Devil Crisis ภารกิจพิทักษ์จอมมาร 2

ฟีเดลไม่รู้ว่าควรหัวเราะหรือร้องไห้ดีเมื่อผองเพื่อนสมคบคิดกันซุกซ่อนน้ำยาแปลงร่างไว้ส่วนหนึ่งโดยปล่อยบางส่วนให้อาจารย์ฝ่ายปกครองริบเก็บไป นั่นทำให้เด็กหนุ่มหายสงสัยว่าทำไมกลุ่มตัวแสบถึงยังมีร่างเป็นอมนุษย์ ทั้งที่ยาควรหมดฤทธิ์ไปตั้งแต่ช่วงเช้า ยิ่งพอได้รู้แรงจูงใจที่เสี่ยงต่อการโดนลงโทษยกชั้นเรียนเขาก็นึกอยากร้องไห้ขึ้นมา

ผองเพื่อนจะรู้บ้างไหมว่าการรับขวัญอาจารย์สอนภาษาคนใหม่ด้วยสภาพแบบนั้นทำให้อีกฝ่ายต้องสอนปนหวาดระแวงไปทั้งคาบ และรีบเผ่นทันทีที่หมดชั่วโมงเรียนเขาได้แต่หวังว่า อาจารย์คนนั้นจะกลับมาสอนอีกในคาบเรียนหน้าเพราะเขาค่อนข้างชอบวิชานี้มากทีเดียว

ทุกคนดูจะเลิกเป็นห่วงแลนติสเมื่อซีซาฟายืนยันเป็นมั่นเหมาะว่าเพื่อนมังกรไม่ได้เป็นอะไรพอผ่านพ้นคืนนี้ไปก็จะกลับคืบร่างเป็นมนุษย์เหมือนเดิมฟีเดลไม่ได้เป็นห่วงมาตั้งแต่แรกแล้ว เพราะเขาดัดแปลงยาตัวนี้มาจากยาแปลงร่างที่เล่นกับผองเพื่อนในวัยเด็กจึงรู้สรรพคุณของตัวยาดี

เด็กหนุ่มยิ้มน้อยเมื่อนึกถึงเพื่อนอมนุษย์ที่ต้องเปลี่ยนร่างเป็นคนเพื่อพาคนที่เข้าสังคมไม่เก่งไปกระโดดโลดเต้นเล่นกับเพื่อนมนุษย์ด้วยกันแต่พอเขาผ่านพ้นพิธีเข้าสู่วัยผู้ใหญ่ เพื่อนเหล่านั้นก็ไม่เคยปรากฏตัวให้เห็นอีกซึ่งทำให้เขาเสียดายและเสียใจมาก

เมื่อการคาดเดาสถานะของแลนติสได้รับการยืนยันกลายๆจากซีซาฟา เพื่อนที่น่าจะมีสถานะไม่ต่างจากคนแรกฟีเดลก็ไม่อยากรู้อะไรเพิ่มเติมอีกเขาเริ่มขยาดความอยากรู้อยากเห็นของตัวเองที่จะนำภัยมาให้สักวันซึ่งอาเบลก็เคยขู่มาแล้วว่าอย่าล้วงประวัตินักศึกษาสถาบันนี้โจ่งแจ้งเกินไปนักเพราะหากเจ้าตัวไม่มีอะไรดีคงไม่สามารถอยู่ที่นี่ที่ตั้งอยู่บนแดนอาถรรพ์ได้

แต่บางคนก็มีดีเกินไปจนทำให้เขาหนีไม่พ้นเงื้อมมือที่ตะปบลงมาเต็มบ่า

“จะรีบไปไหนหรือฟีเดล”

ทำไมวันนี้เขาโดนตะปบบ่อยจังเลยนะ...ฟีเดลบ่นหงุงหงิงในใจก่อนหันไปมองเพื่อนเสือดำที่อวดเขี้ยวขาวเงาวับซึ่งเขาไม่เสี่ยงทดสอบความคมของมันแน่

“หมดธุระแล้วก็กลับบ้านสิข้ายังมีการมีงานต้องทำอีกมากนะ”

ซีซาฟาเลิกคิ้วขึ้นแล้วแสยะยิ้มที่ชวนให้คนมองรู้สึกหมั่นไส้พิกลแต่ฟีเดลไม่อยากต่อความยาวสาวความยืด เพื่อหาเรื่องชวนทะเลาะเท่าไรจึงอธิบายเรื่องหนี้ที่ไม่ได้ตั้งใจก่อ และภารกิจที่ได้รับมาจากหอสมุดเดวาลอน

“ให้พวกข้าช่วยไหม”หนึ่งในบรรดาเพื่อนร่วมชั้นที่ยกโขยงกันกลับหอพักพร้อมกันเอ่ยถามด้วยความเป็นห่วงแต่ได้รับการส่ายหน้าตอบกลับมา

“ข้าตั้งใจจะทำทุกอย่างด้วยตัวเองนะไม่อย่างนั้นก็ทำอะไรไม่เป็นกันพอดี”

ฟีเดลไม่เข้าใจว่าเหตุใดผองเพื่อนจึงได้ห่วงเกินกว่าเหตุเขาใช้ชีวิตเร่ร่อนมาตั้งแต่จำความได้ทำทุกอย่างด้วยตัวเองเท่าที่ความสามารถในขณะนั้นจะเอื้ออำนวย และก็ทำได้ดีจนน่าภูมิใจเสียด้วยแต่เขาคงไม่รู้ว่าในสายตาของเพื่อนพ้องเด็กหนุ่มเหมือนลูกคุณหนูที่อ่อนต่อโลกมากแค่ไหนแม้จะรอบรู้วิชาหลากหลายแขนงจนเหมือนเป็นเด็กอัจฉริยะแต่เจ้าตัวกลับเข้าสังคมไม่เป็น และน่าหวั่นกลัวแทนว่าจะโดนคนมากเล่ห์หลอกลวงเอา

จะว่าไปก็โทษผองเพื่อนของฟีเดลไม่ได้เพราะเด็กหนุ่มไม่เคยเล่าพื้นเพของตัวเองให้ใครฟัง จึงถูกเข้าใจผิดไปตามข่าวลือว่าเป็นลูกคุณหนูที่ไม่เคยเห็นโลกภายนอกซึ่งเข้าเค้ามากกว่าข่าวลืออันอื่นที่ถูกปล่อยออกมายิ่งทุกคนเห็นว่าสองผู้กุมอำนาจของอินาร่าคอยตามใจไม่ว่างเว้น ทำให้ไม่มีใครคาดคิดไปหรอกว่าเจ้าตัวเคยซัดเซพเนจรไปทั่วทุกสารทิศ และผ่านความยากลำบากมาอย่างโชกโชน

“เจ้ารับภารกิจอะไรมาบ้างละเผื่อพวกข้ารู้อะไรจะได้บอกให้เจ้าทำงานเสร็จเร็วขึ้นหน่อย”

ซีซาฟาอยากให้เพื่อนที่ยังมีนิสัยเหมือนเด็กได้พบเจอเล่ห์เหลี่ยมของผู้คนและหัดหาทางแก้ปัญหาด้วยตนเองบ้าง แต่เขาก็ยังห่วงอีกฝ่ายเหมือนเพื่อนอีกหลายคนจึงยื่นมือช่วยเหลือเรื่องการให้รายละเอียดเชิงลึกในภารกิจที่ฟีเดลรับมาเพราะอย่างไรกลุ่มของพวกเขาก็มีดีจนได้รับฉายามาว่า “นักล่าภารกิจ”และไม่เคยทำงานพลาดมาก่อน

ฟีเดลฉีกยิ้มแฉ่งก่อนหยิบสมุดบันทึกประจำตัวออกมา ซึ่งนักศึกษาอินาร่าจะต้องมีคนละหนึ่งเล่มเพื่อบันทึกคะแนนเรียนแต่ละภาควิชา และภารกิจที่รับมาจากหอสมุดเดวาลอนเด็กหนุ่มพลิกไปยังหน้าบันทึกภารกิจที่มีตราประทับควีนส์ฟลาวเวอร์สีเทาสัญลักษณ์ประจำสถาบันจำนวนเก้าอัน

ตราประทับสีเทาพวกนี้จะเปลี่ยนเป็นสีม่วงอมทองเมื่อผู้รับภารกิจปฏิบัติงานสำเร็จ หากทำครบตามจำนวนที่ทางสถาบันกำหนดไว้ดวงตาตราจะเปลี่ยนรูปแบบไปเป็นแบบที่สอง ซึ่งมีทั้งหมดสิบเอ็ดรูปแบบและเกณฑ์การรับภารกิจระดับสี่ดาวและห้าดาวก็มาจากตรงนี้นั่นคือนักศึกษาคนนั้นจะต้องมีเหรียญตราระดับแปด

มีคนว่ากันว่ากว่าจะได้เหรียญตราระดับเก้ามานั้นยากเย็นแสนเข็ญมีน้อยเสียยิ่งกว่าน้อยที่ได้ไปถึงระดับสิบส่วนคนที่ได้ระดับสิบเอ็ดนั้นมีนับคนได้เลยและคงอีกนานกว่าจะมีคนได้รับเหรียญตราสูงสุดของมหาวิทยาลัยอินาร่า

หลายคนที่เห็นจำนวนตราประทับต่างร้องอุทานเมื่อเจ้าลูกคุณหนูรับภารกิจแบบบ้าระห่ำไม่เข้ากับนิสัยเรื่อยเปื่อยของเจ้าตัวส่วนคนที่อยู่ใกล้เอานิ้วจิ้มลงไปบนรูปสัญลักษณ์ลูกแก้วสีม่วงกระเด้งขึ้นมาจากดวงตรา ก่อนถูกโยนออกไปนอกวงคนที่รับไว้ได้ทำการบีบลูกแก้วจนแตกแล้วกระดาษที่เขียนรายละเอียดภารกิจไว้ก็ปรากฏออกมา

เสียงวิจารณ์ปนคำแนะนำดังไปตลอดทางกลับหอพักนักศึกษามีหลายคนที่ชำเลืองมองด้วยความสงสัย แต่พอเห็นว่าเป็นกลุ่มของใครก็เลิกใส่ใจ

นักศึกษาอินาร่าล้วนเป็นคนต่างถิ่นมากกว่าเก้าส่วนอาศัยอยู่ในหอพักที่ทางสถาบันจัดเตรียมไว้ให้บางส่วนที่เป็นคนเมืองนี้ก็มีทั้งเลือกอยู่หอพักหรือบ้านของตัวเองแม้ฟีเดลนึกอยากลองใช้ชีวิตเด็กหอเหมือนคนอื่นดูบ้างแต่อาเบลไม่ยินยอมให้ทำตามความต้องการเสียเท่าไรซึ่งเป็นเรื่องเดียวที่อดีตผู้อำนวยบังคับให้ทำตามคำสั่งนอกเหนือจากนั้นก็คอยตามใจและจัดหาของที่อยากได้มาให้ แม้จะยังไม่ได้เอ่ยปากบอกอะไรไป

ฟีเดลโบกมือลาเพื่อนที่แยกย้ายกันไปคนละทางก่อนเดินทางกลับบ้านของตัวเองบ้าง แต่พอเดินไปถึงหน้ามหาวิทยาลัยภาพที่อยู่ตรงหน้าก็ทำให้เด็กหนุ่มชะงักงันไปดูเหมือนประตูหน้ามหาวิทยาลัยอินาร่าจะกลายเป็นด่านผจญภัยกว้างสุดลูกหูลูกตาไปเสียแล้ว

ต้นหญ้าคาที่ควรสูงอย่างมากไม่เกินหนึ่งเมตรกลับกลายพันธุ์สูงถึงสองเมตรไม้ยืนต้นที่ขึ้นอยู่ประปรายถูกเถาวัลย์หนามเกี่ยวพันกลายเป็นไม้ตายซากราวกับว่าเถาวัลย์หนามพวกนี้ดูดน้ำเลี้ยงจากไม้ยืนต้นไปหล่อเลี้ยงตัวเองหมดยังไม่นับรวมฝูงกาที่บินโฉบเฉี่ยวเหนือยอดหญ้าราวนกแร้งจ้องตะครุบเหยื่อซึ่งอาจเป็นภาพสะเทือนขวัญสำหรับใครหลายคน แต่ภาพแบบนี้ใช้ไม่ได้ผลกับฟีเดลเท่าไร

เด็กหนุ่มเอียงคอมองพลางครุ่นคิดถึงคำเตือนก่อนเข้ามาเป็นนักศึกษาที่คนบอกเล่าทำท่าเหมือนไม่จำเป็นต้องใส่ใจเท่าไรนักแต่ดูท่าจะไม่ใส่ใจไม่ได้เสียแล้วกระมัง เมื่อเสียงระฆังที่อยู่เหนือซุ้มประตูทางเข้าไม่ได้ดังเตือนเหมือนที่ได้รับฟังมาแต่เขาคิดว่าคนอย่างอาเบลกับอันเซลจะต้องรู้สึกถึงการเชื่อมต่อที่ผิดปกตินี้แน่

“ท่านฟีเดล!”

เจ้าของชื่อหันไปมองรูเบอัสที่วิ่งตรงมาอย่างรวดเร็วสีหน้าของเขาเต็มไปด้วยความร้นรนปนตื่นตระหนกพร้อมกับตะโกนเสียงดังลั่นราวกับกลัวว่าเขาจะไม่ได้ยินสิ่งที่อีกฝ่ายพูด

“ออกมาจากตรงนั้น!”

เด็กหนุ่มไม่เข้าใจสิ่งที่ผู้ดูแลหอสมุดพูดแต่ก็รู้สึกได้ว่าความคิดและการกระทำของตัวเองเชื่องช้าลงจนเมื่อชายหนุ่มเข้ามาใกล้ แล้วคว้าแขนเขาเพื่อดึงตัวเองออกจากอะไรสักอย่างสติของเขาก็กลับมาแจ่มชัด พร้อมกับประกายไฟแล่นแปลบ แผดเผาเจ้าของมือให้ผงะถอยไป

“ขอโทษรูเบอัส ข้าไม่ได้ตั้งใจ”ฟีเดลเบิกตามองบาดแผลของชายหนุ่มที่เกิดขึ้นจากฝีมือตัวเองด้วยความตกใจปนรู้สึกผิดประกายไฟนั้นเกิดขึ้นจากพลังของเขาเอง ราวกับร่างกายทำไปโดยสัญชาตญาณเมื่อรู้สึกได้ถึงอันตรายที่เข้ามาใกล้แต่เขาไม่เข้าใจว่าทำไมจึงเห็นอีกฝ่ายเป็นอันตรายต่อตัวเองได้

“ไม่เป็นไรครับข้าคิดว่าท่านคงโดนครอบงำไปครู่หนึ่ง”

“เกิดอะไรขึ้นกับข้ารูเบอัส” ฟีเดลถามด้วยท่าทางสงบนิ่ง เขารู้ดีว่าร้อนรนไปก็ไม่ได้อะไรขึ้นมานอกจากหาทางแก้ความผิดพลาดที่ไม่รู้ว่าเกิดขึ้นได้อย่างไรเด็กหนุ่มกวาดตามองภาพท้องทุ่งแดนอสูรด้วยความสงสัยเบื้องหน้าเขาคือผู้ดูแลหอสมุดเดวาลอนที่ถูกไฟของตัวเองเผาจนแขนไหม้เกรียมไปข้างหนึ่งและทิวทัศน์ภายในมหาวิทยาลัยที่ไม่มีเงาของนักศึกษาคนใดเดินผ่านมาให้เห็น

รูเบอัสทำหน้ายับยุ่งก่อนถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ แล้วเฉลยความให้เด็กตรงหน้าคลายความสงสัย“ไม่ทราบว่าท่านรู้หรือไม่ แดนอสูรไม่ใช่สถานที่ที่น่าเข้าใกล้เท่าไรมันมีแรงดึงดูดบางประการคอยล่อลวงมนุษย์ให้เข้าไปข้างในดึงเอาความปรารถนาส่วนลึกสุด ซึ่งบางทีเจ้าตัวไม่เคยรับรู้ อาจเป็นกิเลสตัณหาความโลภโมโทสัน ความอิจฉาริษยา บางคนที่มีความทะยานอยากหรือกระหายหาในอำนาจก็อาจกลายเป็นหมู่มาร คอยแย่งชิง กัดกิน และทำลาย”

ไม่รู้...เขาไม่รู้อะไรเกี่ยวกับแดนอสูรเลยฟีเดลตอบคำถามของรูเบอัสในใจ พลางสูดลมหายใจลึกเพื่อกดความรู้สึกบางอย่างลงไปเด็กหนุ่มกำลังกลัวบางสิ่งบางอย่างที่อยู่ในสายเลือดนี้บางสิ่งที่แม่กับเขาไม่เคยเอ่ยถึงซึ่งกำลังกู่ร้องด้วยความดีใจราวกับได้พบเจอสิ่งที่ต้องการแล้ว

รูเบอัสรู้สึกได้ถึงความกลัวของคนที่อยู่ฝั่งตรงข้ามตัวเขาเองก็คาดไม่ถึงว่าเด็กหนุ่มในความปกครองของผู้อำนวยการจะมาอยู่ได้ถูกที่ถูกเวลาเช่นนี้ฟีเดลคงไม่รู้ว่า ภาพที่เขาเห็นเมื่อครู่สร้างความตื่นตกใจได้มากแค่ไหนเขาไม่เคยเห็นเงาดำมากมายจากแดนอสูรได้ชัดเจนขนาดนั้นมาก่อนเงาดำเหล่านั้นกำลังโอบล้อมเด็กหนุ่ม พลางชักจูงให้ก้าวเดินเข้าไปอย่างง่ายดาย และชั่วพริบตาที่ชายหนุ่มคว้าแขนเด็กตรงหน้าได้ประกายตาของเด็กคนนั้นก็แข็งกร้าวขึ้นและมอบเพลิงอาสัญให้เขาเกือบดับดิ้นอยู่แทบเท้า

ชายหนุ่มมองคนตรงหน้าที่หลับตาลงด้วยท่าทางที่สงบยิ่งกว่าครั้งไหนลบเลือนท่าทางเรื่อยเปื่อยที่เห็นจนชินตา จนไม่แน่ใจว่าอีกฝ่ายใช่คนที่ตัวเองรู้จักหรือไม่เขามองจนประตูปิดลงอีกครั้งด้วยความรู้สึกที่หนักใจยิ่งกว่าครั้งใดด้วยไม่รู้ว่าอาเบลกำลังวางแผนการอะไรไว้ แต่เขาสังหรณ์ไม่ดีเอาเสียเลย

พลังหรือ?อำนาจล่ะ?

ใช่แล้วฟีเดลมีมากจนเกินพอเลย!

ท่ามกลางความมืดในห้วงสติฟีเดลได้ยินเสียงหัวเราะคิกคักที่บอกถึงความรื่นรมย์ชวนให้รู้สึกหงุดหงิดเด็กหนุ่มลืมตาขึ้นเพื่อพบหน้าคนที่คาดเดาได้ว่าจะต้องเจอวีรบุรุษจากสงครามชิงดินแดนยืนส่งยิ้มให้กลางซากศพหลายเผ่าพันธุ์กลิ่นเลือดและควันไฟจากการล้างผลาญให้ความรู้สึกเหมือนจริงจนต้องเบือนหน้าหนี

“ท่านไม่เห็นเตือนข้าเรื่องที่รูเบอัสเล่า”

“อาจารย์ไม่สอนเรื่องแดนอสูรบ้างหรือไง”อาเบลกลั้วหัวเราะด้วยท่าทางไม่ทุกข์ร้อนเช่นเดิมแต่ประกายตาแฝงความมุ่งหวังเหมือนที่ฟีเดลเคยสัมผัสได้ยามอีกฝ่ายจ้องมองมา

“ไม่มีใครรู้เรื่องภายในแดนนั้นนอกจากพวกอสูร หมู่มาร และมวลปีศาจ”

“ก็นับว่ามีสอนอยู่บ้างนี่นา”

ในบรรดาความรู้ที่อาจารย์ทั้งหมดคอยเพียรสอนเรื่องเกี่ยวกับแดนอสูรเป็นสิ่งที่ฟีเดลรู้น้อยที่สุดรองลงมาจากแดนเทพเขารู้แค่ว่ามวลปีศาจคือ ตะกอนด้านลบที่แปรเปลี่ยนรูปร่างตามสภาพแวดล้อมเป็นชนชั้นระดับล่างสุดที่ไม่มีความคิดซับซ้อนนอกเหนือไปจากสัญชาตญาณเพื่อความอยู่รอด หมู่มารเป็นได้ทั้งมนุษย์หรือทวยเทพที่ถูกความรู้สึกด้านลบกลืนกินหรืออาจมีบ้างที่ละทิ้งตัวตนเดิมมาเป็นมาร แล้ววิวัฒน์ตนจนกลายเป็นอสูร

ส่วนผู้ที่เป็นอสูรโดยกำเนิดนั้นมีน้อยและไม่ค่อยเปิดเผยตัว ไม่มีหมู่มารหรือมวลปีศาจตนใดกล้าเรียกขานนามแห่งอำนาจที่เพียงเอ่ยถึงก็อาจปลิดชีพตนได้กระนั้นก็มีอยู่สองชื่อที่หลุดรอดออกมาให้ได้ยินและเป็นนามที่ทั้งสามภพต่างเกรงและกลัว

ราชามารผู้นำพาวิบัติสู่สามโลก และจักรพรรดิอสูร ผู้พลิกฟ้าคว่ำแผ่นดินในสมัยบรรพกาล

ฟีเดลไม่คิดว่าชายหนุ่มตรงหน้าเป็นอสูรแต่เขาก็มีฝีมือมากกว่าหมู่มาร จะบอกว่าเป็นคนของแดนเทพยิ่งไม่น่าใช่ใหญ่ความรู้สึกของเด็กหนุ่มบอกว่าอีกฝ่ายเป็นมนุษย์ถ้าไม่นับรวมกลิ่นอายความมืดและประกายแสงคล้ายละอองดาวที่รายล้อมรอบตัวเขาก็เหมือนมนุษย์ธรรมดาที่มีอายุยืนยาวมากเกินไปหน่อย

“ท่านเล่าให้ข้าฟังว่าที่นี่ตั้งอยู่บนแดนอาถรรพ์บางเวลาแดนอสูรก็ปรากฏขึ้นมาแล้วลากมนุษย์เข้าไปเป็นอาหารของบรรดาสิ่งที่อยู่ในนั้นสรุปว่าเรื่องราวเป็นอย่างไรกันแน่” เด็กหนุ่มเอ่ยถาม พลางมองอดีตผู้อำนวยการด้วยสายตาไม่ไว้วางใจเท่าไรรอยยิ้มของอาเบลดูบริสุทธิ์จนน่ากลัวเกินไป

“มีคนเคยบอกข้าว่าดินแดนทั้งสามภพ แดนเทพ แดนมนุษย์ และแดนอสูร เป็นเหมือนวงกลมสามวงที่ทับซ้อนกันอินาร่าตั้งอยู่บนจุดทับซ้อนที่ว่านั้น ซึ่งคนทั่วไปเรียกมันว่าแดนอาถรรพ์ความจริงแดนอสูรก็อยู่ตรงนี้มานานนมแล้ว แต่มนุษย์ทั่วไปไม่เห็นมันหรอกจะมีก็แต่พวกที่ในใจเต็มไปด้วยความรู้สึกด้านลบที่สัมผัสถึงการคงอยู่ของแดนอสูรและเฝ้าเพียรหาดินแดนในตำนาน เพื่อสนองความดำมืดในใจตนเอง” พอพูดถึงตรงนี้อาเบลก็หัวเราะหยันมนุษย์เหล่านั้นที่ไม่รู้เลยว่ามาเพื่อเป็นอาหารสำหรับมวลปีศาจโดยแท้

“แต่ก็มีมนุษย์บางประเภทที่เห็นแดนอสูรได้โดยไม่ต้องพึ่งความรู้สึกด้านลบแล้วเจ้าจักรพรรดิมังกรนั่นดันยกพื้นที่ตรงนี้ให้ข้าเป็นรางวัลจากการช่วยเหลือในสงครามข้าก็เลยตอบสนองเจ้านั่นเสียหน่อย สร้างเมืองทับลงไปแล้วหาของมาบังตาไม่ให้ใครเห็นหรือเข้าเขตแดนอสูรได้อีก” ชายหนุ่มหัวเราะด้วยความขบขันเมื่อนึกถึงจักรพรรดิแดนมนุษย์

ทำไมเขาจะไม่รู้ว่าอีกฝ่ายอยากกักตนไว้ที่นี่เป็นนายหน้าด่านไม่ให้พวกอสูรเข้ามารุกรานเหมือนสามร้อยปีก่อนและในอดีตที่ย้อนหลังไปอีกนับไม่ถ้วน แต่เจ้าตัวคงคาดไม่ถึงกระมังว่าเขาอยากได้พื้นที่ตรงส่วนนี้พอดี





Create Date : 18 มกราคม 2557
Last Update : 18 มกราคม 2557 20:23:18 น.
Counter : 433 Pageviews.

1 comments
  

“งั้นไอ้ที่แล้วมานั่น ท่านจงใจเปิดเขตแดนออกมา”

คำถามของเด็กหนุ่มเรียกรอยยิ้มกว้างจากผู้บุกเบิกอินาร่า และยอมเฉลยความสงสัยนั้นแบบไม่ปิดบัง “บางครั้งข้าจำเป็นต้องกำจัดศัตรูที่สอดรู้สอดเห็น หรือคนที่ขัดขวางแผนงานบ้าง บังเอิญเหลือเกินที่แดนอาถรรพ์ที่ผลุบโผล่ไม่เป็นที่เป็นทาง และไม่เลือกเวลา ดันปรากฏขึ้นตรงหน้าคนเหล่านั้นแล้วลากพวกเขาเข้าไป” แล้วอาเบลก็หย่อนของแถมตบท้ายให้คนฟังนึกสงสารผู้อำนวยการคนปัจจุบันขึ้นมาครามครัน “อย่าแล่นไปฟ้องอันเซลละ อุตส่าห์ตั้งใจปิดผนึกอย่างดี แต่ไม่รู้เลยว่าแค่ข้าสะกิดก็แตกแล้ว”

“ลากข้าเข้ามาในนี้เพื่ออะไร” ฟีเดลยิ้มฝืดเฝื่อนหลังจากได้คำตอบ แล้วเอ่ยเข้าเรื่องทันที เขาพยายามไม่วิ่งเต้นไปตามเกมของชายหนุ่มที่เต็มไปด้วยความดำมืด แต่ยังไม่วายถูกลากไปพัวพันในแผนการของอีกฝ่ายเข้าจนได้

คนเจ้าแผนการรู้ว่า ฟีเดลมีความสามารถในการมองหาเส้นทางของสองแดนดินที่ทับซ้อนกัน จนหาทางออกไปได้เองแน่ แต่ปัญหาของเขาอยู่ที่กลุ่มนกพวกนั้นต่างหาก เขารู้สึกได้ว่าฝูงกาเลิกบินโฉบเฉี่ยวแล้ว พวกมันพร้อมใจกันจ้องมองเด็กหนุ่มด้วยสายตาคุกคาม และพร้อมฉีกทึ้งเขาเมื่อเข้าสู่เขตแดนของพวกมัน ซึ่งหากต้องการออกจากแดนอสูรก็จำเป็นต้องฝ่าพวกมันไป

เด็กหนุ่มรู้ดีว่า ตัวเองไม่มีความสามารถมากพอที่จะฝ่าหมู่มารกาฬปักษ์นับร้อยไปตามลำพังได้ เขาต้องอาศัยความช่วยเหลือจากอีกฝ่าย ซึ่งเดาได้ว่าเขาต้องให้ความร่วมมือบางอย่างเป็นการแลกเปลี่ยนจึงจะออกไปจากที่นี่ได้

“ระหว่างเดินกลับบ้าน ข้าอยากให้เอาบางอย่างติดมือกลับมาด้วย อย่าเถลไถลนานเกินไปละ เดี๋ยวแอสเรียลจะเป็นห่วงเอา”

ไม่ทันที่จะได้เอ่ยถามว่าสิ่งที่ต้องเอากลับมาด้วยคืออะไร ร่างของอาเบลก็สลายไปพร้อมภาพกองซากศพจนเหลือแต่ความมืดมิด ฟีเดลพ่นลมด้วยความขัดใจ ก่อนลืมตาขึ้น คราวนี้ไม่มีรูเบอัสและทิวทัศน์ของมหาวิทยาลัยอินาร่าแล้ว มีแต่ทุ่งหญ้าคาสูงสองเมตรที่ต้องเดินฝ่าไป

“ตาแก่นั่นพูดอย่างกับข้าไปเดินเล่นในทุ่งหญ้า แล้วให้หาของฝากติดไม้ติดมือกลับไปอย่างนั้นละ” เด็กหนุ่มอดบ่นออกมาไม่ได้ ก่อนเพ่งสายตามองหาทางที่ตัวเองต้องเดิน ซึ่งไม่ใช่เรื่องง่ายเลยสำหรับคนที่เคยเรียนมาแต่ภาคทฤษฎี

ฟีเดลใช้เวลามองหาเส้นทางไม่นานนัก ก่อนเดินแหวกพงหญ้าไปตามเส้นทางที่ปรากฏให้เห็น ความเงียบจากฝูงกาสร้างแรงกดดันจนเหงื่อไหลซึม เด็กหนุ่มไม่รู้ว่าตนคิดอุปาทานไปเองหรือไม่ เขารู้สึกเหมือนตนเองย่ำเดินอยู่กับที่ ครั้นพอหันไปมองเบื้องหลัง สิ่งที่พบกลับทำให้เขาต้องเบิกตาแทบถลน

หนทางที่เพิ่งบุกฝ่าไปกลับเลือนหายไปราวกับยังไม่เคยมีใครเข้ามาแผ้วถาง ไม่มีแม้แต่รอยเท้าที่เหยียบย่ำจนชวนให้นึกหวั่น เด็กหนุ่มหมุนตัวดูกอหญ้าที่ขึ้นหนาหูหนาตาด้วยความระแวดระวัง แล้วเงยหน้าขึ้นมองความสูงของยอดหญ้าที่บดบังการมองเห็นของเขาไปเสียหมด

“แอ้ก!!”

เพราะมัวแต่เงยหน้าของมองฟ้าเลยไม่ได้ระวังเบื้องล่าง ฟีเดลจึงได้กบมาตัวเบ้อเริ่มพร้อมดาวระยิบระยับเต็มหัว เด็กหนุ่มจุกจนร้องไม่ออก แต่ก็พยายามเอี้ยวตัวมองไปที่ปลายเท้าว่าอะไรเป็นต้นเหตุให้ตัวเองต้องมานอนวัดพื้นแบบนี้ แล้วภาพตรงปลายเท้าก็ทำให้เขาพูดอะไรไม่ออก กว่าจะหลุดถ้อยคำออกมาได้ต้องเสียเวลาไปนาทีกว่า

“ไข่!?”

ทำไมถึงมีไข่อยู่ตรงนี้? เด็กหนุ่มคิดพลางลุกขึ้นนั่ง แล้วหันไปประจันหน้ากับไข่ใบโตอย่างไม่เคยเห็น เขายกมือขึ้นแล้วค้างไว้ด้วยท่าทางลังเล ด้วยกลัวว่าพอแตะมือลงไปบนไข่จะมีตัวอะไรบางอย่างพุ่งออกมางับมือเขา

“อย่าได้แตะไข่ใบนั้นเชียวเจ้ามนุษย์ตัวน้อย ไม่อย่างนั้นเจ้าจะไม่มีมือให้แตะสิ่งใดได้อีก”

น้ำเสียงแหบแห้งพร้อมกับบรรยากาศชวนขนหัวลุกที่แผ่ออกมาทำให้ฟีเดลชักมือกลับด้วยความรวดเร็ว เด็กหนุ่มกวาดตามองหาเจ้าของเสียง แล้วเขาก็พบเงาสีดำตะคุ่มที่ซุกอยู่ตรงโคนต้นหญ้ากลุ่มหนึ่ง พอเพ่งสายตามองให้ชัดก็พบว่าเงาร่างสีดำนั้นเป็นอีกาตัวโตที่มีดวงตาสีเขียวปีกแมลงทับ ดูท่าทางแล้วคงจะเป็นคนละพวกกับอีกาตาแดงที่อยู่ด้านบน

อีกาตัวนี้มีรูปร่างใหญ่โตกว่าพวกที่อยู่ด้านบนถึงหนึ่งหรือสองเท่า แต่สภาพของมันก็รุ่งริ่งเหมือนผ้าขี้ริ้ว ตรงจะงอยปากมีรอยแผลเหวอะหวะ เลือดแห้งกรังเต็มร่างคล้ายผ่านการต่อสู้รุมโทรมมาอย่างหนัก ฟีเดลนึกอยากเปลี่ยนมือไปจับเจ้าของเสียงนี้แทน แต่ดวงตามลังเมลืองคู่นั้นก็ทำเอาเด็กหนุ่มไม่กล้าขยับไปไหน

ฟีเดลนั่งคุกเข่าอย่างสงบเสงี่ยมต่อหน้าอีกาตัวโตที่เพิ่งมานึกได้ว่ามันพูดได้ด้วย แต่จะมาทำท่าตกใจแล้วร้องโวยวายตอนนี้ก็คงจะช้าไปเสียหน่อยเลยเลือกปิดปากเงียบไปแทน

“ท่าทางของเจ้าดูสงบมากเลยนะเจ้ามนุษย์ตัวน้อย” อีกาดำเกริ่นออกมาก่อนเมื่อความเงียบเข้าครอบคลุมนานเกินไป แต่มันคงไม่สังเกตเห็นว่ามนุษย์ตรงหน้ากำลังกลอกตามองฟ้า และไม่สนด้วยว่าเด็กมนุษย์คนนี้เข้ามาในแดนอสูรเพื่ออะไร

มันสนแค่ว่าใครจะออกไปข้างนอกเท่านั้น!

นานเท่าไรแล้วที่มันอยู่บนเส้นทางนี้ ฝ่าฝูงมารกาฬปักษ์เพื่อออกไปยังอีกดินแดนหนึ่ง แต่ต้องถอยร่นไม่เป็นท่า เมื่อเจอกำแพงที่มองไม่เห็นขวางทางออกไว้ เวลานั้นยาวนานเสียจนมันก็จำไม่ได้ว่า ตนเองพาไข่ที่สำคัญยิ่งใบนั้นหนีมาทำไม แล้วมันจะหนีไปไหน

อีกาดำมองใบหน้าเหลอหลาของเด็กหนุ่มแล้วถอนหายใจเฮือก แม้จะเห็นอีกฝ่ายเป็นเด็กไม่สิ้นกลิ่นน้ำนม แต่มันก็คาดหวังว่าคนที่เขามาในแดนอสูรได้ทั้งที่ยังเยาว์เช่นนี้น่าจะมีฝีมือมากพอให้ฝากความหวัง

“ข้ามีเวลาไม่มากนัก เจ้ามนุษย์ตัวน้อย ข้าต้องการความช่วยเหลือจากเจ้า”

ฟีเดลมองดูสภาพของอีกาดำก็รู้ว่ามันคงขยับไปไหนไม่ได้ และการละทิ้งสัตว์ที่บาดเจ็บก็ไม่ใช่นิสัยของเขาเสียด้วย แม้สัตว์ที่ว่าจะพูดได้และมีท่าทางน่ากลัวก็ตามทีเถอะ “ถ้าไม่ใช่สิ่งเหลือบ่ากว่าแรง ข้าก็พอช่วยเหลือเจ้าได้อยู่” เด็กหนุ่มตอบแบ่งรับแบ่งสู้ แต่เขาไม่บอกอีกาดำหรอกว่า หากมันต้องการเข้าไปในแดนอสูร เขาอาจต้องใช้กำลังพาออกไปข้างนอกแทน

“เจ้าไม่ต้องห่วงหรอก ข้ายังมีกำลังมากพอเอาตัวรอดเองได้” อีกาดำเว้นจังหวะการพูดไว้ พลางมองเด็กตรงหน้าที่พยักเพยิดบอกอาการรับรู้ แต่มันคงไม่รู้ว่าที่ฟีเดลพยักหน้าทำความเข้าใจคือ หากมันขัดขืนไม่ยอมออกไปข้างนอกด้วยกัน เขาคงต้องออกแรงอย่างหนักในการทำให้มันหมดแรงอาละวาด หรือไม่ก็ทำให้หมดสติไปเลย

“แต่ข้าไม่มีพลังพอที่จะปกป้องไข่ใบนั้นได้”

ฟีเดลหันไปมองไข่ประหลาดที่ทำให้เขาได้กบมาเลี้ยงอย่างไม่เต็มใจ ซึ่งพอได้มองเต็มตาแบบนี้แล้วจึงได้รู้ว่าขนาดของมันใหญ่เท่าวงแขนเขาเลย เด็กหนุ่มขยับเข้าไปพินิจใกล้ แล้วสังเกตเห็นลวดลายสีเทาเงินที่ชวนให้รู้สึกใจเต้น เขากุมหน้าอกแน่นเมื่อรู้สึกถึงความต้องการของบางอย่างในสายเลือดที่ดิ้นพล่านอยู่ภายใน

อาเบลอาจรู้เหมือนที่แม่รู้ และเขารู้แล้วว่าผู้ชายคนนั้นต้องการให้เอาอะไรกลับไป!

“อยากให้ข้าปกป้องไข่ใบนี้หรือ”

นับตั้งแต่เกิดจนโตมา ฟีเดลยังไม่เคยต้องปกป้องดูแลใครมาก่อน แต่เขาก็มีความปรารถนาในส่วนลึกว่า อยากปกป้องสิ่งสำคัญด้วยมือของตัวเอง ปกป้องแม่ผู้บอบบาง แม้อีกาดำจะยังไม่ได้ร้องขอออกมาเป็นคำพูด แต่ท่าทางโดยนัยของมันทำให้เด็กหนุ่มเข้าใจได้ไม่ยาก ถ้าหากเขาตอบตกลงไปก็จะมีสิ่งที่ต้องปกป้องเพิ่มขึ้นมาอีกสองอย่าง

“สิ่งที่ข้าต้องการคือ เจ้าต้องพาไข่ใบนี้ออกไปจากที่นี่ ปกป้องเขาจากศัตรูรอบด้าน และทุกคนที่คิดชิงไข่จากเจ้าด้วยชีวิตของเจ้า” อีกาดำสูดลมหายใจลึก ก่อนเปล่งเสียงชัดเจนในประโยคสุดท้าย “เพื่อการนี้ เจ้าต้องการสิ่งใดเป็นการแลกเปลี่ยน”

เด็กหนุ่มเริ่มคิดหนักเมื่อได้ยินคำขอของอีกาดำที่เกินความสามารถของตัวเองไปมาก เรื่องการให้ความช่วยเหลือไม่เป็นปัญหาต่อเขาเท่าไรนักหรอก อย่างน้อยเขาก็มั่นใจเรื่องการหนีเอาตัวรอดที่หาใครมาเทียบด้วยยาก แต่ผลกระทบหลังจากยื่นมือเข้าไปข้องเกี่ยวด้วยต่างหากที่น่ากังวลและน่าหนักใจ

มีสิ่งใดที่พอจะรับประกันได้บ้างว่า แม่ของเขาจะไม่พลอยเดือดร้อนไปกับสิ่งที่เขาคิดกระทำ

“การที่มนุษย์เยาว์วัยเช่นเจ้าเข้ามาในนี้ได้โดยไม่เป็นอะไร แสดงว่ากำลังหวังอะไรที่ยิ่งใหญ่เกินตัวใช่ไหมล่ะ เจ้าอยากได้พลังไหม หรือจะเอาอำนาจที่ทำให้ใครต่อใครพากันยอมสยบ”

ถ้อยคำล่อลวงของอีกาดำไม่ได้ทำให้ฟีเดลคล้อยตามเลยแม้แต่น้อย แต่เขาก็เข้าใจว่า การขอความช่วยเหลือนี้ต้องมีการแลกเปลี่ยนที่เท่าเทียมกัน เด็กหนุ่มไม่แน่ใจว่า อาเบลต้องการไข่ใบนี้ตามที่คาดเดาไว้หรือไม่ แต่การที่มารตรงหน้าเสนอพลังอำนาจมาเป็นสิ่งแลกเปลี่ยน แสดงว่าปัญหาที่ยากเกินรับมืออาจตามมาในไม่ช้านี้

“เจ้าเก่งมากหรือเปล่า”

อีกาดำไม่เข้าใจจุดประสงค์ของเด็กมนุษย์ที่เอ่ยคำถามนั้นออกมา แต่มันก็ยอมตอบคำถามกลับไป “ข้ามีพลังมากพอที่จะล้างผลาญพวกข้างบนให้สิ้นซาก แล้วส่งเจ้าไปข้างนอกได้”

ฟีเดลเริ่มคิดคำนวณผลที่จะตามมาหลังรับข้อตกลงของอีกาดำทันที การไร้กำลังและอำนาจทำให้เขามีข้อจำกัดหลายอย่างทีเดียว “ข้าอยากให้เจ้ารู้ว่าข้าไม่ไร้ความสามารถ แต่ความสามารถของข้ามีไม่มากพอที่จะปกป้องของหลายสิ่งได้” แม้สิ่งที่ต้องปกป้องจะมีอยู่แค่สามสิ่งก็เถอะ...เด็กหนุ่มต่อท้ายประโยคนี้ในใจ พลางมองอีกาดำที่ตั้งใจฟังตาเขม็ง

“ข้าจะออกไปข้างนอกอยู่แล้ว การพาเจ้ากับไข่ใบนี้ไปจึงไม่ถือว่าเป็นภาระมากมายอะไร แต่ข้าไม่มีกำลังมากพอที่จะฝ่าพวกข้างบนนั้นออกไป ข้าจึงอยากขอยืมกำลังเจ้าตรงส่วนนี้ ที่เหลือปล่อยให้เป็นหน้าที่ข้าจัดการพาพวกเจ้าออกไปเอง ส่วนเจ้าก็เก็บแรงไว้สู้รบปรบมือกับพวกข้างนอกดีกว่า ข้าจะช่วยเจ้าปกป้องไข่ใบนี้สุดกำลังความสามารถ และข้าอยากได้กำลังเจ้าช่วยปกป้องของสำคัญของข้าด้วยเช่นกัน”

“มักน้อยไปหน่อยหรือเปล่า”

มีไม่บ่อยนักที่ฟีเดลจะฉีกยิ้มเจ้าเล่ห์ใส่ใคร เด็กหนุ่มหัวเราะหึ ก่อนตอบด้วยน้ำเสียงมุ่งมั่น ซึ่งหากอาเบลได้มาเห็นคงหัวเราะชอบอกชอบใจแน่ “ข้ามีความโลภมากต่างหากละ เพราะเจ้าจะต้องสอนทุกสิ่งที่เจ้ารู้ เพื่อให้ข้าช่วยปกป้องไข่ของเจ้า”

อีกาดำมองมนุษย์วัยเยาว์ตรงหน้าด้วยสายตาที่เปลี่ยนไป ดูท่าอีกฝ่ายจะมีดีเกินกว่าที่มันคิด “ถ้าอย่างก็ตกลง เจ้ามนุษย์ตัวน้อย”

“ฟีเดล...เรียกข้าว่าฟีเดล แล้วเจ้าล่ะ”

คำถามของเด็กมนุษย์ทำให้อีกาดำอ้ำอึ้ง ยิ่งเห็นท่าทางที่คล้ายจะบอกว่ากำลังเฝ้ารอคำตอบอยู่ ยิ่งทำให้มันถอนหายใจเฮือกโต “นอกจากเรื่องที่ต้องปกป้องไข่ใบนี้ยิ่งชีพแล้ว ข้าก็จำอะไรไม่ได้เลย รวมถึงนามที่เรียกขานตัวตนของข้าด้วย”

“ถ้าอย่างนั้นข้าจะเรียกเจ้าว่า ราเวน” เด็กหนุ่มหัวเราะเสียงใส พลางมองสัตว์เลี้ยงตัวใหม่ที่ได้มาอย่างไม่ตั้งใจด้วยสายตาพราวระยับ “รู้ไหม บางทีเจ้าอาจต้องอยู่กับข้านานทีเดียว”

โดย: ฌา วันที่: 18 มกราคม 2557 เวลา:20:23:50 น.
ชื่อ :
Comment :
 *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

ฌา
Location :
  

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]



New Comments
All Blog