป็นว่าช่วยเอาพวงมาลัยพวกนี้ใส่ถุงให้พี่หน่อยนะครับ” ศศินยิ้มตอบกลับ พลางลุกขึ้นหยิบกระเป๋าเงินจากกระเป๋ากางเกงด้านหลัง แล้วหยิบธนบัตรฉบับละหนึ่งพันบาทออกมาหนึ่งใบ ก่อนรอให้เด็กหญิงตรงหน้าจับพวงมาลัยช้ำยัดใส่ถุงพลาสติกหูหิ้วใบใหญ่ ที่ไม่รู้ว่ามันบังเอิญมีอยู่หนึ่งใบพอที่จะใส่พวงมาลัยทั้งกระจาดจริงหรือไม่

และเมื่อเด็กหญิงแปลกหน้ายื่นถุงใส่พวงมาลัยที่ศศินเหมาซื้อหมดทั้งกระจาด ชายหนุ่มก็ยื่นธนบัตรฉบับละหนึ่งพันบาทให้

ดวงตากลมโตยิ่งโตขึ้นเป็นสองเท่า กับมูลค่าของเงินที่ตัวเองจะได้มาในครั้งนี้ ซึ่งตามปกติแล้วคนส่วนใหญ่มักให้ค่าทำขวัญมาไม่เกินคนละห้าร้อยบาท และไม่เคยมีใครให้มากเท่ากับชายหนุ่มคนนี้มาก่อน ไอศวราจึงเงยหน้าขึ้นมองอีกฝ่ายด้วยความรู้สึกผิดที่เกิดขึ้นในใจ

“หนูไม่มีเงินทอนนะ”

ศศินกลั้วหัวเราะในลำคอกับความซื่อของเด็กตรงหน้า ชายหนุ่มคว้าถุงใส่พวงมาลัย แล้วยัดเงินใส่มือเล็กที่หยาบกร้านจากการต้องช่วยแม่ทำงานหนัก “พี่ให้เงินค่าหมอด้วย ยังไงก็ไปตรวจดูหน่อยแล้วกันว่าช้ำในหรือเปล่า โทษทีนะที่พี่พาไปเองไม่ได้”

ไอศวราลูบธนบัตรสีเทาในมือไปมาอย่างไม่เชื่อสายตา เธอไม่เคยจับเงินสีนี้มาก่อน และรู้ดีว่าเงินจำนวนนี้จะทำให้เธอกับแม่มีกินกันไปหลายวัน ซึ่งพอนึกถึงตรงนี้ เด็กหญิงก็ลืมความรู้สึกผิดที่เกิดขึ้นในใจไปทันที ร่างเล็กเงยหน้าขึ้น แล้วแย้มยิ้มด้วยความซาบซึ้งกับลาภก้อนโตที่ลอยมาอย่างคาดไม่ถึง

“คุณเป็นคนดีจังเลย ขอบคุณมากค่ะ หนูไปก่อนนะ” พอพูดจบ ร่างเล็กก็วิ่งจากไป และกลืนหายไปกับผู้คน ทิ้งให้ศศินมองดูผลงานของตัวเองที่อยู่ในมืออย่างหนักใจเล็กน้อย ด้วยไม่รู้ว่าจะเอาพวงมาลัยพวกนี้ไปใช้ทำอะไรดี

“คุณไม่น่าให้เงินเด็กคนนั้นไปเยอะแยะเลย” เสียงของหนึ่งในกลุ่มคนที่คุ้นเคยต่อพฤติกรรมต้มตุ๋นของแม่หนูน้อยดังขึ้นพอให้คนโชคร้ายได้ยิน เพราะพวกเขานึกสงสารพ่อหนุ่มแสนซื่อที่ไม่รู้ตัวเลยว่าโดนหลอกไปเต็มเปา

“ยัยหนูนั่นทำแบบนั้นประจำล่ะ เวลาอยากขายพวงมาลัยให้หมดเร็ว ๆ”

ถึงพวกเขาจะสงสารพ่อหนุ่มผู้โชคร้ายแค่ไหน แต่ก็อดหัวเราะไม่ได้กับนิสัยซื่อจนเซ่อของอีกฝ่าย และศศินต้องใช้เวลาอยู่นานกว่าจะทำความเข้าใจได้ว่าเกิดอะไรขึ้น ชายหนุ่มครางเสียงเบาในลำคอ พลางมองดูถุงใส่พวงมาลัยสลับกับผู้คนแถวนี้ที่ไม่ยอมบอกอะไรให้เร็วกว่านี้

ศศินโคลงศีรษะไปมาด้วยความอ่อนใจ และไม่รู้ว่าจะไปร้องเร่หาความยุติธรรมได้จากที่ไหน ด้วยพอคิดไปคิดมา ชายหนุ่มก็พอมองออกว่าพ่อค้าแม่ขายแถวนี้อยู่ฝ่ายเดียวกับเด็กหญิงขายพวงมาลัย และถึงแม้เขาจะรู้สึกซาบซึ้งที่คนพวกนี้หวังดีบอกความจริงให้ทราบ แต่เขาจะรู้สึกขอบคุณมากกว่านี้ทีเดียว หากพวกเขาจะปล่อยให้เขาเป็นคนโง่งมต่อไป เพื่อที่จะได้ไม่รู้สึกเจ็บใจทีหลังแบบนี้

ชายหนุ่มนึกหมายมาดไว้ในใจ อย่างไรเสียเขาก็มีธุระแถวนี้อยู่หลายวัน ดังนั้นเขาจะขอจับเด็กนิสัยไม่ดีมาตีก้นเสียหน่อย และดัดนิสัยไม่ให้อีกฝ่ายไปทำบทเจ้าน้ำตากับใครอีก เพราะเจ้าตัวคงไม่รู้หรอกว่ามันทำให้ผู้ใหญ่ตัวโตอย่างเขารู้สึกใจหวิวได้เหมือนกัน





ปานแก้วละมือจากพวงมาลัยช่อโตที่มีลูกค้าสั่งทำพิเศษ แล้วมองร่างเล็กของลูกสาวที่กลับมาอย่างรวดเร็ว ในมือมีกระจาดเปล่าที่บอกให้รู้ว่าเด็กหญิงขายมันหมดไปแล้ว ซึ่งเธอไม่เชื่อว่าลูกสาวตัวน้อยจะขายมันได้หมดภายในเวลาไม่ถึงหนึ่งชั่วโมง นอกเสียจากจะใช้วิธีการผิด ๆ ที่เธอเคยได้ยินมาจากพ่อค้าแม่ขายในตลาดโภคเจริญ

“แม่จ๋า...” ไอศวราวิ่งหน้าบานมาหาแม่ พลางแบมือที่กำธนบัตรสีเทา ซึ่งถูกพับไว้จนเล็กให้อีกฝ่ายดูด้วยท่าทางดีอกดีใจ แต่ปานแก้วเบิกตากว้างด้วยความตกใจที่เห็นเงินจำนวนมากในมือลูกสาว

“ลูกจ๋า...ไปเอาเงินนั้นมาจากไหน”

“มีคนใจดีให้มาจ้ะแม่ แล้วเขาก็เหมาพวงมาลัยของแม่ไปหมดเลย” เด็กหญิงรายงานไปด้วยความซื่อ ก่อนร้องออกมาเสียงดังลั่น เมื่อปานแก้วยึดแขนข้างหนึ่งไว้ แล้วใช้เล็บหยิกลงมาในเนื้อเต็มแรง

“แม่จ๋า! หนูเจ็บ...แม่หยิกหนูทำไม”

ร่างเล็กร้องพลางพยายามดึงท่อนแขนที่ถูกยึดไว้ให้หลุดจากการจับกุม แต่ยิ่งดึง ปานแก้วก็ยิ่งจิกเล็บลงบนผิวเนื้อขาวผ่องจนช้ำเลือด ซึ่งดวงใจของแม่นั้นเจ็บยิ่งกว่าบาดแผลที่ตัวเองเป็นคนก่อ ด้วยเธอไม่อาจนิ่งเฉยมองดูลูกสาวประพฤติผิดได้อีกต่อไป

“แม่จ๋า...” ไอศวราร้องฮือ ดวงตากลมโตชุ่มน้ำตาส่งสายตาไม่เข้าใจว่าเหตุใดแม่ถึงทำร้ายตน

“มือข้างนี้ใช่ไหมที่รับเงินนี้มา...เงินที่หนูไปหลอกเอาของของเขา”

ถ้อยคำของแม่ทำให้ไอศวราสะดุ้งโหยง ริมฝีปากสีชมพูปิดเม้มแน่น โดยไม่พูดอะไรออกมาสักคำ ปานแก้วจึงลากนิ้วไปตามมือเล็ก และบรรจงสร้างแผลใหม่ให้เด็กหญิงร้องไห้หนักขึ้น

“แม่ผิดเองที่ไม่ได้สอนหนูว่าสิ่งที่ทำนั้นมันถูกหรือผิด” หญิงสาวเว้นจังหวะการพูดไว้ แล้วจ้องลึกเข้าไปในดวงตากลมโตที่มีริ้วรอยฉลาดเฉลียว “แต่หนูก็เป็นเด็กฉลาด น่าจะรู้เรื่องผิดชอบชั่วดีบ้าง ไหนไอศวราลองบอกแม่ทีว่าสิ่งที่ตัวเองทำเป็นเรื่องดีหรือไม่ดี”

ไอศวราส่งเสียงสะอื้นฮัก แล้วส่งคำตอบมาด้วยน้ำเสียงตะกุกตะกัก “...ไม่...ดีค่ะ”

“รู้ได้ยังไงว่าไม่ดี” ปานแก้วยังส่งคำถามต่อ และลดแรงหยิกลง

“หนู...” ไอศวรานึกถึงภาพใบหน้าชายหนุ่มหน้าซื่อ ที่มีรอยยิ้มอ่อนหวานและเป็นห่วงต่ออาการบาดเจ็บเล็ก ๆ น้อย ๆ ของเธออย่างจริงใจ “หนูรู้สึกผิด แล้วก็กลัว...” ความรู้สึกอย่างหลังนี้ไม่รู้ว่าเกิดขึ้นได้อย่างไร แต่เด็กหญิงกลัวที่จะถูกเขาจับได้ และกลัวว่าเขาจะไม่ยิ้มใจดีให้อีก หลังจากที่ทราบความจริงว่าเธอหลอกลวงเขา

“บาปบุญมันมีจริงนะจ๊ะ ลูกจ๋า แม่ไม่อยากให้หนูไปก่อบาปกับใครไว้ เพราะเมื่อถึงคราวต้องชดใช้น่ะ มันหนักหน่วงกว่าตอนที่เราไปทำกับเขาอีกนะ”

“หนูขอโทษค่ะ...หนูจะไม่ทำอีกแล้ว”

ปานแก้วเชื่อว่าไอศวราจะทำตามที่พูดจริง เพราะลูกสาวของเธอก็มีนิสัยเหมือนกับย่าบุญธรรมของเธอนั่นแหละ แม้จะไม่ได้สืบสายเลือดเดียวกัน แต่เธอก็เห็นเงาของญาติผู้ใหญ่ที่รักซ้อนอยู่บนตัวเด็กคนนี้ หญิงสาวลูบรอยแผลบนมือเล็ก แล้วก้มลงจูบรอยร้าวในดวงใจแผ่วเบา

“ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น แม่ก็อยากให้หนูมีคุณธรรมประจำใจ เราลำบากเพราะเคยก่อกรรมทำเวรกับคนอื่นเขาไว้ ดังนั้นอย่าก่อบาปเพื่อสั่งสมทุกข์ให้ตัวเองอีกเลยนะจ๊ะ ไอศวรา” ปานแก้วเงยหน้าขึ้นสบจ้องกับดวงตาสีนิลสุกปลั่งที่รื้นชื้นด้วยหยาดน้ำตา แล้วเอื้อมมือไปปาดเช็ดรอยน้ำตาบนดวงหน้าเล็ก ก่อนลูบพวงแก้มยุ้ยน่าเอ็นดูด้วยความรู้สึกรักระคนทุกข์

“สัญญากับแม่นะจ๊ะ ไม่ว่าจะเกิดขึ้นก็อย่าไปเบียดเบียนใครนะ”

“ไอศวราจะไม่เบียดเบียนสัตว์โลกค่ะ”

ปานแก้วยิ้มน้อยกับคำตอบของลูกสาว ขนาดเธอทำท่าจริงจัง แม่หนูน้อยของเธอยังเอ่ยคำนั้นด้วยท่าทางทีเล่นทีจริงอีก มือเรียวจึงดึงพวงแก้มอย่างหยอกเย้า เรียกเสียงหัวเราะจากเด็กหญิงที่ลืมเรื่องถูกแม่ลงโทษไปอย่างรวดเร็ว

ร่างเล็กโถมเข้ากอดร่างบอบบางที่นับวันจะมีแต่ผ่ายผอมลง พลางซุกหน้าลงบนอกนุ่มนิ่มที่เธอชอบซบตอนนอน สำหรับไอศวราแล้ว คำของแม่ถือเป็นประกาศิต หากแม่ต้องการสิ่งใด เธอก็พร้อมจะทำตามคำของแม่ แม้ว่าคำขอนั้นจะหมายถึงการต้องเลิกวิธีที่ทำให้ได้เงินมาในเวลารวดเร็วก็ตาม





บทเห่กล่อมที่มีเสียงหรีดเรไรร้องครางคลอ พร้อมพัดที่โบกพัดวีก่อให้เกิดลมบางเบา ทำให้ร่างเล็กที่ไม่ยอมนอนเสียทีเริ่มตาปรือ และจะปิดอยู่ร่ำ ๆ ซึ่งปานแก้วก็ใช้มือเย็นชื้นที่มีกลิ่นหอมของดอกมะลิ ลูบไปตามเส้นผมสีดำนุ่มสลวย และดวงหน้าพริ้มเพราเพื่อกล่อมเกลาลูกสาวตัวน้อยให้นอนหลับฝันดีด้วยสัมผัสแผ่วเบา

“แม่จ๋า...ทำไมหนูถึงไม่มีพ่อหรือจ๊ะ”

คำถามของลูกสาวทำให้ปานแก้วชะงักมือที่ลูบไล้เรือนผมลูกน้อย พลางเอ่ยถามออกไปแผ่วเบา โดยพยายามข่มเสียงไม่ให้สั่นไว้ “ไอศวรามีแม่คนเดียวไม่พอหรือจ๊ะ” หญิงสาวไม่เคยโกหกลูกในเรื่องของผู้ชายทำให้เธอเจ็บช้ำมากมาย แต่เธอก็ไม่เคยเอ่ยเรื่องราวของเขากับลูกสาว นอกจากบ่ายเบี่ยงไปเรื่องอื่นจนคนถามลืมจุดประสงค์เดิมของตัวเองไปทุกที

“พอจ้ะ แต่เด็กคนอื่นชอบหาว่าหนูเป็นเด็กไม่มีพ่อ”

ไม่รู้ว่าไอศวราจะรู้สึกอย่างไร ยามต้องถูกเด็กคนอื่นล้อเลียนว่าเธอเป็นเด็กไม่มีพ่อ และมักจะถูกแกล้ง ด้วยเหตุผลเพียงเพราะเธอมีสมาชิกในครอบครัวที่ไม่สมประกอบ มีเพียงแม่กับลูก ไม่ใช่พ่อแม่ลูกอย่างที่บ้านอื่นเขามีกัน

“หนูมีพ่อนะจ๊ะ เพียงแต่เราอยู่ด้วยกันไม่ได้”

“ทำไมถึงอยู่ด้วยกันไม่ได้ล่ะคะ”

คำถามแสนซื่อของลูกสาว แต่มันเหมือนมีดที่กรีดแทงกลางใจ เมื่อคำตอบนั้นเป็นสิ่งที่หลายคนล้วนประนามปานแก้วว่าเป็นผู้หญิงไม่ดี ซึ่งบางทีเธอควรให้ลูกรู้เรื่องราวเกี่ยวกับพ่อของตัวเองไว้บ้าง เพราะเธอหวั่นใจเหลือเกินว่าบาปที่เคยก่อจะพรากเธอไปจากลูกรักก่อนกำหนด

“เพราะแม่เป็นส่วนเกินจ้ะ” ปานแก้วตอบลูกสาวแผ่วเบา พลางกล้ำกลืนก้อนสะอื้นลงคอ เมื่อนึกถึงอดีตวันวานที่เธอพยายามลืมมาตลอด

ทำไมหนอ...ทั้งที่รู้ว่าเขามีลูกมีเมียแล้ว แต่ก็ยังไปหลงชอบเขาได้...ศิรวัฒน์ พ่อค้าไทยเชื้อสายจีนที่ชอบหอบของสวยงามมาฝากหม่อมเจ้าสิวลี ที่รักใคร่เอ็นดูปานแก้วราวกับลูกหลานในไส้

ปานแก้วเคยนึกรำพึงรำพันกับตัวเองบ่อยครั้ง ว่าไม่น่าไปสบตากับเขาเลย เพราะแค่เพียงได้สบกับดวงตาพราวระยับคู่นั้น หญิงสาวก็รู้สึกเหมือนกับว่าตัวเองถูกดูดให้หาทางเข้าไปหาเขาโดยไม่รู้ตัว

ครั้นพอได้สบตาต่อตากับบ่อยครั้งเข้า ความรักที่ผิดจรรยาก็ก่อเกิดขึ้นมาในจิตใจ จากที่เคยพบกันซึ่งหน้าก็แอบลักลอบพบกันจนถูกจับได้ และก่อให้เกิดรอยร้าวที่ไม่อาจผสานต่อกันให้ติดดังเดิม

หญิงสาวหนีผู้เปรียบดังย่า ด้วยสู้หน้าท่านไม่ไหว เธอทำตัวเนรคุณท่านโดยการคบชู้สู่ชาย ซึ่งเธอก็รู้อยู่เต็มอกถึงสถานะที่มีห่วงและเจ้าของของเขา แล้วเธอก็หนีคนที่รักมา ด้วยไม่อยากให้เขาลำบากเพราะมีเธอเป็นสาเหตุ

“เพราะแม่ทำบาป ไปยุ่งเกี่ยวกับสามีของคนอื่น ลูกเลยต้องมาลำบากเพราะแม่”

ไอศวรากลั่นกรองคำพูดของปานแก้ว เพื่อทำความเข้าใจความหมายที่แม่ต้องการสื่อ แต่ประเด็นความสงสัยของแม่หนูน้อยไม่ได้อยู่ที่ปานแก้วเป็นมือที่สามของใคร เธอแค่สงสัยว่าแม่ไม่รักพ่ออย่างนั้นหรือ จึงไม่ได้อยู่ด้วยกัน เพราะเด็กหญิงเข้าใจว่าคนที่รักมักจะอยู่ด้วยกันเสมอ และเมื่อคิดได้ดังนั้น เธอจึงเอ่ยปากถามออกไปตามประสาซื่อ

“แม่ไม่อยู่กับพ่อ เพราะไม่รักพ่อแล้วหรือคะ”

ปานแก้วคลี่ยิ้มน้อยกับคำถามนั้น แล้วลูบจมูกโด่งรั้นของลูกสาวที่ถอดแบบมาจากชายคนรัก ก่อนก้มลงจูบแผ่วเบา “รักสิจ๊ะ แม่ยังรักพ่ออยู่เสมอ” หญิงสาวพูดพลางมองดูแพขนตางามงอนที่กะพริบปริบ และปรือเปิดขึ้นเพื่อส่งสายตาไม่เข้าใจตอบกลับมา

“หรือว่าพ่อไม่รักแม่หรือคะ แม่เลยต้องอยู่คนเดียว”

คำถามนั้นทำให้ปานแก้วนึกถึงคำพร่ำรำพันรักของเขา ซึ่งไม่รู้ว่ามีความจริงปะปนอยู่มากน้อยเพียงไร แต่เธอก็อยากคิดเข้าข้างตัวเองว่าเขาอาจมีดวงใจรักให้กับเธอบ้าง “ถ้าเราไม่รักกัน แล้วจะมีลูกเกิดขึ้นมาได้อย่างไรเล่าจ๊ะ ไอศวรา”

“ถ้าอย่างนั้น...ทำไมพ่อกับแม่ถึงไม่ได้อยู่ด้วยกัน”

“เพราะไม่มีใครอยากให้เราอยู่ด้วยกัน และแม่ก็ไม่อยากให้พ่อลำบากเลยหนีมา”

คำตอบนี้ทำให้ไอศวรากระจ่างแจ้งในข้อสงสัย พ่อกับแม่ของเธอยังรักกันอยู่ และอยากอยู่ด้วยกัน เพียงแต่มีอุปสรรคอยู่ที่คนอื่นคอยขัดขวางความรักของผู้ให้กำเนิดทั้งสอง แล้วแผนการบางอย่างก็ถูกเรียบเรียงไว้ในหัวใจดวงน้อย ที่คิดอยากสานสัมพันธ์ความรักของพ่อกับแม่

ไอศวราก็จ้องหน้าปานแก้วที่มีริ้วรอยหมองเศร้า ยามพูดถึงความรักที่ไม่ได้รับการยอมรับ ซึ่งแผนการที่สองก็ผุดขึ้นมาในใจของเด็กหญิงทันทีที่เธอได้เห็นสีหน้าของแม่

“แม่จ๋า...แม่เล่าเรื่องของพ่อให้หนูฟังหน่อยสิ พ่อของหนูเป็นใคร พ่อเป็นคนแบบไหน แล้วใจดีไหมจ๊ะ”





Create Date : 24 กุมภาพันธ์ 2555
Last Update : 20 มกราคม 2557 16:11:33 น.
Counter : 263 Pageviews.

4 comments
  
แค่ได้อ่านบทแรก ก็ติดใจแล้วค่ะ รอติดตามต่อไปอยู่นะคะ
โดย: manee IP: 93.184.29.83 วันที่: 24 กุมภาพันธ์ 2555 เวลา:2:54:34 น.
  
Very good story ka. Looking forward to read more.
โดย: o IP: 2.103.145.189 วันที่: 24 กุมภาพันธ์ 2555 เวลา:4:02:27 น.
  
น่าติดตามมากค่ะ ชอบสำนวนภาษาของคุณฌาจังเลยค่ะ
โดย: พลอย IP: 76.25.231.85 วันที่: 24 กุมภาพันธ์ 2555 เวลา:9:37:12 น.
  
เรื่องนี้เขียนทิ้งไว้ตั้งแต่ปี 51 ไม่รู้ว่าพอกลับมาปัดฝุ่นเขียนต่อ ภาษาจะโดดจากของเก่าไปมากน้อยแค่ไหน อารมณ์จะต่อเนื่องหรือเปล่าก็ชวนให้หวั่น ๆ อยู่เชียวค่ะ

ตอนถัดไปจะลงอาทิตย์หน้าค่ะ แต่เรื่องวันคงยังบอกไม่ได้ว่าจะลงวันไหน ขอบคุณมากค่ะที่แวะเวียนเข้ามาทักทายกัน
โดย: ฌา วันที่: 24 กุมภาพันธ์ 2555 เวลา:19:40:35 น.
ชื่อ :
Comment :
 *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

ฌา
Location :
  

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]



New Comments
All Blog