ดั่งนกในกรง 3
เสียงเจี๊ยวจ๊าวของสองแฝดจอมซนดังมาให้ได้ยินเป็นระยะ เสียงนั้นคลายความหมองเศร้าจากความสูญเสียไปมากจนนิชาภารู้สึกสบายใจขึ้นมาก ยิ่งมีเสียงเอ็ดตะโรของคุณนายอรอุมากับเสียงของนิชดาคอยเฝ้าขัดมารดาดังเช่นปกติ ก็นับได้ว่าทุกอย่างเกือบเข้าสู่สภาวะปกติ

ในความเป็นจริงแล้ว นิชาภาไม่ได้รังเกียจกรงคับแคบของมารดาหรอก แต่บางครั้งก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าเหนื่อยกับการถูกชี้นำ และการยัดเยียดอย่างไม่มีที่สิ้นสุด แม้ว่าสิ่งเหล่านั้นจะเกิดขึ้นเพราะความปรารถนาดีอย่างมากล้นก็ตาม

มีหลายครั้งทีเดียวที่หญิงสาวนึกอยากบินออกไปจากกรงของมารดา หากความจริงอันโหดร้ายคอยย้ำเตือนเธออยู่เสมอว่า โลกกว้างที่อยู่เบื้องหน้าไม่ใช่สิ่งที่เธอเคยคุ้น และถึงเธอจะบินหนีออกไปหลายร้อยหลายพันหน เธอก็ยังต้องกลับคืนรัง เพราะเธอไม่อาจหนีไปจากสภาพของนกที่ถูกเลี้ยงได้

ตอนที่สูญเสียนายภานพผู้เป็นบิดาไป นิชาภารู้สึกได้ว่าโลกในกรงของเธอเริ่มบิดเบี้ยว และน่าหวั่นว่าจะพังทลายลงอย่างยับเยิน หากเธอต้องสูญเสียคุณนายอรอุมาผู้เปรียบดั่งโลกทั้งใบของเธอไปอีก

ท่อนแขนผอมบางยกขึ้นกอดกายตัวเองด้วยอาการหนาวจิต ไม่มีใครรู้ว่าภายใต้ท่าทางราบเรียบของนิชาภาซ่อนความอ่อนแอของตัวเองไว้อย่างมิดชิด หญิงสาวไม่อยากให้ใครรู้ว่า โลกตรงหน้านี้ดูบิดเบี้ยวและโคลงเคลงจนแทบจะพยุงกายไว้ไม่อยู่ สภาพของมันก็คงไม่ผิดแผกไปจากกรงที่ถูกแขวนอยู่บนเพดาน และถูกลมพายุจากภายนอกพัดพาเอากระมัง

นิชาภาส่ายหน้ากับตัวเอง ก่อนถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ แล้วไพล่คิดไปถึงคนที่จัดหาบ้านหลังใหม่ให้ เธอไม่ได้เห็นความเปลี่ยนแปลงของเขา นอกจากคำบอกเล่าของคนรอบข้างที่บอกว่าอีกฝ่ายเปลี่ยนแปลงไปมากราวคนละคน ซึ่งในใจส่วนลึกก็นึกอยากรู้เหมือนกันว่า คนที่ชอบไว้เครารกรุงรังเหมือนขุนโจร และมีดวงตาราวปลาตายจะเปลี่ยนไปในรูปแบบไหน

“เฮ้ย! ปาดัง กลับมา!!”

เสียงทุ้มติดแววดุที่ร้องอุทานออกมาดังลั่นดึงความคิดของนิชาภาออกมาสู่โลกภายนอก หญิงสาวตวัดสายตามองไปทางต้นเสียง แล้วได้เห็นภาพของชายหนุ่มคนหนึ่งที่วิ่งมาทางเธอด้วยท่าทางตกใจ ซึ่งพอเธอลดระดับสายตาลงก็ได้เห็นสุนัขพันธุ์โกลเด้นรีทีฟเวอร์ขนสีน้ำตาลกระโจนเข้าใส่ จนร่างบอบบางผงะหงายไปตามแรงโถมของสัตว์หน้าขน

“ว้าย!” หญิงสาวหลุดคำอุทานออกมาได้คำเดียวก็ต้องร้องฮื้อ เมื่อเจ้าตัวยักษ์ที่คร่อมทับอยู่บนร่างพยายามใช้ลิ้นที่ชุ่มฉ่ำด้วยน้ำลายเลียใบหน้าขาวผ่องด้วยท่าทางเหมือนเด็กเล็กที่เจอของเล่นถูกใจ

“อะไรกัน! หยุดนะ!!”

“เฮ้ย! ปาดัง...ออกมา” เจ้าของเสียงอุทานพยายามดึงเจ้าตัวยุ่งออกมาจากหญิงสาวที่ปัดป่ายใบหน้าที่เต็มไปด้วยขนหนาฟูไม่ให้เข้ามาเลียใบหน้าตัวเอง แต่น่าเสียดายที่เขาไม่ได้ใส่โซ่ให้มัน ชายหนุ่มจึงต้องใช้เรี่ยวแรงทั้งหมดยกเจ้าตัวยักษ์ที่ดิ้นไปมาไม่ยอมหยุด

“ปาดัง!!”

“นั่งลงเดี๋ยวนี้!!”

สองเสียงดังขึ้นแทบจะพร้อมกัน โดยเสียงที่สองนั้นเป็นของนิชาภาที่ชักจะเกินทนกับเจ้าขนฟูตัวหนักที่ยุ่มย่ามกับเธอไม่เลิก อีกทั้งคนที่เดาว่าน่าจะเป็นเจ้าของมันยังห้ามปรามไม่อยู่จึงดุด้วยน้ำเสียงเด็ดขาด และทันทีที่สิ้นเสียงของหญิงสาว รีทีฟเวอร์สีน้ำตาลก็เปลี่ยนท่าทีเป็นนั่งตรงตามคำสั่ง โดยไม่ต้องออกคำสั่งซ้ำ

สิงค์มองจอมซนที่ไม่ค่อยจะเชื่อฟังคำสั่งของเขาด้วยท่าทางไม่อยากเชื่อ พลางนึกหมั่นไส้เจ้ารีทีฟเวอร์ขนฟูขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้ เมื่อมันดันปฏิบัติตามคำสั่งอย่างเคร่งครัดเฉพาะกับผู้หญิง เขามองเจ้าตัวดีที่นั่งลิ้นห้อย พลางตบหางขนฟูกับพื้นด้วยท่าทางระริกระรี้ ก่อนหันไปมองคู่กรณีที่ปรับเปลี่ยนสีหน้าเป็นเรียบเฉยไร้อารมณ์อย่างรวดเร็ว ทั้งที่เมื่อครู่เขายังเห็นเธอทำท่าโศกเศร้าอยู่แท้ ๆ

ในตอนแรกสิงค์ไม่ได้ตั้งใจจะแอบดูหญิงสาวคนนี้ที่เดินล่วงผ่านเข้ามาในอาณาเขตบ้านของเขาโดยไม่รู้ตัวเท่าไรหรอก แต่เพราะบรรยากาศรอบกายและสีหน้าของเธอทำให้เขาที่กำลังพาสัตว์เลี้ยงของน้องสาวออกมาเดินเล่นจำต้องหาที่หลบอย่างช่วยไม่ได้

ร่างบอบบางที่ดูแล้วเหมือนจะถูกพัดปลิวหายไปตามลมมีบรรยากาศหมองหม่นปกคลุมอยู่รอบกายบางเบา สีหน้าที่ประดับอยู่บนดวงหน้าพริ้มเพราก็ฉาบฉายด้วยความโศกสลด ซึ่งเครื่องแต่งกายสีดำที่หญิงสาวสวมใส่ดูจะบอกเหตุผลได้ดีว่า เมื่อไม่นานมานี้เธอคงสูญเสียใครบางคนในครอบครัวไป

“ขอโทษทีนะ หมาผมมันเห็นผู้หญิงทีไรแล้วชอบวิ่งเข้าหาทุกที”

นิชาภาหันไปสบตากับสิงค์เต็มตา หลังจากที่มั่นใจว่าเจ้ายักษ์ขนฟูตัวหนักจะไม่พุ่งเข้ามาทับเธออีกด้วยแววตากึ่งสงสัยกึ่งกล่าวหา ชายหนุ่มพอจะเดาความหมายในดวงตาคู่นั้นได้ จึงกลั้วหัวเราะตอบกลับด้วยความขบขัน

“แต่ผมขอบอกไว้ก่อนนะว่าเจ้านี่ไม่ใช่หมาผม ผมแค่พามันออกมาเดินเล่นแทนเจ้าของ”

“เดินเล่น? ในสวน?”

สิงค์แย้มยิ้มกว้างจนเห็นลักยิ้มบุ๋มเข้าไปในแก้มทั้งสองข้าง แล้วพยักหน้ายืนยันท่าทางไม่แน่ใจของหญิงสาว “ใช่ ผมพามันมาเดินเล่นในสวนของบ้านผม”

คำตอบของชายหนุ่มแปลกหน้าที่มีสุนัขไฮเปอร์ ทำให้นิชาภาหันไปตามทางที่ตัวเองเดินมาทันที เธอยังอยู่บนเส้นทางหินกรวดที่ยังไม่เห็นปลายทาง ซึ่งไม่มีสิ่งไหนมาบอกว่า เธอได้ล่วงผ่านเข้าสู่อาณาเขตของคนอื่นเลยสักนิด และแววตาที่สับสนงุนงงคู่นั้นก็เรียกเสียงหัวเราะบางเบาจากเจ้าของอาณาเขต

“คุณไม่ต้องมองหารั้วหรือเขตแดนแบ่งแยกหรอก เพราะมันไม่มีตั้งแต่แรกแล้ว”

นิชาภาหันมาสบตากับสิงค์อีกครั้ง ดวงตายังทอแววสงสัยแต่ก็ไม่ได้เอ่ยออกไปตามใจคิด นอกจากพยักหน้ารับรู้คำบอกเล่าเท่านั้น “ถ้าอย่างนั้น ฉันต้องขอโทษที่บุกรุกเข้ามาในอาณาเขตของคุณนะคะ” หญิงสาวพูดพลางพยุงกายลุกขึ้น แต่ดูท่าเธอจะมีปัญหาเข้าเสียแล้ว เมื่อการหกล้มจากการถูกเจ้าตัวยักษ์พุ่งเข้าใส่ทำให้ข้อเท้าแพลงขึ้นมา

“ผมช่วยนะ” สิงค์พูดพลางยื่นมือข้างหนึ่งไปตรงหน้านิชาภา หญิงสาวมองมือข้างนั้นอย่างชั่งใจ ก่อนตัดสินใจวางมือลง แล้วหลุดคำขอบคุณออกมาแผ่วเบา

“ขอบคุณค่ะ”

มือบอบบางที่วางลงมานั้นดูเล็กและเย็นชืด ทั้งที่อากาศโดยรอบก็ไม่ได้เย็นอะไรนักหนา สิงค์กุมมือเรียวเล็กไว้ในอุ้งมือ แล้วออกแรงดึงร่างบอบบางให้ลุกขึ้นยืนเต็มความสูง แต่ท่าทางของหญิงสาวดูแย่อยู่ไม่น้อย เมื่อเธอใช้มืออีกข้างคว้าจับท่อนแขนของเขาเพื่อเป็นหลักยึดไว้แน่น

“ท่าทางเจ้าปาดังจะทำคุณข้อเท้าแพลงนะ เจ็บมากไหม”

นิชาภาลองทิ้งน้ำนักลงบนขาข้างที่เจ็บ แล้วความปวดก็แล่นริ้วขึ้นมาจนต้องนิ่วหน้า “ไม่...” หญิงสาวตอบเสียงพร่า พยายามข่มความเจ็บไว้สุดฤทธิ์ แต่ดูท่าจะคุมไว้ไม่ไหว “...ฉันคิดว่าไม่เจ็บมากเท่าไร”

สิงค์ไม่ค่อยอยากจะเชื่อคำตอบของคนตัวเล็กที่ซุกซ่อนอารมณ์ความเจ็บปวดไว้มิดชิดเท่าไร ชายหนุ่มอยากเชื่อในสิ่งที่ตาเห็น ซึ่งภาพที่เขาเห็นตรงหน้านี้คือ เจ้าของดวงหน้าพริ้มเพรากำลังขมวดคิ้วยุ่ง อีกทั้งริมฝีปากสีแดงอิ่มเอิบก็ปิดเม้มแน่น เพื่อกั้นเสียงต่าง ๆ ไม่ให้หลุดรอดออกมา

“ขอโทษนะ” ชายหนุ่มพูดพลางทรุดเข่าข้างหนึ่งลงกับพื้น โดยที่อีกฝ่ายไม่ทันตั้งตัว แล้วมือใหญ่ก็จับข้อเท้าเล็กบอบบางที่แทบจะหักคามือของเขาได้ แค่เขาจับข้อเท้าและออกแรงบีบเล็กน้อย หญิงสาวก็ร้องโอดโอยออกมาทันที

“โอ๊ย!!”

ร่างบอบบางผวาเข้าเกาะบ่ากว้างที่เป็นหลักยึดเพียงอย่างเดียวที่จะให้เธอพยุงกายยืนอยู่ได้ แต่ครั้นจะผละห่างออกมา ร่างกายก็พลันจะผงะหงายไปเบื้องหลัง ซึ่งหากไม่ได้ท่อนแขนแข็งแรงคอยช่วยพยุงตัวเธอไว้ มีหวังเธอต้องล้มฟาดพื้นอีกเป็นรอบที่สองแน่

“ไม่ใช่ไม่เจ็บมากแล้วมั้ง นี่มันเจ็บมากเลยต่างหาก” สิงค์เน้นคำสองคำประชดหญิงสาวที่ส่งสายตาไม่พอใจมาให้

“จริงอยู่ที่ฉันเจ็บข้อเท้า แต่คุณก็ไม่ควรทำแบบนี้เพื่อให้ฉันเจ็บมากขึ้น”

คิ้วหนาเลิกขึ้นสูงกับคำตอบโต้ของหญิงสาว แล้วร่างสูงใหญ่ราวยักษ์ปักหลั่นของสิงค์ก็ลุกขึ้นยืน โดยที่แขนแข็งแรงยังคงเป็นหลักยึดของคนตรงหน้าเหมือนเดิม “ผมเดาว่าต่อให้ถามคุณไป คุณก็คงปฏิเสธเหมือนเดิมนั่นล่ะ ผมแค่อยากรู้ว่าคุณพอจะเดินไหวไหม”

“ฉันคิดว่าพอจะเดินไหว” นิชาภาตอบกลับ แล้วเม้มริมฝีปากแน่นเมื่อการขยับเท้าแต่ละที ทำให้เกิดอาการเจ็บแปลบทุกครั้ง

“อย่าคิดสิ ถ้าเดินไม่ไหว ผมจะได้อุ้มไปส่ง ถ้าฝืนเดินเดี๋ยวมันจะแย่เอา” สิงค์ส่ายหน้าให้กับท่าทางที่เหมือนเด็กดื้อ ทั้งที่ท่าทีภายนอกออกจะดูว่าง่าย แต่ภายในคงจะว่าไม่ง่ายเสียแล้ว

“ฉันจะเดินค่ะ”

“ถ้าอย่างนั้น ผมจะช่วยพยุงไปส่ง” น้ำเสียงเด็ดขาดบอกถึงการไม่ยอมความเช่นกัน อีกทั้งดวงตาคมติดจะดุก็บอกมาแล้วว่า หากไม่เลือกข้อนี้ นิชาภาจะได้อีกข้อไปอย่างไม่เต็มใจแน่ หญิงสาวจึงพยักหน้าตอบอย่างเสียไม่ได้

“ขอบคุณค่ะ”





นิชาภาไม่เคยคิดว่าความเงียบจะทำให้เธอรู้สึกอึดอัดได้มากขนาดนี้ หรือสาเหตุที่ทำให้เธอรู้สึกเช่นนี้ได้ อาจมาจากผู้ชายตัวสูงใหญ่ราวยักษ์ที่เอื้อเฟื้อท่อนแขนให้เธอใช้เป็นหลักยึด เพราะนับตั้งแต่อีกฝ่ายอาสาพาเธอมาส่งก็ทำสีหน้าเคร่งขรึมผิดกับเมื่อครู่ราวคนละคน

“นานเหลือเกินที่บ้านหลังนั้นไม่มีคนมาอยู่” สิงค์หลุดเสียงพึมพำออกมาท่ามกลางเสียงเสียดสีของใบไม้กับสายลม ชายหนุ่มเหลือบสายตาไปมองหญิงสาวที่เงยหน้าขึ้นมองใบหน้าด้านข้างของเขาด้วยแววตาที่เต็มไปด้วยความสงสัย แต่ไม่มีความสนใจที่คิดจะไต่ถาม

“รู้ไหม ผมเคยเป็นคนสวนของที่บ้านโน้นนะ ที่นั่นมีคู่สามีภรรยาชาวอิตาเลียนกับลูกสาวคนหนึ่ง เธอสวยมากเทียวล่ะ” ชายหนุ่มหลุดเสียงรำพึงในประโยคสุดท้าย ก่อนระบายลมหายใจออกมายาวเหยียด แล้วคลี่ยิ้มยามนึกถึงลูกสาวเจ้าของบ้านหลังนั้น

“แต่น่าเสียดายที่ต้องมาตายตั้งแต่ยังสาว แล้วพ่อแม่ของเธอก็รับไม่ได้กับการจากไปของเธอ เลยพากันกลับประเทศของตัวเอง เจ้าของบ้านอีกหลังที่คุณหลงเดินเข้าไปเลยซื้อบ้านหลังนั้นไว้ แต่ถึงอย่างนั้นก็ไม่มีใครอยากไปอยู่บ้านหลังนั้นสักคน เพราะมีคนลือกันว่าเห็นเงาของหญิงสาวชาวต่างชาติเดินวนเวียนไปมาอยู่ในบ้านหลังนั้น เขาว่ากันว่าเธอกำลังตามหาคนรักที่ไปรบแล้วไม่ยอมกลับมา”

ในตอนแรกนิชาภาไม่เข้าใจว่า อีกฝ่ายเล่าเรื่องบ้านที่เธอกับครอบครัวเข้ามาอยู่ทำไม ซึ่งพอฟังจบ หญิงสาวก็ระบายลมหายใจอย่างอ่อนใจ ก่อนมองคนตัวโตที่เลิกคิ้ว พลางหยักยกมุมปากขึ้นยิ้มเล็กน้อยด้วยแววตาที่ติดไปในทางไม่ค่อยพอใจเท่าไร

“ฉันไม่ใช่เด็กแล้วนะคะ จะได้มากลัวผีสางนางไม้”

“เอ้า! นี่ผมพูดจริงนะ” สิงค์เอ่ยประท้วง เมื่ออีกฝ่ายบอกอาการไม่เชื่อถือคำพูดของเขาให้เห็นเด่นชัด

“เรื่องไหนคะที่เป็นเรื่องจริงของคุณ”

“ก็เรื่องจริงทุกเรื่องนั่นแหละ” ชายหนุ่มตอบเสียงขึงขัง แต่ดวงตาคมวาวของหญิงสาวที่บอกว่าอยากจะแล่เนื้อเขาออกมาแทนมีดทำให้ต้องสารภาพความจริงออกไป “ยกเว้นเรื่องวิญญาณล่ะนะ แต่เขาว่าไม่เชื่ออย่าลบหลู่นา”

นิชาภาถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ พลางนึกพาลอยากจะปฏิเสธท่อนแขนของคนหวังดีเหลือเกิน แต่ดูเหมือนอีกฝ่ายจะเดาความคิดของเธอได้ จึงตะปบมือเรียวบางที่ทำท่าจะถอนมือออกอย่างรวดเร็ว หญิงสาวจึงจ้องคนตัวโตเขม็ง

“ฉันว่าวิญญาณไม่น่ากลัวเท่าไรหรอกค่ะ อย่างมาก็แค่หลอกให้กลัว หรือตกตายไปเลย แต่คนมีชีวิตอย่างเรานี่ไม่รู้เลยว่าจะมาแบบไหน”

“ผมรู้สึกเหมือนกับว่าจะถูกหลอกด่าอยู่นะ” สิงค์พูดเสียงขรึม พลางมองหญิงสาวข้างกายที่เชิดหน้าบอกอาการคล้ายท้าทายตอบกลับมา

“ถ้าไม่ใช่ก็อย่าร้อนตัวรับสิคะ”

ยังไม่ทันที่สิงค์จะได้ต่อความยาวสาวความยืด ความสนใจของพวกเขาก็ถูกดึงให้หันไปมองรีทีฟเวอร์ขนฟูที่ส่งเสียงเห่า ก่อนวิ่งฉิวไปยังหญิงวัยกลางคนที่กำลังเดินออกมายังลานมุขหน้าบ้านยุโรปทรงเมดิเตอร์เรเนียนที่อดีตคนสวนไม่ได้แวะมานานถึงสิบปีเต็ม ซึ่งเธอกำลังร้องเอะอะโวยวายด้วยความตกใจ เมื่อเจ้าสัตว์หน้าขนที่ไหนไม่รู้กระโจนเข้าใส่เธออย่างไม่ทันได้ตั้งตัว

“ว้าย! หมาตัวนี้มันอะไรกัน!”

เสียงร้องโหวกเหวกของคุณนายอรอุมาทำให้เด็กฝาแฝดที่เล่นเกมหาขุมทรัพย์อยู่ไม่ไกลเท่าไรวิ่งมาดูคุณยายที่ส่งเสียงร้องไม่คุ้นหู จนกระทั่งได้เห็นเจ้ารีทีฟเวอร์ที่ทำท่าจะเข้าไปเลียหน้าคุณนาย ดวงตากลมโตสองคู่ก็ทอแวววาววับ แล้วพร้อมใจกันวิ่งเฮไปร่วมวงไพบูลย์ด้วยทันที

สิงค์ผิวปากด้วยความชอบใจ เมื่อเจ้าหมาไฮเปอร์ร้องหงิงกับร่างเล็กสองร่างที่ปีนป่ายขึ้นมาบนตัว พลางกอดรัดฟัดเหวี่ยงด้วยเรี่ยวแรงน้อยนิดที่ทำเอาเจ้าหมายักษ์แทบกระอัก คุณนายอรอุมาที่เพิ่งได้มีโอกาสตั้งตัวก็รีบกวาดตามองหาเจ้าของสุนัขด้วยสายตาขุ่นมัว จนมาหยุดอยู่ที่ภาพของลูกสาวคนโตที่กำลังคล้องแขนชายหนุ่มคนหนึ่งที่ค้อมศีรษะให้เธอทันทีที่ได้สบตาด้วย

คุณนายอรอุมาขมวดคิ้วด้วยความไม่ชอบใจเท่าไร เมื่อมองดูชายหนุ่มที่มีรูปร่างสูงใหญ่เกินมาตรฐานกำลังเป็นหลักพยุงให้ลูกสาวคนโตที่เดินกะโผลกกะเผลกเหมือนคนที่ไปประสบอุปัทวเหตุมา

“เก็บของเสร็จแล้วหรือคะ” นิชาภาเอ่ยถามเมื่อมาหยุดยืนอยู่ตรงหน้ามารดา

“เก็บเสร็จเรียบร้อยแล้วจ้ะ ดูเหมือนหนูนิดจะเลือกห้องให้ลูกแล้วด้วยนะ” คุณนายอรอุมาตอบคำถามของลูกสาวด้วยท่าทางว่าง่าย ก่อนปรายตามองชายหนุ่มที่พยายามส่งรอยยิ้มเป็นมิตรมาให้ แต่สายตาของคุณนายก็ทำให้คนถูกจ้องรู้สึกตะครั่นตะครอขึ้นมาพิกล

“มาเร็วเหมือนกันนะนายสิงค์ ใครคาบข่าวไปบอกล่ะว่าพวกฉันจะย้ายบ้านมาวันนี้”

สิงค์คลี่ยิ้มพราย แต่ไม่วายเหลือบมองไปทางคนข้างตัวที่ไม่แสดงท่าทางอะไรออกมาให้เห็น นิชาภาสงบนิ่งเกินไปจนน่าขัดใจเสียเหลือเกิน “ก็มีคนร้องโวยวายว่าลูกหนี้หายจนคนเขารู้กันทั้งบางแล้วนี่ครับ”

ริมฝีปากของคุณนายอรอุมากระตุกขึ้นลงคล้ายจะยิ้มสะใจกับสิ่งที่ได้ยิน แต่คุณนายยังสำรวมอาการไว้ เพราะภาพเบื้องหน้าดึงความสนใจได้มากกว่าคำบอกเล่าของสิงค์ “แล้วนี่ชาเป็นอะไรไป แม่เห็นลูกเดินกะโผลกกะเผลกเกาะแขนนายสิงค์มา ตานี่ทำอะไรลูกหรือ” คุณนายไม่พูดเปล่า เพราะดวงตาก็ตวัดจ้องชายหนุ่มข้างกายลูกสาวที่นึกอยากหัวเราะกับคำกล่าวหาที่มาทางคำพูดกับสายตา ดูท่าหญิงสาวต่างวัยทั้งสองจะเป็นแม่ลูกกันไม่ผิดล่ะ พวกเธอเล่นกล่าวหาเขาโดยไม่คิดไต่ถามอะไรสักคำ

“ชาแค่หกล้มเท่านั้นเองค่ะ ไม่ได้เป็นอะไรมาก” นิชาภาพยายามเอ่ยตัดบท เพื่อที่จะได้ไม่ต้องต่อความยาว และสาวไปถึงคนที่ยืนอยู่ด้านข้าง

หญิงสาวนึกเอะใจตั้งแต่ตอนที่สิงค์หยิบยกเอาเรื่องเล่าสยองขวัญขึ้นมาพูดด้วยท่าทางสนุกเสียเต็มประดาแล้ว แต่เขาก็ไม่ได้แสดงท่าทีบอกว่าตัวเองคือ “พี่สิงค์” นอกจากส่งสัญญาณความคล้ายคลึงราวกับอยากให้เธอเป็นฝ่ายเอ่ยปากทักก่อน

ความขัดเคืองจากการถูกมัดมือชกให้ต้องเช่าบ้านของเขาก็มีมากพออยู่แล้ว ครั้นมาเจอการแสดงแบบคนแปลกหน้าที่เพิ่งได้พบกันก็อย่าหวังว่าเธอจะเรียกเขาว่า “พี่สิงค์” เลย

“แล้วทำไมชาถึงหกล้มได้ล่ะ ลูกไม่ใช่คนซุ่มซ่ามนี่นา” แต่ดูเหมือนคุณนายอรอุมาจะไม่ยอมให้เรื่องจบ และคนข้างกายก็ไม่ยอมจบเรื่องเสียด้วย

“หมาของผมทำให้คุณชาหกล้มเองครับ ต้องขอโทษด้วย” สิงค์พูดพลางมองรีทีฟเวอร์ขนฟูที่ใช้เวลานานกว่าจะสะบัดเด็กแฝดหลุดออกมาได้ ครั้นพอมันหลุดออกมาจากวงรัดก็รีบเผ่นแผล็วมาหลบอยู่ด้านหลังคนที่พามันมาเดินเล่นด้วยท่าทางหวาดปนขลาด ด้วยมันไม่เคยเจอใครที่ฤทธิ์มากเท่าเด็กชายหญิงคู่นี้มาก่อน

“เจ้าปาดังมันมีนิสัยที่ไม่ค่อยอยู่สุขเท่าไรครับ ผมเลยต้องลำบากเพราะมันอยู่บ่อยครั้งทีเดียว”

ดวงตาของสิงค์ยามนึกถึงเรื่องเดือดร้อนที่เกิดจากสัตว์เลี้ยงแสนซนของแม่น้องสาวดูจะอ่อนโยนลงจนลดความดุดันบนใบหน้าไปมาก และช่วยไม่ได้ที่นิสัยอยู่ไม่สุขของเจ้าปาดังจะทำให้ชายหนุ่มนึกย้อนไปถึงตอนที่มันยังเล็กที่ก่อวีรกรรมเดียวกันนี้กับผู้หญิงอีกคนหนึ่ง หญิงสาวชาวต่างชาติที่มีรอยยิ้มสวยตรึงตา และหัวเราะได้อย่างร่าเริงที่สุด แต่สติของเขาก็หวนกลับคืนสู่ปัจจุบันทันที เมื่อรู้สึกถึงมือเรียวบางที่ถอนออกจากท่อนแขนอย่างเชื่องช้า

“วันนี้หนูนิดกับโยฮันจะค้างที่นี่ไหมคะ” คำถามของนิชาภาทำให้คุณนายอรอุมาละความสนใจจากสิงค์ให้หันไปมองลูกสาวอีกครั้ง

“ไม่รู้สิ แม่ยังไม่ได้ถามยายหนูนิดเลย แต่เมื่อกี้คุณสุรชาติโทรศัพท์มาเช็คความเรียบร้อย แล้วเขาก็ฝากบอกมาว่า ช่วงนี้เขากับคุณพจน์อาจไม่ได้แวะเข้ามาหาเราเพราะมีงานเข้ากันทั้งคู่ แต่ถ้ามีปัญหาอะไรก็ให้โทรไปหาพวกเขาที่เบอร์ฉุกเฉินได้ทันที”

“ถ้าอย่างนั้น ชาจะลองถามหนูนิดดูแล้วกันว่าจะค้างที่นี่ไหม คุณแม่มีอะไรจะคุยกับเขาอีกไหมคะ”

คุณนายอรอุมาปรายตามองชายหนุ่มอดีตคนสวนของบ้านด้วยสายตาจ้องจับผิด โดยปกตินิชาภาค่อนข้างจะเมินเฉยกับเพศตรงข้ามจนทำให้คุณนายต้องเดือดร้อนเป็นประจำอยู่แล้ว แต่รอบนี้คุณนายกลับรู้สึกพิกลกับท่าทางที่ควรจะเป็นปกติของลูกสาว ราวกับเธอจงใจที่จะเมินเฉยต่อเขาเสียอย่างนั้น

“ว่าแต่เราเถอะนายสิงค์ มาที่นี่เพราะมีธุระอะไรหรือเปล่า หรือว่าแค่มาดูพวกเราย้ายบ้านอย่างเดียว”

อย่างน้อยสิงค์ก็เคยรับใช้นายภานพผู้เป็นสามีมาก่อน เคยเป็นคนใต้ปกครองที่อดจะไต่ถามสารทุกข์สุกดิบไม่ได้ แต่กระนั้นคุณนายก็ไม่วายเหน็บชายหนุ่มด้วยความหมั่นไส้ ซึ่งเธอก็ไม่รู้ว่าความรู้สึกนี้เกิดขึ้นมาได้อย่างไร

“จุดประสงค์แรกคือการมาดูความเรียบร้อยในการย้ายบ้านครับ บ้านแฝดหลังนี้เก่าโทรมมาก ผมเองก็ไม่ได้ซ่อมแซมอะไรเลย เพราะไม่ได้คิดจะให้ใครเข้ามาอยู่อีก” สิงค์ตอบคำถามด้วยท่าทางว่าง่าย พลางนึกขบขันกับนิสัยปากร้ายแต่ใจดีของคุณนายอรอุมา เขาจำได้ว่านายภานพเคยแอบนินทาคุณนายลับหลังให้ฟังว่า เลี้ยงเมียอย่างกับเลี้ยงแม่

“บ้านแฝดงั้นหรือ” คุณนายอรอุมามีท่าทีสนใจอยู่ไม่น้อย ผิดกับคนฟังอีกคนที่แม้จะสนใจแต่ก็ไม่ยอมแสดงท่าทีออกมาให้เห็น

“จุดประสงค์อย่างที่สองก็คือบ้านแฝดอีกหลังนี่ล่ะครับ หะแรกผมก็อยากให้เช่าบ้านหลังนี้ แต่บังเอิญว่าคุณแม่อยากพักฟื้นหลังจากออกโรงพยาบาลในที่ห่างไกลผู้คนหน่อย ผมเลยต้องมาเปิดบ้านเตรียมต้อนรับคุณแม่ที่จะย้ายเข้ามาครับ ต้องขอโทษด้วยนะครับ”

“ฉันเข้าใจ เพราะถ้าให้เลือกฉันก็เลือกเก็บบ้านไว้ให้คนในครอบครัวเหมือนกัน แล้วแม่เธอจะมาวันไหนล่ะ ฉันจะได้ให้ยายชาทำขนมฝากไปให้”

แม้นิสัยบางอย่างของคุณนายอรอุมาจะค่อนข้างน่าปวดหัว แต่เธอก็ใจกว้างกับคนในครอบครัวและคนใต้ปกครองเสมอ สิงค์ยิ้มละไมกับความจู้จี้ของคุณนายที่ให้เขาเลิกทำตัวซังกะตายในตอนที่ย้ายเข้ามาช่วงแรก และอดที่จะหัวเราะไม่ได้เมื่อนึกถึงนายภานพที่ชอบเล่าอวดว่าเมียตัวเองน่ารักที่สุดอยู่เสมอ

“ไม่พรุ่งนี้ก็มะรืนนี้ครับ”

“ถ้าแม่เธอมาพรุ่งนี้ ฉันคงเตรียมของไม่ทัน กว่าจะจัดอะไรให้เข้าที่เข้าทางคงอีกสักสองหรือสามวัน เอาเป็นว่าถ้าแม่เธอมาแล้วก็ฝากบอกว่าฉันจะทำขนมฝากไปให้นะ” คุณนายเริ่มวางแผนการการใช้ชีวิตที่ไร้สามีด้วยความรู้สึกโหวงเหวงอย่างบอกไม่ถูก หางตาคล้ายจะมีหยาดน้ำรินรื้นชวนให้อยากสะอื้นกับความคำนึงถึงคนที่ไม่หวนกลับ

“ผมจะรอทานนะครับ” คำตอบระรื่นของนายสิงค์ทำให้อารมณ์หมองของคุณนายอรอุมาชะงักงัน แล้วเขาก็ได้รับค้อนจากคุณนายวงโต

“ให้แม่นายต่างหากย่ะ”

“ครับ ให้แม่” ชายหนุ่มทวนคำเสียงยานคางเลยได้ค้อนจากคุณนายไปอีกหนึ่งวง

เมื่อรู้ว่าจะโดนกวนประสาท คุณนายอรอุมาเลยเลิกต่อล้อต่อเถียงกับชายหนุ่มอดีตคนสวน ในใจนึกขอบคุณที่อีกฝ่ายช่วยดึงตัวเองออกมาจากความโศกตรม คุณนายระบายลมหายใจออกมายาวเหยียด ก่อนเหลือบตามองลูกสาวคนโตที่คงต้องพาเข้าบ้านไปนวดเท้าให้หายแพลง

“คงไม่เป็นไรนะ ถ้าฉันกับลูกและหลานจะเข้าไปข้างในก่อน”

คำถามของคุณนายอรอุมาเหมือนจะเป็นการไล่ทางอ้อม ซึ่งสิงค์ยอมรับด้วยท่าทางไม่อินังขังขอบ ชายหนุ่มค้อมศีรษะเป็นเชิงส่งลา แล้วเงยหน้าขึ้นมองแผ่นหลังบอบบางของนิชาภาที่ยังตั้งตรง ไม่สะท้านไหวเหมือนดังเช่นที่ได้แอบมอง




Create Date : 24 มิถุนายน 2554
Last Update : 20 มกราคม 2557 16:05:06 น.
Counter : 304 Pageviews.

0 comments
ชื่อ :
Comment :
 *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

ฌา
Location :
  

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]



New Comments
All Blog