พิษเสน่หา 1
1 ลูกทาส

บ้านที่เราอยู่เป็นรัฐที่อุดมไปด้วยข้าวปลาอาหาร พืชพันธุ์ก็ออกดอกผลมากมายจนเรียกว่าแทบกินไม่หมดในขวบปีหนึ่ง มันมากเสียจนพวกเราสามารถนำผลิตผลเหล่านั้นไปขายให้กับรัฐเพื่อนบ้านของเราได้

รัฐของเราถูกเรียกว่าปามะห์ อันมีความหมายว่าที่ราบลุ่ม ซึ่งตรงกับภูมิประเทศของเราที่เป็นพื้นที่ราบอันอุดม เหมาะแก่การเพาะปลูกหรือทำปศุสัตว์ นอกเหนือจากนี้ก็มีงานหัตถกรรมที่เป็นอีกสิ่งหนึ่งที่เราทำได้อย่างวิจิตร จนมีชื่อเสียงเลื่องลือไปทั้งแคว้นปัญจปุระถึงฝีมืออันประณีตที่ถูกถ่ายทอดมาหลายชั่วอายุคน

ปามะห์เป็นรัฐที่อยู่ภาคกลาง มีอาณาเขตทางเหนือติดกับทาลางทูร รัฐเมืองหนาวที่มีสภาพภูมิประเทศโดยส่วนใหญ่เป็นภูเขา มีบูกิตเป็นเมืองหน้าด่าน แยกรัฐภาคเหนือกับภาคกลางออกจากกัน ซึ่งความสัมพันธ์ระหว่างสองรัฐนี้ไม่ค่อยดีเท่าไรนัก อันเนื่องมาจากเจ้าผู้ครองรัฐทางภาคเหนือต้องการขยายอำนาจไปยังรัฐต่าง ๆ ที่อยู่ด้านล่าง แต่ก็ติดตรงที่ถูกกองกำลังทหารของปามะห์ขัดขวาง จนไม่อาจครอบครองรัฐอื่นได้ตามใจคิด

ส่วนอาณาเขตทางใต้ของปามะห์ติดกับกรารูวา รัฐที่มีอาณาเขตติดกับทะเล มีพูงฆาห์เป็นเมืองท่าสำคัญในการขนถ่ายสินค้ากับแคว้นต่าง ๆ ที่เข้ามาติดต่อสัมพันธ์ทางการค้าด้วย และปามาะห์ก็รับเอาสินค้าจำพวกแร่บางประเภทมาใช้ประกอบการอุตสาหกรรมขนาดเล็ก

ถ้าพูดถึงความสัมพันธ์ระหว่างรัฐภาคกลางกับภาคใต้แล้ว ก็ถือว่าไปได้ดีพอสมควรในฐานะของคู่ค้า แต่ในทางด้านอื่นนั้นคงยังต้องใช้เวลาอีกมากในการเจริญสัมพันธไมตรี โดยเฉพาะในด้านการทหาร เพราะกรารูวาคิดว่าตนเป็นรัฐที่เจริญแล้ว มีการติดต่อกับอารยประเทศ รับวัฒนธรรมต่าง ๆ เข้ามา จนคิดว่าสงครามเป็นเรื่องของพวกบ้านป่าเมืองเถื่อน ซึ่งพวกเขาไม่เคยคิดเลยว่า หากสิ้นปามะห์ไป กรารูวาจะเป็นรายต่อไปที่ทาลางทูรจะเข้ายึดครอง

และรัฐที่มีความเห็นพ้องกันกับกรารูวาก็คือบีอา รัฐภาคตะวันออกที่มีอาณาเขตติดต่อกับทะเลเช่นกัน แต่เนื่องจากภูมิประเทศทางชายฝั่งเป็นปลายแหลมยื่นเข้าไปในทะเล ทำให้บีอาไม่เหมาะกับการตั้งเมืองท่าเหมือนกับกรารูวา ซึ่งทั้งสองรัฐนี้มีสนธิสัญญาทางการค้าร่วมกัน และมีการเจริญสัมพันธไมตรีเป็นบ้านพี่เมืองน้อง โดยวิธีการอภิเษกสมรสของเหล่าเชื้อพระวงศ์

สำหรับปามะห์แล้ว บีอาถือได้ว่าเป็นเมืองแห่งเศรษฐกิจเลยทีเดียว เพราะการปรับราคาค่าสินค้าของแต่ละรัฐนั้นรับมาจากบีอาแทบทั้งสิ้น ซึ่งมีผลต่อการติดต่อค้าขายกับอาณาจักรอื่นที่อยู่อีกฟากหนึ่งของทะเล

และรัฐสุดท้ายที่มีอาณาเขตติดต่อกับปามะห์คือกูรา แคว้นลึกลับภาคตะวันตกที่ซุกซ่อนตัวอยู่หลังไพรทึบ กูราเป็นแคว้นกึ่งปิด เนื่องด้วยภูมิประเทศรอบด้านถูกโอบล้อมด้วยป่าไม้และภูเขา จนดูเหมือนเต่าที่หลบซ่อนอยู่ในกระดอง ซึ่งปามะห์ไม่ควรประมาทเป็นอันขาด เพราะอย่างไรเสียกูราก็เคยถูกเรียกว่าลานุน อันมีความหมายว่าโจรสลัดที่เคยสร้างความครั่นคร้ามต่อแคว้นอื่นมานักต่อนัก

สี่รัฐที่อยู่รายล้อมปามะห์นี้มีระดับความเป็นมิตรที่ไม่เท่ากัน ยิ่งนานวันก็ให้ความรู้สึกว่าปามะห์ถูกปล่อยให้โดดเดี่ยว เป็นเสมือนเรือน้อยลำเล็กที่ถูกปล่อยให้ลอยเคว้งอยู่กลางกระแสพายุที่มาในรูปแบบที่แตกต่างกัน บ้างก็รุนแรงจนเสาเรือแทบหักกระดอน บ้างก็กระหน่ำซัดเม็ดฝนที่ให้ความชุ่มชื้น แต่หากไม่ระวังก็อาจถูกพายุฝนพัดพาจนจมหายได้

และเพราะพระบารมีของเจ้าหลวงแห่งปามะห์ที่ทรงปกครองแผ่นดินโดยธรรม เลิศล้ำด้วยพระปัญญา เก่งกล้าเชิงยุทธและยังมีวาทะศิลป์ที่หวานหูจนเป็นที่รักใคร่ของเหล่าพสกนิกร พระองค์ท่านปกป้องปามะห์จากทาลางทูรมาห้าสิบปีเต็ม มันเป็นเวลาที่ยาวนายจนหลายคนหลงนึกไปว่านี่คือช่วงเวลาแห่งสันติสุข

ใช่...สันติสุขที่อาจสิ้นสุดลงในเวลาไม่ช้า เมื่อเจ้าหลวงแห่งปามะห์ทรงประชวรด้วยโรคมะเร็ง

“สิรี” เสียงหวานละมุนดังมาจากทางหน้าต่าง ทำให้คนที่กำลังเขียนหนังสือต้องวางปากกาลง แล้วหันไปยิ้มให้กับสาวน้อยท่าทางแก่นแก้วที่กำลังเกาะหน้าต่างห้องนอนของเธอ พลางยิ้มทะเล้นใส่

“บริมาส”

“ว่าไงจ๊ะคุณหนู เขียนหนังสือเสร็จหรือยัง เขียนได้ทุกวี่ทุกวันเลยนะ ไม่เบื่อหรือไงกัน” บริมาสโหนตัวขึ้นมานั่งบนขอบหน้าต่าง พลางโยนลูกแอปเปิ้ลที่เก็บได้จากสวนข้างทางให้เจ้าของห้องที่คว้ารับอย่างรวดเร็วไม่แพ้กัน

“สนุกดีออก เหมือนกับว่าได้เห็นอะไรมากมายผ่านตัวหนังสือ” สิริกัญญาเช็ดลูกแอปเปิ้ลกับกระโปรงยาวกรอมเท้าสีเทาหม่น ก่อนกัดผลไม้เปลือกแดงเข้าไปเต็มคำ และลิ้มชิมรสหวานที่แผ่ซ่านไปทั่วปลายลิ้นถึงลำคอ

“แปลกดีนะ ทั้งที่เจ้าชอบอ่านหนังสือแท้ ๆ แต่ทำไมท่านจินดาถึงไม่ส่งเจ้าไปเรียนต่อ ดูอย่างพี่น้องคนอื่นของเจ้าสิ ได้เรียนต่อจนเข้าวังไปหลายคนแล้วแท้ ๆ ทำเหมือนกับว่าจะเก็บเจ้าไว้แต่ในนี้”

คำถามของบริมาสไปสะกิดเข้าที่ปมด้อยของคนชอบเรียนหนังสือ แต่ไม่มีโอกาสได้เรียนต่อในระดับชั้นที่สูง และมันทำให้คนปากไวนึกขึ้นได้ว่าไม่ควรพูดเรื่องที่จะไปเชื่อมโยงกับฐานะของสิริกัญญาที่อยู่ในคฤหาสน์หลังนี้

ฐานะของสิริกัญญาในบ้านหลังนี้เทียบเท่ากับคนรับใช้ ถึงแม้ว่าเธอจะเกิดมาเป็นบุตรของท่านจินดาคหบดีเฒ่าที่ดำรงตำแหน่งเป็นองคมนตรีแห่งปามะห์ แต่แม่ของสิริกัญญาก็เป็นทาสจากต่างแดนที่ถูกท่านจินดาซื้อตัวมา

ท่านจินดาเป็นคนใจดี มีเมตตาธรรมกับผู้อยู่ในปกครอง แต่ออกจะมักมากในกามคุณไปเสียหน่อย เลยทำให้ท่านมีภรรยาถึงสิบเอ็ดคน ซึ่งแม่ของสิริกัญญาก็เป็นผู้หญิงที่ถูกยกชูให้ขึ้นมาเป็นภรรยาที่มีศักดิ์เทียบเท่ากับภรรยาคนอื่น แต่ถึงกระนั้นก็ไม่มีใครคิดจะยกทาสให้อยู่เสมอเคียงไหล่ตน นอกจากกดให้ต่ำยิ่งกว่าดิน

จะว่าไปแล้วทั้งแม่ของสิริกัญญาและตัวเธอเองก็อาภัพไม่น้อย ด้วยถูกภรรยาคนอื่นของท่านจินดากลั่นแกล้ง อันเนื่องมาจากความอิจฉาริษยา เพราะท่านจินดานั้นเอ็นดูเมียทาสยิ่งกว่าเมียคนอื่น ประคบประหงมเสียจนออกนอกหน้า เมื่อรู้ว่าเมียทาสคนนี้มีสุขภาพร่างกายอ่อนแอ อีกทั้งยังมอบเรือนไม้หลังเล็ก แยกออกมาเป็นเขตส่วนตัวรายล้อมด้วยพฤกษาน้อย เพื่อเป็นสถานพักฟื้นแก่เมียทาส

แม่ของสิริกัญญาเป็นผู้หญิงธรรมดา รูปร่างบอบบางและขี้โรค ท่านจินดาชอบมักแวะเวียนมาหาเมียทาสบ่อยครั้งยิ่งกว่าเมียคนอื่น อาจเป็นเพราะเธอเป็นคนไม่ช่างพูด ไม่ประจบสอพลอ และยังทำหน้าที่ของภรรยาได้อย่างไม่ขาดตกบกพร่อง รวมถึงรอยยิ้มของเธอนั้นเปรียบดังสายน้ำชุ่มฉ่ำ ท่านจินดาจึงชอบหลบร้อนจากสภาพรอบด้านมายังเรือนไม้หลังเล็ก และระบายความในใจต่าง ๆ ให้กับเมียทาสที่ทำเพียงยิ้มกับรับฟังโดยไม่พูดอะไร

และด้วยที่แม่ของสิริกัญญาเจ็บออด ๆ แอด ๆ ตลอดเวลา เธอจึงเสียชีวิตไปทั้งที่ยังสาว ทิ้งลูกสาววัยสามขวบไว้กับบรรดาเมียของท่านจินดาแกับพี่น้องต่างมาราที่ไม่เคยคิดว่าเธอเป็นหนึ่งในลูกสาวของท่านจินดาเลยสักคน

สิริกัญญาเป็นลูกสาวคนที่สิบเก้าในบรรดาลูกสาวยี่สิบสองคนของท่านจินดา ยังไม่รวมถึงลูกชายอีกสิบแปดคนที่มีความทะเยอทะยานยิ่งกว่าผู้เป็นบิดาที่พอใจในสิ่งที่ตนมีอยู่ อาจเป็นเพราะภรรยาเอกของท่านเป็นถึงพระญาติกับสนมฝ่ายขวาของเจ้าหลวงแห่งปามะห์ มีโอรสที่มีสิทธิ์ครองบัลลังก์เป็นลำดับที่สี่ มันจึงเป็นเส้นทางที่สามารถก้าวไปถึงอำนาจต่าง ๆ ได้มากมาย

ตอนที่แม่ของสิริกัญญาเสียชีวิต เธอได้ถูกเดือนฟ้า ภรรยาคนที่สี่ซึ่งเป็นลูกสาวของพ่อค้าท่านหนึ่งขอไปเป็นลูกบุญธรรมร่วมกับปลายมาศ คนที่เธอสามารถเรียกเขาว่าพี่ชายได้อย่างเต็มปาก เขาเป็นลูกชายของแม่ชีในอารามแห่งหนึ่งที่ได้หลงคารมของท่านจินดาจนกลายเป็นเมียของท่าน เขากำพร้าแม่เหมือนกับสิริกัญญาและเป็นคนเจียมตน

...จงจำไว้ว่าเจ้าสวมปลอกคอของทาส ไม่มีสิทธิเผยอหน้าขึ้นมายืนเทียบเคียงกับใคร...คำสั่งของแสงสุรีย์ ภรรยาเอกของท่านจินดายังคงแจ่มชัดอยู่ในความทรงจำของสิริกัญญา เธอมีอำนาจเป็นอันดับสองในคฤหาสน์หลังนี้ สามารถทำอะไรได้ตามใจปรารถนา รวมถึงริดรอนทุกสิ่งทุกอย่างที่เป็นของสิริกัญญา

“ข้าเป็นลูกทาสนี่...แค่ได้เรียนก็ถือว่าโชคดีแล้ว” สิริกัญญาลูบกลีบกระโปรงของตัวเองไปมา พลางมองบ้านไม้หลังเล็กของตัวเองที่เป็นสมบัติเพียงชิ้นเดียวที่แสงสุรีย์ไม่อาจริดรอนไปจากเธอได้

บ้านอันป็นที่พักพิงยามเหนื่อยล้าของเธอ

บริมาสมองเพื่อนด้วยความเห็นใจ หญิงสาวข้ามขอบหน้าต่างเข้ามา แล้วเดินไปโอบบ่าบอบบางที่ห่อลู่ตลอดเวลายามอยู่ในคฤหาสน์ ซึ่งตรงกันข้ามกับสิรี เด็กหนุ่มหน้ามอมที่ชอบม้าเป็นชีวิตจิตใจ อันเป็นอีกบุคลิกหนึ่งของสิริกัญญายามออกนอกคฤหาสน์ และทุกครั้งที่เธอเป็นสิรี บ่าที่เคยห่อลู่ก็จะยืดตรงแลดูองอาจ จนไม่น่าเชื่อเลยว่าบุคคลทั้งสองจะเป็นคนเดียวกัน

“นี่สิรี พวกเราหลบไปข้างนอกกันไหม ไปจับม้าที่ป่าตะวันตกกัน”

สิริกัญญาเงยหน้าขึ้นมองเพื่อนที่ยิ้มแฉ่ง ดวงตาเป็นประกายยามพูดถึงม้า แล้วยังท่าทางซุกซนที่ยังไม่ยอมทิ้งไป ทั้งที่อีกไม่กี่วันก็จะอายุครบสิบแปดปีเต็มแล้ว มันทำให้คนรอบข้างพากันห่วงกังวล เพราะวัยนี้เป็นวัยที่ผู้หญิงสมควรออกเรือน แต่ถ้าดูจากลักษณะนิสัยของบริมาสแล้ว คงอีกนานกว่าที่เธอจะเจอคู่ถูกใจ

บริมาสเป็นบุตรีเพียงคนเดียวของเสนาบดีมหาดไทย และด้วยความที่เป็นลูกสาวคนเดียวนี่ล่ะ เธอจึงถูกตามใจมาตั้งแต่เด็ก หญิงสาวเปรียบดังเทพธิดาของพ่อแม่ แต่นิสัยน่ะตรงกันข้ามกับภาพพจน์ของเทพธิดาเลยทีเดียว

ตอนแรกที่สิริกัญญาพบกับบริมาสนั้น เธอมาในคราบของเด็กหนุ่มหน้าแฉล้มนามจันทร เขาเข้ามาหมายตาม้าป่าตัวเดียวกับสิรี เด็กหนุ่มบ้านป่าที่ไม่มีหัวนอนปลายเท้า ทั้งคู่ทะเลาะวิวาทกันหลายครั้งจนผู้คนแถบนั้นต่างรู้กันดีว่า หากจันทรกับสิรีปะหน้ากันเมื่อใด ควรรีบจรลีหนีไปให้ห่าง ก่อนจะโดนลูกหลงจากการวิวาทของเด็กหนุ่มสองคนนี้ แล้วกว่าที่พวกเธอจะรู้ตัวจริงของกันและกัน เวลาก็ล่วงผ่านไปนานถึงสองปี

ลูกสาวท่านเสนาบดีมหาดไทยเป็นคนสวย ดวงหน้าหวานซึ้งราวกับเทพธิดาในภาพวาด เส้นผมเป็นสีทองกระจ่างดั่งชื่อของเธอ ดวงตาก็งามดั่งมรกต ผิวสีขาวเนียนละเอียดดุจน้ำนม และยามเธออยู่เฉย ๆ ก็สมดั่งกุลสตรีดีอยู่หรอก แต่ยามพูดนี่สิที่เป็นปัญหา และก็ทำเอาผู้ชายที่อยากสานสัมพันธ์ต้องหนีกระเจิดกระเจิงไม่เป็นท่า เพราะทนวาจาก๋ากั่น ท่าทางแก่นห้าว และการกลั่นแกล้งอย่างเหลือร้ายไม่ไหว

“เห็นพูดมาอย่างนี้ทุกปี แต่ไม่เคยจับได้เสียที”

บริมาสขึงตาใส่ พลางยกมือขึ้นเท้าเอวกับวาจาล้อเลียนของเพื่อน ก่อนเอ่ยโต้ด้วยน้ำเสียงกึ่งฉุนกึ่งขัน “ว่าแต่เขา แล้วทีตัวเองล่ะ”

“จับได้แล้วจะเอามันไปไว้ที่ไหนล่ะ ถ้าไม่โดนท่านแสงสุรีย์เค้นถามก็โดนคนอื่นแย่งไปเป็นของตัว” หญิงสาวพูดพลางเบ้ปากเล็กน้อย เมื่อนึกถึงพี่น้องคนอื่น ถึงเธอจะรักท่านจินดา แต่ใช่ว่าจะรักคนอื่นในครอบครัวด้วยเสียหน่อย

“ฝากข้าสิ” บริมาสรีบเสนอตัวทันที เธอรู้ฝีมือของเพื่อนดีว่าเก่งกาจเพียงไร และถึงจะพูดว่าม้าป่า แต่พวกมันก็เรียกได้ว่าเป็นม้าของสิริกัญญา เพราะพวกมันคอยแต่ฟังคำสั่งของเธอแต่เพียงผู้เดียว

“แล้วจะบอกท่านเจ้าคุณว่าอะไร ถ้าท่านรู้ว่าลูกสาวออกไปเล่นซนอย่างเด็กผู้ชายคงได้ลมจับก่อนพอดี”

ลูกสาวท่านเจ้าคุณพ่นลมหายใจใส่จมูก พลางส่งเสียงจิ๊จ๊ะอย่างขัดใจ “โน่นก็ไม่ได้ นี่ก็ไม่ได้ ข้าไม่คิดจะรอรับม้าเป็นของขวัญจากคุณชายท่านไหนหรอกนะ พวกนั้นน่าเบื่อจะตาย” หญิงสาวทำท่าขนลุก เมื่อนึกถึงวาจาหวานเลี่ยนหู และท่าทางเอาอกเอาใจเกินพอดีของเหล่าคุณชายที่เข้ามาขอไมตรี

“ข้าเบื่อคุณชายขี้อวด ตัวเองไม่เห็นมีอะไรดี นอกจากอาศัยบารมีพ่อแม่มาข่ม จ้างให้ก็ไม่แลหรอก”

สิริกัญญาหัวเราะเสียงเบากับท่าทางเลียนแบบคุณชายที่ชอบเชิดหน้า ยืดอกเบ่งของคุณหนูคนงาม หากมีคนอื่นมาเห็นคงได้ร้องไห้กับภาพพจน์ของเทพธิดาแน่

“แต่ข้าได้ยินมาว่าท่านเจ้าคุณจะหาคู่ดูตัวให้นี่”

บริมาสแยกเขี้ยวร้องยี้ “ข้าจะเลือกคู่ด้วยตัวเอง”

“ถ้าอย่างนั้นคงหาคู่ไม่ได้ตลอดชาติ” สิริกัญญาหัวเราะพรืดกับคำพูดของแม่เดือนเต็มดวง เพราะรู้อยู่ว่านิสัยของคุณเธอเป็นอย่างไร ถ้าคุณหนูคนงามไม่ยอมลดราวาศอกก็เห็นจะไม่มีผู้ชายคนไหนปรามเธอได้

“ว่าแต่เขา แล้วทีตัวเองล่ะ”

“ข้าจะบวชชี”

คุณหนูจอมซนเบิกตากว้างกับคำตอบที่ไม่คาดคิด เธอรู้ว่าเพื่อนถูกตีค่าว่าเป็นลูกทาสจึงไม่ค่อยมีผู้ชายคนใดให้ความสนใจในตัวเธอเท่าไรนัก ครั้นจะมองหาคู่ตามฐานะของตัวเองก็ไม่มีทาสชายคนใดกล้ายุ่งกับลูกสาวของคหบดีผู้ร่ำรวย ยิ่งรูปร่างหน้าตาของสิริกัญญาไม่จัดอยู่ในจำพวกสวยเด่นเหมือนพี่น้องต่างมารดาคนอื่น ออกจะราบเรียบธรรมดาเลยกลายเป็นเป็นหญิงสาวที่ถูกลืม

แต่ถึงสิริกัญญาจะมีรูปลักษณ์ธรรมดา เธอก็มีอะไรหลายอย่างที่แตกต่างจากชาวปามะห์ ไม่ว่าจะเป็นเส้นผมสีดำเข้มที่เป็นเอกลักษณ์ของพวกทาลางทูร หรือดวงตาสีน้ำเงินที่เดาไม่ออกว่าเป็นของชนแคว้นใด จึงน่าจะมีคนจดจำเธอได้

ถ้านิสัยของสิริกัญญาไม่ใช่พวกชอบเก็บตัว!

“เอาจริงน่ะ” บริมาสถามย้ำอีกครั้ง นิสัยของเพื่อนคนนี้น่ะ ลองได้ตั้งมั่นคิดจะทำอะไรแล้วล่ะก็ไม่มีใครฉุดอยู่

ดวงตาสีน้ำเงินฉายแววมาดมั่นไม่เปลี่ยนใจ และบริมาสก็ไม่แน่พอที่จะเข้าร่วมอุดมการณ์เดียวกันกับเพื่อน เธอเป็นเพียงหญิงสาวที่ใฝ่ฝันอยากมีรักที่สวยงาม ได้เลือกชายในฝันของตัวเอง ได้สวมชุดแต่งงานและคลอดลูกที่น่ารักสักคนหรือสองคน

“ขอให้ไม่สมหวังนะ”

สิริกัญญาหลุดหัวเราะคิกกับคำอวยพรของเพื่อน เธอรู้ว่าคุณหนูพระจันทร์หวังดีอยากให้เพื่อนมีรัก แต่เธอตั้งใจไว้แล้วว่าจะไม่เหลียวแลชายใด เพื่อที่จะได้ไม่ต้องเป็นเหมือนผู้คนในคฤหาสน์หลังนี้

- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -


สองสาวคุยเล่นกันนานจนลืมเวลา ครั้นรู้สึกตัวอีกทีหนึ่ง เวลาเย็นก็ล่วงเข้ามาแล้ว บริมาสครางเสียงเบากับการนึกภาพแม่นมที่แยกเขี้ยวดุต้อนรับยามกลับ พลางตบหน้าผากตัวเองที่ดันฟังเพื่อนเล่าสถานการณ์บ้านเมืองเสียเพลิน ซึ่งแหล่งข่าวที่สิริกัญญาได้มาส่วนใหญ่นั้นก็มักมาจากบรรดาแม่ และเหล่าพี่สาวที่ถวายตัวเข้าไปเป็นนางใน พวกเธอมักนำเรื่องภายในออกมาพูดข้างนอกโดยไม่ระวัง

และมันก็ไม่น่าแปลกใจเลยหากรัฐอื่นจะรู้เรื่องราวภายในของปามะห์

บริมาสมีความห่วงใยต่ออาการประชวรขององค์เจ้าหลวง มะเร็งนั้นถือเป็นโรคที่ไม่อาจรักษาได้ ต้องรอวันเวลาให้โรคร้ายกัดกินร่างกายไปเรื่อย ๆ อย่างทุกข์ทรมาน และที่น่าห่วงก็คือคนข้างในเริ่มแบ่งฝักแบ่งฝ่าย ดันเจ้านายที่ตัวเองถือหางให้ขึ้นสู่เส้นทางแห่งอำนาจ ซึ่งมีถึงห้าสายด้วยกัน

ทางฝ่ายพ่อของบริมาสและเหล่าเสนาบดีท่านอื่นกำลังรอดูท่าทีของอำนาจห้าสายที่กำลังแข่งขันกันเพื่อแย่งชิงความเป็นเอก และเธอก็รู้ว่าพ่อเอนเอียงไปทางฝ่ายใด แต่ยังสงวนท่าทีไว้จนกว่าจะถึงเวลาสมควร

“แปลกดีนะ” หญิงสาวสังเกตท่าทางจริงจังของสิริกัญญา แล้วอดรำพึงออกมาไม่ได้ เธอไม่เข้าใจว่าอะไรเป็นเหตุจูงใจให้เพื่อนสนใจงานเมืองมากขนาดนี้

“อะไรที่ว่าแปลก” สิริกัญญาเลิกคิ้วขึ้นถามอย่างสงสัย

“ก็ตัวเจ้านั่นแหละ ทำไมถึงสนใจเรื่องพวกนี้มากนัก ถ้าเป็นคนอื่นนะเขาไม่มาคิดเรื่องนี้กันหรอก” บริมาสพ่นลมหายใจดังพรืด พลางพยักเพยิดไปทางหน้าต่างที่มีเสียงวี้ดว้ายดังแว่วมาแต่ไกล “ตัวอย่างก็ข้างนอกนั่นไง ถ้าไม่สนใจเสื้อผ้าหรือเครื่องประดับสวย ๆ ก็เป็นเรื่องคุณชายที่เข้ามาเกี้ยวพาราสี หรือไม่ก็คนเจ้าเสน่ห์ที่ทุกคนชอบพูดถึง”

สิริกัญญาทำหน้าประหลาด พลางยิ้มแปลก สิ่งที่คุณหนูคนงามพูดมาไม่เคยอยู่ในความสนใจของเธอเลยสักนิด เรื่องเสื้อผ้าน่ะขอให้ใส่ได้ก็พอแล้วไม่ใช่หรือ เธอไม่ได้ใส่ไปอวดใครเสียหน่อย ส่วนเรื่องผู้ชายก็ไม่ต้องพูดถึง เพราะเธอไม่ชอบผู้ชาย หรืออาจเป็นเพราะโดนพี่น้องผู้ชายกลั่นแกล้งมาตั้งแต่เด็ก เลยมีความทรงจำไม่ดีเกี่ยวกับพวกผู้ชาย

“แปลกเหรอ” หญิงสาวถามย้ำคำเดิม และก็ได้รับการพยักหน้าตอบกลับมา

มันก็จริงอย่างที่บริมาสพูด และสาเหตุที่ทำให้สิริกัญญาเริ่มสนใจงานเมืองก็เป็นตอนที่ยังไม่รู้จักลูกสาวท่านเจ้าคุณมหาดไทย มันเป็นช่วงที่เธอเริ่มปลอมตัวเป็นสิรี เด็กชายหน้ามอมอายุสิบเอ็ดขวบที่ชอบม้าเป็นชีวิตจิตใจ

“เป็นเพราะท่านผู้หนึ่งที่จุดไฟในใจข้าให้ลุกขึ้นมาน่ะ”

ดวงตาสีน้ำเงินทอแววอ่อนลง และฉายความเทิดทูนเด่นชัด แววตานั้นได้จุดความสนใจของบริมาสให้เกิดความอยากรู้ เพราะนอกจากท่านจินดาแล้ว สิริกัญญาก็ไม่เคยทำสายตาแบบนี้กับใครอีก

“ใครน่ะ”

คนถูกถามยิ้มพราย พลางส่งสายตาพราวระยับตอบกลับ “ความลับ”

“อะไรกัน เดี๋ยวนี้มีความลับกับเพื่อนด้วยเหรอ”

สิริกัญญาหัวเราะคิกกับเสียงร้องประท้วงของลูกสาวท่านเจ้าคุณมหาดไทย แต่เสียงเคาะประตูจากคนเบื้องนอกก็ดึงความสนใจของสองสาวให้หันไปมองประตูที่เปิดเข้ามา แล้วคลื่นความกดดันที่แผ่ออกมาจากร่างของสิริกัญญาก็คลายลง เมื่อคนที่เข้ามาใหม่คือปลายมาศ พี่ชายต่างมารดาของเธอเอง

“อ้าว! คุณหนูบริมาส” ปลายมาศเอ่ยทักคุณหนูคนงามด้วยความแปลกใจเล็กน้อยที่เห็นเธอมาอยู่ที่นี่

“สวัสดีค่ะ พี่ปลายมาศ” บริมาสทอดเสียงหวานนุ่มหู และเก็บท่าทางแก่นแก้วของตัวเองไว้มิดชิด จนเหลือแต่ภาพคุณหนูผู้เรียบร้อยให้อีกฝ่ายได้เห็น แต่ก็ไม่อาจปิดแววซุกซนในดวงตาคู่งามได้

“คุณหนูเข้ามาทางไหนหรือครับ ข้านั่งอ่านหนังสือข้างล่างอยู่นานไม่เห็นตอนคุณหนูเข้ามาเลย” ชายหนุ่มทอดเสียงนุ่มละมุน แต่ไม่มีแววหวานอย่างที่รายแรกทำ

“พี่ปลายมาศคงมัวแต่สนใจหนังสือมากจนไม่เห็นกระมังคะ”

คนฟังกลั้นหัวเราะกับคำตอบน่าเอ็นดู ตรงข้ามกับน้องสาวที่กลอกตาขึ้นอย่างเหนื่อยหน่ายใจ คนพี่รู้เท่ากับที่น้องรู้ว่าคุณหนูจันทร์เต็มดวงเข้ามาทางไหน แม้จะไม่ได้อยู่ในเหตุการณ์ก็ตามที เพราะทางเข้าอีกทางที่ไม่ใช่ประตูที่เขาเข้ามา ก็คือหน้าต่างที่เปิดอ้ากว้างอยู่ตรงหน้า

“ข้าอาจทำเป็นไม่เห็นได้ แต่คนอื่นคงไม่ได้” คำตอบแฝงความนัยทำให้สองสาวชะงัก พลางขมวดคิ้วด้วยความฉงน

“ท่านพ่อกลับมาแล้วน่ะ หลายท่านเลยเตรียมตัวต้อนรับ ทั้งเจ้าบ้านและแขกที่รับเชิญ”

แขกไม่ได้รับเชิญเริ่มรู้ตัวว่าควรได้เวลากลับ เพราะการคบหาระหว่างบุตรีท่านเจ้าคุณมหาดไทยกับลูกทาสของท่านจินดายังไม่มีใครรู้ นอกจากหนุ่มเดียวที่อยู่ในห้องนี้ และทั้งคู่ยังต้องการเก็บเป็นความลับ โดยเฉพาะสิริกัญญาที่รู้ดีว่าหากความแตกจะเกิดผลอะไรตามมา สิ่งต่าง ๆ ในอดีตได้เป็นบทเรียนสอนให้รู้วิธีเอาตัวรอดจากความอิจฉาริษยาของคนในคฤหาสน์หลังนี้

“ถ้าอย่างนั้นข้าก็ควรกลับเสียที” บริมาสพูดพลางเดินตรงไปยังทางออกของตัวเอง ซึ่งไม่พ้นหน้าต่างบานเดิมที่ก้าวข้ามมา

ร่างบอบบางก้าวข้ามบานหน้าต่างสูงระดับอกด้วยท่าทางคล่องแคล่วโดยไม่ขัดเขิน และก่อนกลับก็ไม่วายหันมายักคิ้วหลิ่วตาให้กับเพื่อน ที่เลิกคิ้วตอบกลับคล้ายถามว่าต้องการสื่ออะไร

“อายุเท่าไหร่แล้ว” จอมซนถามด้วยน้ำเสียงกึ่งล้อเลียน

“เท่าเจ้านั่นแหละ” คนถูกกวนอารมณ์ยังคงตอบด้วยท่าทางราบเรียบ

“อือ...” คุณหนูคนงามแสร้างทำท่าขบคิดก่อนยิ้มเผล่ “ถ้าอย่างนั้นคงยังไม่แก่เกินไปหรอกที่จะลองอ้อนพ่อดูบ้าง ว่าอย่างนั้นไหมคะพี่ปลายมาศ” ประโยคสุดท้ายนี้หญิงสาวหันไปยักคิ้วหลิ่วตาให้คนเป็นพี่ที่หัวเราะแผ่วเบา พลางโคลงศีรษะอย่างระอาใจที่ต้องมาตอบข้อสงสัยให้น้องสาวต่อ

“ยัยคุณหนูหมายถึงอะไรหรือคะ” สิริกัญญาหันไปถามผู้เป็นพี่ชาย เพราะคนโยนลูกไม่อยู่ให้เธอถามเสียแล้ว นอกจากจะทิ้งเสียงหัวเราะตบท้ายไว้

“ท่านพ่อเรียกหาน่ะ ตอนนี้ท่านรออยู่ที่สวนบุษราคัม”

นี่เองที่เป็นสาเหตุให้ปลายมาศเข้ามาหาน้องสาว แต่คนถูกเรียกกลับทำสีหน้ากังวลที่จะไปพบผู้เป็นบิดา ด้วยเกรง ‘ท่าน’ ที่จะออกไปต้อนรับ

“แต่...”

“หลายท่านคงเตรียมตัวนานหน่อย เพราะมีแขกมา แล้วเราก็จะได้ลองฝึกภาคปฏิบัติที่คุณหนูบริมาสอุตส่าห์แนะนำมา” ปลายมาศเลียนแบบท่ายักคิ้วหลิ่วตาของบุตรท่านเจ้าคุณมหาดไทย พลางยิ้มละมุน

ท่านจินดาเอ็นดูลูกสาวคนนี้ยิ่งกว่าลูกคนใด ไม่ว่าใครก็ต้องดูออก เพราะยามใดที่ท่านได้ของกำนัลจากมิตรที่อยู่ต่างแดน ท่านมักจะเอาของฝากเหล่านั้นมาให้สิริกัญญาทุกครั้ง ผิดกับลูกคนอื่นที่นาน ๆ ครั้งถึงจะได้ เหล่าคนที่มีแต่ความดำมืดในจิตใจ จึงกระทำทุกวิถีทางในการฝังลูกทาสคนนี้ทั้งเป็น เช่นที่เคยทำกับเมียทาสมาแล้ว

“ไปเถอะ เรามีเวลาที่จะอ้อนท่านนานพอดู”

คำว่า ‘นานพอดู’ บอกให้เข้าใจถึงฐานะของแขกรับเชญที่ไม่น่าจะเป็นคนธรรมดา เหล่าเมียท่านจึงต้องใช้เวลาในการแต่งตัวนานเป็นพิเศษ แต่สิริกัญญาไม่สนใจแขกท่าน เธอจึงพยักหน้ารับอย่างยินดีที่จะได้ลองทำตามคำแนะนำของเพื่อนดูบ้าง ร่างโปร่งบางรีบเดินออกไปจากห้องของตัวเอง โดยมีปลายมาศมองตามด้วยแววตาห่วงใยปนโศก

อีกไม่นานที่เขาต้องไป แล้วใครจะปกป้องน้อง




Create Date : 15 สิงหาคม 2550
Last Update : 20 มกราคม 2551 17:06:17 น.
Counter : 419 Pageviews.

3 comments
  
Follow from last story Ja

just come to say Hi
coz not usaully comment

โดย: Tik IP: 72.227.104.108 วันที่: 15 สิงหาคม 2550 เวลา:23:38:09 น.
  
ขอบคุณที่แวะเข้ามาค่ะ
โดย: ฌา วันที่: 16 สิงหาคม 2550 เวลา:18:17:49 น.
  
ลองพยายามโพสต์ดูในหน้าถนนนักเขียนแล้ว แต่ไม่ติดเลยสักกระทู้ ดังนั้นเรื่องนี้คงลงได้แต่ในบล็อกนะคะ
โดย: ฌา วันที่: 16 สิงหาคม 2550 เวลา:18:34:35 น.
ชื่อ :
Comment :
 *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

ฌา
Location :
  

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]



New Comments
All Blog