พิษเสน่หา 40
๔๐ ช่วงเวลาก่อนเกิดพายุ

สายลมที่พัดพลิ้วผ่านใบหน้า นำพากลิ่นหอมที่คุ้นเคยต้องนาสิก เปลือกตาบางกะพริบปริบไปมา เมื่อรับรู้ถึงเงาใครบางคนทาบทับลงมาจากเบื้องบน จนกระทั่งดวงตาเปิดรับภาพตรงหน้าได้เด่นชัด สองมือที่กุมประสานไว้บนตักก็ยกขึ้นตีหน้า เพื่อยันคนลักหลับให้ถอยห่างออกไป ตามความเคยชินทันที

ราเชนครางอู้กับแรงมือที่ตีแสกหน้าไม่ยั้ง ก่อนยึดมือเรียวบางที่ยังกระหน่ำตีไม่เลิกไว้แน่น “นี่หน้าคนนะ ไม่ใช่หน้ากลอง” ชายหนุ่มพูดด้วยน้ำเสียงกึ่งฉุนกึ่งขัน หลังจากได้เห็นแววตาคนมือหนักที่ไม่ยอมให้เขาล่วงเกินเช่นเมื่อก่อน แม้จะมีข่าวหมั้นลือออกไปทั่วปามะห์แล้วก็ตาม

“ก็หน้าคนสิคะ” สิริกัญญาพยายามข่มเสียงให้เรียบ ทั้งที่ในใจเดือดดาลเสียเต็มประดา เพราะข่าวหมั้นนั่นทีเดียวที่ทำให้เธอต้องโดนราเชนลวนลามบ่อยขึ้น

“รู้ว่าเป็นหน้าคนแล้วตีลงมาทำไม”

“หน้าคนอื่นข้าไม่ตีหรอกค่ะ แต่ถ้าเป็นหน้าเจ้าปาเยนทร์ข้าจะตีไม่ยั้งทีเดียว”

ราเชนหัวเราะเสียงดังกับคำตอบที่ได้ยิน ดูเหมือนหญิงสาวจะกล้าต่อปากต่อคำกับเขามากขึ้น ซึ่งเขาก็ชอบให้มันเป็นแบบนี้ ชายหนุ่มปล่อยมือเรียวบางให้เป็นอิสระ ก่อนทิ้งตัวนอนหนุนตักคนตัวเล็ก พลางสบจ้องกับดวงตาสีน้ำเงินที่ทอแววอ่อนล้าออกมาให้เห็น

“การดูแลฝูงลิงทะโมนนี่เหนื่อยมากเลยหรือ”

“คะ?” สิริกัญญาเอียงคอมองคนที่ถือวิสาสะนอนตัก ที่จู่ ๆ ก็เอ่ยคำถามออกมาโดยที่เธอไม่ทันตั้งตัว แล้วมือหนาก็ยกขึ้นเกลี่ยพวงแก้มและริมฝีปากบางไปมาแผ่วเบา

“ข้าเห็นเจ้าดูเหนื่อย และทำหน้าเหมือนคนนอนไม่เต็มอิ่ม ข้าหวังว่าเจ้าคงไม่ได้คิดมากเรื่องที่พี่สาวของเจ้าตายไปหรอกนะ”

หากพูดถึงสาเหตุที่ทำให้อรัญญาแท้งลูก และตกเลือดจนตายไปนั้น สิริกัญญาก็คิดว่าตัวเองมีส่วนผิดอยู่ไม่น้อย หญิงสาวยังจำถึงน้ำหนักมือที่ออกแรงผลักอีกฝ่ายออกไปให้พ้น จนร่างนั้นต้องพลัดตกลงไปได้ดี และหลังจากวันนั้นเธอก็รู้สึกถึงการจับจ้องของวโรดม พี่ชายต่างมารดาที่แทบไม่เคยพูดจากัน นอกเหนือจากตอนที่พาปลายมาศไปทรมาน

พี่ชายต่างมารดาของสิริกัญญาคนนี้ มักไม่ค่อยสนใจใครหรืออะไรเท่าไร ยกเว้นคนหรือสิ่งของที่เขาคิดว่าเป็นของตนเอง อย่างปลายมาศก็เป็นของเล่นที่เขาหวงแหนรองลงมาจากพี่สาวฝาแฝด ส่วนสิริกัญญาก็เป็นแค่ของไร้ค่าที่เขาไม่เคยปรายตามอง

และเพราะวโรดมไม่เคยสนใจน้องสาวทาส มันจึงทำให้หญิงสาวนึกแปลกใจกับท่าทางที่เปลี่ยนไปของพี่ชายต่างมารดาคนนี้ หลังจากที่อรัญญาตายจากไป เขาก็ทำตัวเงียบขรึม ไม่ค่อยเข้าสังคมอย่างที่แล้วมา แล้วเธอก็รู้สึกได้ว่าพี่ชายคนนี้มองเธอด้วยแววตาที่แปลกไป แววตาคู่นั้นไม่ได้สั่งสมเปลวเพลิงร้อนแรงดั่งเช่นที่แล้วมา มันถูกกองสุมด้วยแท่งน้ำแข็งเย็นยะเยียบ จนคนถูกจับจ้องรู้สึกเหมือนตกเข้าไปอยู่ในหุบแหวแห่งความตาย

แต่แล้วความคิดของสิริกัญญาก็ต้องสะดุดลง เมื่อคนมือไวลักจูบเธอเข้าให้อีกจนได้ หญิงสาวส่งเสียงในลำคออย่างขัดใจ พลางดันใบหน้าคมคายให้ออกไป แต่ชายหนุ่มก็กอบกุมมือเธอไว้แล้วขบริมฝีปากล่าง ก่อนผละออกมาหลังจากได้ลิ้มรสหวานจากดอกไม้งามจนหนำใจ

“พรุ่งนี้ไม่ต้องเอารถม้าออกนะ เดี๋ยวข้าจะไปรับ” ชายหนุ่มพูดพลางวกจูบริมฝีปากจิ้มลิ้มอีกครั้ง แล้วจากไปโดยทิ้งเสียงหัวเราะแฝงเลศนัยบางอย่างไว้เบื้องหลัง

“ข้าไม่รอท่านหรอก!”

สิริกัญญาตะโกนตามหลังที่ทิ้งระยะห่างจนไม่ได้ยินเสียงของเธอ พลางใช้หลังมือเช็ดริมฝีปากที่ถูกทิ้งสัมผัสลึกไว้ภายในไปมา และนึกเจ็บใจตัวเองที่ถูกเขาบังคับเอาจูบไปได้ทุกครา

- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -


หลังจากที่ราเชนไปหยอกแหย่ว่าที่คู่หมั้น ซึ่งกลายเป็นกิจวัตรที่ต้องทำทุกวันไปแล้ว ชายหนุ่มก็ตรงไปยังห้องทรงพระอักษรของเจ้าหลวงทันที เขาเคาะบานทวารเพื่อให้คนด้านในทราบถึงการมาของตัวเอง ก่อนผลักบานทวารเข้าไป และได้พบว่าเจ้าชายชัยนเรนทร์มาประทับรออยู่ก่อนด้วยสีพระพักตร์ที่เคร่งเครียด

“สิริกัญญาเป็นอย่างไรบ้างล่ะราเชน” เจ้าหลวงทรงวางม้วนกระดาษลง เมื่อเห็นว่าที่คู่หมั้นของหญิงสาวที่ทรงเอ่ยถึง นั่งลงบนชุดรับแขกด้วยใบหน้าคร่ำเครียดยิ่งกว่าตอนอยู่ด้านนอก

“นางยังไม่รู้อะไรพระเจ้าค่ะ ที่เหลือก็ขึ้นอยู่กับระยะเวลาว่าเราจะปิดนางไปได้อีกนานเท่าไร”

เจ้าหลวงถอนปัสสาสะออกมาอย่างหนักพระทัย พลางยกพระสุธารสกรุ่นไอร้อนขึ้นมาจิบ “ก็ยังดีกว่ารู้ตอนนี้ล่ะนะ แค่ข่าวหลุดรอดไปถึงหูจินดาได้ก็ยุ่งยากพอแล้ว ถ้าหลุดไปถึงตัวลูกสาวด้วยอีก ก็ยุ่งยากขึ้นอีกเป็นสองเท่า”

“กระหม่อมว่าข่าวนี่จงใจปล่อยออกมาให้ทางเรารู้” ราเชนเอ่ยด้วยท่าทางคิดหนัก เพราะเมื่อสืบต่อกลับไป ก็พบว่าที่ทาลางทูรยังไม่มีใครรู้ข่าวนี้เลย

“มันเป็นกับดักนั่นแหละ ส่วนจะล่อใครก็ต้องดูว่าคนปล่อยเป็นใคร” เจ้าหลวงตรัสด้วยสุรเสียงราบเรียบ และพระองค์ก็ยังไม่ได้บอกให้คนหนุ่มทราบถึงข้อสงสัยบางอย่างที่ผุดขึ้นมา

“กระหม่อมส่งคนตามรอยของท่านมานัยกับปลายมาศไปแล้ว” เจ้าชายชัยนเรนทร์ตรัสด้วยสุรเสียงราบเรียบไม่แพ้พระบิดา พลางลูบเรียวโอษฐ์ที่ถูกขบกัดจนเป็นแผลฟกช้ำไปทั้งแถบ “คนของกระหม่อมรายงานว่าร่องรอยสุดท้ายที่ตามได้ บอกถึงการปะทะกันของทั้งสองกับคนกลุ่มหนึ่ง”

สุรเสียงห้าวแหบแห้งลง เมื่อทรงนึกถึงตอนที่เสด็จตามกลุ่มสะกดรอยไป แล้วพบร่องรอยการต่อสู้ที่บอกให้รู้ว่าท่านมานัยกับปลายมาศถูกทำร้ายจนได้รับบาดเจ็บ และร่องรอยนั้นก็บอกว่าทั้งคู่หนีรอดจากการปะทะหมายคร่าชีวิตครั้งนี้ไปได้

“คนตามรอยของกระหม่อมพยายามตามหาร่องรอยของท่านมานัยกับปลายมาศ ซึ่งทางนั้นก็คงรีบเร่งตามรอยหาพวกเขาไม่แพ้เรา”

เจ้าหลวงทรงนวดเศียรที่ปวดจี๊ดไปมา ก่อนตวัดเนตรไปทางมุมมืดหนึ่งอย่างชั่งพระทัย “พอมีคนให้ข้าใช้ได้ โดยที่หน่วยพิฆาตไม่รู้บ้างไหม”

เจ้าชายชัยนเรนทร์ทอดพระเนตรมองพระบิดา ที่ตรัสกับเงามืดด้วยความสงสัยเช่นเดียวกับราเชน แล้วพระองค์ก็ขมวดพระขนงขึ้นมา เมื่อรู้สึกถึงการคงอยู่ของใครบางคน “ถ้าไม่นับกลุ่มอัษฎาวุธที่ตอนนี้ถูกทางหน่วยพิฆาตคอยจับการเคลื่อนไหว ก็เหลือแต่เงาของกระหม่อมประมาณสามถึงสี่คนพระเจ้าค่ะ”

“ก็ยังดีกว่าไม่มีล่ะนะ” เจ้าหลวงทรงพึมพำกับองค์เอง ดวงเนตรยังคงจับจ้องเงามืดที่มีเสียงคนที่เจ้าชายชัยนเรนทร์กับราเชนจำได้ดี ว่าเป็นเสียงของมหาดเล็กที่ชอบผลุบโผล่ไปมาเหมือนภูตผี

“ถ้าอย่างนั้นก็ส่งคนของเจ้าไปตามรอยหน่วยพิฆาตที่อยู่บูกิต ทางโน้นน่าจะมีข่าวบางอย่างเข้ามา และส่งใครก็ได้ไปประจำในทาลางทูรคนหนึ่ง ดูการเคลื่อนไหวภายในนั้นให้ดี แล้วส่งข่าวมาเป็นระยะ ข้าสังหรณ์ไม่ค่อยดีเท่าไร กลัวมือที่สามจะเป็นคนคุ้นเคยที่ข้าเข้าใจว่ามันควรตายไปตั้งนานแล้ว”

“คนคุ้นเคย?” เจ้าชายชัยนเรนทร์ตรัสขึ้นพร้อมกับราเชนด้วยท่าทีสงสัย

“โคตรเหง้าของงูพิษน่ะ” เจ้าหลวงตรัสด้วยสุรเสียงที่แสดงถึงความเกลียดชังอย่างไม่ปิดบัง ก่อนปรายเนตรไปยังคนในเงามืดอีกครั้ง

“สืบดูให้แน่ชัดว่าเป็นมันจริงหรือไม่ ไอ้สิงหนาท!”

- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -


สิริกัญญารู้สึกแปลกใจไม่น้อย ที่วันนี้หนึ่งกล้าไม่ออกมาต้อนรับเจ้านายตามปกติ อีกทั้งรอบบ้านยังเงียบกริบ ไม่มีวี่แววของหัวหน้าอารักษ์ให้เห็นแม้แต่เงา จะว่าผู้ดูแลมาเอามันไปเพื่อตรวจสุขภาพทุกไตรมาสก็ไม่น่าใช่ เพราะยังเหลือเวลาอีกอาทิตย์กว่าจึงจะถึงรอบตรวจของมัน

และเมื่อเดินเข้ามาใกล้บ้าน หญิงสาวก็รู้สึกสังหรณ์ไม่ดีขึ้นมา เมื่อเห็นประตูบ้านแง้มเปิดไว้ ร่างโปร่งบางเร่งฝีเท้าเดินเข้าไปด้านใน แล้วดวงตาสีน้ำเงินก็เบิกกว้างขึ้น ที่ได้เห็นวโรดมนั่งไขว้เท้า พลางยกขวดเหล้าขึ้นซดดื่มอยู่ในห้องรับแขก และที่ปลายเท้าของเขาก็มีร่างของหนึ่งกล้านอนส่งเสียงครางงี้ดง้าด ตามลำตัวมีรอยแผลเหวอะหวะคล้ายถูกของมีคมฟัน ซึ่งหลักฐานนั้นก็คือดาบประจำตัวหัวหน้ากองพันทหารราบ ที่ยังปักคาอยู่ในร่างของอารักษ์สี่ขา

“หนึ่งกล้า!” สิริกัญญาหวีดร้องเรียกหัวหน้าอารักษ์ที่ทำเพียงผงกศีรษะ และจ้องมองมายังเธอที่ถลาเข้าหาด้วยดวงตาน่าสงสาร หญิงสาวมองบาดแผลรอบตัวที่ยังมีเลือดไหลออกมาไม่หยุด ก่อนจบลงที่ดาบเล่มยาวที่ไม่รู้ว่าจะดึงออกมาอย่างไร เพื่อไม่ให้มันทรมาน

วโรดมกลั้วหัวเราะในลำคอ กับภาพใบหน้าปริ่มน้ำตาของน้องสาวทาสยามมองอารักษ์สี่ขา ซึ่งมันแปรเปลี่ยนเป็นโกรธเกรี้ยว เมื่อดวงตาคู่นั้นตวัดมองมาทางเขา ชายหนุ่มแสยะยิ้มอย่างมาดร้ายโดยไม่มีการปิดบัง ก่อนยักไหล่อย่างไม่รู้สึกผิดต่อการกระทำของตัวเอง

“ท่านทำกับหนึ่งกล้าแบบนี้ได้ยังไง” สิริกัญญาพยายามข่มเสียงที่สั่นเครือให้ราบเรียบ สองมือบีบกำแน่นเพื่อยับยั้งไม่ให้ตัวเองเข้าไปประทุษร้ายอีกฝ่าย

“ก็มันอยากขัดขวางไม่ให้ข้าเข้ามาในนี้ทำไม” วโรดมตอบอย่างไม่ยี่หระ แล้วหัวเราะออกมาอีกครั้งที่เห็นน้องสาวทาสพยายามระงับอารมณ์โกรธ แต่ดูเหมือนว่าหญิงสาวจะทำไม่สำเร็จ

“ท่านจะเข้ามาในนี้ทำไม พี่ปลายมาศไม่ได้มาอยู่รอให้ท่านจับไปทรมานเสียหน่อย”

ดวงตาสีแดงตวัดมองน้องสาวทาสด้วยแววตาดุดัน เมื่ออีกฝ่ายส่งวาจากรีดแทงมาให้เจ็บใจเล่น ชายหนุ่มเขวี้ยงขวดเหล้าเฉียดผ่านใบหน้าน้องสาวทาสจนขวดแตกกระจายที่พื้นด้านหลัง ก่อนหัวเราะออกมาเสียงเหี้ยม

“ระวังปากไว้สิริกัญญา อยู่ที่นี่เจ้ายังเป็นลูกทาส ถ้าข้าโมโหขึ้นมาจะจับตบให้เลือดกลบปาก” ชายหนุ่มใช้ปลอกดาบที่วางข้างกาย แตะแก้มนวลเนียนที่เบี่ยงหนีอย่างไม่ชอบใจ ก่อนทิ้งหลังพิงพนักอีกครั้ง แล้วมองน้องสาวทาสด้วยสายตาเยาะหยัน

“หึ! ทำอวดเก่งแบบนี้นี่เอง ถึงไม่มีใครบอกอะไรเจ้า สงสัยกลัวว่าจะไปทำเรื่องวุ่นให้ยุ่งขึ้นอีก”

“ท่านหมายความว่าไง”

วโรดมจุ๊ปาก พลางส่ายหน้าไปมากับความไม่รู้เรื่องรู้ราวของน้องสาว ความรู้สึกเกลียดชังยิ่งทวีคูณขึ้น เมื่ออีกฝ่ายได้รับแต่ความรักจากคนรอบข้าง และยังถูกปกป้องจากความผิดที่ตัวเองได้กระทำ ซึ่งแม้คนอื่นจะให้อภัย แต่เขาจะไม่ให้อภัยคนที่พรากพี่สาวที่รักของเขาไปเด็ดขาด

“ท่าทางจะไม่รู้จริงด้วยแฮะ” ชายหนุ่มทิ้งเสียงหึลงลำคอ พลางทำท่านึกว่าจะบอกอีกฝ่ายไปดีหรือไม่ ซึ่งคนไม่รู้เรื่องรู้ราวก็ทำท่ากระหายใคร่รู้ให้เขาเห็น “ไม่มีใครบอกเจ้าเลยหรือว่าพี่ชายของเจ้าถูกโจรป่าทำร้ายตอนออกแสวงบุญ ตอนนี้นอนพักรักษาตัวอยู่ที่บูกิต” และชายหนุ่มก็หัวเราะอย่างสมใจที่ได้เห็นท่าทางตะลึงงันของน้องสาวทาส

“ไม่จริง...” สิริกัญญาครางออกมาอย่างไม่อยากเชื่อ พี่ชายของเธอเป็นคนเก่ง จะถูกโจรป่าทำร้ายจนบาดเจ็บสาหัสอย่างที่วโรดมเล่าได้อย่างไร

“แล้วเจ้ารู้ได้ไงว่าไม่จริง” วโรดมย้อนถามกลับไปอีก ทำให้หญิงสาวเกิดอาการลังเลขึ้นมา

“แล้วท่านเอาเรื่องนี้มาบอกข้าทำไม”

อย่างน้อยสิริกัญญาก็นึกเฉลียวใจต่อการกระทำที่ผิดแปลกในครั้งนี้ของวโรดม หญิงสาวรู้สึกว่าเขามีแผนการบางอย่างที่ไม่น่าไว้วางใจ ประกอบกับในช่วงหลายวันที่ผ่านมาที่ได้เห็นสายตาของเขา ที่ส่งแววเยียบเย็นคล้ายอยากให้คนถูกจ้องแข็งตาย ด้วยความหวาดกลัวเสียตรงนั้น มันทำให้เธอไม่ไว้วางใจในตัวของพี่ชายต่างมารดาคนนี้เลย

วโรดมหัวเราะเสียงเบากับท่าทางคลางแคลงใจของน้องสาว ก่อนยักไหล่อย่างไม่อินังขังขอบต่อท่าทางนั้น “ยังไงปลายมาศก็เป็นของเล่นของข้า ตัวข้าน่ะพอรู้ข่าวก็คิดจะไปดูของเล่นของข้าเสียหน่อย ว่าบุบสลายไปมากน้อยแค่ไหน ส่วนตัวเจ้าก็เห็นว่าเป็นน้องรักของปลายมาศมัน แต่กลับไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไรสักอย่าง ก็เลยแวะมาบอกข่าว เผื่อว่าอยากไปเห็นใบหน้าใกล้ตายของพี่ชายสุดที่รัก”

สิริกัญญาขึงตาใส่คนตลกร้ายที่หัวเราะขบขันกับท่าทางโกรธเกรี้ยวของเธอ ซึ่งหญิงสาวไม่นึกเห็นขันที่อีกฝ่ายพูดถึงความเป็นความตายของปลายมาศได้หน้าตาเฉย

“ถ้าอยากไปดูหน้าพี่ชายของเจ้า ข้าจะสงเคราะห์พาไปด้วย ข้าจะออกเดินทางคืนนี้ หากเจ้าอยากไปก็ไปรอที่ป่าปัจฉิมตอนสองยาม” วโรดมบอกกำหนดการเดินทาง โดยไม่สนใจว่าสิริกัญญาจะตอบตกลงไปด้วยหรือไม่ ชายหนุ่มลุกขึ้นยืน พลางมองหัวหน้าอารักษ์สี่ขาด้วยแววตาสมเพช

“ท่าทางมันดูทรมานนะว่าไหม” ชายหนุ่มพูดพลางขยับด้ามดาบที่ยังปักตรึงอยู่ในร่างหนึ่งกล้าไปมา

“ท่านจะทำอะไร!” สิริกัญญาผวาเฮือกเข้าไปยับยั้งไม่ให้วโรดมทำอะไรสุ่มสี่สุ่มห้า พลางนึกเจ็บแค้นใจที่เธอไม่สามารถดึงดาบเล่มนี้ ออกจากร่างของอารักษ์ดุที่หมดสภาพได้ ด้วยจุดที่ดาบของวโรดมปักตรึงไว้ เป็นจุดที่ใกล้กับหัวใจของมันที่สุด หากดึงออกมาอย่างไม่ระวัง ก็เท่ากับว่าเธอได้ปลิดชีวิตมันด้วยมือของตัวเอง

“จะให้มันไปสบายไง” วโรดมหัวเราะเสียงเหี้ยม พลางยึดจับข้อมือเล็กของน้องสาวทาสที่พยายามผลักร่างของเขาให้ออกจากสุนัขแสนรัก ก่อนค่อย ๆ ดึงดาบของตัวเองออกมาอย่างเชื่องช้าและแผ่วเบา แล้วชั่วพริบตาที่ปลายดาบโผล่พ้นออกมาจากร่างของอารักษ์สี่ขา ชายหนุ่มก็ตวัดปลายดาบตัดผ่านลำคอหัวหน้าอารักษ์ดุที่กำลังจะกลายเป็นอดีตในไม่ช้า ซึ่งเขาก็ยังใจดี ยอมเหลือลมหายใจรวยระรินให้เจ้าของได้เอ่ยลามัน

“หนึ่งกล้า!”

สิริกัญญาหวีดร้องด้วยน้ำเสียงเหมือนคนที่จะขาดใจตายเสียให้ได้ เมื่อเห็นร่างสุนัขแสนรักกระตุกเฮือกขึ้นมา หญิงสาวอยากถลาเข้าไปหามัน แต่ก็ถูกยึดข้อมือไว้แน่น

“บอกลามันตรงนี้นี่แหละ” วโรดมเอ่ยด้วยน้ำเสียงเยียบเย็น เขาจะทำให้น้องสาวคนนี้ได้พบกับความสูญเสียที่เหมือนกับตัวเขา ให้รู้ว่าการได้เห็นของรักที่อยู่ตรงหน้าตายจากไป โดยทำอะไรไม่ได้นั้นเป็นอย่างไร

“ปล่อยข้านะ!” หญิงสาวพยายามชักข้อมือให้หลุดจากมือหนาแกร่งที่ยึดจับไว้ ก่อนยกเท้าขึ้นเตะข้อพับคนตัวใหญ่ จนร่างสูงทรุดฮวบอย่างไม่ทันตั้งตัว

ร่างโปร่งบางถลาไปหาหนึ่งกล้าทันทีที่ถูกปล่อยเป็นอิสระ มือเรียวลูบขนตรงลำคอและศีรษะของสุนัขแสนรัก ที่ส่งสายตามองมาเธอด้วยดวงตาอมเศร้า ดูเหมือนมันจะรู้ว่าตนเองใกล้ตายเต็มที จึงพยายามส่งเสียงเรียกหาเจ้านาย แต่มันก็สำลักเลือดที่คั่งอยู่ในลำคอ มันจึงทำได้เพียงเลียมือบอบบางด้วยอาการสั่นเทา

วโรดมทิ้งเสียงหึลงคอ ก่อนเดินออกไปจากบ้านจันทร์กระจ่าง โดยทิ้งเจ้าของบ้านที่นั่งมองสุนัขแสนรักที่ค่อย ๆ หมดลมหายใจอย่างเชื่องช้า หญิงสาวลูบศีรษะมันไปมาหนัก ๆ ก่อนกัดฟันกลั้นเสียงสะอื้นไม่ให้หลุดลอดออกมา ขณะที่น้ำตาเอ่อคลออยู่เต็มเบ้าจนทำให้เธอมองภาพร่างสีดำที่แน่นิ่งไปไม่ชัด

สิริกัญญาระบายลมหายใจออกมาทางปาก ก่อนเอ่ยเรียกหัวหน้าอารักษ์ด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ “หนึ่งกล้า...” หญิงสาวพูดพลางลูบผ่านดวงตาที่เบิกกว้างให้ปิดลง แล้วหยาดน้ำตาก็รวยรินหยดต้องขนสีดำ โดยมีเสียงสะอื้นหลุดออกมาแผ่วเบา

“หนึ่งกล้า ข้าขอโทษ...ข้าขอโทษ...”

- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -


ดวงตาสีน้ำเงินทอดมองเปลวไฟที่ลุกโชติช่วงขึ้นมาด้วยแววตาเหม่อลอย น้ำตาที่หยุดไหลมานับครั้งไม่ถ้วนเริ่มไหลรินลงมาอีกครั้ง เมื่อสายตาพลัดไปมองร่างที่อยู่ในกองไฟ ที่มีคนสนิทของพี่ชายคอยช่วยสุมเพลิง เพื่อไม่ให้มันมอดดับ หญิงสาวกัดฟันแล้วกลืนก้อนสะอื้นลงคอ ก่อนยกมือขึ้นปาดน้ำตาให้แห้งเหือดไป

เมื่อตอนหัวค่ำ หลังจากที่สิริกัญญาทำความสะอาดร่างกายให้หนึ่งกล้าเรียบร้อย หญิงสาวก็จัดการทำความสะอาดร่างกายตนเองต่อ แล้วหาชุดของเด็กหนุ่มบ้านป่าที่ไม่ได้สวมใส่มานานออกมา เธอลังเลอยู่นานสองนานว่าจะไปตามที่วโรดมนัดไว้ดีหรือไม่ เพราะเขาได้ทิ้งแผลไว้ในใจ จนเธอไม่อยากไปพบเขาเลย แต่เรื่องของปลายมาศก็ทำให้เธอมองข้ามไปไม่ได้เช่นกัน

แม้ไม่รู้ว่าสิ่งที่วโรดมพูดจะเป็นจริงหรือเท็จ และเธอก็หาข้อสูจน์กับใครไม่ได้ ด้วยกลัวว่าหากคนที่เธอไปถามจะระแคะระคายถึงจุดประสงค์ของเธอขึ้นมา เธออาจจะถูกจับตามอง และไปไหนมาไหนอย่างอิสระไม่ได้ ซึ่งไม่ว่ามันจะเป็นเรื่องจริงหรือเท็จ เรื่องที่เธอจะถูกจับตาก็คงไม่เปลี่ยนไป

สิริกัญญาเริ่มรวบผมและลงมือถักเปียเดี่ยวแน่น หลังจากที่สวมชุดหนุ่มบ้านป่าเรียบร้อย และระหว่างนั้น หญิงสาวก็ทบทวนแผนที่ไปบูกิตไปมา ซึ่งหากเกิดเรื่องไม่คาดฝัน เธอก็จะหลบหนีไปบูกิต เพื่อสืบเรื่องของพี่ชายตามลำพัง

นับเป็นความโชคดีที่สิริกัญญาได้เรียนวิชาป้องกันตัวจากมานัย ซึ่งหลังจากที่อาจารย์คนแรกได้จากไปเพื่อออกแสวงบุญ อาจารย์คนที่สองหรือก็คือปลายบุญ ก็ได้เข้ามารับช่วงต่อเพื่อสอนวิชาป้องกันตัวตามคำสั่งของท่านจินดาทันที และคนสนิทของบิดาก็ไม่ได้สอนวิชาป้องกันตัวให้หญิงสาวเท่านั้น เขายังสอนวิชาต่อสู้ด้วยมือเปล่าให้เธอเป็นของแถมอีกด้วย

มือเรียวลูบมีดสั้นที่ได้รับจากอาจารย์คนแรกไปมา ก่อนเหน็บซ่อนมันไว้ใต้ผ้าคาดเอว เพื่อขอให้มันเป็นเครื่องรางตามที่อาจารย์ว่า หญิงสาวไม่คิดฝากความหวังไว้ที่ฝีมือของตัวเอง เพราะเธอเป็นแค่เพียงผู้เริ่มต้น ที่พอป้องกันตัวเองได้อย่างกล้อมแกล้มเท่านั้น เธอรู้ดีว่าตัวเองไม่อาจปะทะกับพี่ชายต่างมารดา ที่เป็นถึงหัวหน้ากองพันทหารราบได้ นอกเสียจากจะใช้วิชาหลบหนีเอาตัวรอดไป

แล้วภาพของราเชนก็ปรากฏขึ้นมาในห้วงความคิด เมื่อเธอตัดสินใจเด็ดขาดว่าจะไปบูกิตกับวโรดม ซึ่งเขาต้องกล่าวหาเธอว่าบ้าที่คิดจะไปกับพี่ชายต่างมารดา ทั้งที่รู้ว่ามันอันตรายยิ่งกว่าการได้เจอโจรบ้ากามแน่ หญิงสาวปลดสร้อยที่สวมประจำออก แล้วหยิบแหวนมรกตที่คล้องติดคอมาตลอดสิบปีโดยไม่เคยสวมใส่ นี่คงเป็นเครื่องรางอีกชิ้นที่เธอจะพกติดตัวไป พอคิดได้ดังนั้น เธอก็หานิ้วที่สามารถสวมมันได้ทันที

กว่าสิริกัญญาจะเตรียมสัมภาระเรียบร้อย ก็เหลือเวลาอีกไม่ถึงชั่วยามในการเดินทางไปพบกับวโรดมที่จุดนัดหมาย ซึ่งเธอต้องจัดการกับศพของหนึ่งกล้าให้เรียบร้อยก่อนจากไป หญิงสาวรีบไปหาติณ คนสนิทของพี่ชายที่เธอไว้วางใจที่สุด

“ท่านสิริกัญญาขอรับ” น้ำเสียงที่แสดงความเป็นห่วงของติณ ช่วยฉุดสติของหญิงสาวให้กลับคืนมาสู่ปัจจุบัน และหันไปมองคนสนิทของพี่ชายที่มองเธอด้วยท่าทางห่วงกังวล

“จะไปตามหาท่านปลายมาศจริงหรือขอรับ”

“ข้าอยากไปพิสูจน์ดูให้รู้ว่าสิ่งที่วโรดมพูดเป็นความจริงหรือไม่” หากเป็นเมื่อก่อน สิริกัญญาคงมีคำนำหน้าให้คนที่กล่าวถึง แต่เรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อเย็นทำให้เธอหมดศรัทธาที่จะเรียกอีกฝ่ายว่าพี่ชายต่อไป

“ให้ข้าตามไปด้วยไม่ได้หรือครับ” ติณไม่ได้เอ่ยปากห้าม ด้วยรู้ดีถึงนิสัยของหญิงสาวที่พอได้ตัดสินใจทำอะไรลงไป ใครก็ห้ามรั้งเธอไว้ไม่ได้

สิริกัญญาส่ายหน้าไปมา พลางส่งยิ้มขอโทษให้คนสนิทของพี่ชาย “ข้าไปคนเดียวคล่องตัวกว่าจ้ะ ขอโทษที่ต้องให้มารับรู้ความเอาแต่ใจของข้า”

ติณยิ้มน้อย พลางมองน้องสาวเจ้านายด้วยสายตาห่วงใย “ก็ยังดีกว่าไม่รู้อะไรเลยขอรับ และมันคงทำให้ข้าห่วงท่านมากขึ้น” แต่ชายหนุ่มก็ไม่ได้บอกออกไป ว่าใจจริงแล้วเขาห่วงหญิงสาวเสียเต็มประดา นับตั้งแต่รู้ว่าเธอจะไปหาข่าวของปลายมาศที่บูกิต

“ข้าฝากจัดการเรื่องของหนึ่งกล้าต่อด้วยนะ” สิริกัญญาข่มฟันไว้ไม่ให้หลุดเสียงสะอื้น ยามเอ่ยถึงสุนัขแสนรักอีกครั้ง

“ครับ” ติณพูดพลางมองร่างโปร่งบางที่พาดถุงสัมภาระไว้บนบ่า ก่อนเดินจากไปจนหายลับไปกับความมืด และเมื่อลับร่างของหญิงสาวไป ร่างของใครอีกคนหนึ่งก็ปรากฏขึ้นมา

“ทำไมถึงไม่ห้ามท่านสิริกัญญา” เสียงทุ้มดุบอกถึงความสงสัย ซึ่งทำให้ติณหันไปมองเจ้าของเสียงด้วยแววตาอ่อนล้า

“หากห้ามได้มีหรือที่ข้าจะไม่ห้าม”

ปลายบุญมองติณที่ห่อไหล่ลู่ลงด้วยแววตากึ่งเห็นใจกึ่งสงสาร เขารับรู้ความรู้สึกของอีกฝ่ายที่มีต่อลูกสาวของเจ้านายมาตลอด และเขาไม่เคยคิดสนับสนุนความรู้สึกนี้ของชายหนุ่มเลยสักครั้ง ซึ่งติณก็ยอมรับมาตั้งแต่แรก จึงได้แต่เฝ้าเก็บงำความรักของตัวเองโดยไม่มีใครรู้

“แล้วเจ้าคิดจะทำอย่างไรต่อไป คงไม่ปล่อยท่านสิริกัญญาให้ไปเจออันตรายแบบนี้หรอกนะ”

“มันขึ้นอยู่กับว่าเจ้าปาเยนทร์จะไปห้ามท่านสิริกัญญาได้ทันหรือไม่ ข้าเองก็ได้แต่เฝ้าภาวนาขอให้นางไม่เป็นอะไร”



Create Date : 18 มีนาคม 2551
Last Update : 18 มีนาคม 2551 22:34:45 น.
Counter : 288 Pageviews.

1 comments
  
นาสงสารหนึ่งกล้า เราอ่านแล้วยังร้องให้ตามเลย แตก็เข้าใจวโรดมที่คงจะรักอรัญญามาก เฮ้อแย่จัง แต่ก็รีบมาอัพนะค่ะ
โดย: ตัวเล็ก IP: 203.158.4.155 วันที่: 19 มีนาคม 2551 เวลา:16:34:44 น.
ชื่อ :
Comment :
 *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

ฌา
Location :
  

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]



New Comments
All Blog