พิษเสน่หา 5
๕ สายเลือดสีน้ำเงิน

“ถึงแล้วขอรับ”

เสียงของคนรับใช้ปลุกปลายมาศให้ลืมตาตื่นขึ้น ชายหนุ่มยกมือขึ้นกุมศีรษะที่ปวดตื้อมาตลอดทาง ร่างกายของเขาอ่อนล้าจนไม่อยากจะลุกไปจากตรงนี้เลย อยากกลับบ้านเสียด้วยซ้ำ

“ท่านปลายมาศ...” คนรับใช้มองผ่านช่องลอดสายตาเข้าไปด้านในรถม้าอย่างเป็นห่วง เจ้านายของเขามีอาการหนักกว่าตอนออกมาจากบ้านเสียอีก

“อ้าว! นี่รถของปลายมาศนี่ แปลกแฮะที่หมอนี่มาสายเป็นกับเขาด้วย” เสียงของคนที่เจ้าของชื่อไม่อยากเจอมากที่สุดดังมาแต่ไกล และมันทำให้เขาต้องยิ้มเนือยกับความอับโชคของตัวเอง

“ต่อให้อยากกลับก็คงไม่ทันการณ์แล้วล่ะ เปิดประตูให้หน่อยติณ เราจะลงจากรถ”

“แต่...”

ดวงตาสีฟ้าครามส่งแววดุอีกครั้ง ทำให้คนรับใช้ต้องทำตามคำสั่งอย่างไม่เต็มใจ เจ้านายของเขาจะยืนก็ยังไม่มั่นใจเลยว่าจะยืนได้หรือไม่ เรื่องจะเดินลงจากรถก็คงไม่ต้องพูดถึง แต่พอเขาเปิดประตูรถก็ต้องเบิกตากว้างด้วยความตกใจ เมื่อปลายมาศเดินลงมาด้วยท่าทางคล่องแคล่ว ซ้ำยังทำสีหน้าปกติ ทั้งที่ก่อนหน้านั้นยังอิดโรยจนดูซีดเซียว

“เป็นอะไรไปติณ” ปลายมาศเอ่ยทักพลางยิ้มละมุน เมื่อเห็นคนสนิททำหน้าแปลก

“เอ่อ...ท่านปลายมาศ ไม่เป็นอะไรแล้วหรือขอรับ”

“ปลายมาศเป็นอะไร” เจ้าชายหูผีตรัสถามอย่างสงสัย และข้างกายของพระองค์ก็มีราเชนเดินตามมาด้วยเช่นกัน

“แล้วนั่นมือไปโดนอะไรมา”

ปลายมาศยิ้มน้อย พลางเอ่ยตอบด้วยคำพูดที่เตรียมไว้อย่างดี “โดนน้ำร้อนลวกน่ะกระหม่อม”

“โดนน้ำร้อนลวก!?” เจ้าชายชัยนเรนทร์ตรัสเสียงสูง พลางหรี่เนตรด้วยท่าทางไม่อยากเชื่อ “คนอย่างเจ้านี่นะจะโดนน้ำร้อนลวก ไปทำอีท่าไหน อำกันเล่นหรือเปล่า” พระองค์ตรัสเพียงแค่นั้นก็ก้าวไปคว้ามือของคนเจ็บขึ้นพินิจอย่างละเอียด

“กระหม่อมดูเป็นคนขี้เล่นอย่างนั้นเหรอ” ชายหนุ่มแย้มยิ้มถามโดยไม่ส่อให้เห็นอาการผิดปกติแต่อย่างใด ผิดกับคนรับใช้ที่มองเจ้านายของตัวเองด้วยความเหลือเชื่อ

“เจ้าไม่ขี้เล่นหรอก แต่เวลาจะโกหกคนน่ะเจ้าทำได้อย่างแนบเนียนเลยต่างหาก” เจ้าชายชัยนเรนทร์บ่นงึมงำ โดยไม่รู้เลยว่าสิ่งที่พระองค์ตรัสมานั้นถูกต้องเลยทีเดียว แต่ใครจะเป็นคนเฉลยให้ทราบล่ะ ปลายมาศพยักหน้าให้คนสนิทรีบไปก่อนจะเผยพิรุธออกมาให้คนความรู้สึกไวที่มีอยู่ตรงนี้ถึงสองคนจับได้

“เฮอะ...ข้าน่ะโดนเจ้าหลอกมากี่ครั้งแล้วล่ะ”

“อย่าทรงนับเลยกระหม่อม รังแต่จะทำให้เจ็บพระทัยเล่นเสียมากกว่า” คนโกหกหน้าตายยิ้มขัน และก็ได้รับการแยกเขี้ยวคำรามฮึ่มแฮ่จากเจ้าชายตอบกลับมา

“นอกจากโกหกหน้าตายแล้วยังตลกหน้าตายอีกนะ”

“กระหม่อมขอรับเป็นคำชมแล้วกัน” ชายหนุ่มค้อมตัวลงเล็กน้อย พลางปรายตามองไปยังราเชนที่รู้สึกหนาวยะเยือกขึ้นมาวูบหนึ่ง แต่รอยยิ้มละมุนละไมและใบหน้าที่อ่อนโยนดุจพ่อพระทำให้เขาต้องปลอบใจตัวเองว่าตาฝาดไป

“แล้วนั่นปากของท่านราเชนไปโดนอะไรมาหรือครับ ช้ำเชียว”

ราเชนลูบรอยแผลบนริมฝีปากอันเป็นที่ระลึกระหว่างเขากับสิริกัญญา ชายหนุ่มกระตุกยิ้มขึ้นมา เมื่อนึกถึงผู้หญิงที่ไม่เหมือนใคร ดวงตาสีน้ำเงินเข้มที่แฝงแววดื้อจนเขานึกอยากปราบให้อยู่หมัด

“โดนลูกแมวตัวโตกัดเอาน่ะ”

ปลายมาศเลิกคิ้วขึ้น แล้วแย้มยิ้มหวานที่คราวนี้ราเชนมั่นใจแล้วว่าตัวเองไม่ได้ตาฝาดไปแน่ คนที่ยิ้มอ่อนโยนกำลังส่งจิตสังหารรุนแรงออกมา และมันก็พุ่งตรงมายังเขาเสียด้วย

“แมวที่มีดวงตาสีน้ำเงินสินะครับ”

“เฮ้ย!?”

เสียงหมัดหนักกระทบเข้าที่ใบหน้าคมคายของเจ้าปาเยนทร์ที่ไม่มีโอกาสแม้แต่จะระวังตัว แล้วตามด้วยเสียงร้องอย่างตกใจของเจ้าชายชัยนเรนทร์ที่เห็นคนเรียบร้อยอาละวาด แถมยังรุนแรงเสียจนคนที่ตัวโตอย่างราเชนล้มไม่เป็นท่า พระองค์หันไปยังเจ้าของหมัดหนักที่ยังยิ้มแย้มเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ตรงกันข้ามกับความกดดันที่แผ่ออกมาจนรู้สึกได้

กำลังโกรธอยู่นี่หว่า ไปกินรังแตนมาจากไหนวะ...เจ้าชายชัยนเรนทร์รำพึงในใจ พลางหันไปยังคนโชคร้ายที่ยังเหมาหมัดอยู่บนพื้น อย่างน้อยพระองค์ก็เดาเอาว่าตัวต้นเหตุคือราเชน...แต่มันไปทำอะไรไว้ล่ะ

หรือว่า!...คำตอบของคำถามที่สงสัยผุดขึ้นมาทันที

“ราเชน! เจ้าไปยุ่งกับผู้หญิงของปลายมาศมันเรอะ!”

คราวนี้เป้ารังสีอำมหิตเปลี่ยนจากราเชนมาเป็นเจ้าชายชัยนเรนทร์ทันที พระองค์กลืนพระเขฬะลงคออย่างลำบาก คนเงียบเวลาโกรธแล้วน่ากลัวพิลึก ที่ร้ายกว่าก็คือโกรธทั้งที่ใบหน้ายิ้มแย้มนี่สิ มันทำให้ไม่รู้เลยว่าอีกฝ่ายจะอาละวาดอีกเมื่อไร

“ได้เวลาไปสอนหนังสือเจ้าชายชเยนทรแล้ว กระหม่อมขอตัว” ปลายมาศพูดพลางค้อมคำนับเต็มพิธีการ ก่อนหมุนตัวเดินจากไป โดยทิ้งให้เจ้าหนึ่งพระองค์กับผู้ชายหนึ่งคนมองตามหลังด้วยความงุนงง

“อะไรวะ! ต่อยคนอื่นแล้วหนีไปเฉยเลยนะ” ราเชนบ่นงึมงำ พลางคลำรอยแผลที่ใหม่ที่ซ้ำรอยเดิมกับรอยแผลเก่าอย่างจงใจจนเลือดซึมไหลออกมาอีกครั้ง

“หรืออยากจะโดนอีกล่ะ” เจ้าชายชัยนเรนทร์เอ่ยเยาะ และทรงเดาเอาว่าถ้ามีรอบต่อไปอีกคงไม่ใช่หมัดเปล่าแบบรอบแรกแน่

ราเชนได้แต่ร้องเหอะในลำคอ ไม่คิดท้าให้คู่กรณีกลับมาหาเรื่องต่อ อย่างน้อยเขาก็รู้ว่าปลายมาศซ่อนฝีมือที่ตรงกันข้ามกับท่าทางที่เรียบร้อยนั้นไว้ ถ้าประลองกำลังกันจริง ไม่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งก็ต้องเจ็บหนักล่ะ และเขาก็รู้จักอาจารย์ที่สอนวิชาการต่อสู้ให้ปลายมาศเสียด้วย รายนั้นเก่งกาจอย่างหาตัวจับยาก แล้วก็ชอบซ่อนฝีมือเหมือนลูกศิษย์ของตัวเอง

ต่อให้เป็นราเชน ปาเยนทร์ก็อาจต้องคิดหนักที่จะท้าสู้กับคนที่ซ่อนอารมณ์รุนแรงดั่งพายุเอาไว้

- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -


“ชิ! หมัดหนักชะมัด มือเจ็บจริงหรือเปล่าวะ”

“ก็ไปยุ่งกับผู้หญิงของมัน” เจ้าชายชัยนเรนทร์นึกสมน้ำหน้าหนุ่มเจ้าสำราญที่ดันไปยุ่งกับผู้หญิงที่มีเจ้าของ แต่พระองค์ก็ชะงักเมื่อนึกขึ้นได้ว่าคนที่ถูกกล่าวถึงยังไม่มีคนรักเป็นตัวเป็นตัวตน

“เอ๊ะ! ปลายมาศยังไม่มีคนรักนี่นา แล้วเจ้าไปยุ่งกับใคร”

ราเชนหัวเราะหึในลำคอ เขาพอเดาได้จากคำถามก่อนโดนหมัดของคนที่เกลียดการใช้กำลังว่าเจ้าตัวพูดถึงอะไรหรือใคร ปลายมาศคงรู้เรื่องระหว่างเขากับสิริกัญญาไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง แล้วอีกฝ่ายก็ทำตัวเป็นคนหวงน้อง แจ้นมาหาเรื่องเขาถึงที่

ไม่สิ! เป็นเขาต่างหากที่แจ้นมาให้คนหวงน้องหาเรื่องถึงที่

“น่าจะเป็นน้องสาวสุดที่รัก ทำท่าเหมือนจงอางหวงไข่” ชายหนุ่มกลั้วหัวเราะอย่างขบขัน ท่าทางของปลายมาศไม่เหมือนจงอางหรอก ก็เล่นยิ้มหวานคล้ายเชิญชวนเสียอย่างนั้น

ยิ้มสวยเหมือนน้อง แล้วก็ดื้อเหมือนกันด้วย!

เจ้าชายชัยนเรนทร์ทำท่านึกอยู่ครู่หนึ่ง พระองค์รู้สึกคลับคล้ายคลับคลาว่าจะเคยได้ยินปลายมาศเอ่ยถึงน้องสาวอยู่บ้างเหมือนกัน เจ้าชายยังจำได้ติดตาเลยว่ายามอีกฝ่ายพูดถึงน้องสาวนั้นอ่อนโยนแล้วก็อ่อนหวานเสียจนนึกว่าเป็นคู่รักไม่ใช่น้องสาว

“สิริกัญญาใช่ไหม”

ราเชนเลิกคิ้วขึ้น เมื่อเห็นเจ้าชายทำท่าจะรู้จักเธอด้วย “อ้าว! รู้จักด้วยเหรอ”

“เปล๊า” เจ้าชายโบกหัตถ์วุ่น พลางส่งเสียงสรวล “ได้ยินแต่ชื่อไม่เคยเห็นหน้าหรอก นางชอบเก็บตัวอยู่กับบ้านมากกว่าจะออกมาข้างนอก แต่เห็นปลายมาศบอกว่าน้องสาวคนนี้ชอบม้าเหมือนกับชเยนทร แล้วตัวจริงเป็นยังไงบ้างล่ะ”

“เพราะไม่แต่งตัวเลยดูธรรมดาเหมือนลูกสาวชาวบ้าน” ราเชนวิจารณ์รูปลักษณ์ของสิริกัญญาตามที่เห็น และเขาก็สะดุดตาที่ความธรรมดาของเธอนั่นล่ะ

“ดูท่าทางเจ้าจะถูกใจนางนะ”

ดวงตาของราเชนทอแววอ่อนละมุนลงทันทีที่ได้ยินคำพูดของเจ้าชาย อายุระหว่างเขากับสิริกัญญาห่างกันถึงหนึ่งรอบ ดูอย่างไรเธอก็เป็นแค่เด็กสำหรับเขา และเขาก็ไม่มีรสนิยมยุ่งกับเด็กสาวเสียด้วย “นางยังไม่สิบแปดเลย” ชายหนุ่มพูดพลางโคลงศีรษะไปมา

“แต่ก็เป็นผู้หญิงนี่นา แล้วเสือผู้หญิงอย่างราเชน ปาเยนทร์จะยอมปล่อยให้หลุดมือเร้อ”

ราเชนถลึงตาใส่เจ้าชายชัยนเรนทร์ที่ส่งเสียงสรวลอย่างยั่วเย้า เจ้าชายยังไม่เคยพบกับสิริกัญญาเลยพูดง่าย รายนั้นมีนิสัยเหมือนพี่ชายนั่นล่ะ เขาก็ว่านิสัยดื้อเงียบของเธอเหมือนใครบางคนที่ตัวเองรู้จัก พอเจอปลายมาศก็รู้เลยว่าเหมือนใคร และเขาก็ไม่ใช่คนชอบบังคับฝืนใจ แต่ราเชนก็ชะงักความคิด แล้วกลืนน้ำลายลงคอ เมื่อนึกถึงการกระทำเมื่อคืนวาน

เป็นครั้งแรกที่ราเชน ปาเยนทร์บังคับฝืนใจผู้หญิง!

เธอดื้อเองนี่...ชายหนุ่มหาข้อแก้ตัวให้กับตัวเอง พลางถอนหายใจเฮือกกับการกระทำไม่สมตัว มันน่าแปลกที่ผู้หญิงตัวเล็กแสนธรรมดาคนหนึ่งทำให้คนอย่างราเชน ปาเยนทร์ทำให้สิ่งที่ตัวเองไม่เคยทำได้

“นางมีดวงตาสีน้ำเงิน” ชายหนุ่มรีบเปลี่ยนเรื่อง ก่อนจะโดนเจ้าชายเจ้าเล่ห์ต้อนให้จนมุม

เจ้าชายชัยนเรนทร์หยุดเสียงสรวล พลางเลิกพระขนงขึ้น “แน่ใจนะว่าสีน้ำเงิน ไม่ได้มองผิด”

“ข้ายังไม่ใช่คนแก่ที่จะมองอะไรผิด” ราเชนตอบกลับเสียงเรียบ และคำตอบของเขาก็ทำให้รอยยิ้มบนดวงพักตร์ของเจ้าชายเลือนหาย

“ไม่เห็นรู้ว่าท่านจินดามีลูกเป็นคนสีน้ำเงิน” เจ้าชายพึมพำอย่างครุ่นคิด

“ท่านจินดาอาจไม่ทราบ เพราะคนสีน้ำเงินเป็นคนชอบเก็บตัว”

เจ้าชายชัยนเรนทร์ส่ายพักตร์อย่างไม่เห็นด้วย “ก็เพราะชอบเก็บตัวน่ะสิถึงน่าสงสัย ถ้ามีลูกเป็นคนสีน้ำเงิน เมียก็ต้องเป็นคนสีน้ำเงินด้วย แล้วเจ้าคิดว่าท่านจินดาไปได้คนสีน้ำเงินที่ชอบเก็บตัวมาได้ยังไง ถึงท่านจะซื่อ แต่ก็ไม่โง่หรอกนะ”

ถ้อยคำของเจ้าชายชัยนเรนทร์ก็เป็นสิ่งที่ราเชนเคยคิดไว้ก่อนแล้ว เขาลองหาข้ออ้างมาขัดแย้งเหตุผลอย่างที่เจ้าชายกล่าว แล้วเขาก็ลองสืบหาต้นกำเนิดของสิริกัญญามา แต่ก็มืดแปดด้าน ชายหนุ่มรู้แค่เพียงว่าเธอเป็นลูกของเมียทาสจากต่างแดนที่ท่านจินดาซื้อตัวมาจากพ่อค้าทาส

“ลองสืบประวัติของนางดูหรือยัง”

ราเชนถอนหายใจออกมาอีกเฮือก “ทำมาหมดแล้ว แต่ไม่ได้อะไร ทั้งแม่ทั้งลูกชอบเก็บตัวอยู่แต่ในบ้าน ก็เลยไม่มีคนรู้ว่าพวกนางเป็นคนสีน้ำเงิน แต่จะว่าไปแล้วคนที่รู้ว่าพวกสีน้ำเงินเป็นใครก็มีน้อย เลยพอมีโชคสำหรับพวกนางอยู่บ้าง”

“การกวาดล้างพวกสีน้ำเงินเมื่อยี่สิบปีก่อนสินะ” เจ้าชายชัยนเรนทร์แย้มสรวลอย่างรู้เท่าทัน ถ้าท่านจินดารู้ที่มาของเมียสีน้ำเงินก็เป็นการง่ายที่จะเดาได้ว่าท่านเก็บเชื้อสายสีน้ำเงินไว้แต่ในบ้านทำไม

“เจ้าไปตีซี้กับนางต่อสิ ราเชน เผื่อจะรู้อะไรเพิ่มขึ้น”

คนถูกยุเบ้ปากเบี้ยวอย่างไม่ชอบใจ รอยกัดของสิริกัญญายังปรากฏเป็นหลักฐานอยู่บนริมฝีปากของเขา แถมยังมีรอยหมัดของคนหวงน้องประทับซ้ำ ตอนนี้เขาถูกสองพี่น้องเหม็นขี้หน้าไปแล้ว ยิ่งคนน้องน่ะแสดงอาการจงเกลียดจงชังมาอย่างโจ่งแจ้ง เจ้าชายชัยนเรนทร์จะให้เขาใช้วิธีอะไรไปตีซี้กับเธอ

บังคับขืนใจอีกรอบหรือไง?

- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -


เจ้าชายชัยนเรนทร์ถูกเจ้าหลวงแห่งปามะห์เรียกตัวเข้าพบด้วยเรื่องดูตัวตามที่คาด เพราะท่านทรงเล็งเห็นว่าโอรสที่มีพระนิสัยถอดพิมพ์เดียวกันร้างพระชายามานานหลายปี อีกทั้งเจ้าชายชเยนทรยังทรงพระเยาว์ ต้องการพระมารดาคอยดูแลเอาใจใส่ในส่วนที่พระบิดามิอาจทำได้ ท่านจึงทรงคะยั้นคะยอเจ้าชายหาพระชายาคนใหม่แทนท่านหญิงปิ่นมณีที่สิ้นไป

แต่คนดื้อก็ยังดื้ออยู่วันยันค่ำ!

ส่วนราเชนหลบพระพักตร์เจ้าหลวงไปยังอุทยานที่ติดกับตำหนักของเจ้าชายชัยนเรนทร์ และไม่วายส่งยิ้มทรงเสน่ห์ให้กับเหล่านางกำนัล หรือท่านหญิงที่เดินผ่านไปมา แล้วเขาก็ได้เห็นเจ้าชายชเยนทรกำลังเล่นเรือใบอยู่กลางสระน้ำใหญ่กับพระอาจารย์และมหาดเล็ก

“ท่านลุงราเชน!” สายพระเนตรของเจ้าชายน้อยดีกว่าพระอาจารย์เสียอีก หรือเป็นเพราะคนที่แสร้งมองไม่เห็นยังเคืองเขาอยู่ก็ไม่อาจรู้ได้

เจ้าชายชเยนทรหันไปตรัสอะไรบางอย่างกับพระอาจารย์ แล้วหัวเรือก็เบนเข้าหาฝั่งทันที ราเชนยกมือโบกตอบกับเจ้าชายน้อย พลางสังเกตท่าทางที่ผิดแปลกไปของปลายมาศ ใบหน้าของฝ่ายนั้นดูซีดเซียวลงจนน่าใจหาย หรือจะเพราะเมาแดดก็ไม่น่าใช่ เพราะท้องฟ้ามีแต่เมฆปกคลุม มีแสงอาทิตย์ลอดผ่านก้อนเมฆมารำไร

พอเรือเล็กจอดเทียบท่า เจ้าชายชเยนทรก็กระโดดขึ้นฝั่ง แล้ววิ่งมาทางราเชนตามประสาเด็กซน แต่สายตาของเขากลับจดจ้องอยู่ที่ปลายมาศ รายนั้นขึ้นจากเรือด้วยท่าทางซวนเซเล็กน้อย และส่ายหน้าไม่ให้มหาดเล็กที่ช่วยประคองตัวห่วงกังวล

“ชเยนทร ครูของหลานไม่สบายเหรอ”

เจ้าชายน้อยเบนพักตร์ไปยังพระอาจารย์ที่แสดงท่าทางอิดโรยอย่างเห็นได้ชัด และแสดงพระอาการสงสัยเช่นกัน “เอ๊ะ! เมื่อกี้ชายยังไม่เห็นครูเป็นอะไรเลย”

“งั้นครูของหลานก็เป็นแล้วล่ะ”

มหาดเล็กร้องเสียงดังลั่น เมื่อพระอาจารย์ของเจ้าชายชเยนทรทรุดฮวบลงอย่างหมดเรี่ยวแรง ราเชนวิ่งไปดูเหตุการณ์ แต่ดูเหมือนจะมีคนวิ่งไวกว่า เมื่อคนที่วิ่งนำหน้าไปคือเจ้าชายชัยนเรนทร์ที่ไม่รู้ว่ามาตั้งแต่เมื่อไร พระองค์เข้าไปประคองปลายมาศที่ล้มทับมหาดเล็กร่างเล็กที่เกือบขาดอากาศหายใจตาย แล้วจัดการอุ้มพระอาจารย์ของโอรสขึ้นอย่างรวดเร็ว

“เรียกหมอหลวงมา!” เจ้าชายชัยนเรนทร์ตรัสเสียงดังลั่น ตามด้วยความวุ่นวายของทหารยามรักษาวังที่วิ่งตามหาหมอหลวงกันให้ควั่ก

ราเชนถอนหายใจเฮือกอย่างเหนื่อยหน่ายใจ คนที่เอาแต่ใจยิ่งกว่าเขาก็อยู่ตรงนี้พระองค์หนึ่ง แต่ทำไมคนถึงได้ลือว่าเขาเป็นคนที่เอาแต่ใจที่สุดในปามะห์กันนะ ชายหนุ่มคิดพลางก้าวเท้าเดินตามคนเอาแต่ใจที่อุ้มคนป่วยรุดหน้าไปตำหนักส่วนพระองค์อย่างรวดเร็ว แล้วเขาก็ก้มลงมองเจ้าชายน้อยที่กระตุกชายเสื้อผู้เป็นลุงที่มีริ้วรอยห่วงใยในอาการของพระอาจารย์

“ท่านลุงราเชน ครูเป็นอะไรไป”

ชายหนุ่มยิ้มปลอบเจ้าชายน้อย พลางอุ้มวรองค์เล็กขึ้นไว้ในวงแขน แล้วก้าวเท้าตามอีกองค์ที่รุดหน้าไปด้วยความรวดเร็ว “ครูของหลานคงไม่สบาย เสด็จพ่อเรียกหมอหลวงให้มาตรวจอาการแล้ว ไม่เป็นไรหรอก”

ดวงพักตร์ของเจ้าชายชเยนทรคลายความวิตกลง แต่ก็ยังมีรอยห่วงใยให้เห็น “สงสัยต้องเป็นเพราะแผลของครูแน่เลยที่ทำให้ครูไม่สบาย ชายเป็นห่วงครูจังเลย”

“ไม่ต้องห่วงหรอก ครูของหลานนอนซมไม่นานก็ลุกขึ้นมาเดินปร๋อแล้ว รายนั้นน่ะทรหดยิ่งกว่าสัตว์ประหลาดอีก เสด็จพ่อของหลานยังเคยขยาดเลยไม่ใช่เหรอ”

เจ้าชายน้อยส่งเสียงสรวล และคลายความวิกตกลงไปมากกว่าครั้งแรก ราเชนจึงยิ้มอย่างพอใจแล้วเดินไปตามทางที่พายุนามเจ้าชายชัยนเรนทร์ทิ้งรอยไว้อย่างเหนื่อยใจ ทีเกิดเรื่องอะไรขึ้นกับเด็กที่ตัวเองชุบเลี้ยงมากับมือก็วิ่งเต้นอย่างกับลมบ้าหมู ทีเขาที่เป็นเพื่อนมาร่วมยี่สิบกว่าปีมีเรื่องขึ้นมาบ้างก็ไม่เคยใส่ใจ

อย่างนี้เรียกว่าลำเอียงชัด ๆ

- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -


“หมอยังไม่มาอีกหรือไง!” สุรเสียงของเจ้าชายชัยนเรนทร์แผดก้องจนไม่มีใครเข้าหน้าติด เหล่านางกำนัลได้แต่ยืนละล้าละลังอยู่หน้าห้อง แล้วเกี่ยงไม่ยอมเข้าไป ราเชนจึงเดินเข้าไปแทนพร้อมกับเจ้าชายชเยนทรในอ้อมแขน

“ใจเย็นหน่อย หมอหลวงท่านแก่แล้ว เดินเหินไม่สะดวก”

“ก็ดี ข้าจะปลดระวางหมอแก่ แล้วเอาหมอหนุ่มเข้ามาทำงานแทน เผื่อจะได้เดินเร็วขึ้นบ้าง”

ราเชนโคลงศีรษะอย่างอ่อนใจกับอาการของขึ้นของเจ้าชาย ชายหนุ่มวางเจ้าชายน้อยลงกับพื้น แล้วมองพระสหายที่ผลุบหายออกจากห้องไปอย่างรวดเร็ว เสียงฮือเหมือนผึ้งแตกรังของคนข้างนอกดังขึ้น บอกให้รู้ว่าพระองค์ออกไปอาละวาดต่อข้างนอก แล้วก็กลับเข้ามาอีกครั้งพร้อมกับกรรไกร

“เอากรรไกรมาทำอะไร” ชายหนุ่มเลิกคิ้วถามอย่างสงสัย และเขาก็ได้รับคำตอบเมื่อเจ้าชายชัยนเรนทร์ตัดผ้าพันแผลบนมือทั้งสองข้างของปลายมาศทิ้ง แล้วความจริงที่คนโกหกหน้าตายปกปิดไว้ก็ปรากฏออกมา

รอบข้อนิ้วทั้งสองข้างบวมช้ำเป็นสีม่วงราวกับถูกอะไรบางอย่างรัดไว้อย่างรุนแรง แต่ละนิ้วมีร่องรอยของการถูกของมีคมบาด มันเป็นรอยบาดสั้นแต่ดูลึก และเรียงเป็นแถวยาวโดยเว้นช่วงไว้อย่างเท่ากันตั้งแต่โคนนิ้วจนถึงปลายนิ้ว รอยแผลเหล่านี้บอกถึงจิตใจอันวิปริตของผู้กระทำว่าโหดเหี้ยมเพียงไร

“หมอนี่มันโกหกอีกแล้ว!” เจ้าชายชัยนเรนทร์ตะเบ็งเสียงดังลั่น

“ชเยนทร หลานออกไปรอข้างนอก่อน” ราเชนเอ่ยกับเจ้าชายน้อยที่ทำพักตร์ตื่นกับรอยแผลบนนิ้วของพระอาจารย์ พลางดันพระขนองให้เสด็จออกไปด้านนอก และพระองค์ก็ว่าง่าย ยอมเสด็จออกไปตามคำสั่งของท่านลุง โดยไม่ตรัสถามอะไร ซึ่งหมอหลวงก็วิ่งสวนเข้ามาด้วยใบหน้าแดงก่ำ

“หมอหลวงมาแล้ว” ชายหนุ่มหันไปบอกพายุที่เกรี้ยวกราดอยู่ด้านใน

“มาได้เสียทีนะ นึกว่าต้องหาคนใหม่มาแทนคนเก่าผู้ชราภาพเสียแล้วสิ”

หมอหลวงเฒ่าสะดุ้งเฮือกกับพระอารมณ์ของเจ้าชายชัยนเรนทร์ พลางหันไปมองพระสหายของเจ้าชายที่ชาชินกับพระอาการนี้อย่างขอความช่วยเหลือ แต่ราเชนก็ทำเพียงพยักหน้าให้เขาทำหน้าที่ของตัวเองไป ให้ดีและให้เร็ว ก่อนที่ฟ้าจะเขวี้ยงอะไรลงมาบนกระหม่อม และหมอเฒ่าก็เห็นกรรไกรคมกริบอยู่ในอุ้งหัตถ์ของฟ้า

การตรวจอาการของคนเจ็บเป็นไปอย่างลำบาก เพราะการจับจ้องของเจ้าชายชัยนเรนทร์ทำให้หมอหลวงทำงานอย่างเก้ ๆ กัง ๆ ตอนนี้เขารู้แล้วแล้วว่าคนบนเตียงเป็นอะไร แต่ไม่รู้ว่าจะทูลเจ้าชายที่ตอนนี้กลายร่างเป็นพระผู้ทรงพิโรธอย่างไรดี

“ว่าไงหมอหลวง ปลายมาศเป็นอะไร”

“เอ่อ...ท่านปลายมาศถูกทรมาน”

“ไอ้นั่นเราเห็น! เราถามว่าปลายมาศเป็นอะไร ทำไมยังไม่ได้สติ”

หมอหลวงเฒ่าสะดุ้งโหยง และทำท่าอยากจะร้องไห้อยู่รอมร่อ เขาว่าเจ้าหลวงยามพิโรธก็น่ากลัวแล้วนะ แต่เจ้าชายชัยนเรนทร์ดูน่ากลัวยิ่งกว่าอีก “ท่านปลายมาศต้องยาพิษ”

“พิษอะไร” ราเชนเอ่ยขึ้นก่อนที่เจ้าชายจะได้ตรัสอะไร แค่นี้หมอหลวงก็หน้าซีดตาเซียวจนจะเหมือนคนเจ็บบนเตียงอยู่รอมร่อ ขืนให้เจ้าชายที่กำลังมีอารมณ์ดั่งพายุตอนนี้ตรัสต่อไป หมอหลวงเฒ่านั่นแหละจะได้ลงไปนอนเจ็บบนเตียงบ้าง แล้วคราวนี้ล่ะจะไม่มีใครมารักษาปลายมาศ

“พิษสองผสมขอรับ” ผู้เฒ่าถอนหายใจอย่างโล่งอกที่คู่สนทนาเปลี่ยนเป็นราเชน เพราะรายนี้ถึงจะเอาแต่ใจอย่างไร อารมณ์ก็ยังเย็นกว่าเจ้าชาย “มันเป็นยาพิษที่ใช้ทรมานนักโทษ ในวันแรกจะมีอาการเหมือนกับไฟแผดเผาไปทั่วร่าง วันที่สองจะเหน็บหนาวราวกับกระแสเลือดจับเป็นก้อนน้ำแข็ง และวันที่สามอาการทั้งสองอย่างนี้จะเกิดขึ้นสลับกัน อย่างเบาก็แค่เป็นไข้ เพราะว่าร่างกายปรับตัวตามไม่ทัน”

“อย่างหนักล่ะ”

หมอหลวงเฒ่าปาดเหงื่อบนหน้าผากทั้งที่ไม่มีให้เห็นสักเม็ด เขาครางครืดคราดในลำคอ ก่อนก้มหน้าลงต่ำ “อย่างหนักก็ช็อคตายขอรับ แต่ก็เป็นส่วนน้อย” ประโยคสุดท้ายชายชรารีบเอ่ยออกไป เมื่อสัมผัสได้ถึงบรรยากาศกดดดันที่หนักหน่วงขึ้น

“ไปหายาแก้มา” เจ้าชายชัยนเรนทร์ตรัสเสียงเรียบ

คราวนี้หมอหลวงหน้าซีดเผือด พลางเหลือบตามองราเชนที่พยักหน้าให้พูดออกมา “ยาแก้ไม่มีกระหม่อม มันเป็นยาพิษที่ใช้ทรมานนักโทษ และมีฤทธิ์เพียงสามวัน”

“เราบอกว่าไปหายาแก้มาไม่ใช่เหรอ ยาแก้ ยาบรรเทา ยาอะไรก็ได้ที่ทำให้ปลายมาศหาย รีบไปหามา ก่อนที่เราจะไม่รับประกันตำแหน่งและที่อยู่ท่าน” เจ้าชายส่งเสียงสรวลอย่างเยียบเย็น หมอหลวงรีบกระวีกระวาดออกไปทันทีที่ได้ยินคำตรัสสุดท้าย จนในห้องเหลือเพียงราเชนที่คอยรองรับพระอารมณ์ร้ายนั้นต่อ

“ฝีมือของวโรดมอีกแน่”

ราเชนเลิกคิ้วขึ้นกับคำตรัสเลื่อนลอยของเจ้าชายชัยนเรนทร์ พลางมองคนป่วยที่ยังไม่ได้สติ และมีสีหน้าทรมานกับพิษที่แล่นริ้วไปทั่วร่าง ชายหนุ่มสงสัยนักว่าปลายมาศเก็บงำอาการทรมานไว้ใต้สีหน้ายิ้มแย้มนั่นได้อย่างไร แล้วยังสองมือที่ตอนนี้ถูกทายาและพันด้วยผ้าพันแผลอันใหม่นั่นอีก เขาเก็บซ่อนความเจ็บปวดไว้ตรงไหนกันนะ

“วโรดม พี่ชายคนละแม่ของปลายมาศ”

“คนเดียวกับหัวหน้ากองพันทหาราราบที่ชอบหาเรื่องทุกครั้งที่เจอกันน่ะเหรอ”

เจ้าชายเบ้เรียวโอษฐ์เมื่อนึกถึงคู่อริตลอดกาล “ข้านึกว่ามันจะเลิกทรมานปลายมาศแล้วเสียอีก ท่าทางจะยังไม่สำนึกว่าถ้าทำให้ชัยนเรนทร์คนนี้โกรธแล้วจะเป็นยังไง”

เมื่อสิบปีก่อนปลายมาศยังเป็นเด็กชายวัยสิบเอ็ดขวบที่เข้ามาทำงานเป็นมหาดเล็กในวัง ตอนที่เจ้าชายชัยนเรนทร์ได้พบกับเด็กคนนี้ก็เป็นตอนที่จบการศึกษาจากรัฐต่างแคว้นมาพร้อมกับราเชน ปาเยนทร์ แวบแรกที่เห็นก็นึกว่าเป็นเด็กว่าง่าย และเข้ากับคนอื่นได้ดี แต่พอรู้จักกันมากขึ้นก็รู้ว่าเป็นเด็กที่ร้ายเอาเรื่องเหมือนกัน อย่างน้อยก็เคยโกหกหน้าตายให้เจ้าชายพลาดท่ามาแล้วหลายครั้ง

และพระองค์ก็ไม่เคยรู้เลยว่าภายใต้ใบหน้ายั้มแย้มอ่อนโยนนั้น ซุกซ่อนความทรมานของตัวเองเอาไว้อย่างแนบเนียน ดังนั้นพอพระองค์รู้ก็ดึงตัวปลายมาศให้มารับใช้ข้างกาย แยกห่างจากพี่ชายจิตวิปริต พร้อมทั้งมอบบทเรียนให้อีกฝ่ายรู้สำนึกว่าอย่าได้หาญคิดมายุ่งกับคนของเจ้าชายชัยนเรนทร์อีก

“ข้าจะให้ปลายมาศพักอยู่ที่นี่ ถ้าให้กลับบ้านไปสภาพแบบนี้ ไม่รู้ว่าจะถูกวโรดมจับไปทำอะไรอีก เจ้าช่วยส่งคนไปบอกท่านจินดาหน่อยได้ไหมว่าข้าขอยืมตัวลูกชายของเขาสักสองสามวัน” เจ้าชายเบือนเนตรจากคนป่วยไปยังสหายสินท ราเชนได้แต่โคลงศีรษะแล้วพยักหน้ารับแต่โดยดี

“พรุ่งนี้บ่ายพาสิริกัญญามาที่นี่ด้วย ข้าอยากเห็นสายเลือดสีน้ำเงิน”



Create Date : 06 กันยายน 2550
Last Update : 6 กันยายน 2550 17:46:34 น.
Counter : 324 Pageviews.

5 comments
  
เนื้อเรื่องเข้มข้นดีคะ
โดย: ji IP: 203.146.63.182 วันที่: 6 กันยายน 2550 เวลา:21:58:17 น.
  
แล้วใครล่ะที่จะจัดการพวกโรคจิตพวกนี้ให้หายไปจากแผ่นดิน

ยืมตัวใด้ก็แค่ชั่วคราว กลับไปก็โดนทรมานอีก น่าจะเอาทั้งพี่ทั้งน้องมาไว้ที่ในวังซะเลยจะใด้ไม่มีใครกล้าแตะต้องอีก
โดย: VEE IP: 4.252.30.20 วันที่: 6 กันยายน 2550 เวลา:23:30:43 น.
  
โดย: ben IP: 222.123.24.209 วันที่: 7 กันยายน 2550 เวลา:0:01:25 น.
  
นึกว่าจะไม่พาสิริกัญญามาด้วยแล้ว เพราะถ้าไม่มีปลายมาศอยู่ด้วยล่ะก็ เสร็จแน่เลย
โดย: pumpam IP: 58.8.78.62 วันที่: 7 กันยายน 2550 เวลา:10:50:01 น.
  
ต้องขอให้ติดตามตอนต่อไปดูค่ะ แต่เดี๋ยวปลายมาศก็ต้องแยกจากน้องแล้ว คงต้องหาทางให้สิริกัญญาสามารถอยู่ตามลำพังได้โดยไม่ต้องพึ่งพี่ชาย

เฮอะ ๆ ขี้คร้านจะมาคนอาสาเป็นองครักษ์พิทักษ์ให้
โดย: ฌา วันที่: 8 กันยายน 2550 เวลา:18:43:48 น.
ชื่อ :
Comment :
 *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

ฌา
Location :
  

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]



New Comments
All Blog